

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพ ล่าสุดผนึกพลังกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสริมแรงดึงดูดชาวต่างชาติเข้าลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ด้วยบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบทุกความต้องการด้านการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ผ่าน TDPK International Service Center เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก พร้อมโอกาสสร้างธุรกิจเติบโตได้เร็วตามเป้าหมาย ครอบคลุมบริการสำคัญๆ ทั้งเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาว กระตุ้นชาวต่างชาติที่มีความมั่งคั่งและมีทักษะสูงเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย ตอกย้ำศักยภาพความพร้อมเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียนที่น่าลงทุน
รายงานของ ASEANstats เปิดเผยมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่า ประเทศไทยรั้งท้ายอยู่อันดับ 6 และมีอัตราการเติบโตลดลงต่อเนื่อง ในปี 2567 ที่ผ่านมา FDI ของประเทศไทยมีมูลค่าราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2566 ที่มีมูลค่า 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคอาเซียนยังคงน่าลงทุนและมีเม็ดเงิน FDI เติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศ ประเทศไทยจึงต้องเร่งส่งเสริมการลงทุน รวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการลงทุนของชาวต่างชาติในอาเซียน หากชาวต่างชาติหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เข้ามา ส่งผลให้การจ้างงานในประเทศลดลง และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอ มานานกว่า 6 ปี เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งในการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้รับการแต่งตั้งจากบีโอไอ ให้เป็นตัวแทนที่ได้รับการรับรอง (Certified Agent) ให้ดูแลชาวต่างชาติในการยื่นขอวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) และผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนการเข้าสู่ตลาดประเทศไทย โดยได้จัดตั้ง
TDPK International Service Center เป็นศูนย์บริการแบบครบวงจรทั้งเพื่อธุรกิจและการพำนักในประเทศไทย ที่ผ่านมา เราสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติให้ได้รับการอนุมัติวีซ่า SMART “S” Visa มากกว่า 100 ราย จาก 32 สัญชาติ เพื่อประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ดิจิทัล การเงิน ความบันเทิง และการศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนมากมาจากทวีปเอเชียและยุโรปตามลำดับ รวมถึงดูแลให้นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงได้รับวีซ่าพำนักระยะยาวแล้วกว่า 50 ราย จาก 15 สัญชาติ และมีบริษัทต่างชาติในระบบนิเวศของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค มากกว่า 300 บริษัท ผ่านโปรแกรม Global Startup หรือเช่าพื้นที่สำนักงานและโคเวิร์คกิ้งสเปซ
การทำงานอย่างใกล้ชิดกับบีโอไอและนักลงทุนต่างชาติจากทุกทวีปทั่วโลก ทำให้เราเข้าใจความท้าทายที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญ โดยเฉพาะในด้านการเข้ารับบริการต่างๆ ในประเทศไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ ทำให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้ามาดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตในประเทศไทย
ระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค สามารถตอบโจทย์และลดอุปสรรคในการเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center เชื่อมโยงทุกความต้องการของนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งบริษัทเทคระดับโลก องค์กรเอกชนชั้นนำ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนผู้ประกอบการเทครุ่นใหม่และสตาร์ทอัพในแวดวงธุรกิจต่างๆ และให้บริการครบวงจรครอบคลุมทั้งบริการด้านกฎหมาย การเงิน การลงทุน บริการสนับสนุนทางธุรกิจ และอีกมากมาย จึงช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาในการติดต่อขอรับบริการต่างๆ สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมได้ชัดเจน และที่สำคัญยังได้รับคำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับตลาดในประเทศไทย เปิดโอกาสใหม่ๆในการเริ่มต้นธุรกิจ

เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย
TDPK International Service Center ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย
1. บริการวีซ่า : ทรู ดิจิทัล พาร์ค สนับสนุนนโยบายของบีโอไอ โดยส่งเสริมให้ชาวต่างชาติสามารถมาพำนักในประเทศไทยในระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น วีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Residence Visa) บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ (Thailand Privilege Card) สมาร์ทวีซ่า (SMART Visa) สำหรับผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพ และ วีซ่านักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ (Destination Thailand Visa - DTV) ทั้งนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์คยังเป็นศูนย์ให้คำแนะนำเรื่องการ ตั้งถิ่นฐาน รวมถึงบริการให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพและประกันอีกด้วย
2. บริการด้านธุรกิจแบบครบวงจร : บริการดูแลเรื่องการปรึกษาด้านธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย และการหาเครือข่ายและนักลงทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนในอนาคต รวมไปจนถึงการเช่าออฟฟิศที่เป็นที่อยู่สำหรับการจัดตั้งบริษัท
3. เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต : บริการต่างๆที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในประเทศไทย เช่น ฟิตเนส สปา ร้านอาหาร และโรงเรียนนานาชาติ รวมไปถึงกิจกรรมสร้างเครือข่ายชุมชนชาวต่างชาติในประเทศไทยที่จัดขึ้นเฉพาะกลุ่ม เช่น ชมรมวิ่ง และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ
“ทรู ดิจิทัล พาร์ค ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนนี้ เรามุ่งมั่นที่จะดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติให้เข้าสู่ประเทศไทยผ่าน TDPK International Service Center เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2568 โดยเน้นนำเสนอบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรม พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดึงดูด ผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เรามั่นใจว่า ความพยายามต่อเนื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย ช่วยผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก” ดร.ธาริต กล่าวสรุป
ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมงานเปิดโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 จัดโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด เพราะทุกคนสำคัญ ทุกข้อมูลมีความหมาย ร่วมสร้างอนาคตไทย ให้ดีขึ้น Everyone Counts, Everyone Matters พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การส่ง SMS เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตอบแบบสอบถามออนไลน์” เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและชัดเจนให้แก่ประชาชน สร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งมีการจัดเก็บและระบบป้องกันที่ได้มาตรฐาน โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง (กลาง) รองนายกรัฐมนตรและรัฐมาตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายภุชพงค์ โนดไธสง (ซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายพิชิต ธันโยดม (ขวา) ที่ปรึกษาด้านไอที และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ ข้อมูลสำมะโนประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนคนไทยทุกคน รวมถึงชาวต่างชาติที่พำนักในไทยตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป สามารถให้ข้อมูลกับสำนักงานสถิติแห่งชาติผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เว็บไซต์ทางรัฐและเว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ
แกร็บ ประเทศไทย เผยไฮไลท์ความสำเร็จในปี 2567 พร้อมเผยแผนขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 พร้อมแถลงวิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” ผ่าน 5 กลยุทธ์ “S.M.A.R.T” เป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (Sustainability) ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Market Expansion) นำเสนอทางเลือกของบริการในราคา ที่เข้าถึงได้ (Affordability) รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า (Retention) พัฒนาเทคโนโลยี และบริการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกคน (Tech & Innovation)
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2567 ถือเป็น อีกหนึ่งปีที่ยอดเยี่ยมของ แกร็บ ประเทศไทย โดยเรายังคงครองความเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ผู้ใช้ ให้ความเชื่อมั่นทั้งในบริการเรียกรถผ่านแอปและเดลิเวอรี ทั้งยังสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกธุรกิจ โดยมีไฮไลท์ความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย ผ่านกิจกรรมสำคัญอย่าง การเปิดให้บริการจุดรับ-ส่งในสนามบินหลักทั้ง 4 แห่ง อันได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ การทำแคมเปญเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรอง ควบคู่ไปกับการขยายบริการเรียกรถไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนการร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชนจัดตั้งภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Tourism Taskforce) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค ด้วยอานิสงส์ของนโยบายดังกล่าว ทำให้ในปีที่ผ่านมา ยอดใช้บริการเรียกรถ ในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นถึง 138%2”
“เรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและแก้ปัญหา (pain point) ในชีวิตประจำวันของคนในอีโคซิสเต็ม อาทิ การอัปเกรดฟีเจอร์ Group Order หรือบริการสั่งอาหารแบบกลุ่ม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมียอดสั่งอาหารเติบโตขึ้น 2 เท่า3 การปรับโฉมฟีเจอร์ Advance Booking หรือบริการจองล่วงหน้า โดยมียอดใช้บริการพุ่งขึ้นถึง 60% ในช่วงเทศกาล4 รวมถึงบริการ Dine Out Deals หรือการขายดีลพิเศษสำหรับการรับประทานที่ร้าน ซึ่งมียอดการใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 11 เท่า4 ขณะเดียวกัน เรายังได้นำเสนอทางเลือกใหม่ของบริการในราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านการเปิดตัวบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก สะท้อนผ่านยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นมากกว่า 4 เท่า3 การเพิ่มตัวเลือก Delivery SAVER ในบริการสั่งอาหาร ซึ่งมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า3 รวมถึงการเปิดตัว ซับแบรนด์ Hot Deals เพื่อนำเสนอดีลลดแรงจากร้านอาหารดังทั่วประเทศ ซึ่งในปีที่ผ่านมาช่วยให้ผู้ใช้บริการประหยัดเงิน รวมกว่า 2 พันล้านบาท5 นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) โดยเฉพาะบริการ GrabAds ที่ปรับรูปแบบจากการขายโฆษณาเป็นการนำเสนอโซลูชันการตลาดแบบสร้างสรรค์ (Creative Marketing Solutions) เพื่อช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจสามารถสร้างแบรนด์และยอดขายจากออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์ รวมถึงบริการ Grab For Business ที่มีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ จนมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 80%2” นางสาวจันต์สุดา กล่าวเสริ 
สำหรับในปี 2568 แกร็บ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้ วิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” โดยมุ่งสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันและตอกย้ำบทบาทของแกร็บ ในฐานะผู้นำซูเปอร์แอปเพื่อยกระดับมาตรฐานของธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรี ควบคู่ไปกับการสานต่อพันธกิจ GrabForGood ที่มุ่งใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับคนไทย โดยจะมุ่งเน้นไปที่ 5 แนวทางหลักภายใต้กลยุทธ์ “S.M.A.R.T” ซึ่งประกอบด้วย
S: Sustainability มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
· นอกจากการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แกร็บยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลง เชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญอย่าง “โครงการ Grab EV” ที่ส่งเสริมให้คนขับใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันมียอดการใช้รถ EV แล้วกว่า หนึ่งหมื่นคัน ควบคู่ไปกับ “โครงการชดเชยคาร์บอน” ที่ให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินผ่านฟีเจอร์ Carbon Offset เพื่อนำไปซื้อคาร์บอนเครดิตและทำกิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มทดลองกิจกรรมใหม่ๆ อย่าง “โครงการ Grab Go Green อิ่มคุ้มช่วยโลกกับ GrabFood” ที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการสั่งอาหารในราคาพิเศษในช่วงก่อนปิดร้านเพื่อช่วยลดขยะอาหารจากร้านค้า เป็นต้น
· ในด้านสังคม นอกเหนือจากกลุ่มคนขับและพาร์ทเนอร์ร้านค้าซึ่งเป็นคนในอีโคซิสเต็มแล้ว แกร็บยังได้ส่งเสริม การสร้างโอกาสให้กับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ผ่าน “โครงการ GrabSpark” ที่เปิดเวทีให้นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้แสดงศักยภาพผ่านการประกวดแผนธุรกิจ พร้อมโอกาสในการฝึกงานกับแกร็บ รวมถึง “โครงการ GrabScholar” กับการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาที่มีศักยภาพ ซึ่งจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
M: Market Expansion ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน
· ในปีนี้ แกร็บเดินหน้าขยายบริการเพื่อให้ครอบคลุมคนทุกเจเนอเรชัน โดยล่าสุดได้เปิดตัว 4 หนุ่มสุดฮอตอย่าง เจมีไนน์-โฟร์ท และ สกาย-นานิ ในฐานะ “Friends of Grab” เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z และ Millennials เสริมทัพ เบลล่า-ราณี ซึ่งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง
· นอกจากนี้ แกร็บยังได้ผลักดันการใช้ฟีเจอร์บัญชีครอบครัว (Family Account) เพื่อขยายการให้บริการไปยังกลุ่ม Baby Boomer และ Gen Alpha ผ่านผู้ใช้บริการหลัก (Core User) ที่ต้องการเรียกรถให้กับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนอาวุโส (พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่) และกลุ่มเด็กเล็ก (ลูก-หลาน)
· สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปีนี้แกร็บยังคงเดินหน้าสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะนโยบาย “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ของรัฐบาล ผ่านการสนับสนุนและเข้าร่วมอีเวนท์สำคัญระดับประเทศและเทศกาลเชิงวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นตลอดทั้งปี อาทิ งาน S2O Songkran Music Festival งาน Siam Songkran Music Festival และ Maha Songkran World Water Festival 2025 เป็นต้น

A: Affordability นำเสนอทางเลือกของบริการในราคาที่เข้าถึงได้
· แกร็บเตรียมต่อยอดความคุ้มค่าสำหรับบริการเรียกรถด้วยการขยายบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมที่ทดลองให้บริการเฉพาะหัวเมืองหลัก
· สำหรับบริการฟู้ดเดลิเวอรี แกร็บยังคงชูไฮไลท์ซับแบรนด์ “Hot Deals” ดีลลดแรงจากร้านดังทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มจำนวนร้านที่เข้าร่วมโปรแกรม ควบคู่ไปกับการนำเสนอโปรโมชันตามช่วงเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ รวมถึงการชูแคมเปญใหญ่ อย่าง “GrabFood Mega Sale” ที่มอบส่วนลดจัดหนักสูงสุดถึง 80% พร้อมส่งฟรีให้กับผู้ใช้บริการทั่วประเทศ
R: Retention รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า
· GrabUnlimited ถือเป็นโปรแกรมหลักที่ช่วยมัดใจผู้ใช้บริการผ่านการมอบสิทธิประโยชน์และส่วนลดที่คุ้มค่า ครอบคลุมทุกบริการ ด้วยแพ็คเกจสมาชิกรายเดือนเพียง 19 บาทต่อเดือน หรือรายปีเพียง 99 บาทต่อปี ไม่เพียงเท่านั้น ในปีนี้แกร็บยังได้พัฒนา GrabVIP หรือโปรแกรมสิทธิพิเศษเหนือระดับสำหรับผู้ใช้บริการที่มี ยอดใช้จ่ายสูงกว่า 30,000 บาทในระยะเวลา 3 เดือน อาทิ รับสิทธิ์ส่งอาหารไว (Priority Delivery) 5 ครั้งต่อเดือน และความช่วยเหลือพิเศษก่อนใคร (Priority Support) จากศูนย์ช่วยเหลือแกร็บ
· สำหรับคนขับ แกร็บจัดเต็มสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับคนขับที่ให้บริการดีอย่างต่อเนื่อง อาทิ ฟรีประกันรถจักรยานยนต์ และการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับบริการสินเชื่อเงินสด สำหรับคนขับ GrabBike และฟรีประกันสุขภาพสำหรับคนในครอบครัว สำหรับคนขับ GrabCar พร้อมจัดกิจกรรมเซอร์ไพรส์แจกรถยนต์-รถจักรยานยนต์ในช่วงเทศกาลสำคัญ เป็นต้น

· สำหรับกลุ่มพาร์ทเนอร์ร้านค้า แกร็บยังเดินหน้าพัฒนาบริการสินเชื่อเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและเป็นทุน ในการขยายธุรกิจให้กับกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาประกันค้าขายหายห่วง เพื่อให้ ความคุ้มครองผู้ประกอบการธุรกิจจากเหตุไม่คาดฝันด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท
T: Tech & Innovation พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน
· ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับภูมิภาค แกร็บยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันและตอบโจทย์ความต้องการของคนในอีโคซิสเต็ม
· ในปีนี้ แกร็บได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ตั้งแต่ต้นปี อาทิ Advance Booking for Airport Pickups บริการจองรถล่วงหน้าเพื่อให้มารับที่สนามบินโดยสามารถระบุไฟลท์และเวลาเดินทางเพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนขับได้ ซึ่งปัจจุบันได้ทดลองให้บริการแล้วที่สนามบินภูเก็ต GrabExecutive บริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียม ที่เจาะกลุ่ม นักธุรกิจและลูกค้าไฮเอนด์และนักท่องเที่ยว Book Table บริการสำหรับจองร้านอาหารเพื่อรับประทานที่ร้าน ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือและเชื่อมต่อกับระบบของ Chope ซึ่งมีจุดแข็งในด้านระบบการจองร้านอาหาร และล่าสุดกับการพัฒนา QR Payment เพื่อเพิ่มทางเลือกการชำระเงินให้กับผู้ใช้บริการ ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาให้กับคนขับที่อาจมีเงินสดสำรองไม่เพียงพอ
“ตลอดระยะเวลาเกือบ 12 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แกร็บภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย และมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสะท้อนผ่านผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ระบุว่ากิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของ Grab ในปี 2566 ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สิ่งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นแรงผลักดันให้แกร็บยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีเป้าหมาย พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและยกระดับคุณภาพชีวิตของไทยต่อไป” นางสาวจันต์สุดา กล่าวปิดท้าย
LINE ประเทศไทย ตอกย้ำการเป็น ‘แพลตฟอร์มเปิดเพื่อคนไทย’ ผ่านวิสัยทัศน์และโร้ดแมปการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปิดรับการเชื่อมต่อไอเดียของนักพัฒนา พาร์ทเนอร์ และผู้ประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งาน LINE กว่า 56 ล้านคน มุ่งลดต้นทุนด้านทรัพยากรและเวลา พร้อมสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ สร้างโอกาสไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย
ภายในงาน LINE CONFERENCE THAILAND 2025 บนเวทีสัมมนาด้านเทคโนโลยี ได้มีการเผยโร้ดแมป เทคโนโลยีของ LINE ประเทศไทย พร้อมทิศทางสู่การเป็น Platform Provider ผนึกกำลังนักพัฒนาผนวกศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานของ LINE เพื่อนำไปต่อยอดเป็นโซลูชั่นที่หลากหลาย ตอบโจทย์ธุรกิจได้อย่างครอบคลุม เผย 3 ไฮไลท์สำคัญสำหรับนักพัฒนาไทย กับการเปิดตัว LINE MINIAPP อย่างเป็นทางการ อัปเดตแผนการพัฒนา LINE OAPLUS แพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานช่วยนักพัฒนาสร้างโซลูชั่นบน LINE ได้สะดวกขึ้น รวมถึงเตรียมส่งโปรเจ็กต์ใหม่ Bot Marketplace รวมหลากหลายแชทบอทในกรุ๊ปแชทให้ผู้ใช้ LINE ในไทยเลือกใช้งานได้ตามความต้องการในอนาคต
![]()
นายวีระ เกษตรสิน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ (Chief Product Officer)
1. LINE MINIAPP ขยายขีดความสามารถของแพลตฟอร์มให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปฯ ของตัวเองบน LINE เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่ายและครบครัน ลดข้อจำกัดในการพัฒนา Native App ที่ใช้เวลาและทรัพยากรสูง โดยแบ่งประเภท LINE MINIAPP เป็น 2 ประเภทคือ Unverified MINIAPP และ Verified MINIAPP ที่มอบฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักพัฒนาและธุรกิจ อาทิ ช่องทางการค้นหาและเข้าถึงที่สะดวกขึ้น, การเพิ่ม Short Cutบนโฮมสกรีน, ข้อความแจ้งเตือน (Service Message) จากระบบ LINE MINIAPP ฟรี พร้อมให้นักพัฒนาติดตั้งเครื่องมือ Tracking เพื่อนำดาต้าจากการใช้งาน LINE MINIAPP ของลูกค้ามาวิเคราะห์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบอื่นๆ ของตนเองอย่าง CDP หรือ CRM ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ LINE ยังได้แนะนำ LINE MINIAPP Playground พื้นที่ให้นักพัฒนาสามารถทดลองสร้าง MINIAPP ของตัวเองได้ก่อนพัฒนาจริง พร้อมเปิดเวทีให้ 2 พาร์ทเนอร์อย่าง The Omelet and Anybot Thailand มาร่วมแบ่งปันโซลูชั่นสำหรับธุรกิจที่ขาดความพร้อมด้านทีมนักพัฒนา ให้สามารถสร้าง MINIAPP แบบ Low-code ได้สะดวกยิ่งขึ้น และ OKKAMI หนึ่งในเทคฯ พาร์ทเนอร์ ผู้มากประสบการณ์ที่สร้าง LINE MINIAPP ด้านการจัดการโรงแรมให้กับแบรนด์และองค์กรต่างๆ มากมายในกลุ่มธุรกิจ Hospitality ทั่วโลก
![]()
2. ก้าวสู่แพลตฟอร์มเปิด (Open Platform) ต่อยอดวิสัยทัศน์การเป็นแพลตฟอร์มเปิดเพื่อคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักพัฒนาที่ LINE ยังคงเตรียมความพร้อมในส่วนแพลตฟอร์ม LINE OAPLUS ให้นักพัฒนาภายนอกองค์กรสามารถสร้างบริการบน LINE ผ่าน Infrastructure พื้นฐานที่ LINE พัฒนาไว้ให้เบื้องต้นได้ จากผลการใช้งานแพลตฟอร์มนี้เพื่อสร้างเครื่องมือ โซลูชั่นต่างๆ บน LINE อาทิ MyShop, MyCustomer รวมถึง MyCustomer | CRM ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พบว่าแพลตฟอร์มมีความเสถียรในการใช้งานถึง 98.36% และมี Downtime ของระบบโดยรวมสูงสุดแค่ประมาณ 6 วัน นับว่าสร้างความเชื่อมั่นให้ LINE เตรียมส่งแพลตฟอร์มนี้เพื่อสร้างความยืดหยุ่น ช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากร เวลา เพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้นักพัฒนาและภาคธุรกิจ ในการสร้างสรรค์บริการต่างๆ บน LINE ในอนาคต โดยหลังเปิดแพลตฟอร์ม LINE OAPLUS นี้อย่างเป็นทางการ LINE ยังมีแผนต่อยอดเปิดพื้นที่ Marketplace เพื่อรวบรวมบริการ และโซลูชั่นที่ถูกพัฒนาขึ้นผ่านแพลตฟอร์มนี้ มานำเสนอให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจที่สนใจ รวมถึงแผนการนำเสนอโมเดลในการสร้างรายได้ร่วมกับนักพัฒนาอย่างเป็นระบบในอนาคตระยะยาว
3. LINE BOT Marketplace ต่อยอดจุดแข็งด้านกรุ๊ปแชทสู่แผนการสร้าง BOT Marketplace ศูนย์รวมบอทบน LINE ที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ในหลากหลายมิติได้ในอนาคต อาทิ การนัดหมาย สรุปข้อมูลการทำงาน แจ้งเตือนกิจกรรม และการจัดการงานต่างๆ ให้ง่ายขึ้น โดย LINE มีแผนเปิดพื้นที่ให้นักพัฒนาภายนอกองค์กร สามารถสร้างสรรค์และนำเสนอบอทใน BOT Marketplace แห่งนี้ได้อย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้บอทมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว อำนวยความสะดวกทั้งในด้านไลฟ์สไตล์และการทำงานบนแชท LINE ได้อย่างอิสระในอนาคต
![]()
คุณคเณศ กิจเสรีบริรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์พาณิชย์
นอกเหนือจากแผนโร้ดแมปด้านเทคโนโลยีแล้ว LINE ประเทศไทยยังได้แนะนำ LINE DEVELOPER PARTNER โปรแกรมรวบรวมองค์กรนักพัฒนาชั้นนำในไทย ผู้สร้างสรรค์โซลูชั่นบนแพลตฟอร์ม LINE ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยองค์กรนักพัฒนาดังกล่าวจะต้องผ่านการคัดเลือกจาก LINE ด้วย Certified Badge ใน 3 ระดับ ได้แก่ Authorize, Professional และ Expert เพื่อเข้าถึงทักษะความรู้เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญจาก LINE การสนับสนุนด้านการตลาด และโอกาสในการร่วมโปรเจ็กต์กับพาร์ทเนอร์ธุรกิจองค์กรต่างๆ ระดับประเทศมากมาย โดย LINE DEVELOPER PARTNER มีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ ภายในงาน LINE ยังได้เปิดเวทีให้ 3 พาร์ทเนอร์ผู้ผ่านเข้าร่วมโปรแกรมแล้ว มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และ Use Case ที่น่าสนใจ ได้แก่
![]()
· Jenosize ผู้พัฒนาเครื่องมือ MarTech แบบ All-in-One ช่วยแบรนด์สร้างโซลูชั่น Shop & Chat ได้อย่างครบวงจร โดยพร้อมปรับแผนโซลูชั่นให้ตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละธุรกิจได้ รวมถึงจัดการบริหาร LINE OA ให้ลูกค้าแบรนด์มากมาย ช่วยธุรกิจเชื่อมต่อกับลูกค้าบน LINE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
· EGG Digital ผู้พัฒนาเครื่องมือ MarTech ครบวงจรด้วยดาต้าอินไซต์ และเป็นผู้พัฒนาต่อยอด LINE Official Notification (LON) ระบบส่งข้อความแจ้งเตือนอัตโนมัติจาก LINE สู่บริการ E-LON ที่ช่วยติดตามการส่งข้อความ เพื่อเพิ่มอัตราการส่งข้อความสำเร็จและให้แบรนด์มั่นใจว่าสื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น
· Crescendo Lab บริษัทเทคฯ จากไต้หวันที่กำลังขยายธุรกิจสู่ไทย มุ่งเน้นโซลูชั่นสำหรับธุรกิจ Retail โดยพัฒนาโซลูชั่น MAAC ซึ่งเป็นระบบ AI Learning ที่ช่วยคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้าและแนะนำข้อความที่ช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับลูกค้าหลากหลายแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีและโอกาสใหม่ๆ ที่เปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาไทยจากงาน LCT25 เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นแพลตฟอร์มเปิดที่สนับสนุนนักพัฒนาไทย สามารถเข้ามามีส่วนร่วม ต่อยอดการสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ตอบโจทย์คนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไทยสู่อนาคตดิจิทัลอย่างแข็งแกร่ง
รายงานล่าสุดจาก IDC บริษัทวิจัยข้อมูลตลาด ซึ่งจัดทำตามคำสั่งของ 2C2P แพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก และแอนทอม (Antom) คาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 11.21 ล้านล้านบาท (หรือราว 325,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2571 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการชำระเงินดิจิทัลและการทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการปลดล็อคเพิ่มโอกาสของธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนให้มากขึ้นกว่าเดิม
รายงาน “How Southeast Asia Buys and Pays 2025” ในปีนี้ เป็นรายงาน IDC InfoBrief ฉบับที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2564 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 600 รายในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยตรวจสอบภูมิทัศน์การชําระเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งภาพรวมและในแต่ละตลาด ในฐานะที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของโลก แนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับแรงขับเคลื่อนโดยภาคอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยหนุนจากการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น
รายงานฉบับนี้สำรวจภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปในภูมิภาค ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการชำระเงินในแต่ละตลาด รวมถึงข้อมูลเชิงลึกว่าแนวโน้มต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนช่วยพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ และวางรากฐานสำหรับโอกาสการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตได้อย่างไรบ้าง?
ประเด็นสำคัญจากรายงาน: การทำความเข้าใจภาพรวมของภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างครบถ้วน เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงเศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 11.21 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงตลาดท้องถิ่นจำเป็นต้องนำเสนอวิธีการชำระเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับประสบการณ์โดยรวมของผู้บริโภค แต่ยังเพิ่มแนวโน้มในการซื้อสินค้า (conversion rate) อีกด้วย
· การเติบโตของการชำระเงินดิจิทัลในอีคอมเมิร์ซ: คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 การชำระเงินดิจิทัลจะมีสัดส่วนถึง 94% ของการชำระเงินทั้งหมดในตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการเติบโตที่สำคัญที่สุดจะเป็นช่องทางการชำระเงินภายในประเทศ (97.9%) และกระเป๋าเงินดิจิทัล (94.9%) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคที่มีการใช้บัตรเครดิตน้อยกว่า
· การเพิ่มขึ้นของการชำระเงินแบบเรียลไทม์ (RTPs): การชำระเงินแบบเรียลไทม์จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2571 โดยคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 379.5 ล้านล้านบาท (หรือราว 11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งเริ่มเห็นการเติบโตของ RTPs อย่างชัดเจนแล้วในสิงคโปร์ เช่น PayNow เป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับสาม จากผลสำรวจผู้ค้าในปี 2567 การเติบโตของการชำระแบบเรียลไทม์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับแรงผลักดันจากโครงการริเริ่มของรัฐบาลที่มุ่งลดการพึ่งพาเงินสดและส่งเสริมวิธีการชำระเงินที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งตอบสนองความต้องการของทั้งผู้บริโภคและผู้ค้า
· กระเป๋าเงินดิจิทัลและช่องทางการชำระเงินภายในประเทศครองความนิยม: กระเป๋าเงินดิจิทัลและช่องทางการชำระเงินภายในประเทศเป็นที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2566 กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะที่ช่องทางการชำระเงินภายในประเทศครองความนิยมในสิงคโปร์ และไทย แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2567 โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับสองจากผลสำรวจผู้ค้าในสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ และเป็นอันดับสามในอินโดนีเซียและไทย
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสำคัญอีกมากมายจากธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
· โอกาสในตลาดของธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน: คาดว่าธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าสูงถึง 5.04 แสนล้านบาท (หรือราว 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2571 ซึ่งนับว่าเติบโตขึ้น 2.8 เท่าจากปี 2566 อีกสิ่งที่น่าสนใจคือมูลค่าเฉลี่ยของการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อผู้บริโภค 1 คนมักจะมีมูลค่าสูงกว่าการทำธุรกรรมภายในประเทศ ยกเว้นที่เวียดนามและอินโดนีเซีย สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้
· การขับเคลื่อนธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนด้วยโครงการ Regional Payment Connectivity (RPC): ธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากโครงการ RPC ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศทั้ง 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและปรับปรุงระบบชำระเงินระหว่างประเทศให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และคุ้มต้นทุนยิ่งขึ้น
· ธุรกรรมข้ามพรมแดนให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น: จากการสำรวจพบว่า 62% ของผู้ค้าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนสามารถทำรายได้จากธุรกรรมดังกล่าวสูงกว่าธุรกรรมภายในประเทศ โดยเฉลี่ย 21% ดังนั้น ผู้ค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้จากการมองหาตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน
· ศักยภาพของการค้าภายในภูมิภาคที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่: แม้ว่าการค้าภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังมีการใช้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรในแต่ละตลาด ดังนั้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ผู้ค้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ พร้อมทั้งใช้ข้อได้เปรียบร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ธุรกิจสามารถปลดล็อกศักยภาพของการค้าภายในภูมิภาคและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้
แอกเนส ฉัว (Agnes Chua) กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของ 2C2P กล่าวว่า "ภูมิทัศน์ของ อีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ค้าต่างตระหนักถึงโอกาสมหาศาลจากการเติบโตนี้ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนรายได้จากอีคอมเมิร์ซ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ เช่น การให้บริการแก่ผู้บริโภค การแก้ไขปัญหา การผสานระบบช่องทางชำระเงิน และปัญหาทางเทคโนโลยี 2C2P ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ โดยนำเสนอโซลูชันการชำระเงินที่ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน เพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน และขับเคลื่อนการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ค้าสามารถปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง”
แกรี่ หลิว ผู้จัดการทั่วไปของแอนทอม - แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านดิจิทัลคอมเมิร์ซและนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยระบบธุรกรรมที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการขยายการเติบโตข้ามพรมแดน และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แอนทอมมองว่าระบบการชำระเงินไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นตัวเร่งการเติบโตของธุรกิจ เราได้ทำงานร่วมกับ 2C2P และบริษัทอื่นๆ ในเครือข่ายของแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ค้าด้วยการมอบโซลูชันส์ด้านการชำระเงินดิจิทัลที่ครบวงจร ในขณะเดียวกัน ยังค้นหาโอกาสใหม่ๆ ด้านบริการระบบบัญชี การจัดหาเงินทุน และการบริหารการเงินระดับโลก เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต บริษัทของเรายังได้ประสานงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับท้องถิ่นและพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจทุกขนาด ช่วยให้พวกเขาเติบโตท่ามกลางเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง"
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเริ่มส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นวงกว้าง สะท้อนจากตัวเลขยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ของปี 2567 ยังคงอยู่ในระดับสูงราว 16.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 89% ของจีดีพี ซึ่งแม้ว่าจะชะลอลงไปบ้างจากจุดสูงสุดในปี 2566 แต่เป็นการลดลงจากผลของการชะลอการปล่อยสินเชื่อเป็นหลัก ซึ่งระดับของหนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันยังถือว่าสูงกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน อีกทั้งในมิติของคุณภาพหนี้ก็ย่ำแย่ลงหลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือทางการเงินในช่วงโควิด-19
ทั้งนี้ ttb analytics ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน (Anonymous Account) มากกว่า 84 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท จากฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) โดยพบ 5 ประเด็นที่น่าห่วง ดังนี้
ประเด็นที่ 1 : เกือบ 40% ของคนไทยเป็นหนี้ในระบบ โดยมีหนี้เฉลี่ยต่อคนเกิน 1 แสนบาท ภาพรวมคุณภาพหนี้ครัวเรือนตามฐานข้อมูล NCB พบว่า สัดส่วนประชากรไทยที่มีหนี้ในระบบเพิ่มขึ้น จาก 31% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปี 2561 เป็น 38% ในปี 2567 สะท้อนถึงจากการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเป็นพิเศษในช่วงวิกฤตโควิด-19 ยิ่งกว่านั้น สัดส่วนคนไทยที่มีหนี้เสียมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงโควิด-19 โดยพบว่า สัดส่วนคนไทยที่เป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2561 เป็น 22% ในปี 2567 ขณะที่ยอดหนี้สินเฉลี่ย (Median) ต่อผู้กู้ตลอดทุกช่วงอายุลดลงเล็กน้อยจาก 1.48 แสนบาท เป็น 1.18 แสนบาทต่อคน
ประเด็นที่ 2 : วัยสร้างครอบครัวเป็นกลุ่มที่แบกหนี้มากที่สุด โดยวัยสร้างครอบครัวถือเป็นกลุ่มที่ก่อหนี้มากที่สุด โดยคิดเป็น 62% ของประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 35-50 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้ส่วนบุคคล 43% รองลงมาคือหนี้เช่าซื้อรถและหนี้บัตรเครดิต 23% และ 17% ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มวัยสร้างครอบครัวมักมีหนี้บ้านเพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อสร้างหลักปักฐาน ซึ่งหนี้บ้านเป็นหนี้ที่กินระยะเวลาผ่อนค่อนข้างนาน จึงทำให้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับภาระหนี้เฉลี่ยสูงถึง 1.54 แสนบาทต่อคน
ประเด็นที่ 3 : วัย First Jobber ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการเป็นหนี้มอเตอร์ไซค์และหนี้ส่วนบุคคล ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของลูกหนี้มีแนวโน้มลดลง หรือเรียกได้ว่าเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยกลุ่มคนที่เพิ่งเข้าสู่วัยทำงานหรือ First Jobber (อายุ 25-29 ปี) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4.6 ล้านคน แต่กว่า 57% ของคนกลุ่มนี้เริ่มเข้าสู่วงจรหนี้ โดยเฉพาะลูกหนี้ในช่วงอายุระหว่าง 20-22 ปี ที่มักเริ่มต้นจากการก่อหนี้มอเตอร์ไซค์และหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นอันดับต้น ๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนบัญชีมากถึง 41% และ 43% ของจำนวนประชากรในช่วงอายุดังกล่าว ยิ่งกว่านั้น บัญชีลูกหนี้ที่มีหนี้มอเตอร์ไซค์ในกลุ่มอายุนี้กว่า 20-30% ของทั้งหมดเป็นหนี้เสีย
ประเด็นที่ 4 : ลูกหนี้มักก่อหนี้ส่วนบุคคลไปตลอดชีวิต ในระยะหลังพบว่าพฤติกรรมของลูกหนี้หันไปก่อหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อพยุงการบริโภคมากขึ้น โดยหากพิจารณาสัดส่วนจำนวนบัญชีสินเชื่อต่อจำนวนบัญชีทั้งหมดของลูกหนี้ตั้งแต่อายุ 20-80 ปี พบว่า ลูกหนี้ตลอดทุกช่วงอายุมีสัดส่วนบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคลมากกว่า 40% ของบัญชีทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีหนี้ส่วนบุคคลทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในกลุ่มคนที่ยังไม่มีภาระสินเชื่อบ้านหรือรถยนต์สูงถึง 12.1 ล้านบัญชี ขณะที่จำนวนบัญชีและภาระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ผูกกับสินเชื่อบ้านและ/หรือรถยนต์ มีสัดส่วน 28.2% ของบัญชีสินเชื่อทั้งหมด (หรือ 6.6 ล้านบัญชี) เพิ่มขึ้นจาก 26.2% ของบัญชีสินเชื่อทั้งหมดในปี 2561 ซึ่งสวนทางกับสัดส่วนหนี้บ้านหรือหนี้รถที่มักจะเพิ่มขึ้นในช่วงของลูกหนี้ในวัยทำงานเป็นหลัก
![]()
ประเด็นที่ 5 : 1 ใน 3 ของประชากรหลังวัยเกษียณยังคงเป็นหนี้ ซึ่งมากกว่า 10% เป็นหนี้เสีย
จากข้อมูล NCB พบว่า ในปี 2567 กว่า 29% ของประชากรที่มีอายุระหว่าง 60-80 ปียังคงมีหนี้ในระบบ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่อยู่ที่ 20% ของประชากรในช่วงอายุดังกล่าว ขณะที่ปริมาณหนี้ก็ยังค่อนข้างสูงเฉลี่ย 1.02 แสนบาทต่อคน ซึ่งสูงเมื่อเทียบกับปริมาณหนี้ในระบบของประชากรในช่วงวัยทำงาน (อายุ 25-35 ปี) ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 9.7 หมื่นบาทต่อคน ยิ่งกว่านั้น สัดส่วนหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากบัญชีลูกหนี้ในช่วงอายุ 60-70 ปี ยังค่อนข้างสูงถึง 14% ของบัญชีหนี้ในระบบ ซึ่งกลุ่มนี้กำลังกลายเป็นปัญหาเรื้อรังจากความสามารถในการหารายได้ในช่วงบั้นปลายชีวิตค่อนข้างต่ำ สวนทางกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่นับวันจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
ttb analytics มองว่าประเด็นเรื่องหนี้ครัวเรือนไทยที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยทุกช่วงวัยกำลังประสบปัญหา “รายได้โตไม่ทันรายจ่าย” กระทบต่อความสามารถชำระหนี้ ก่อหนี้วนลูป จนกลายเป็นหนี้พอกเรื้อรัง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงวัย
1. วัยเริ่มทำงาน : เป็นช่วงที่คนเริ่มมีรายได้หลังเรียนจบ แต่รายได้ยังไม่สูงนัก แต่กลับต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตาม เรียกได้ว่ากลุ่มนี้ “ชนกำแพงรายได้” ซึ่งแม้ว่ากลุ่มวัยเริ่มทำงานจะเป็นกลุ่มที่ยังมีศักยภาพในการหารายได้ในอนาคต แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การชีวิตของกลุ่มนี้ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Z (อายุระหว่าง 20-30 ปี) จึงมักเห็นพฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี ทำให้รายได้ที่เพิ่มขึ้นน้อยอาจไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
2. กลุ่มวัยเกษียณ : จะเป็นช่วงวัยที่รายรับน้อย แต่รายจ่ายยังมีอยู่ จึงต้องหันมาพึ่งพาเงินออม รวมถึงสวัสดิการอื่น ๆ หลังเกษียณ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ “ชนกำแพงอายุ” เนื่องจากความสามารถในการหารายได้ลดลงมากเมื่อแก่ตัวลง แต่กลับยังต้องแบกภาระหนี้เรื้อรังที่สะสมมาตั้งแต่วัยทำงาน
3. กลุ่มวัยสร้างครอบครัว : โดยทั่วไปเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อและการชำระหนี้ได้ดีกว่า 2 กลุ่มแรก แต่ภาระหนี้ที่ต้องแบกรับสูงตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน รวมถึงยังมีภาระรุมเร้ารอบด้านทั้งเพื่อการใช้จ่ายส่วนตัว สร้างครอบครัว ชำระหนี้เดิมที่มีอยู่ ตลอดจนรับผิดชอบพ่อแม่ รวมถึงดูแลลูกไปพร้อมกัน จึงพบเห็นบางกลุ่มมีปัญหาสภาพคล่องที่น้อยลง ซึ่งมักจะเห็นกลุ่มนี้มีแนวโน้มก่อหนี้ในระดับสูงมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม “ชนกำแพงรายจ่าย” อย่างแท้จริง
![]()
ฉะนั้นแล้ว การจะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยอย่างจริงจัง จึงไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขในระดับครัวเรือนเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องลงลึกไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ยังคงเป็นประเด็นเรื้อรังมาจวบจนปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมา ภาครัฐและสถาบันการเงินพยายามเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนมาโดยตลอด โดยมีแนวทางการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรวบหนี้ (Debt Consolidation) การแก้ปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) หรือมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” แต่ท้ายสุดแล้ว การปลูกฝังทัศนคติและวินัยทางการเงินที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย และสร้างแรงจูงใจที่จะก่อหนี้ในระดับที่เหมาะสมกับความสามารถ จะช่วยลดภาระหนี้ของคนไทยได้อย่างยั่งยืน
ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่างๆ ก็กลายเป็นเรื่องปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า บางแอปที่โหลดมานั้น อาจแฝงตัวเป็นภัยอันตรายที่พร้อมขโมยข้อมูลส่วนตัวได้ทุกเมื่อ! ทรู ร่วมกับ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ชี้ 5 แอปอันตรายที่อาจจะอยู่ในโทรศัพท์จากการดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว พร้อมแนะวิธีป้องกันและตรวจสอบแอปเหล่านี้ ก่อนที่จะโดยมิจฉาชีพจะขโมยข้อมูลส่วนตัว
1.แอปปลอม เลียนแบบแอปธนาคาร : มิจฉาชีพจะสร้างแอปที่เหมือนกับแอปธนาคารจริงๆ เพื่อให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว เมื่อกรอกข้อมูลไป ก็จะถูกส่งให้มิจฉาชีพเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี เช่น โอนเงินจากบัญชีธนาคารของเหยื่อ.
2.แอปหลอกกู้เงิน : แอปพวกนี้มักจะเสนอการกู้เงินง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เอกสารหรือคำขอใดๆ แต่จริงๆ แล้วจะหลอกให้เหยื่อโอนเงินหรือขโมยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อไป
3.แอปแจกของฟรี : แอปที่อ้างว่าแจกเงินหรือของรางวัลฟรี แต่จริงๆ แล้ว จะหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้เหยื่อกดโฆษณาเพื่อหารายได้ให้กับมิจฉาชีพ
4.แอปดูดเงิน (Subscription Scam Apps) : แอปประเภทนี้มักจะให้บริการฟรีในตอนแรก เช่น แอปแต่งรูปหรือวอลเปเปอร์ แต่จริงๆ แล้วแอบสมัครบริการที่เสียเงินโดยอัตโนมัติ ทำให้เหยื่อถูกคิดค่าบริการเป็นรายเดือนโดยไม่รู้ตัว
5.แอปสอดแนม (Spyware & Stalkerware): แอปเหล่านี้จะถูกติดตั้งในโทรศัพท์มือถือเพื่อดักฟัง ดูพฤติกรรม หรือขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือแม้กระทั่งพิกัด GPS ของเหยื่อ
ทั้งนี้ ควรเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ โดยหมั่นตรวจสอบแอปแปลกปลอมในเครื่อง รวมทั้งดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่มาที่แหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น สำหรับลูกค้าทรูดีแทค ทรู
ออนไลน์ จะมี True CyberSafe ปกป้องภัยไซเบอร์ ให้ลูกค้าทุกคนอัตโนมัติ ไม่ต้องกดสมัคร ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากเผลอกดเข้าลิงก์ที่มีแนวโน้มอันตรายที่ส่งผ่านทาง SMS และ เว็บเบราว์เซอร์ ระบบ AI จะตรวจจับจากฐานข้อมูลที่มีการอัพเดตอย่างต่อเนื่อง และช่วยปกป้องลูกค้า 2 รูปแบบ
Ø แบบที่ 1 แจ้งเตือนทันที หากเผลอกดลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ที่อาจจะเป็นอันตราย ระบบจะนับเวลาถอยหลัง 60 วินาที เพื่อเป็นการป้องกันขั้นตอนสุดท้ายก่อนกดยืนยัน เพื่อต้องการเข้าสู่เว็บไซต์
Ø แบบที่ 2 บล็อกทันที หากลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์นั้นเป็นลิงก์อันตรายที่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐแล้ว
ดังนั้น ควรต้องหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บที่ระบบมีการบล็อกหรือแจ้งเตือนนั้น เพื่อลดโอกาสถูกโจรกรรมข้อมูล
รายละเอียดเพิ่มเติม “True CyberSafe” ได้ https://www.true.th/services/true-cyber-safe
แกร็บ ประเทศไทย จับมือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ มูลนิธิองค์กรทำดี เปิดตัวแคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” เพื่อส่งเสริมและยกระดับความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมป้องกันการคุกคามทางเพศ สอดรับกับนโยบาย “ปลอดภัยดี” ของ กทม. ที่มุ่งลดจุดเสี่ยงด้านอาชญากรรม อุบัติเหตุ และสาธารณภัย โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งเน้นการสร้างความมีส่วนร่วมกับกลุ่มไรเดอร์และคนขับ แกร็บผ่าน 3 ไฮไลท์หลัก คือ กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด เพื่อกระตุ้นจิตอาสาในการรายงานจุดเสี่ยงภัยทั่วกรุงเทพฯ ผ่านแอปพลิเคชัน Traffy Fondue การรณรงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันภัยคุกคามทางเพศผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ที่ได้ ดร. ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมให้ความรู้ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ IoT อาทิ กล้องบันทึกภาพ และปุ่มฉุกเฉิน (SOS) ภายในรถยนต์โดยสาร เพื่อสร้างความอุ่นใจในการเดินทางให้กับทั้งผู้ใช้บริการและคนขับ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มุ่งมั่นที่จะสร้างเมืองที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตามนโยบาย ‘ปลอดภัยดี’ โดยยกระดับการป้องกันปัญหาอาชญากรรมเพื่อสร้างความอุ่นใจรอบด้านให้กับประชาชนภายใต้แนวคิด 3 ส. อันได้แก่ สว่าง ผ่านการติดตั้งและซ่อมแซมไฟฟ้าแสงสว่างในที่สาธารณะ สะดวก ผ่านการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยเพื่อเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยหรือหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง และ สบายใจ ผ่านการติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อสอดส่องทุกความเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยง โดยในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา กทม. ได้ดำเนินการปรับปรุงจุดเสี่ยงอาชญากรรมไปแล้วกว่า 177 จุด ทั้งนี้ การผนึกความร่วมมือกับแกร็บโดยเปิดโอกาสให้คนขับและไรเดอร์มาช่วยปักหมุดจุดมืดในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนนโยบาย ‘กรุงเทพฯ ต้องสว่าง’ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการระบุจุดเสี่ยงและแก้ไขปัญหาแสงสว่างตามจุดต่างๆ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสปัญหาอาชญากรรม ซึ่งถือเป็นอีกแรงสำคัญที่จะช่วยสร้างเมืองที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นให้กับทุกคน”
![]()
นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและคนขับถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแกร็บ ดังนั้น เราจึงได้ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่เพียงเท่านั้น แกร็บยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมประเด็นด้านความปลอดภัยในสังคม อาทิ การขับขี่ปลอดภัย รวมถึงการป้องกันการคุกคามทางเพศด้วย ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยกันสอดส่องดูแล ยับยั้ง และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในปีนี้ เราจึงได้ริเริ่มแคมเปญ ‘เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab’ โดยร่วมมือกับ กทม. และ มูลนิธิองค์กรทำดี เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของคนขับแกร็บ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องเดินทางในท้องถนนและมีโอกาสพบเจอกับผู้คนเป็นจำนวนมากในทุกวัน โดยส่งเสริมให้พวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม โดยแคมเปญนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแกร็บในการยกระดับความปลอดภัยผ่านการใช้เทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกพลเมืองดีให้กับคนขับ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ปลอดภัย และน่าอยู่สำหรับทุกคน”
กิจกรรมหลักภายใต้แคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” ประกอบด้วย
· กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด สร้างกรุงเทพฯ เมืองปลอดภัย: โดยแกร็บร่วมมือกับ กรุงเทพมหานคร เชิญชวนคนขับแกร็บในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วยกันสอดส่องและรายงานพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บริเวณถนนหรือซอยที่ไฟฟ้าดับ สัญญาณไฟคนข้ามชำรุด หรือพื้นที่เปลี่ยวใกล้ชุมชน ด้วยการถ่ายภาพบริเวณที่เสี่ยงภัย และส่งต่อไปที่ Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุง และแก้ไขต่อไป โดยปัจจุบันคนขับแกร็บได้เริ่มรายงานจุดเสี่ยงภัยไปแล้วกว่า 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ
![]()
· การรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการป้องกันการคุกคามทางเพศ: โดยแกร็บได้จัดทำคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศและแนวทางในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามให้แก่คนขับแกร็บ โดยได้ ดร. บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมถ่ายทอดความรู้และปลุกจิตสำนึก พร้อมแนะนำให้คนขับสามารถแยกแยะพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการคุกคามทางเพศ และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
· การยกระดับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการและคนขับ: นอกจากการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาใช้ อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre ศูนย์ความปลอดภัยที่ให้ผู้โดยสารขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน ฟีเจอร์ Share My Ride ที่สามารถแชร์เส้นทางการเดินทางแบบเรียลไทม์ให้กับเพื่อนและครอบครัวได้ หรือฟีเจอร์ Audio Protect ที่มีการบันทึกเสียงระหว่างการเดินทางเพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีที่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์แล้ว ในปีนี้ แกร็บได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี IoT อาทิ ปุ่มฉุกเฉิน (SOS) และกล้อง Karta Dashcam ภายในห้องโดยสารเพื่อบันทึกภาพระหว่างการเดินทาง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้ทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการ โดยจะเน้นไปที่บริการ GrabCar for Ladies (บริการเรียกรถที่ให้บริการโดยคนขับผู้หญิง)
บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขาย 10,062 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายภายในประเทศเติบโต 10.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรส่วนของบริษัทได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,008 ล้านบาท เติบโต 21.4% YoY นับเป็นการทำอัตรากำไรระดับเลขสองหลักครั้งแรกที่ 10.0% ซึ่งสะท้อนความสำเร็จจากกลยุทธ์ “Segment Creator” และ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียมที่เติบโตตามคาด บอร์ดเสนอจ่ายปันผล 1.35 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 30 เมษายน 2568 ![]()
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ปี 2567 นับเป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญของนีโอ คอร์ปอเรท นอกจากการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ บริษัทยังสามารถสร้างยอดขายภายในประเทศเติบโต 10.5% YoY แซงหน้าอัตราการเติบโตของ GDP ไทย และสามารถทำกำไรส่วนของบริษัท 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% จากปีก่อนหน้า ด้วยผลกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์และสร้างอัตรากำไรสองหลักได้เป็นครั้งแรก นับเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมของเรา โดยในปี 2568 เรามุ่งมั่นที่จะต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยการรุกตลาดกลุ่มใหม่ ๆ ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์และทุกช่วงวัยมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์ “Segment Creator” พร้อมนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัยและทุกมิติ"
ผลประกอบการกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลเติบโตโดดเด่น พร้อมรุกตลาดใหม่ Silver Age และ Pet Parent
ในปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจหลักทั้งสามกลุ่มของ NEO ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ทั้ง 8 แบรนด์ ล้วนมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าพรีเมียมที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น บรรลุเป้าหมายสัดส่วนยอดขายที่ 5% โดยมีสินค้าที่สำคัญ อาทิ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ไฟน์ไลน์ สูตรเข้มข้นพิเศษ พรีเมี่ยมซอฟท์ และผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ บีไนซ์ เพอร์ฟูม ชาวเวอร์ เจล เป็นตัวชูโรงในปีที่ผ่านมา และเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในกลุ่มตลาดใหม่ๆ ที่บริษัทเป็นผู้บุกเบิก ได้แก่ กลุ่ม Silver Age นวัตกรรมการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ของผู้สูงวัย ภายใต้แบรนด์ ดีนี่ ดีลักซ์ รองรับการเติบโตสังคมสูงวัย และกลุ่ม Pet Parent ที่เป็นผลิตภัณฑ์แบบ Pet Friendly สำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงในที่อยู่อาศัย ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมแผนงานและสินค้าเพื่อเจาะกลุ่มตลาดเหล่านี้อย่างจริงจังในปี 2568
ช่องทางจัดจำหน่ายโตแกร่งทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เกาะเทรนด์ผู้บริโภค รุกตลาดด้วยนวัตกรรม
ในปีที่ผ่านมา ช่องทางจัดจำหน่ายของ NEO มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถขยายร้านค้าช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิมได้มากกว่า 30% จากเป้า 20% ปัจจุบันมีช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 28,000 ร้านค้า ขณะที่ช่องทางออนไลน์เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนหน้า พร้อมผลักดันกิจกรรมส่งเสริมการตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นมากขึ้นทั้งในช่องทางในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ไม่น้อยกว่า 100 SKUs โดยเน้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภค พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย
สร้างสรรค์อนาคตยั่งยืนด้วยหลักการ ESG
NEO มุ่งมั่นดำเนินงานตามแนวทาง ESG Corporate Goal เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่กำหนดไว้ โดยในปี 2567ที่ผ่านมา สามารถบรรลุผลลัพธ์สำคัญในหลายด้าน เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดถึง 22% พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึง 36% ใช้พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วถึง 30% ตลอดจนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงาน โดยมีการติดตาม ประเมิน และตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ในปี 2567 อัตราการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงถึงขั้นต้องหยุดงานอยู่ในระดับ 0%
“NEO ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายต่อปีแบบทบต้นเฉลี่ย 5 ปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2566-2571 ด้วยตัวเลขสองหลัก หรือ 10-15% โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการมุ่งขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และตลาด ที่มีศักยภาพ หรือ “Segment Creator” ควบคู่ไปกับการดำเนินกลยุทธ์ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย และสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับผู้บริโภค เราเชื่อว่าตลาด FMCG ในประเทศไทยปี 2568 ยังมีศักยภาพแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง เพราะเราไม่ได้เพียงแค่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่เรามั่นใจว่าด้วยการปรับตัวที่รวดเร็ว การตัดสินใจที่คล่องตัว และ Market Insight ที่แข็งแกร่ง NEO จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง” นายสุทธิเดช กล่าวสรุป
ในวันเดียวกันนี้ บริษัทแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นบริษัทในอัตรา 1.35 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XM ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 ตามด้วยเครื่องหมาย XD ในวันที่ 30 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568
เคทีซีร่วมกับมาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) เปิดตัวไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective เล่มที่ 6 ภายใต้แนวคิด 'Symphony of Flavors' บทเพลงแห่งความอร่อยที่จะทำให้ทุกมื้อพิเศษกลายเป็นประสบการณ์ที่สุดแสนประทับใจ โดยคัดสรรร้านอาหารระดับไฟน์ไดน์นิ่ง และแคชชวลไฟน์ไดน์นิ่ง (Fine Dining & Casual Fine Dining) กว่า 140 ร้านค้าในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด เพื่อขยายฐานสมาชิกที่มีกำลังซื้อสูงและกระตุ้นยอดใช้จ่ายในหมวดร้านอาหาร พรีเมียม หลังปี 2567 อัตราการการใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งและแคชชวลไฟน์ไดน์นิ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เคทีซีได้ร่วมกับมาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด ณ ร้านอาหารที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 – วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ดังนี้
1. รับส่วนลดทันทีสูงสุด 10% หรือ รับสิทธิพิเศษอื่นๆ สำหรับสมาชิกที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เคทีซี มาสเตอร์การ์ด (KTC MASTERCARD) ทุกประเภท
2. รับคะแนน KTC FOREVER สูงสุด 10 เท่า สำหรับสมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เคทีซี เอ็กซ์ เวิลด์ รีวอร์ดส มาสเตอร์การ์ด (KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD) และบัตรเครดิตเคทีซี เวิลด์ รีวอร์ดส มาสเตอร์การ์ด (KTC WORLD REWARDS MASTERCARD) ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective เล่มที่ 6 ได้รวบรวมร้านอาหารระดับไฟน์ไดน์นิ่ง และแคชชวลไฟน์ไดน์นิ่ง (Fine Dining & Casual Fine Dining) มากกว่า 140 ร้านค้าทั้งในกรุงเทพมหานคร เช่น ร้านชิม บาย สยามวิสดอม / โคด้า แบงค็อก / กา / ฮาโอมา / อินดี / ฤดู / เมซอง ดูนานด์ / มีอา / นว ไทย คูซีน / นุสรา / เรสเตอรองต์ โพทง / เรสเตอรองค์ เรโซแนนซ์ / อาหาร / เสน่ห์จันทร์ และในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เช่น ร้านอัลเลโกร จังหวัดเชียงใหม่ / ร้าน คาซ่า เดอ ลาเซียน่า อัล มาเร่ จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ / แคสเทลโล ดิ เบลลาจิโอ้ จังหวัดชลบุรี และ สินธุ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเนื้อหาในไกด์บุ๊คไม่เพียงแต่นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับร้านอาหารต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวคิดภายใต้การรังสรรค์เมนูของเชฟแต่ละท่านอีกด้วย ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective เล่มที่ 6 ฟรีได้ตามลิงค์นี้ https://www.ktc.co.th/pub/media/newsletter/Culinary-Collective-V6.pdf
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000
หรือเว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/promotion/dining/international/culinary-collective
สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ https://ktc.today/apply-card