December 20, 2025

พฤกษาจัดงาน “Agent Day” เฉลิมฉลองยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความร่วมมือกับเอเจนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ สร้างยอดขายเติบโตกว่า 114% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีแรกที่ขยายตลาดไปยังโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและโครงการระดับลักชัวรี ระดับราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท สร้างยอดขายรวมกว่า 2,300 ล้านบาท ตั้งเป้า เพิ่มจำนวนเอเจนต์ ขยายตลาดต่อเนื่อง

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับเอเจนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ที่จะช่วยให้พฤกษาประสบความสำเร็จในการขยายตลาดเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเปิดโอกาสให้เอเจนต์ทั้งไทยและต่างชาติมาร่วมเป็นพันธมิตรกับพฤกษา เนื่องจากพฤกษามีโครงการที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่างชาติได้ ขณะเดียวกัน เอเจนต์หรือบริษัทตัวแทนขายก็มีฐานลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทย จึงมีการร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยทิศทางต่อไปในอนาคต มุ่งขยายตลาดไปยังโครงการระดับลักชัวรีและแนวราบ ระดับราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท เพิ่มเติมจากโครงการแนวสูง และพร้อมเปิดโอกาสรับพันธมิตรบริษัทตัวแทนขายรายใหม่ ๆ ที่จะมาช่วยขยายเครือข่ายการขายให้กว้างขึ้นด้วย

“ในปีที่ผ่านมา พฤกษามียอดขายกลุ่มลูกค้าที่มาจากความร่วมมือกับเอเจนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวม 2,300 ล้านบาท (เติบโตกว่า 114% เมื่อเทียบกับปีก่อน) โดยที่ผ่านมา พฤกษาได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนขาย เข้ามาช่วยขายโครงการแนวสูง แต่ปัจจุบันเราต้องการขยายตลาดไปยังกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมุ่งเจาะกลุ่มตลาดระดับลักชัวรี เราจึงต้องการเปิดรับเอเจนต์ทั้งไทยและต่างประเทศเพิ่มเติม และเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ ในโอกาสนี้ จึงได้ประกาศขยายเวลาแคมเปญ Ultimate Incentive รับเพิ่มสูงสุดอีก 1.2% และแคมเปญพิเศษรับเพิ่มอีก 10,000 บาทต่อยูนิต รวมคอมมิชชั่นและ incentive สูงสุดกว่า 11% สำหรับทุกยูนิตที่เอเจนต์ขายและโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในปี 2567 นี้ โดยหวังว่าแคมเปญส่งเสริมการขายนี้จะเป็นการกระตุ้นแรงจูงใจ และสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในช่วงส่งท้ายปลายปี”

สำหรับการจัดงาน “Agent Day” ในครั้งนี้ ถือเป็นการฉลองความสำเร็จ และแสดงความขอบคุณเอเจนต์พันธมิตรทุกท่าน ที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุน และเติบโตไปพร้อมกับพฤกษา ภายในงาน "Agent Day" มีการคัดเลือกเอเจนต์ผู้มีผลการขายยอดเยี่ยม 30 บริษัทร่วมงาน และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทีมผู้บริหาร จัดขึ้นภายใต้ธีม "Glamorous Green" ที่ห้องอาหารเธียนดอง บ้านดุสิตธานี ซึ่งเป็นห้องอาหารเวียดนามระดับ Michelin Bib Gourmand ท่ามกลางบรรยากาศการพบปะกันอย่างเป็นกันเอง และร่วมมือกันผลักดันการเติบโตของธุรกิจต่อไป

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกาศผลงานการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยมของนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ภายใต้โครงการ "ASW x Arch KU ดีไซน์ชีวิตที่ใช่ ใส่ใจทุกการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน" เผยทีมนิสิตที่คว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดทั้งสองประเภท ได้แก่ การออกแบบคอนโดมิเนียมจากพื้นที่จริง ณ WisePark Minburi และรางวัลพิเศษสำหรับผลงานออกแบบเพื่อการจัดการขยะอย่างยั่งยืนภายในที่อยู่อาศัยตามคอนเซปต์ "แยก-เท-คว่ำ" ด้วยมูลค่ารางวัลรวม 60,000 บาท

โครงการ ASW x Arch KU เป็นความร่วมมือระหว่าง แอสเซทไวส์ และ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ที่มอบโอกาสการเรียนรู้จากการทำงานจริงเพื่อติดปีกศักยภาพนิสิตสถาปัตย์ให้พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดยุคใหม่ ตลอดเวลากว่า 4 เดือนของโครงการ นิสิตได้ฝึกฝนทักษะการออกแบบผ่านกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการบรรยายพิเศษ การเยี่ยมชมพื้นที่จริงที่โครงการ WisePark Minburi และการทำงานออกแบบภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ จนนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานประกวดที่โดดเด่นและตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ที่สอดคล้องกับแนวคิด WISECOLOGY และ GrowGreen ของแอสเซทไวส์

นายวุฒิ วิพันธ์พงษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารความยั่งยืนทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ตลอดระยะเวลา 4 เดือนของโครงการ ASW x Arch KU ทางแอสเซทไวส์ มีความภูมิใจที่ได้ร่วมบรรยายพิเศษเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาฯ รวมถึงพานิสิตเยี่ยมชมโครงการที่อยู่อาศัยที่ดีไซน์มาให้คนทุกเจนอย่าง ‘Atmoz Flow Minburi’ และเราปิดท้ายด้วยโจทย์ที่ท้าทายน้อง ๆ นิสิตกับพื้นที่จริงของโครงการในอนาคตให้นิสิตทีมต่าง ๆ ประกวดแบบอาคารตามแนวคิดการอยู่อาศัยที่เข้าใจทุกไลฟ์สไตล์ และการประกวดการออกแบบพื้นที่จัดการขยะในห้องพักอาศัยในแบบฉบับของแอสเซทไวส์ ภายใต้คอนเซปต์ ‘แยก-เท-คว่ำ’ เพื่อมุ่งสู่ Zero Waste to Landfill ทำให้นิสิตได้นำความรู้ไปปรับใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน เราดีใจที่ได้เห็นผลงานสุดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ แอสเซทไวส์ ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะทุกคน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้นิสิตก้าวสู่วงการออกแบบในอนาคตได้อย่างมั่นคง"

อาจารย์ ดร.รัฐภูมิ ปาการเสรี รองหัวหน้าภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เผยว่า "ขอขอบคุณแอสเซทไวส์ ที่ริเริ่มโครงการดี ๆ เพื่อนักออกแบบรุ่นใหม่ ถือเป็นเวทีการเรียนรู้และการประกวดที่ส่งเสริมให้นิสิตได้แสดงศักยภาพ ได้วิเคราะห์บริบทของพื้นที่จริงในด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพและวางผังโครงการได้อย่างเหมาะสม รวมถึงได้ขบคิดเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยี ทั้งด้านการก่อสร้าง ระบบอาคาร และการเลือกใช้วัสดุบนพื้นฐานความยั่งยืนและการยกระดับคุณภาพชีวิต นับเป็นโปรเจกต์ที่ช่วยฝึกฝนทักษะด้านการออกแบบของนิสิตได้เป็นอย่างดี"

ทีม Mobiz Orbit โดย น.ส.ฉัตรลดา นากดี และ น.ส.เจนจิรา สินอภิรมย์สราญ นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คว้าชัยชนะในการประกวดออกแบบอาคารที่พักอาศัย พร้อมรับรางวัล 25,000 บาท ด้วยแนวคิด "Orbit" หรือวงโคจร ผลงานโดดเด่นด้วยการออกแบบอาคารที่บิดตัวรับกับบริบทโดยรอบอย่างลงตัว ช่วยลดการโดนแสงแดดโดยตรงและทำให้ไม่มีอาคารสูงมาบดบังทัศนียภาพ พร้อมสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนกลางให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตร่วมกันของคนทุกเจเนอเรชัน ทั้งยังผสานความรู้ด้านโครงสร้าง การใช้ Façade และระบบอาคารทันสมัย ให้สอดคล้องกับแนวคิด WISECOLOGY ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ Environment Friendly, Smart Living และ Sustainable Life โดยทีมเผยว่า "การได้ร่วมโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก ๆ ในชีวิตของพวกเรา โจทย์นี้ถือว่าท้าทาย แต่เราตั้งใจสร้างสรรค์คอนโดที่ไม่ใช่แค่อาคารสูงทั่วไป แต่เป็นงานออกแบบที่มีเอกลักษณ์และมีฟังก์ชันตอบโจทย์ชีวิตที่ลงตัวของทุกคนในคอนโด ตามโจทย์ที่รับจากทางแอสเซทไวส์"

ด้านรางวัลชนะเลิศการประกวดการออกแบบการจัดการขยะในห้องพักอาศัย ได้แก่ ทีม Waste Management แยก-เท-คว่ำ โดย นายธนวิชญ์ หลงสม และ น.ส.บุญกรพินธุ์ อันตะระโลก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ พร้อมรับเงินรางวัล 5,000 บาท ด้วยผลงานการออกแบบที่มุ่งลดขยะตั้งแต่ต้นน้ำ "เราได้ออกแบบ 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือพื้นที่ 'แยก' ติดผนังไว้คัดแยกหลอด ช้อนส้อมพลาสติก ไม้ และกระดาษ พร้อมกล่องแยกขยะด้านล่างที่ถอดทำความสะอาดได้ ส่วนที่สองคือพื้นที่ 'เท-คว่ำ' ที่รวบขั้นตอนให้ใช้เวลาน้อยที่สุด มีช่องแยกเทเศษอาหารและของเหลว ที่เชื่อมต่อกับระบบที่ซิงค์ล้างจาน และออกแบบให้มีระนาบเอียงที่ช่วยให้ขยะไหลลงสู่ตะแกรงตากขยะด้านล่างได้อย่างสะดวก ช่วยให้การจัดการขยะร่วมกันในคอนโดเป็นเรื่องง่ายขึ้น"

แอสเซทไวส์ พร้อมเดินหน้าสานต่อโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ให้เข้าสู่วงการอสังหาได้อย่างมั่นคง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน ภายใต้แนวคิด "We Build Happiness" ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 20 พฤศจิกายน 2567 – Telehouse ประเทศไทย ผู้นำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก และ mu Space ผู้นำด้านนวัตกรรมวิศวกรรมดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร เสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการให้บริการในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมส่งมอบการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น รวมถึงยกระดับมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม

mu Space เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนการบินและอวกาศและเป็นที่รู้จักในด้านความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการให้บริการดาวเทียม ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจดาวเทียมและโทรคมนาคมทั่วประเทศไทย โดยให้บริการแบบครบวงจรที่มุ่งเน้นการให้บริการดาวเทียมประสิทธิภาพสูง และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ ทั้งยังมุ่งค้นหาทรัพยากรทางเลือกในอวกาศ mu Space มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลงบนโลกอีกด้วย

ด้าน Telehouse ประเทศไทย ผู้นำด้านให้บริการ Colocation Data Center และโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่โด่ดเด่นด้วยบริการที่เชื่อถือได้ มีระบบนิเวศการเชื่อมต่อที่หลากหลายและครอบคลุม ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีความหน่วงต่ำ และยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้การเข้าถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของไทยได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งมอบบริการให้กับผู้ใช้ปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับบริการดาวเทียมและโทรคมนาคมให้ดียิ่งขึ้น

ความร่วมมือในครั้งนี้ เกิดจากวิสัยทัศน์ร่วมกันในการใช้ความเชี่ยวชาญของทั้งสองบริษัท เพื่อให้บริการได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะผู้ใช้งานปลายทางของ mu Space ซึ่งความร่วมมือนี้กันในครั้งนี้ ยังมุ่งเน้นการยกระดับบริการดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit : LEO) เพื่อปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมความสเถียร ผ่านบริการเชื่อมต่อระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์ (DCI) ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมยังมีเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะช่วยลดความหน่วงและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงมอบบริการที่รวดเร็วเชื่อถือได้

ยิ่งไปกว่านั้น mu Space ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Lightstorm ซึ่งเป็นผู้นำด้านบริการเชื่อมต่อระบบคลาวด์สำหรับธุรกิจในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง ที่มุ่งเน้นการเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูลและการขยายเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาด และเปิดโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำเสนอเส้นการการส่งข้อมูลที่มีความหน่วงต่ำและมีเส้นทางสำรอง สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูล (DCI) ในประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจถึงความต่อเนื่องของบริการและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าสำหรับผู้ใช้งานปลายทาง

คุณ วรายุทธ เย็นบำรุง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี mu Space กล่าว "mu Space รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Telehouse และเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยยกระดับการบริการ และขยายการเข้าถึงตลาดได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยการผสมผสานเทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงของ mu Space เข้ากับผู้นำด้านการให้บริการ Colocation Data Center จาก Telehouse ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบโซลูชันดาวเทียมและศูนย์ข้อมูลที่เหนือกว่า ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต และเพิ่มประสิทธิภาพทั่วทั้งอุตสาหกรรมของเราต่อไป"

คุณ เคน มิยาชิตะ กรรมการผู้จัดการ Telehouse ประเทศไทย กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีกับความร่วมมือในครั้งนี้กับ mu Space ทำให้ Telehouse สามารถขยายขีดความสามารถและการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมดาวเทียม สร้างผลกระทบเชิงบวก อีกทั้งสามารถผสานบริการการเชื่อมต่อชั้นนำของเราเข้ากับเทคโนโลยีดาวเทียมของ mu Space เพื่อมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยืดหยุ่นต่อการปรับขยายตัวได้ง่ายดายขึ้น โดยเรามีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการยกระดับประสิทธิภาพเครือข่ายและมอบการเชื่อมต่อที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า เพื่อเป้าหมายในการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของโลกดิจิทัลในปัจจุบัน”

NT ขานรับนโยบายชาติ เร่งจัดทำระบบ Cell Broadcast Center (CBC) พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้พร้อมตอบโจทย์ลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศ

ภาครัฐโดยนโยบายของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและการพัฒนาเมืองน่าอยู่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ได้ให้ความสำคัญในการจัดตั้งและพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast Service: CBS) เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้รับทราบข้อมูลอย่างทันท่วงทีผ่านช่องทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งภาพรวมของ CBS ประกอบด้วยระบบ Cell Broadcast Center (CBC) ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (AWN TUC และ NT) ในการจัดทำพัฒนาระบบ CBC ให้ทำงานร่วมกับระบบ Cell Broadcast Entity (CBE) ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ทำหน้าที่ในการกำหนดเนื้อหาข้อความเตือนภัยและวิธีปฏิบัติในการบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ เพื่อส่งไปยังประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ

ในส่วนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดฯ กล่าวว่า กระทรวงฯ บูรณาการร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานของระบบ CBE ประกอบไปด้วย ระบบคลาวด์ และระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงระหว่าง CBE กับ CBC ของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่าง CBE กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแจ้งเตือน อาทิ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และกรมชลประทาน เป็นต้น ตามแผนภาพรวมคาดว่าระบบ CBS ดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT โดย ดร.ณัฏฐวิทย์ สุฤทธิกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า NT จึงได้เร่งดำเนินการระบบ CBC เพื่อเตรียมความพร้อมในการส่งข้อความเตือนภัยฉุกเฉินให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำ เกิดผลสัมฤทธิ์ในการลดความสูญเสียของประชาชนในภาพรวม และให้การจัดทำระบบ CBC อยู่ในกรอบเวลาตามแผนภาพรวม

โดยเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 NT ได้เข้าร่วมในการทดสอบระบบการแจ้งเตือนภัยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ กสทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น ณ ศาลากลาง จังหวัดภูเก็ต ในลักษณะเสมือนจริง แบ่งการทดสอบออกเป็น 2 รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบของ Government Domain โดยกระทรวงดีอี และ ปภ. และรูปแบบ Network Domain โดย กสทช. ซึ่งการทดสอบดังกล่าวได้ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย และด้วยศักยภาพของระบบที่สามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินและเตือนภัยแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงทีนี้เอง ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสู่ประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ NT มีความตั้งใจและมีความพร้อมที่จะนำบริการด้านดิจิทัลและสื่อสารโทรคมนาคมประเภทต่าง ๆ ที่มีอยู่มาสนับสนุนโครงการระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยกันดูแลประชาชนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้อย่างเป็นรูปธรรมที่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในภาพรวมอันเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต”

คาปาลิกโก้ (Kapalikko) แบรนด์สินค้าแฟชั่นสายมู จากบริษัทอะแมส มี (Amass Me) เปิดตัวมาสคอตแบรนด์ ชวนทำความรู้จัก Lucky Monster น้องมาชี่ (Marshy) ที่มาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส พร้อมจะเป็นเพื่อนและแจกความโชคดีให้กับทุกๆ คนในทุกๆ ราศี ด้วยสัญลักษณ์คาปาลิกโก้ (Kapalikko) มหายันต์นำโชค ภายใต้คอนเซปต์ A good day begins with Kapalikko กันได้แล้วที่อะแมส มี ทุกสาขา

นางสาวยุฤดี ธนะกิตติภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อะแมส มี จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันสินค้าแฟชั่นจากคาปาลิกโก้ (Kapalikko) เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกระแสแฟชั่นสายมูที่มีมาอย่างต่อเนื่องและเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังมีการประยุกต์ความเชื่อเข้ากับธุรกิจต่างๆ ให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้คนในสังคมอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้

“อะแมส มี คว้ายอดขายในส่วนของคาปาลิกโก้ (Kapalikko) โตขึ้นจากปีที่ผ่านมาพุ่งทะลุ 100% เนื่องจากสินค้าที่มีความหลากหลาย เช่น กระเป๋า หมวก พวงกุญแจหอมมงคล และ Griptok ติดโทรศัพท์สำหรับสายมู ซึ่งแต่ละชิ้นถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดยคำนึงถึงความสวยงาม ความหมาย และความโชคดีผ่านสัญลักษณ์ยันต์คาปาลิกโก้ (Kapalikko) ใส่แนวคิด ทัศนคติ ความเชื่อ อารมณ์ ความเป็นอิสระ เพื่อให้ลูกค้าผู้ใช้งานและผู้สวมใส่รู้สึกสนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์สไตล์ในแต่ละวัน จุดนี้จึงทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเป็นเหตุผลให้ยอดขายขยับขึ้นมา” ยุฤดี กล่าว

ยุฤดี กล่าวต่อว่า จากความนิยมและกระแสที่มีมากขึ้น คาปาลิกโก้ (Kapalikko) จึงเปิดตัวมาสคอตไว้ต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ โดยเฉพาะการสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า โดยให้ชื่อว่า มาชี่ (Marshy) ซึ่งเป็นตัวแทนของพลังงานบวกและโชคลาภ มาช่วยเสริมสร้างการจดจำและสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้ามากขึ้น ผ่านการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องการเสริมพลัง ความโชคดี และความเป็นสิริมงคล ถือเป็นการใช้กลยุทธ์การตลาดในการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภค โดยใช้มาสคอตเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของคาปาลิกโก้ (Kapalikko) คือคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน ที่ต้องการแสดงออกถึงตัวตนและสไตล์ผ่านแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์และผสมผสานความเชื่อในชีวิตประจำวัน ดั่งคอนเซปต์ของแบรนด์ที่ว่า A good day begins with Kapalikko

มาสคอตชื่อน้องมาชี่ (Marshy) ซึ่งมาจากคำว่า Mars คือดาวอังคาร ผสานกับคำว่า Lucky ที่แปลว่าโชคดี รวมกันเป็นชื่อมาชี่ มีลักษณะโดดเด่นทางกายภาพ คือผิวสีชมพูอ่อน คล้ายสีของทะเลทรายบนดาวอังคาร ดวงตาโตเป็นประกาย เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานบวกและความกระตือรือร้น และจะสวมเครื่องประดับเล็กๆ ของคาปาลิกโก้ (Kapalikko) ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานโชคดี เครื่องประดับนี้จะเปล่งแสงระยิบระยับ ทำให้เป็นเอกลักษณ์จดจำได้ไม่ยาก

ในส่วนของคาแรกเตอร์และบุคลิกภาพของน้องมาชี่มีความเชื่อมโยงกับความเป็นคาปาลิกโก้ (Kapalikko) คือ มีนิสัยเป็นมิตร อ่อนโยน จิตใจดี มีความซื่อสัตย์ และเข้ากับคนง่าย เต็มใจช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และมักจะแสดงกิริยาท่าทางออกมาแทนคำพูดเพื่อคอยสร้างกำลังใจให้กับทุกคน นอกจากนี้มาชี่ยังมีความอยากรู้อยากเห็นสูง และชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บนโลกมนุษย์ จะชื่นชอบวัฒนธรรม อาหาร และประเพณีต่างๆ ของมนุษย์ และมักจะแสดงความประหลาดใจและความตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ที่ได้พบเจอเสมอ

แม้จะดูไร้เดียงสา แต่มาชี่มีความฉลาดหลักแหลม และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจที่คอยให้กำลังใจ และนำพาความโชคดีมาสู่ทุกคน

“คาปาลิกโก้ (Kapalikko) มั่นใจว่ามาชี่จะสามารถสร้างความสนใจและให้ความรักกับผู้คนที่มาพบได้อย่างแน่นอน ผ่านเอกลักษณ์ความเป็น Lucky Monster ที่มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะจากเรื่องการทำนายทายทักจักรราศีดวงดาวที่มีผลต่อชีวิตประจำวัน ส่งเสริมในแง่ของการกระทำที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างกำลังใจ พร้อมมอบความโชคดีให้กับผู้คน นอกจากนี้ในเรื่องของการทำกิจกรรมและการสื่อสารทางการตลาดร่วมกันของแบรนด์ ผ่านทางน้องมาชี่ Lucky Monster จากแบรนด์คาปาลิกโก้ (Kapalikko) ได้แก่ กิจกรรมการถ่ายรูปร่วมกันกับลูกค้า มีการแจกของขวัญ หรือการพูดคุย ตั้งคำถามตอบคำถามต่างๆ แก่ลูกค้า เพื่อสร้างความใกล้ชิดและความผูกพันให้กับลูกค้าที่พบเห็น อีกทั้งยังมีการออกแบบท่าเต้นและเพลงประจำตัวให้กับน้องมาชี่ พร้อมสร้างการจดจำ ผ่านโซเชียลในแพลตฟอร์มสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ วีดีโอ หรือการ์ตูน”

น้องมาชี่ Lucky Monster กำลังรอพบทุกท่านอยู่ที่ป๊อปอัพสโตร์ใหม่! สยาม ดิสคัฟเวอรี่ ชั้น G ถึง 30 พ.ย. นี้ โดยล่าสุดคาปาลิกโก้ (Kapalikko) เปิดตัวมาสคอตมาชี่อย่างเป็นทางการ ผ่านกิจกรรม Amass Me Street: Lucky Meet-Up มาชี่ x มายยู เปิดป๊อปอัพใหม่ที่สยาม ดิสคัฟเวอรี่ ชั้น G เป็นครั้งแรก โดยมาชี่ได้เดินทางมาจากดวงดาวพร้อมสร้างรอยยิ้ม ส่งมอบความโชคดีให้แก่ลูกค้ามากมายหน้าร้าน และยังมอบของรางวัล แจกโปรโมชั่นพิเศษ รวมทั้งยังประชันเวทีกิจกรรมสัมภาษณ์ Lucky Talk พร้อมกับคู่ขวัญศิลปิน น้องมายยู “กวิสรา สิงห์ปลอด” และยังร่วมถ่ายภาพกับแขกภายในงาน ซึ่งเรียกความสนใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงานอย่างมาก

“จากกระแสการตอบรับแบรนด์คาปาลิกโก้ (Kapalikko) ทำให้มีแนวทางในการขยายตลาดเพิ่มขึ้นในต่างประเทศ พร้อมยังมีแผนที่จะเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพื่อขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ ตอบสนองไลฟ์สไตล์หลากหลายสำหรับลูกค้ามากขึ้น โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ตั้งแต่การเลือกใช้ผ้าที่มีคุณภาพสูง การตัดเย็บที่ประณีต รวมถึงเทคนิคที่ทันสมัย ไปจนถึงดีไซน์ที่โดดเด่น ซึ่งเรายังคงตั้งใจที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนผ่านสไตล์ ความเชื่อ และพลังแห่งมหายันต์คาปาลิกโก้ (Kapalikko) ให้เป็นแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์ต่อไป” ยุฤดี กล่าวสรุป

 

 
 
 

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงาน InsurTech Summit 2024 ภายใต้หัวข้อ “พลิกโฉมประกันภัยสู่เครือข่ายสากล : Shaping Insurance, Building Community” จัดโดยศูนย์ CIT สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์ประชุม C ASEAN อาคารซีดับเบิ้ลยู ชั้น 10 กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย และเป็นเวทีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่อนาคต ด้วยการผสานองค์ความรู้และนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับศักยภาพบุคลากรทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่ม Tech Startup ผ่านกิจกรรมสัมมนาวิชาการเชิงลึก กิจกรรมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และการแสดงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัย ผ่าน Demo Showcase จาก บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 10 บริษัท ที่ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในงานประกันภัย ในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่เจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างบริษัทประกันภัยและบริษัทเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมมือและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันความร่วมมือและโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในระดับสากล นอกจากนี้ภายในงานยังมี Exhibition จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 30 บริษัท ที่มาร่วมจัดแสดงนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็นการใช้งานจริงของเทคโนโลยีในบริบทของอุตสาหกรรมประกันภัยอย่างใกล้ชิด

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ Regulation for the Insurance Ecosystem โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจประกันภัย ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจประกันภัยไม่ได้มีเพียงบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัยอีกต่อไป แต่มีผู้เล่นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้นมากมาย เช่น บริษัทเทคโนโลยี Insurtech Startups ที่กลายเป็นผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจประกันภัย นอกจากนี้ ยังได้เห็นความร่วมมือ หรือ Collaboration ของบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัยกับธุรกิจใหม่ ๆ เช่น โรงพยาบาล การขนส่ง เพื่อพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความหลากหลาย ตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น จึงคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตธุรกิจประกันภัยจะขยายวงกว้างมากขึ้น และเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและการดำรงชีวิตของผู้คนและผู้ประกอบการต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกประเด็นที่ต้องกล่าวถึง คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่และมีการพูดถึง เรื่องเทคโนโลยีมาหลายปีแล้ว แต่มุมมอง ผลกระทบ และทิศทางของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปทุกปี เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัยได้เกือบทุกกระบวนการของ Supply Chain เริ่มตั้งแต่การเข้าถึงลูกค้าที่มีช่องทางการเสนอขายหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรงและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปัจจุบันมีเครื่องมือในการประมวลผลให้สามารถประเมินความเสี่ยงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และกำหนดอัตราเบี้ยที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงหรือรายบุคคลได้มากขึ้น รวมถึงในอนาคตอาจได้เห็น Dynamic Pricing การปรับเบี้ยประกันภัยตามสภาพความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ด้วยหรือในส่วนของการดูแลลูกค้าและการให้บริการหลังการขายที่สามารถนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยให้บริการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น ระบบ OCR (Optical Character Recognition) หรือ RPA (Robotic Process Automation) มาช่วยดำเนินการด้านเอกสารให้รวดเร็วขึ้น การพัฒนา Chatbot เพื่อเป็นอีกช่องทาง ในการติดต่อและให้บริการลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการฝังGen AI เพื่อให้ Chatbot ประมวลผลได้ซับซ้อนและดียิ่งขึ้น

อีกส่วนที่เห็นได้ชัด คือ การจัดการค่าสินไหมทดแทนที่เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยทั้ง Front Office และ Back Office เช่น การสำรวจข้อมูลความเสียหายด้วยโดรนและการวิเคราะห์ความเสียหายและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยการใช้ VDO หรือ รูปภาพ ซึ่งจะถูกนำไปประมวลผลต่อเพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในธุรกิจประกันภัยที่กว้างขวางและหลากหลาย โดยบริษัทประกันภัยเกือบทุกแห่งได้ให้บริการลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วทั้งสิ้น หรือการซื้อประกันภัยออนไลน์กลายเป็นช่องทางสำคัญของธุรกิจไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจประกันภัยไทย พบว่า ในภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยไทยมีความพร้อมทางดิจิทัลสูงถึงร้อยละ 78.5 และในอนาคตอันใกล้บริษัทประกันภัยไทยมากกว่าร้อยละ 90 จะมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างแพร่หลายและเห็นเป็นรูปธรรม “การจัดงานเสวนาในครั้งนี้จึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมงานได้รับประโยชน์ ข้อคิด และมุมมองที่น่าสนใจ สามารถนำไปประยุกต์หรือต่อยอดการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของสำนักงาน คปภ. ในการสร้าง Insurance Community ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านประกันภัย รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านประกันภัยของภูมิภาคอาเซียน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด (CMG) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้นำเข้าและจำหน่ายนาฬิกา G-SHOCK ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ส่งแคมเปญ “TOUGH LIKE YOU” เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบกีฬา พร้อมจับมือพันธมิตรใหม่ ONE Championship ดึง “ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน” นักมวยชื่อดังระดับโลกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ตอกย้ำภาพลักษณ์ แบรนด์นาฬิกาสุดแกร่ง
นางสาวจิตรฤดี พนิตพล รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มสินค้าแฟชั่นและนาฬิกา บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด เผยว่า ตลาดนาฬิกาในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม G-SHOCK ยังคงเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและ เป็นที่รู้จักในตลาดไทย เพราะจุดเด่นด้านความทนทานต่อแรงกระแทกและการใช้งานหนัก การออกแบบหลากหลาย มีหลายรุ่นหลากราคาให้เลือกตั้งแต่ราคาย่อมเยาจนถึงรุ่นพรีเมียม ทำให้สามารถตอบสนอง ความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มองหานาฬิกาแฟชั่นที่มีฟังก์ชันการใช้งานครบถ้วน ทำให้ G-SHOCK ยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในตลาดนาฬิกาเมืองไทย


สำหรับแผนการตลาด G-SHOCK ในช่วงปลายปีถึงปี 2568 จะเน้นใช้ Brand Ambassador ที่มี DNA สอดคล้องกับแบรนด์มาช่วยตอกย้ำจุดเด่นและถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้น การทำการตลาดผ่าน FAMS (FASHION, ART, MUSIC, SPORT) เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมกับแบรนด์อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจในกิจกรรมกีฬาและ ความทนทานของนาฬิกา รวมถึงการพัฒนานาฬิกาใหม่ที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ด้วยชื่อเสียงของ G-SHOCK ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งที่ไร้ขีดจำกัดและผู้คนทั่วโลกยอมรับมายาวนานกว่า 43 ปี ประกอบกับประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของ G-SHOCK ในภูมิภาคเอเชีย จึงทำให้ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าเจาะกลุ่มตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นางสาวจิตรฤดี ระบุว่า “กลุ่มคนรักกีฬาเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้นจึงมองเห็นโอกาสในการเติบโตในกลุ่มนี้ เนื่องจากพวกเขามีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ รวมถึงความทนทานและดีไซน์ที่มีสไตล์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ G-SHOCK จึงเปิดตัว “ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน” ยอดมวยชาวไทยแชมป์โลก คิกบ็อกซิ่ง เฟเธอร์เวต เฉพาะกาล ในฐานะ Brand Ambassador นาฬิกา G-STEEL GM-2110D Metal Series เป็นตัวแทนของคุณค่าหลักของแบรนด์อย่างชัดเจน นั่นคือ ความแข็งแกร่ง ความอดทน และสไตล์ที่โดดเด่น ซึ่งตรงกับจุดเด่นของนาฬิกา G-SHOCK ที่มีความทนทานและพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ผ่านแคมเปญใหม่ “TOUGH LIKE YOU” ที่ได้แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ “ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน” นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จและมีวินัยเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว สร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
สำหรับนาฬิกาไอคอนิกรุ่น G-STEEL GM-2110D Metal Series (10,900 บาท) เป็นรุ่นที่ลงตัวระหว่างไลฟ์สไตล์แฟชั่นและความแกร่งตามแบบฉบับของ G-SHOCK ตัวเรือนเป็นโลหะที่มีดีไซน์หรูหราและแข็งแรง ทนทาน เหมาะกับทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและการสวมใส่ในโอกาสพิเศษ ทำให้ตอบโจทย์ทั้งในแง่การใช้งานและความโดดเด่นในสไตล์”


นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรสนับสนุนการแข่งขันของ ONE Championship เวทีมวยระดับโลกที่มีฐานแฟนคลับที่เข้มแข็ง มุ่งสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่ชื่นชอบกีฬา ซึ่งสอดคล้องกับ คาแรกเตอร์ของ G-SHOCK มีความเป็นสปอร์ตและทนทาน โดยในไตรมาสสุดท้ายนี้คาดว่าจะเห็นผลจากแคมเปญและการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปีหน้า บริษัทวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดผ่านแคมเปญต่างๆ ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อสร้างประสบการณ์กับแบรนด์ G-SHOCK ให้ชัดเจนและเป็นที่จดจำ
พบกับ นาฬิกา G-SHOCK รุ่นไอคอนิก G-STEEL GM-2110D Metal Series ได้ที่แผนกนาฬิกาห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยแบรนด์ CP และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จับมือกับพันธมิตร You&I Premium Suki Buffet ร้านสุกี้พรีเมียม สู่ตลาดอาหารพร้อมทาน เปิดตัว “เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I” สร้างประสบการณ์ความอร่อยระดับพรีเมียม สะดวกและรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบอาหารที่ใช้เวลาเตรียมน้อย แต่ยังคงคุณภาพและรสชาติเหมือนรับประทานที่ร้าน โดยมี นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ นายเมธี เจริญสุวรรณ รองผู้อำนวยการขาย และนางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ พร้อมด้วย นายทัพพ์เทพ จีระอดิศวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพี ออลล์ นางสาวยุพิน ชัยวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวปาณญา ศรีโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ยู แอนด์ ไอ กรุ๊ป จำกัด ร่วมงาน

จุดเริ่มต้นของ “เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I” เป็นความร่วมมือเพื่อให้คนไทยได้อิ่มอร่อยระดับพรีเมียมต้นฉบับของร้าน You&I จึงรังสรรค์เมนู Limited Edition สุดพิเศษ ด้วยการนำวัตถุดิบคุณภาพ 'เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ ตราซีพี' มาผสานความอร่อยกับซุปน้ำดำสูตรเฉพาะสไตล์ You&I ที่ลือชื่อ กลมกล่อมด้วยกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิล และยังผนวกกับช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมอย่างร้าน 7-Eleven ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงง่ายและสะดวกมากขึ้น

นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของเครือซีพี-ซีพีเอฟ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบคุณภาพ ควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เสริมด้วยศักยภาพของ 7-Eleven ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มวัย ช่วยสนับสนุน You&I เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้น ในรูปแบบของเมนูอาหารพร้อมทาน

“You&I เป็นร้านสุกี้ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมน้ำซุปเลื่องชื่อให้เลือกหลายแบบ เสิร์ฟพร้อมวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ซึ่งความร่วมมือกับซีพีเอฟ เป็นการผนวกความพรีเมียมระหว่างของ น้ำซุปของ You&I จับคู่กับ เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมแบรนด์ซีพี ที่การันตีด้วยรางวัล Superior Taste Award 2024 นำเสนอประสบการณ์ความอร่อยที่คุ้มค่าให้ชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว” นางศุภรา กล่าว

สำหรับ ความร่วมมือฯ ครั้งนี้ ดำเนินภายใต้แนวคิด 'ลูกค้าสำเร็จ CP สำเร็จ' ของเครือซีพี ผนึกกำลังเพื่อส่งมอบเมนูอาหารคุณภาพแก่ผู้บริโภคได้อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย สามารถลิ้มลองความอร่อยของ 'เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I' ในราคา 69 บาท ได้แล้ววันนี้ ที่ 7-Eleven ทั้ง 6,000 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ./

โรงพยาบาลรามคำแหง ชวนคนไทยและนักวิ่งทุกระดับร่วมภารกิจท้าทายขีดจำกัด พิชิตเป้าหมายของตัวเองในกิจกรรมวิ่งการกุศล “RAM HERO RUN 2024” วิ่งปลอดภัย เพื่อทุกหัวใจแข็งแรง กับโค้งสุดท้ายของการรับสมัคร โดยงานจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 03.00 – 12.00 น. ณ ลานหน้าอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ในระยะทาง 3 กม. 5 กม. 10 กม. และ 21 กม. สำหรับเหรียญที่ระลึกและเสื้อวิ่งในปีนี้ ออกแบบในสไตล์มินิมอล น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ โดยเสื้อใช้โทนสีฟ้า ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย สบายตา และยังสามารถหยิบมาใส่ได้ในทุกโอกาส สมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 พฤศจิกายน 2567 โดยรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

การแข่งขันแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
Half Marathon ระยะ 21 กิโลเมตร ราคา 950 บาท ได้รับเสื้อที่ระลึก, เหรียญ, หมายเลขวิ่ง, เสื้อฟินิชเชอร์ (กรณีเข้าเส้นชัยทันเวลาที่กำหนด)
Mini Marathon ระยะ 10 กิโลเมตร ราคา 750 บาท ได้รับเสื้อที่ระลึก, เหรียญ, หมายเลขวิ่ง
Fun Run ระยะ 5 กิโลเมตร ราคา 650 บาท ได้รับเสื้อที่ระลึก, เหรียญ, หมายเลขวิ่ง
Walk Run ระยะ 3 กิโลเมตร ราคา 550 บาท ได้รับเสื้อที่ระลึก, เหรียญ, หมายเลขวิ่ง

สำหรับนักวิ่งที่เข้าสู่เส้นชัย 50 คนแรก ในระยะ 10 กิโลเมตร และ 21 กิโลเมตร รับของที่ระลึกสุดพิเศษ “ตุ๊กตาน้องอบอุ่น” กลับบ้านทันที
เตรียมพบกับความสนุกและความบันเทิง ใน Expo Day วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 ณ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ นอกจากจะได้รับหมายเลข BIB และอุปกรณ์แล้ว ยังมีกิจกรรมมากมายให้ทุกคนได้มาร่วมสนุก พร้อมทั้งได้รับความรู้มากมาย ไม่ว่าเป็นเสวนาสุขภาพจากแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ, แพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ และไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด กับมินิคอนเสิร์ตสุดฟินจาก ไอซ์ พาริส และพิธีกรมากความสามารถ คุณบูม-สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง
มาร่วมออกสตาร์ทพร้อมกันในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 03.00 น. เป็นต้นไป
ณ ลานหน้าอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก โดยตลอดการวิ่ง โรงพยาบาลรามคำแหงพร้อมดูแลทุกหัวใจของนักวิ่ง ด้วยทีมแพทย์และฮีโร่ผู้ผ่านการอบรม basic CPR and AED ในทุกระยะทาง พร้อมเสริมทัพความแข็งแกร่งกับศูนย์หัวใจและแผนกหัวใจเต้นผิดจังหวะโรงพยาบาลรามคำแหง จัดทีมคอยสแตนด์บายพร้อมรถพยาบาลฉุกเฉินตลอดเส้นทาง


ภายในงานมีทั้งโซนอาหาร เครื่องดื่ม ฟู้ดทรัค ของแจกจากผู้สนับสนุน ลานกิจกรรมสำหรับครอบครัว อีกทั้งยังร่วมถ่ายภาพในบูธถ่ายรูป 360 องศา และเพลิดเพลินไปกับดนตรีสดตลอดทั้งงาน
และพิเศษ! สำหรับผู้สมัครวิ่งทุกคน รับสิทธิ์ส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท และ รับทันที Voucher ตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลรามคำแหง
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรมได้ 3 ช่องทาง ได้แก่

Thairun: https://race.thai.run/ramherorun2024,

Runlah: https://www.runlah.com/events/ramherorun2024 และ ramhealthmart:

https://bit.ly/3zBxZtC

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/RamHeroRun

หรือเว็บไซต์: www.ramherorun.com

 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้าผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยโดยอาศัย "พลังทางอ้อม" ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ ส่งเสริมศักยภาพ และเชื่อมโยงอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดสากล ผ่าน “โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นไทยสู่สากล” ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างอินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างภาพลักษณ์ และโชว์สินค้าแฟชั่นของไทยให้เป็นที่รู้จักสู่ตลาดโลก

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยสามารถโน้มน้าวจูงใจให้ประเทศคู่ค้า ผู้สนใจลงทุน ผู้สนใจซื้อสินค้าและบริการ นักท่องเที่ยว หรือผู้หาที่จัดงาน MICE ตัดสินใจเลือกประเทศไทย หรือ สินค้าและบริการของไทยผ่านการส่งสารโดยอาศัย "พลังทางอ้อม" หรือ Soft Power ที่ไม่ใช่การพูดหรือโฆษณาโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน น่าใช้ชีวิต คนไทยเป็นคนน่ารัก มีศิลปะและวัฒนธรรม มีความละเอียดอ่อน มีความใส่ใจในสินค้าคุณภาพในทุก ๆ ช่องทางการสื่อสาร อย่างไรก็ดี นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ช่วงแรกจะเน้นการพัฒนาการสื่อสารพลังทางอ้อมนี้ ผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ 1) ละคร/ภาพยนตร์ 2) แฟชั่น 3) อาหาร 4) งาน festival และ 5) กีฬามวยไทย ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายในการ “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” ผนวกกับนโยบายการเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือซอฟต์พาวเวอร์ จึงได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งด้านอุตสาหกรรมแฟชั่น และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักสำคัญที่ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ในด้านการสร้างรายได้และการจ้างงาน

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ตามแนวคิด “Fun & Freedom แฟชั่นไทย ใส่ยังไงก็สนุก” ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติพูดถึงประเทศไทย จึงได้มีแนวคิดในการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มบนฐานของทุนทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว รวมถึงเทคนิคและเครื่องมือการโน้มน้าวและสื่อสาร (Convince & Communication) สร้างกระแสให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักผ่านการสื่อสารพลังทางอ้อมของประเทศไทย อาทิ การสร้างคอนเทนต์ (Viral Content) การเล่าเรื่อง (Storytelling) การสร้างแบรนด์ (Branding) การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media) การใช้บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิด (Influencer) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงและบูรณาการ Soft Power ข้ามอุตสาหกรรม (Fashion Cross Industries Collaboration) ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างกระแส Soft Power ด้านแฟชั่น เช่น การ Collab กับละคร ซีรีส์ โดยพระเอก นางเอก แต่งกายด้วยชุดและเครื่องประดับแฟชั่นไทย ผ่าน "โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นไทยสู่สากล" โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจกรรม 1) การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้เข้าใจในโจทย์ของซอฟต์พาวเวอร์ที่ประเทศไทยต้องการสื่อสาร เช่น การมีความคิดความคิดริเริ่ม ความเป็นสากล ความทันสมัย ความมีวัฒนธรรม และความละเอียดอ่อน เป็นต้น 2) การส่งเสริมให้เกิดการจับมือด้านธุรกิจระหว่าง Influencer และการใช้ Social Media เพื่อวางระบบการสื่อสารทางอ้อม เร่งขยายการสื่อสารออกไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 3) การจัดงานแสดงศักยภาพและสื่อสารภาพลักษณ์ของการออกแบบและสินค้าแฟชั่นที่สะท้อนภาพลักษณ์ในการดำเนินการตามนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย

ภายในการจัดงานในวันนี้ มีกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ 1) ปาฐกถา หัวข้อ “Soft Power กับการพัฒนาประเทศไทย” โดย นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ 2) เสวนาหัวข้อ “เปิดมุมมองวิสัยทัศน์ ด้านอุตสาหกรรมแฟชั่น” โดยนางอัจฉรา อัมพุช ประธาน อนุกรรมการฯ ด้านแฟชั่น 3) เสวนาหัวข้อ “แนวโน้มและทิศทาง Soft Power ในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย” โดย ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ นายสักกฉัฐ ศิวะบวร นักยุทธศาสตร์เชิงสร้างสรรค์ และตัวแทนผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์แฟชั่นอีก 2 ท่าน เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และเชื่อมโยงอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยสู่ตลาดโลกต่อไป นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

X

Right Click

No right click