

นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขายและกลยุทธ์ประจำประเทศไทย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงทิศทางตลาดรถบรรทุก ยูโร 5 ว่า หลังภาครัฐกำหนดให้รถบรรทุกใหม่ต้องเป็นมาตรฐาน ยูโร 5 ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างมาก ผู้ประกอบการต้องการรถใหม่เพื่อใช้งานและทดแทนรถยูโร 3 เดิม ล้วนพุ่งเป้ามาที่รถยูโร 5 ทำให้รถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากทุกกลุ่มลูกค้าและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ทั้งในด้านยอดขายและคำชื่นชม รวมถึงด้านประสิทธิภาพเครื่องยนต์ การประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัยและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยหลังจากการเปิดตัว สแกนเนีย ได้เปิดกลยุทธ์ต่อเนื่องด้วยการจัดกิจกรรมท้าพิสูจน์ประสิทธิภาพและความสามารถของรถสแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ไปยังทั่วภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้สัมผัสกับรถในสภาพการใช้งานจริง บรรทุกด้วยน้ำหนักในการขนส่งจริง วิ่งในสภาพเส้นทางและถนนจริง ซึ่งผลสะท้อนที่ได้รับจากการทดสอบทำให้ผู้ประกอบการให้การยอมรับในสมรรถนะของ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ที่ไม่ใช่เพียงข้อมูลหรือสถิติที่เขียนอยู่ในกระดาษ ทำให้วันนี้เกิดกระแสปากต่อปากในหมู่ผู้ประกอบการขนส่งที่จะต้องมีรถ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 อยู่ในฝูงรถเพื่อใช้งานและสร้างโอกาสในการได้รับสัญญาการจ้างงานจากลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันหลายบริษัทหรือผู้จ้างงานมีนโยบายในการพิจารณาผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
![]()
กระแสของการถูกพูดถึงในด้านคุณสมบัติของ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ยังสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องของยอดจำหน่ายที่ทำได้ทะลุเป้า เบื้องต้นที่ตั้งไว้ 70 คัน แต่วันนี้ยอดจำหน่ายพุ่งไปแล้วถึง 120 คัน และยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จุดที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ตัวเลขยอดขายเท่านั้น แต่หากมองลึกไปถึงกลุ่มผู้ที่จองซื้อแล้วจะพบว่า 50% เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่สนใจรถสแกนเนียมาตั้งแต่ ยูโร 3 แต่มาตัดสินใจซื้อที่ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 เนื่องจากเห็นว่าเป็นรถเครื่องยนต์สันดาปที่ดีที่สุดที่ สแกนเนีย พัฒนาขึ้น ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ส่วนแบ่งในตลาดของ สแกนเนีย เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดรวมของรถบรรทุกหดตัวประมาณ 30%
ส่วนแผนงานด้านการตลาดหลังจากนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ การยกระดับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันสำหรับรถบรรทุก ยูโร 5 โดยเฉลี่ยประหยัดขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างน้อย 8% ซึ่งตัวเลขจริงเท่าที่ทดสอบในเส้นทางต่างๆ ด้วยการบรรทุกเต็มพิกัดขาไป และลากหางเปล่าไม่มีสินค้าขากลับ อยู่ที่ 4.3 – 4.8 กิโลเมตร / ลิตร (บรรทุกสินค้าจริงร่วมกับลูกค้าหลายบริษัท) ซึ่งประหยัดกว่าแม้รวมต้นทุนน้ำยาบำบัดไอเสียแล้ว และทำให้ผู้ประกอบการใช้เป็นข้อพิจารณาในการเลือกซื้อรถบรรทุก ยูโร 5 ที่มีประสิทธิภาพสูง คุ้มค่าต่อการลงทุน พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ท้าพิสูจน์ร่วมกับผู้ประกอบการในทุกกลุ่มทั้ง
![]()
ขนาดใหญ่และเล็กในการทดสอบประสิทธิภาพและความสามารถของ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 อย่างต่อเนื่อง โดยผู้สนใจร่วมทดสอบสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายขายรถบรรทุกสแกนเนียทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมี สแกนเนีย ไฟแนนซ์ ภายใต้บริษัท สแกนเนีย สยาม ลีสซิ่ง จำกัด ที่ให้บริการด้านสินเชื่อและช่วยให้ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของรถสแกนเนียได้ง่ายขึ้น โดยลูกค้าที่ซื้อรถสแกนเนีย ผ่าน สแกนเนีย ไฟแนนซ์ มีข้อเสนอพิเศษ ดาวน์เริ่มต้นที่ 0% ผ่อนนานสูงสุด 72 งวด รวมถึงเงื่อนไขการผ่อนชำระสินเชื่อที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบรายได้ของธุรกิจของลูกค้าแต่ละท่านอีกด้วย
ด้านนายพัชรพงศ์ เจริญดี บริษัท เฮง ร่ำรวย ดี จำกัด ผู้ประกอบการขนส่งซึ่งตัดสินใจซื้อรถ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 เป็นรายแรกเผยว่า ทางบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการขนส่งขนาดเล็ก ดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ทั้งระยะใกล้และไกล โดยมีรถใช้ในการดำเนินธุรกิจอยู่ 3 คัน โดย สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 เป็นรถคันที่ 4 โดยการตัดสินใจเลือกรถ สแกนเนีย นั้น มาจากชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นหนึ่งในรถบรรทุกที่มีประสิทธิภาพสูง หลังจากได้ข่าวการมาถึงของ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 จึงขอติดต่อมาเพื่อทดลองขับ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังและได้สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก หลังจากทดลองขับแล้วทำให้ตัดสินใจจองซื้อในวันนั้นเลย เพราะเชื่อว่า สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 เป็นรถบรรทุก ยูโร 5 ที่ดีที่สุดในเวลานี้ โดยทาง สแกนเนีย และ สแกนเนีย ไฟแนนซ์ มีการดูแลเป็นอย่างดี พร้อมมอบเงื่อนไขพิเศษทั้งในส่วนการดาวน์และผ่อนชำระ การจองซื้อรถ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ในวันนั้น ถือเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจและเป็นจุดขายของบริษัท เรากลายเป็นเจ้าแรกที่มีรถ ยูโร 5 ไว้ให้บริการ ส่งผลให้ได้รับสัญญาจ้างขนส่งสินค้าให้กับลูกค้ารายใหญ่ ที่กำลังมองหาบริษัทขนส่งที่ใช้รถ ยูโร 5 ในการดำเนินงาน
THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) ผู้นำคลินิกความงามของประเทศไทย จับมือพันธมิตรค่ายเพลงระดับโลก ‘Warner Music Thailand’ ปฏิวัติวงการความงามด้วยการใช้ Music Marketing เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมคลินิกความงาม ผ่านแคมเปญ “หมอไหน” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำคลินิกความงาม และเป็นบทเพลงสะท้อนยุคสมัยที่ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อการทำหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม ในฐานะทางเลือกเพื่อการเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดูดีขึ้น
โดยการทำหัตถการและศัลยกรรมเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ดังนั้น จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น ไม่ใช่ทำกับหมอไหนก็ได้ ซึ่งมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์มากกว่า 100 คน ให้การดูแลแบบเคสต่อเคส
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมความงามมีการเติบโต 10% แต่ THE KLINIQUE(เดอะคลีนิกค์) เติบโตมากกว่า 2-3 เท่าของอุตสาหกรรม เป็นการเติบโตสวนกระแส ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) อีกทั้งแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีต่อการทำหัตถการและศัลยกรรมมีมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่มีแนวโน้มเข้ารับบริการในคลินิกเสริมความงามมากขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นอื่นๆ ประกอบกับการที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ จีน และ บราซิล โดยมีการผลักดันจากภาครัฐในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะมีผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้ามารับบริการในคลินิกความงามมากขึ้นเป็นโอกาสเติบโตของอุตสาหกรรมความงาม รวมทั้ง ”
![]()
“ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความมั่นใจในการตัดสินใจรับบริการหัตถการและศัลยกรรมมากขึ้น กล้าเปิดเผย บอกต่อ และมีความภูมิใจที่ตัวเองดูดีขึ้น ทำให้ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) มีมุมมองในการเข้าถึงผู้บริโภคที่แตกต่างและได้จัดทำแคมเปญ ‘หมอไหน’ Music Marketing ครั้งแรกของอุตสาหกรรมคลินิกความงามจาก THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) ซึ่งได้จับมือกับพันธมิตรค่ายเพลงระดับโลก Warner Music Thailand ปล่อยเพลง ‘หมอไหน’ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงยุคสมัยที่ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อการทำหัตถการและศัลยกรรม ไม่ใช่เรื่องน่าปิดบังอีกต่อไป และสะท้อนให้เห็นถึงการกำหนดความงามด้วยตัวเองของผู้บริโภคที่เลือกจะทำหัตถการหรือศัลยกรรมเพื่อการเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดูดีขึ้น พร้อมทั้งยังเป็นการชูจุดแข็งของ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) ในเรื่องนวัตกรรมที่ทันสมัยปลอดภัย คุณภาพของบุคลากร รวมถึงงานบริการที่ต้องเป็นสากล THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการมากกว่า 100 คนที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งในด้านวิชาการและเทคนิคต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่เสมอ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในคุณภาพของทีมแพทย์จาก THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) นอกจากนั้นยังใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคนในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทำหัตถการและศัลยกรรมแบบที่ผู้บริโภคสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคอีกด้วย” นายแพทย์อภิรุจกล่าว
เพลง “หมอไหน” ขับร้องโดยนักร้องคุณภาพอย่าง น้ำชา ชีรณัฐ ร่วมด้วย อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง
นัท นิสามณี โดยมี AUTTA แร็ปเปอร์ขวัญใจคนรุ่นใหม่ร่วมแต่งเพลงและเป็นโปรดิวเซอร์ และได้แขกรับเชิญพิเศษร่วมแสดงในมิวสิควีดิโออย่าง จีน่า The Face Thailand, รัศมีแข, โม จิรัชยา, ฟลุ๊กกะล่อน และจุง อาเชน ไอย์ดึน
● ร้อยละ 81 ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่าประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซิน ลดลง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ขั้นต้นถึงภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน
● ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจชี้ว่าความบริสุทธ์ของโบทูลินัมท็อกซินที่ใช้มีผลต่อประสิทธิผลในการรักษา
● ร้อยละ 66 ของผู้บริโภค พบปัญหาภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินเพิ่มขึ้น จากการรักษาที่ไม่ถูกวิธี เช่น การเพิ่มปริมาณสาร การรักษาอย่างถี่ขึ้น หรือเข้ารับการรักษาที่ไม่เกิดประสิทธิผลต่อเนื่อง
เมิร์ซ เอสเธติกส์ บริษัทชั้นนำระดับโลก ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์สำหรับใช้ในคลินิกเสริมความงาม เผยผลการสำรวจระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เรื่องภาวะการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน 2 ชิ้น ซึ่งบริษัทเมิร์ซ เอสเธติกส์ สนับสนุนให้จัดทำผลการสำรวจดังกล่าวครอบคลุมผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์ และได้ถูกนำเสนอในเวทีเสวนาระดับนานาชาติของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม Aesthetic Council for Ethical use of Neurotoxin Delivery (ASCEND) โดยการเสวนาในเวทีนี้มีการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับแนวปฏิบัติบัติที่ดี และข้อควรคำนึงด้านจริยธรรมในการใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน เอ (BoNT-A) ซึ่งใช้ทั้งในด้านความงามและการรักษาทางการแพทย์ โดยสัปดาห์นี้ ได้มีการจัดการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับโลกด้านแพทย์ผิวหนังและความงาม DASIL (Dermatology, Aesthetics, and Surgery International League) World Congress ครั้งที่ 12 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และถือเป็นการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2565
การสำรวจล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลสำคัญเชิงลึกและข้อท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วย BoNT-A จากอัตราความชุก (prevalence) ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่าประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซินลดลง และยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 812 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79 ในปี 2564 และร้อยละ 69 ในปี 2561 โดยผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า พวกเขารู้สึกวิตกกังวล เศร้า และกังวลใจอันเป็นผลมาจากประสิทธิผลของการรักษาที่ลดลง
ผลการค้นพบสำคัญ:
● ผู้บริโภคจำนวนมากที่ทำการสำรวจ เผชิญกับผลการรักษาที่ลดลงและตระหนักถึงปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้เกิดผลดังกล่าว
o ร้อยละ 52 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจชี้ว่าเกิดจากภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน2
o ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจระบุว่าเป็นผลจากผลิตภัณฑ์โบทูลินัมท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม (impurities)*2
o ร้อยละ 45 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจอ้างถึงปริมาณสารที่ใช้ระหว่างการรักษา2
● แม้จะตระหนักถึงปัญหานี้ แต่ร้อยละ 66 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจมีพฤติกรรมที่อาจทำให้ ภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินรุนแรงขึ้น เช่น การเพิ่มปริมาณสารในการรักษาหรือการรับการรักษา ถี่ขึ้น2
ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากที่เข้าร่วมการสำรวจอาจติดรูปแบบพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น แต่อาจส่งผลให้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องแย่ลงไปด้วย ในกรณีที่ประสิทธิผลของการรักษาลดลงเนื่องมาจากการดื้อต่อ โบทูลินัมท็อกซิน โดยการลดลงของประสิทธิผลในการรักษาด้วย BoNT-A เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่อาจบ่งชี้ถึงอุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินเท่านั้น
![]()
ดร. นีม คอร์ดัฟ แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง FRACS และผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ RiverEnd Aesthetics รวมถึงผู้ดำเนินรายการในการอภิปรายของ ASCEND กล่าวว่า “ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนไข้ที่เข้าร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าการรักษาด้วย BoNT-A สามารถนำไปสู่ภาวะดื้อต่อ BoNT-A ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง หนึ่งในวิธีการป้องกันคือการเลือกใช้ BoNT-A ที่มี ความบริสุทธิ์สูง เนื่องจากมีตัวเลือก BoNT-A หลากหลายในตลาด จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเสริมความงามที่จะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าอะไรคือสูตร BoNT-A ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง+bและเน้นย้ำถึงความสำคัญของความบริสุทธิ์ของท็อกซินเพื่อลดความเสี่ยงในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซิน ทั้งในด้านความงามและการแพทย์ในระยะยาว”
ในระหว่างการอภิปราย คณะผู้เชี่ยวชาญ ASCEND ได้นำเสนอบทความฉันทามติเรื่อง "นัยยะในโลกแห่งความเป็นจริงของภาวะการดื้อต่อ BoNT-A สำหรับผู้บริโภคและผู้ให้บริการด้านความงาม: ข้อมูลเชิงลึกจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นนำระดับนานาชาติ ASCEND" โดยมี ดร. คอร์ดัฟ เป็นผู้เขียนหลัก ซึ่งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินและบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลในการเลือกใช้สูตรโบทูลินัมท็อกซินที่บริสุทธิ์5 สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงผลการสำรวจที่แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 84 ของบุคลากรทางการแพทย์ยอมรับว่าสูตร โบทูลินัมท็อกซินของแบรนด์ต่างๆ มีความแตกต่างกันและมีความบริสุทธิ์ต่างกัน และมากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยว่าการได้รับการรักษาด้วยสารท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม* เป็นประจำ อาจส่งผลให้ร่างกายของคนไข้พัฒนาแอนติบอดีมายับยั้งการออกฤทธิ์ของ BoNT-A ได้6
![]()
บทความฉันทามติฉบับนี้ยังสนับสนุนการนำแนวทางการคัดกรองมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อตรวจหากรณีที่ประสิทธิผลการรักษาของโบทูลินัมท็อกซินลดลงเนื่องมาจากมีการสร้างแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ และสร้างหลักการทำงานที่เป็นมาตรฐาน5 จากการสำรวจบุคลากรทางการแพทย์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้โบทูลินัมท็อกซินอย่างปลอดภัยสำหรับคนไข้นั้นมีความสำคัญ6 ปัจจุบันนี้ บุคลากรทางการแพทย์มีวิธีการรับมือต่อประสิทธิผลการรักษาที่ลดลง รวมถึงการทำการทดสอบวินิจฉัย (ร้อยละ 47) การเปลี่ยนแบรนด์ (ร้อยละ 33) การทำการทดสอบคัดกรอง (ร้อยละ 27) หรือ การแนะนำให้ยุติการรักษาทั้งหมด (ร้อยละ 24)6 บทความฉันทามตินี้ยังระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารอย่างทันท่วงทีเกี่ยวกับความเสี่ยงในการรักษาและการกำหนดความคาดหวังของคนไข้หลังจากมีการพูดคุยหารือกันในขั้นต้น นอกจากนี้ ยังแนะนำว่าบุคลากรทางการแพทย์ควรจะให้ข้อมูล
เกี่ยวกับภาวะการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างขั้นตอนการ ขอความยินยอมในการรักษา และควรบันทึกไว้ในเวชระเบียนอย่างชัดเจน5
![]()
ในระหว่างการอภิปราย ดร.เซียว ตั๊ก หวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ Radium Aesthetics ได้แบ่งปันกรณีศึกษาคนไข้จากสิงคโปร์ โดยกล่าวว่า “ผมใช้เวลา 3 ปี กว่าคนไข้จะเริ่มตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซินอีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการแก้ไขเรื่องแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ได้ ในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายปี และในบางกรณีก็อาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ การป้องกันจึงมักจะดีกว่าการรักษา ตัวเลือกที่รอบคอบที่สุดคือการเริ่มต้นรับการรักษาด้วยสูตรโบทูลินัมท็อกซินที่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก หรือเปลี่ยนมาใช้สูตรนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน”
การเลือกแบรนด์ BoNT-A ที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นการรักษานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสูตรโบทูลินัมท็อกซิน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา รวมถึงความเสี่ยงที่จะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน และ ประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ BoNT-A ที่บริสุทธิ์+
กรุงเทพฯ – AION ผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก จัดกิจกรรม AION V My V, My Version พาสื่อมวลชนร่วมทดลองขับ AION V รถเอสยูวีไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้บริโภคยุคใหม่ ก่อนการเปิดราคาขายอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ที่บูท AION (A12) อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 - 3 เมืองทองธานี โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤศจิกายน 2567 ณ Take a Breath Café & Eatery ถนนพุทธมณฑล สาย 1 ซึ่งในงานครั้งนี้ สื่อมวลชนที่เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ AION V บนถนนจริง ทำให้ได้ทดสอบสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของรถยนต์ไฟฟ้า AION V อย่างเต็มที่
กิจกรรม AION V My V, My version จัดขึ้นเพื่อให้สื่อมวลชนร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด AION V เอสยูวีไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและการออกแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับสมรรถนะและความสะดวกสบายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ AION V ที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ L2 และฟีเจอร์ความบันเทิงและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมายทำให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ ภายใต้แนวคิด My V, My version ที่เน้นให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกสไตล์การใช้งานที่ตรงกับตัวเอง

AION V มาพร้อมแนวคิดการออกแบบ Cyber Design สะท้อนถึงความล้ำสมัยและความแข็งแกร่งในทุกมุมมอง โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่ออกแบบมาอย่างลงตัว เส้นข้างตัวรถที่เฉียบคม พร้อมด้วยระยะทางวิ่งสูงสุด 602 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง AION V จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเดินทางระยะไกล โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Magazine Battery 2.0 แบบ lithium ion phosphate ขนาด 75.3 kW พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 3C ทำให้การชาร์จไฟเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สามารถชาร์จไฟได้ระยะทาง 300 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 15 นาที เทียบเท่ากับการแวะดื่มกาแฟ 1 แก้วเท่านั้น
ภายในห้องโดยสารของ AION V ได้รับการออกแบบให้หรูหราและทันสมัย มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยเบาะนั่งขนาดใหญ่ที่รองรับสรีระของร่างกายอย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีเบาะนวดไฟฟ้า 8 จุดที่สามารถปรับโหมดการทำงานได้มากถึง 5 โหมด รองรับทุกความต้องการในการผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง และยังมี ตู้เย็นอัจฉริยะ ขนาด 6.6 ลิตร ที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -15°C ถึง 50°C สามารถใส่เครื่องดื่มและสร้างความเย็นได้ในทุกการเดินทาง
![]()
AION V มาพร้อมกับ AEP 3.0 (AION Electric Platform 3.0) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบเฉพาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารได้มากขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับรถยนต์ในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน เช่น ถุงลมนิรภัยกลางสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ที่ช่วยลดการบาดเจ็บจากการชน และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างขนาดยาวพิเศษ 2.3 เมตร ซึ่งสามารถพองตัวเต็มที่ได้ในเวลาเพียง 0.008 วินาที และสามารถคงแรงดันได้นาน 6 วินาที ให้การปกป้องรอบด้านในกรณีรถพลิกคว่ำ
นอกจากนี้ AION V ยังมาพร้อมกับระบบ ADiGO SPACE ห้องโดยสารอัจฉริยะที่สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ถึง 4 โซน รองรับคำสั่งเสียงทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมและสั่งการระหว่างการขับขี่ โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย นอกจากนี้ยังรองรับแอปพลิเคชันหลากหลาย รวมถึง Apple CarPlay และ Spotify (OTA ในเดือนธันวาคม) เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้งาน พร้อมด้วยชิปประมวลผล Qualcomm SA8155P ที่ให้สมรรถนะการประมวลผลที่โดดเด่นในรถยนต์ระดับเดียวกัน รองรับระบบขับขี่อัจฉริยะระดับ L2 ที่ครอบคลุมฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go (ACC with S&G) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) และระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายสูงสุดในการขับขี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า AION V รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุดจาก AION มีกำหนดการเปิดตัว พร้อมประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ในงาน Motor Expo 2024 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567
![]()
บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT ผู้นำด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าระดับพรีเมียม และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านการเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรบาร์เทนเดอร์มืออาชีพ ภายใต้โครงการ Learning for Life ในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือที่ดียิ่งขึ้น ได้มาตรฐานระดับโลก ถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างดิอาจิโอ ในฐานะภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
ไทยมายาวนาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในฐานะภาครัฐที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะของแรงงานไทย ด้วยเป้าหมายร่วมกันในการตอบโจทย์ความต้องการบุคลากรที่มีทักษะฝีมือ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศต่อไป
![]()
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “ปัจจุบันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ ที่ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติ สังคม ชุมชนและประชาชน อุตสาหกรรมดังกล่าวมีอัตราการแข่งขันอยู่ในเกณฑ์ที่สูง ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรมีความร่วมมือ เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการให้มีสมรรถนะสูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับนโยบายการพัฒนาทักษะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New Engines of Growth) สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลการสร้างพลังสร้างสรรค์หรือ Soft Power ของประเทศ เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้เติบโตในระยะยาวและช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วย และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานบูรณาการกับดิอาจิโอเพื่อสนองต่อนโยบายดังกล่าว”
![]()
นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า “กรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีภารกิจในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะให้แก่กำลังแรงงานใหม่ แรงงานอิสระ และผู้ว่างงานให้มีทักษะฝีมือที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อส่งเสริมการมีงานทำในภาคอุตสาหกรรมรองรับเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ และยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้น การบูรณาการในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรม ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของไทยโดยรวม ซึ่งจะส่งผลดีกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตต่อไปได้ในระยะยาว”
![]()
มร. ภูนีต นารัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT กล่าวว่า “ดิอาจิโอมีแผนงานด้านความยั่งยืนที่เรียกว่า SOCIETY 2030: SPIRIT OF PROGRESS โดยหนึ่งในเป้าหมายของแผนงานนี้คือการส่งเสริมศักยภาพและความหลากหลายในอุตสาหกรรมผ่านการอบรมและพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรม รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจ โดยหนึ่งในโครงการที่เราทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้คือโครงการ Learning for Life ซึ่งเป็นโครงการอบรมที่มุ่งส่งเสริมและยกระดับทักษะการบริการ โดยเฉพาะสาขาอาชีพบาร์เทนเดอร์ เพื่อเพิ่มจำนวนบาร์เทนเดอร์ที่มีทักษะและความสามารถให้เข้ามาเป็นอีกแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยได้มีความร่วมมือกับหลายภาคส่วน สำหรับครั้งนี้ DMHT มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นครั้งแรก เพื่อร่วมกันพัฒนากำลังแรงงานหรือผู้ที่สนใจให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือในการนำไปประกอบอาชีพ และยังเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาแรงงานไม่เพียงพอต่อความต้องการในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของไทยอีกด้วย เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้เข้าร่วมการอบรม และต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในภาพรวม”
ความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านอาหารและเครื่องดื่มระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและดิอาจิโอ ภายใต้โครงการ Learning for Life ในครั้งนี้ประกอบด้วยการจัดฝึกอบรมหลักสูตรบาร์เทนเดอร์มืออาชีพ ทั้งหมดจำนวน 3 ครั้ง และตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมดจำนวน 200 คน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และชลบุรี ตามลำดับ
ในงานเสวนา “Fly DIRECT, Discover the WORLD with AIR CANADA and KTC” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของสายการบินแอร์แคนาดาและ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สายการบินแอร์แคนาดาได้ประกาศจุดยืนเน้นการท่องเที่ยวเชิงรักษ์โลก เปิดให้บริการเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังนครแวนคูเวอร์อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2567 – วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจไทยที่เพิ่มมากขึ้น โดยเคทีซีได้ร่วมชูจุดยืนสนับสนุนผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ผ่านช่องทาง KTC World Travel Service
![]()
มิสเตอร์ ซันจีฟ เชาเดอรีย์ ที่ปรึกษา (พาณิชย์) และกรรมาธิการการค้าอาวุโส สถานทูตแคนาดาประจำประเทศไทย กล่าวว่า แคนาดามุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่เน้นความยั่งยืนตลอด 4 ฤดูกาล โดยคำนึงถึงทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ด้วยบริการเที่ยวบินตรงจากอเมริกาเหนือสู่ประเทศไทยโดยสายการบินแอร์แคนาดา และโครงการ eTA ใหม่ เป็นปัจจัยเอื้อให้คนไทยสามารถเดินทางไปเยือนแคนาดาได้อย่างง่ายดาย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แคนาดามีทุกสิ่งที่นักท่องเที่ยวปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสกี เดินป่า แคมปิ้ง พายเรือ หรือกิจกรรมในทุกฤดูกาล นอกจากธรรมชาติอันสวยงามและบริสุทธิ์แล้ว แคนาดายังมีสีสันของเมืองใหญ่ที่พร้อมนำเสนอประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและความบันเทิงต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
![]()
มิสเตอร์ ฮอน แลม ผู้จัดการทั่วไปของแอร์แคนาดา ฮ่องกง จีนตอนใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แอร์ แคนาดา กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2567 – วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 แอร์แคนาดาประกาศเปิดให้บริการเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ ถึงนครแวนคูเวอร์อีกครั้ง โดยได้เพิ่มความถี่ของเที่ยวบินเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ โดยเที่ยวบินดังกล่าวจะให้บริการด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงสูงขึ้นประมาณ 20% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาการให้บริการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ แอร์แคนาดายังได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมจึงได้จัดทำแคมเปญ “Leave Less, Do More” ผ่านตัวอย่างกิจกรรมสำคัญภายใต้แนวคิด “Leave Less” มุ่งเน้นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน โดยได้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนชุมชนและลดขยะอย่างต่อเนื่อง รายละเอียดของความสำเร็จจากโครงการ อาทิ การบริจาคชุดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ยากไร้กว่า 24,000 ชุด บริจาคผ้านวมและแผ่นรองที่นอนกว่า 20,000 ชิ้น ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวกว่า 47.8 ล้านชิ้น และรีไซเคิลสิ่งทอจากเครื่องบินได้กว่า 16 ตัน
นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีดำเนินธุรกิจบนแนวคิดด้านความยั่งยืนโดยคำนึงถึงทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังร่วมส่งเสริมกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของพันธมิตรหมวดสายการบินผ่านกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เคทีซีจึงได้ร่วมวางแผนกับสายการบินแอร์แคนาดาในหลายรูปแบบเพื่อให้สมาชิกได้สัมผัสประสบการณ์การบินตรงสู่แวนคูเวอร์ได้สะดวก และเดินทางได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นด้วยข้อเสนอการแบ่งชำระ 0% นานสูงสุด 6 เดือนผ่านช่องทาง KTC World Travel Service และได้จับมือร่วมกับบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวอีก 5 ราย ได้แก่ บริษัท โกลเบิล ยูเนี่ยน เอกซ์เพรส จำกัด (G.U.E.) / มาแจ๊สติก ทราเวล (Majestic Travel ) / ควอลิตี้ เอ็กซ์เพรส (Quality Express) / ยูนิไทย (Unithai) / บริษัท เวิลด์ เอ็กซ์พลอเรอร์ (World Explorer) และ ทราเวลโลก้า* (Traveloka) (*เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด) หรือ เลือกรับคะแนน KTC FOREVER เพิ่ม 10,000 คะแนน เมื่อจองตั๋วเครื่องบินและชำระเต็มจำนวนผ่าน KTC World Travel Service เท่านั้น (สิทธิ์มีจำนวนจำกัด) สามารถจองได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 - วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และเดินทาง 2 พฤศจิกายน 2567 - วันที่ 31 พฤษภาคม 2568
![]()
นอกจากนี้ เคทีซีและสายการบินแอร์แคนาดายังได้จัดแคมเปญในหมวดช็อปปิ้งร่วมกับห้างสรรพสินค้าเช็นทรัล ชิดลม มอบรางวัลตั๋วเครื่องบินสายการบินแอร์ แคนาดาบินตรงสู่แวนคูเวอร์จำนวน 1 รางวัล 2 ที่นั่ง (มูลค่ารวม 140,000 บาท) ให้กับสมาชิกบัตรฯ ที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2567 - วันที่ 31 มกราคม 2568 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/ktcworld/promotion/air-ticket/domestic-and-overseas-air-ticket/air-canada
ภายในงานเสวนายังได้รับเกียรติจาก คุณปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันได้สวมบทบาทเป็นนักท่องโลก นักเขียน พิธีกรรายการสารคดี ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การท่องเที่ยวแคนาดาในหัวข้อ The Spirit Bear of Canada คุณปอย - ตรีชฎา หงษ์หยก คุณแพม – สิตามนินท์ สุสมาวัตนะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท OH! RiCH (บริษัท เอสอาร์ที ฟอเร็กซ์ จำกัด) และ ดร. วิทยา สินทราพรรณทร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดโครงการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ร่วมถ่ายทอดความประทับใจจากประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศแคนาดารวมถึงต่อยอดการทำธุรกิจในประเทศไทย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทร 02 123 5050 หรือทักแชท https://ktc.cards/KWT-addline-FB
หรือเช็คราคา จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://bit.ly/KTCFlightOB
สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซี https://ktc.today/apply-card
หรือติดต่อ KTC Phone โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 ชุด อายุตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี ผลตอบแทนระหว่าง 2.95-4.00% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง ตอกย้ำสถานะที่แข็งแกร่งของ TRUE ที่มีความมั่นคงทั้งในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21 - 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือ ชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 21 – 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.95% ต่อปี
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% ต่อปี
3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% ต่อปี
4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.86% ต่อปี
5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป
![]()
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมทำกำไร (หลังรายการปรับปรุง) ในไตรมาส 3/2567 ถึง 3,107 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) 41,509 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ตลอดจนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ระดับ 24,981 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเติบโต 2.7% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการยังปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2% โดยทรูจะยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าและการบริหารงานภายใน พร้อมมุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”
การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้คืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 2 ปี ถึง 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ผันผวน และในช่วงดอกเบี้ยขาลง ดังเช่นการที่ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นกู้ TRUE ถือเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนคงที่ในระยะยาวได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai
• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตอกย้ำนโยบายการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Go Green” ในการพัฒนา ที่อยู่อาศัย ที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตอุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียว นำ “คอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค” ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้อย่างน้อย 17 KgCO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์) มาใช้ในกระบวนการผลิตชิ้นส่วนพรีคาสท์เป็นรายแรกของไทย เพื่อส่งมอบบ้านที่ดี มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ลูกบ้าน รวมกว่า 40 โครงการ
นายวิชาญ ศิริเวชวราวุธ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจสู่การเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาอย่าง ไม่หยุดนิ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ เพื่อมอบความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน และยังคงเดินหน้าดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Go Green” ซึ่ง 1 ในเป้าหมายสำคัญคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต ล่าสุดได้ร่วมมือกับ CPAC นำคอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค มาเป็นวัตถุดิบในกระบวนผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปหรือชิ้นส่วนพรีคาสท์ ในโรงงานพรีคาสท์เพอร์เฟค พรีแฟบ ถือว่าเป็นโรงงานผลิตพรีคาสท์แห่งแรกในประเทศไทย ที่นำ คอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค มาใช้ในกระบวนการผลิต
![]()
“สำหรับการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปในโรงงานเพอร์เฟค พรีแฟบ นั้น เราได้ทำงานร่วมกับ CPAC มาเป็นระยะเวลา 12 ปี จุดแข็งคือคอนกรีตมีคุณภาพคงที่ ได้คุณสมบัติตามที่ออกแบบไว้ ทั้งกำลังการรับน้ำหนัก, ความไหลลื่น สามารถเทเข้าแบบหล่อได้ดี (Workability) ส่งมอบได้ทันตามความต้องการ อีกทั้งยังมีทีมงานที่คอยให้คำแนะนำเป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญ CPAC มีการพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลาจนมาถึง ‘คอนกรีตคาร์บอนต่ำ’ เป็นสูตรที่ใช้ปูนซีเมนต์งานโครงสร้าง เอสซีจี คาร์บอนต่ำ และการใช้เถ้าลอยถ่านหินมาทดแทนการใช้ปูนซีเมนต์ ทำให้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อย่างน้อย 17 KgCO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์) โดยตั้งแต่บริษัทฯ เริ่มเปลี่ยนมาใช้สูตรนี้ในโรงงานครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2566 - กันยายน 2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 208,993 กิโลกรัม หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 21,999 ต้น
![]()
นายวิชาญ กล่าวต่อไปว่า ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียว ซึ่งการก่อสร้างบ้านด้วยระบบพรีคาสท์ช่วยให้บ้านมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนักแทนเสาได้ ใช้เวลาในการก่อสร้างรวดเร็ว ลดปัญหามลพิษ ลดขยะจากวัสดุเหลือใช้ในการก่อสร้างได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการนำเศษคอนกรีตส่วนที่เหลือมาเททำผลิตภัณฑ์ชิ้นเล็ก เช่น คันหินหรือแผ่นปูทางเท้า ได้อีกด้วย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างบ้านโครงการแนวราบด้วยระบบพรีคาสท์กว่า 40 โครงการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
นายนพพร กีรติบรรหาร Chief Marketing Officer บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด กล่าวเสริมว่า “CPAC ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Green Product อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระของโลก พร้อมส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่สอดคล้องกับสังคมและชุมชน ซึ่งความร่วมมือกับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย อันจะเป็นแรงผลักดันให้วงการก่อสร้างไทยเติบโตและมีทิศทางที่ดีต่อไป นับเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกันขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้แก่คนรุ่นต่อไป”
กรุงเทพฯ – (8 พฤศจิกายน 2567) – บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้นำบริการทางการเงินรวมทั้งสินเชื่อดิจิทัล และผู้ให้บริการแอปพลิเคชันทรูมันนี่ ประกาศความสำเร็จในการไถ่ถอนหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด มูลค่า 392,300,000 บาท ก่อนครบกำหนด ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวมีกำหนดครบไถ่ถอนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 แต่บริษัทฯ สามารถดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินและการบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวให้อัตราดอกเบี้ย 6.75% ต่อปี
คุณอชิรา เตาลานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “การตัดสินใจไถ่ถอนหุ้นกู้ แอสเซนด์ นาโน ก่อนกำหนดในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน และความสามารถในการบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนในการบริหารจัดการและรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุน และลดภาระดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท แอสเซนด์ มันนี่ ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจและเชื่อมั่นในการลงทุนหุ้นกุ้ของกลุ่มบริษัทเสมอมาทั้งหุ้นกู้ แอสเซนด์ นาโน และหุ้นกู้ ทรูมันนี่ ในช่วงที่ผ่านมา”
บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และมีบทบาทสำคัญในการขยายบริการและการเข้าถึงสินเชื่อดิจิทัลในประเทศไทย โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญของแอสเซนด์ นาโน คือ เพย์เน็กซ์ (Pay Next) ซึ่งเป็นบริการวงเงินและสินเชื่อที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ (TrueMoney) ที่มีผู้ใช้งานครอบคลุมกว่า 32 ล้านคนในประเทศไทย
![]()
คุณอชิรา เตาลานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด
ที่ผ่านมา แอสเซนด์ นาโน ได้มีการนำระบบบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าการให้สินเชื่อเป็นไปตามนโยบายการให้สินเชื่ออย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ โดยบริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีเอไอและการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง รวมทั้งการคำนวณความเสี่ยงทางการเงินที่ประเมินจากข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) อาทิ พฤติกรรมการเติมเงินและการใช้จ่ายผ่านแอป มาประยุกต์ใช้ในการประเมินสินเชื่อ ซึ่งการประเมินแบบครอบคลุมนี้ ทำให้ แอสเซนด์ นาโน สามารถวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ที่สมัครสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูลเครดิตแห่งชาติเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคและธุรกิจรายย่อยที่แต่ก่อนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงิน สามารถสมัคร รู้ผล และเข้าถึงแหล่งเงินทุนและผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ โดยการบริการวงเงินและสินเชื่อในรูปแบบดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย เช่น พ่อค้า แม่ค้า สามารถเข้าถึงแหล่งเงินฉุกเฉินในเวลาที่จำเป็น ไปพร้อม ๆ กับต่อยอดการเติบโตของธุรกิจของตนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ นอกจากนี้ แอสเซนด์ นาโน ยังมีการควบคุมการปล่อยวงเงินและสินเชื่อโดยปรับไปตามพฤติกรรมและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ใช้ เพื่อเสริมสร้างวินัยและการใช้วงเงินอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นของพวกเขาเหล่านี้อย่างยั่งยืน
“บริการและนโยบายต่างๆ ของ แอสเซนด์ นาโน สอดคล้องกับพันธกิจของกลุ่ม แอสเซนด์ มันนี่ ในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แอสเซนด์ นาโน จะยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายบริการสินเชื่อดิจิทัล ไปพร้อม ๆ กับขยายความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล
หน่วยงานภาครัฐ และพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นวัตกรรมทางการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของคนไทย และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยต่อไป” คุณอชิรา กล่าวสรุป
เกือบ 4 ทศวรรษแห่งการสั่งสมประสบการณ์ เอกราช ปัญจวีณิน มองเห็นถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีต่อการใช้ชีวิตของผู้คน ตั้งแต่วันที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งเติมเต็มจนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวัน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป มีความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติเทคโนโลยี ไม่เพียงทัดเทียม แต่ก้าวนำนานาประเทศ
ภายใต้วิสัยทัศน์ “Empowering Digital Equity” ของคุณเอกราช เป็นความตั้งใจที่ไม่ได้มองเพียงมิติของการเข้าถึงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค นอกจากจะเป็นที่ทำงานของคุณเอกราชแล้ว ที่นั่นยังถือเป็นแหล่งบ่มเพาะและถ่ายทอดวิถีแนวคิดแบบก้าวหน้า ซึ่งในวันที่ทีม True Blog ได้พบและพูดคุยกับคุณเอกราช โซน True X ใน True Branding Shop ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ที่รวบรวมหลากหลายอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอัจฉริยะและโดรนอัตโนมัติ ก็เพิ่งเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ล้ำสมัย ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดโถงทางเดิน ก็จะเห็นชาวเทคเจน Z เดินกระทบไหล่เหล่า digital nomad ทั้งจากลอนดอน เซี่ยงไฮ้ ซานฟรานซิสโก สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของการทำงานที่มีพลวัตที่คุณเอกราชได้ร่วมบ่มเพาะ “การทรานสฟอร์มเป็นสิ่งที่เราทำอยู่ในทุกๆวัน” เขากล่าวด้วยสายตาอันแน่วแน่ “มันคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมาย”
ซึ่งการเดินทางที่ว่านี้ คุณเอกราช มองว่าจะสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยเทคโนโลยีสำคัญ ได้แก่ Hyperconnectivity, AI, Quantum Computing, Blockchain, Web3, Integrated IoT, Green Energy, Climate Technology และเชื่อว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยที่แข็งแกร่ง ตลอดจนปฏิวัติพลิกโฉมทุกสิ่งตั้งแต่ภาคการเกษตรจนถึงการคมนาคมขนส่ง
AI ที่ก้าวล้ำ ก่อกำเนิดไลฟ์สไตล์ดิจิทัลรูปแบบใหม่กลุ่มธุรกิจภายใต้การกุมบังเหียนของคุณเอกราช ได้สร้างบทบาทที่ทวีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจคอนเทนท์ อย่าง ทรูไอดี (True ID) ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 40 ล้านคน ทรูเอ็กซ์ (True X) ที่ผลักดันระบบบ้านอัตโนมัติอัจฉริยะทั่วทั้งประเทศ รวมถึง MorDee (หมอดี) แอปพลิเคชันที่สามารถส่งผ่านการรักษาทางไกลโดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ถึงผู้ป่วยบนสมาร์ทดีไวซ์ได้ในไม่กี่คลิก และที่สำคัญ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ยังอยู่เบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรธุรกิจไทยอีกนับพันแห่ง ด้วยโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ แพลตฟอร์มข้อมูล รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อยกระดับทักษะ ด้วยบริการที่ครอบคลุมและหลากหลาย ควบคู่กับความก้าวล้ำของเทคโนโลยี AI คุณเอกราช เชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะก้าวต่อไปสู่คลื่นลูกใหม่แห่งนวัตกรรม
“เราอยู่ในยุคของ AI แต่ AI เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น” เขากล่าวย้ำ “ยังมีอีกหลากหลายเทรนด์เทคโนโลยีที่เรายังต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็น Hyper-connectivity, AI, Blockchain และ การผสานเชื่อมโยง IoT ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาเป็นแกนหลักของกรอบการทำงานทางเทคโนโลยีในอนาคต”
วิถีการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลของคุณเอกราช เป็นการเปลี่ยนผ่านแบบองค์รวมที่มุ่งผสานเทคโนโลยีเข้าไปอยู่ในทุกมิติของการใช้ชีวิต “การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นมากกว่าแค่เรื่องของความสะดวกสบาย แต่เป็นการตอบสนองความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงรายบุคคลได้อย่างทันท่วงที เพราะวันนี้ ผู้บริโภคจะไม่รออะไรนานๆ ทุกอย่างต้องตอบสนองได้โดยทันที” เขากล่าวเสริม
วิสัยทัศน์ของคุณเอกราช จึงมีหัวใจสำคัญที่ไม่ใช่เพียงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ แต่คือ การออกแบบเทคโนโลยีตามความต้องการ เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การคิดค้นนวัตกรรมควรเริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาเฉพาะเจาะจงที่ผู้คนกำลังเผชิญ จากนั้นจึงมองหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการและแก้ไขปัญหาเหล่านั้น “เราเริ่มต้นจากลูกค้า ด้วยปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้ไข จากนั้น เราจึงมองหาเทคโนโลยีที่จะพัฒนาอยู่ด้านหลังเพื่อขับเคลื่อนและตอบสนองลูกค้า ซึ่งนั่นก็คือ การที่เราส่งเสริมให้มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง (Empowering Digital Equity)” ![]()
ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
แม้ว่า “Empowering Digital Equity” อาจจะดูเหมือนเป็นแนวคิดแบบเลิศหรู แต่สำหรับคุณเอกราช และทรู ดิจิทัล กรุ๊ป นั้น วิสัยทัศน์ดังกล่าวมีรากฐานความคิดจากโลกแห่งความจริงที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับชุมชนและสังคม ซึ่งหนึ่งในโครงการที่เราเข้าไปพัฒนา นั่นคือ การช่วยเหลือเกษตรกรในหลายพื้นที่ ด้วยเครื่องมือดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร
“เราใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ใช้อุปกรณ์เซ็นเซอร์ช่วยตรวจวัดระดับน้ำ และใช้โดรนวิเคราะห์และฉีดพ่นทั่วพื้นที่การเกษตร” เขาอธิบาย ซึ่งผลลัพธ์จากโครงการดังกล่าวสามารถจับต้องได้ สามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้ต่อวันมากขึ้นกว่า “เท่าตัว”
เมื่อถามถึงแนวทางการพัฒนาสังคมผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล คุณเอกราชได้กล่าวถึง แอปฯ “MorDee” (หมอดี) ที่มีบทบาทช่วยรักษาชีวิตคนไข้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงโซลูชัน IoT ที่ช่วยผลักดันการรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อธุรกิจ “เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องการ ใช่ไหม? ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกในระบบนิเวศ”
ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับโรงพยาบาล หรือ การอบรมคนรุ่นใหม่ให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI ก็ตาม สิ่งที่สำคัญของโครงการเหล่านี้ของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นพยายาม เพื่อให้เรามั่นใจว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทย จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
อย่างไรก็ตาม คุณเอกราชเข้าใจดีว่า โซลูชันเทคโนโลยีต่างๆ อาจทำให้เกิดความกังวล ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง หรือแม้แต่ความยุ่งยากซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วๆไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีความตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ภายใต้วิถีทางของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เพื่อให้เทคโนโลยี “ง่ายต่อการนำไปใช้ และยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้” และนี่เป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับแก่นความเชื่อของเขาที่ว่า “เทคโนโลยีควรเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงด้วยวิธีที่ถูกต้อง บนอุปกรณ์ที่ใช่ และด้วยความพยายามที่ตรงจุด”
แม้ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญความท้าทายอีกมากมายบนเส้นทางสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง แต่สำหรับคุณเอกราชแล้ว ประเด็นที่เป็นแรงกดดันมากที่สุดคือ “ความเหลื่อมล้ำทางทักษะด้านดิจิทัล”
“เรามีปัญหาด้านทักษะที่ใหญ่มาก ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีให้เป็น แต่คือการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี” เขาเน้นย้ำปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไข หากประเทศไทยต้องการรักษาความสามารถทางการแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แม้ไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านอี-คอมเมิร์ซ การชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล และมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างแพร่หลาย แต่คุณเอกราชเชื่อว่า เรายังสามารถทำได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนและส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เป็นนวัตกรทางเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จึงมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน “ปัจจุบัน เรามีเวทีแสดงความคิดเห็นมากมาย กับหลากหลายหน่วยงานและองค์กร แต่นั่นก็ยังเป็นการทำแบบแยกส่วนๆ เราจำเป็นต้องมีกรอบการ
ทำงานระดับมหภาคที่ผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กรเอกชนเข้าด้วยกัน” คุณเอกราช ย้ำชัด พร้อมทั้งยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศไทยเอง มากกว่าการพึ่งพาผู้ให้บริการจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว “ไม่ใช่แค่เรื่องของแพลตฟอร์ม แต่คือการคิดค้นนวัตกรรมที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เพราะเราเท่านั้นที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่ประเทศต้องการ”
![]()
ผู้นำที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ และเชื่อมั่นในพลังของ “คน”
ด้วยความตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของทุนมนุษย์ต่อการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลในครั้งนี้ คุณเอกราช กล่าวว่า “สินทรัพย์ที่ทรงพลังที่สุดของเราคือ คน” เขากล่าวอย่างไม่ลังเล “เรามีบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลาย และแต่ละคนสามารถผสานความรู้และทักษะต่างๆ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกและคุณค่าอย่างแท้จริง”
แนวคิดและความเชื่อในพลังของคน ได้รับการโอบรับสู่ปรัชญาแห่งความเป็นผู้นำของคุณเอกราช การสั่งการในลักษณะจากระดับผู้บริหารลงไปสู่ระดับปฏิบัติการถือเป็นสิ่งล้าสมัย โดยคุณเอกราชยึดหลักการทำงานแบบมีส่วนร่วม (Inclusive) สนับสนุนความร่วมมือกัน พร้อมกับแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างเปิดเผย “ผู้นำในวันนี้ต้องมีลักษณะของการเป็นผู้ฟัง” เขาอธิบายว่า “เราต้องเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ จากลูกค้าของเรา และเปิดรับมุมมองใหม่ๆ”
การเปิดกว้างนี้ยังสะท้อนชัดผ่านการใช้ชีวิตของคุณเอกราชเอง นอกจากหมวกนักบริหารแล้ว เขายังเป็นผู้ที่ชื่นชอบกีฬาเกี่ยวกับความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกีฬาแข่งรถ “เพราะมันคือศิลปะ” เขากล่าวพร้อมอธิบายว่า การปรับแต่งเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละสนามแข่งถือเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน “วิถีบนสนามแข่งต้องอาศัยสมาธิ การตัดสินใจที่ถูกต้องและถูกเวลา รวมถึงการควบคุมทุกอย่าง ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับโลกธุรกิจได้เช่นกัน”
การรับรู้และเข้าใจถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ของธุรกิจแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป แม้จะต้องมีการวางโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับการเติบโตของบริษัท แต่คุณเอกราชยังคงยืนหยัดในจิตวิญญาณแห่งการคิดค้นที่ไม่หยุดนิ่งของสตาร์ตอัพ “เรายังคงยึดหลักที่ว่า ล้มเหลวเพื่อก้าวไปข้างหน้า” เขากล่าว “แต่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์และเดินหน้าด้วยวิถีที่มีกลยุทธ์รัดกุมมากขึ้น”
การสร้างสมดุลระหว่างความล้มเหลวและการก้าวไปข้างหน้า ถือเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จที่ดำเนินต่อเนื่องของทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดโอกาสให้เราได้ลองผิดลองถูก พร้อมสร้างการเติบโต โดยคุณเอกราชเปรียบเทียบทรู ดิจิทัล กรุ๊ป กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกว่า แม้แต่ยักษ์ใหญ่ สุดท้ายแล้วยังต้องเดินบนเส้นทางเพื่อความยั่งยืนขององค์กร และนั่นจึงทำให้เขา ยังคงมองเป้าหมาย 2025 ในทิศทางบวก “เราได้ก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ ค้นพบเส้นทาง และพร้อมที่เติบโต” และย้ำว่า “เทคโนโลยีใม่ได้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถทำในสิ่งที่เราตั้งใจได้”
อาจกล่าวได้ว่า สมดุลระหว่างนวัตกรรม กลยุทธ์ การเติบโตของธุรกิจ ควบคู่กับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านบุคลากรและความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสนับสนุนการเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง คือนิยามแห่งความเป็นผู้นำของ เอกราช ปัญจวีณิน แม้การนำทางของคุณเอกราชสู่ภูมิทัศน์แห่งเทคโนโลยีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงชัดเจน คือ คุณเอกราชมีความแน่วแน่ที่จะทำให้อนาคตดิจิทัลของประเทศไทยเป็นหนึ่งในการมีส่วนร่วมโดยไม่แบ่งแยก นวัตกรรม และการเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคสำหรับทุกคน