

ฟอร์ติเน็ต ผู้นำระดับโลกด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่ขับเคลื่อนการผสานรวมของระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยเข้าด้วยกัน ประกาศขยายขีดความสามารถด้าน GenAI ครอบคลุมทั่วกลุ่มผลิตภัณฑ์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยด้วย AI อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวการผสานรวม FortiAI ไว้ในสองโซลูชันใหม่ ซึ่ง FortiAI คือผู้ช่วยด้านความปลอดภัยตัวจริงที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AI ของฟอร์ติเน็ต โดยนำ GenAI มาช่วยสนับสนุนการทำงานของนักวิเคราะห์ความปลอดภัย ทั้งแนะนำ ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น อีกทั้งดำเนินการได้แบบอัตโนมัติ
ภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า “ฟอร์ติเน็ต มุ่งมั่นด้านนวัตกรรม AI มาตลอดเป็นเวลานานเกิน 10 ปี และเราถือเป็นผู้ให้บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ รายแรกๆ ที่มีการสร้างเครือข่ายประสาทเทียม หรือ Artificial Neural Network เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างภัยคุกคาม จนกลายเป็นต้นแบบของ FortiAI ในปัจจุบัน และในตอนนี้ เราได้ขยายการใช้ GenAI เพื่อเสริมประสิทธิภาพสายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในแต่ละประเภทรวม 7 ผลิตภัณฑ์ด้วยกัน เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการมอบนวัตกรรมโซลูชันรักษาความปลอดภัยขั้นสุดให้กับลูกค้า”
“การผสานรวม FortiAI เข้ากับโซลูชันได้หลากหลายดังที่กล่าวมา คือเครื่องมือปรับเปลี่ยนการทำงานที่ทรงพลัง ที่เรากำลังมอบให้ลูกค้าเพื่อช่วยปฏิรูปการบริหารจัดการพร้อมตอบสนองภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความเสี่ยงทางไซเบอร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราก็จะยังคงเสริมสร้างศักยภาพให้กับลูกค้าเรามากขึ้น ด้วยโซลูชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการรักษาความปลอดภัย ช่วยให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเสริมความยืดหยุ่นในการรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาตลอดเวลา”
การผสานรวมใหม่ของ FortiAI
![]()
FortiAI for FortiNDR Cloud ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับภัยคุกคามสามารถจับสังเกตและดูผลการตรวจจับที่เชื่อมโยงกับการค้นหาได้อย่างง่ายดาย นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยสามารถค้นหาข้อมูลจาก FortiAI และตระหนักถึงความสามารถที่ครอบคลุมของ FortiNDR Cloud ในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น อีกทั้งยังเข้าใจกลยุทธ์และเทคนิคของผู้โจมตี รวมถึงช่องโหว่ที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างง่ายดาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการค้นหาและเสริมศักยภาพให้กับนักวิเคราะห์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับภัยคุกคามเข้าใจถึงความสามารถในการรับมือกับผู้โจมตีได้ดียิ่งขึ้น
FortiAI for Lacework FortiCNAPP มุ่งเน้นช่วยให้ทีม SOC เข้าใจการแจ้งเตือนได้เร็วขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและการดำเนินการที่ถูกต้อง ซึ่งการค้นหาโดยใช้ภาษาธรรมชาติ (natural language queries) จะช่วยให้ทีมสามารถเข้าใจสาเหตุของการแจ้งเตือนได้ง่ายขึ้น เข้าใจความเสี่ยง เช่น วิธีที่ผู้โจมตีอาจใช้ในการเจาะระบบ พร้อมให้คำแนะนำในอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการตรวจสอบและตอบสนองการโจมตี จึงช่วยแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยโค้ดที่ถูกต้อง
FortiAI ในสายผลิตภัณฑ์ของฟอร์ติเน็ต
การขยายความสามารถด้าน AI นับเป็นการยืนยันความเป็นผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยด้วย AI ซึ่งยังเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ติเน็ต ในสร้างนวัตกรรม AI ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสานรวม GenAI ในด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ได้แก่
· FortiAI for FortiAnalyzer ช่วยวิเคราะห์ภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์ ช่วยจัดลำดับความสำคัญในการตอบสนองพร้อมดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ
· FortiAI สำหรับ FortiManager ช่วยให้สร้างสคริปต์การตั้งค่าเครือข่ายได้ง่ายขึ้น สามารถแก้ไขปัญหา และดำเนินการแก้ไขช่องโหว่และปัญหาเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ
· FortiAI for FortiSIEM ให้ข้อมูลข้อมูลเชิงลึกตามบริบท พร้อมให้คำแนะนำในการตรวจสอบและตอบสนองการแจ้งเตือนความปลอดภัย
· FortiAI for FortiSOAR ให้คำแนะนำและเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบภัยคุกคาม ดำเนินการแก้ไข และสร้าง playbook ได้โดยอัตโนมัติ
· FortiAI for FortiDLP ช่วยสรุปและจัดบริบทข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงที่ตรวจพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราเชื่อว่า AI เป็นรากฐานสำคัญสำหรับอนาคตของการทำงาน และพลังการเปลี่ยนแปลงของ AI ควรเข้าถึงได้สำหรับทุกธุรกิจและพนักงานทุกคนในราคาที่เหมาะสม นั่นเป็นเหตุผลที่วันนี้เราตัดสินใจที่จะรวม AI ที่ดีที่สุดของ Google ไว้ในแพ็กเกจ Google Workspace Business และ Enterprise โดยนำความสามารถของ Generative AI ล่าสุดมามอบให้ลูกค้าธุรกิจของเรา โดยไม่จำเป็นต้องซื้อส่วนเสริมใด ๆ
การเพิ่มศักยภาพของบุคลากรด้วย AI ในที่ทำงาน
กว่า 20 ปีที่ Google Workspace ไม่ได้เป็นแค่ชุดเครื่องมือ แต่เป็นสถานที่ที่ทีมได้คิดค้น สร้างสรรค์ และเติบโตไปด้วยกัน เราได้สนับสนุนธุรกิจกว่า 10 ล้านรายไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ไปจนถึงองค์กรระดับโลก เพื่อพลิกโฉมวิธีการทำงานของพวกเขาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปัจจุบันเมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคของการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI จึงมีโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายสำหรับลูกค้าของเรา รวมทั้งช่วยสนับสนุนพันธกิจของเราในการช่วยให้ลูกค้าเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เราเชื่อว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานในวิธีการทำงาน ตลอดปีที่ผ่านมา เราได้เห็นลูกค้ากว่า 1 แสนรายใช้ Generative AI เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมของพนักงาน โดย AI เข้ามาช่วยลดภาระของงานที่น่าเบื่อ เช่น การจดบันทึกการประชุม การจัดทำเอกสารและวิดีโอขนาดยาว และยังทำหน้าที่เป็นคู่คิดเชิงกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนไอเดียที่ดีที่สุดของพวกเขาให้กลายเป็นจริง ธุรกิจที่ใช้ AI กำลังได้รับความ
ได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ แต่หลายคนไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือประสบปัญหาด้านต้นทุนในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้
![]()
การเสริมพลังให้กับทุกธุรกิจด้วย AI ที่ดีที่สุดของ Google
เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ เรายินดีที่จะประกาศให้ทราบว่าตอนนี้ AI ที่ดีที่สุดของ Google ได้รวมอยู่ในแพ็กเกจ Google Workspace Business และ Enterprise แล้ว ทำให้ทุกธุรกิจมีเครื่องมือที่พวกเขาต้องการเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สำหรับอนาคต
AI ที่ดีที่สุดของ Google ผสานรวมอย่างลงตัวกับการทำงานในแต่ละวัน
ความสามารถด้าน AI ต่อไปนี้จะเริ่มทยอยเปิดตัวให้กับลูกค้า Workspace Business ในวันนี้ และสำหรับลูกค้า Enterprise ในปลายเดือนนี้
· รับความช่วยเหลือจาก AI ใน Gmail, Docs, Sheets, Meet, Chat, Vids และอื่นๆ: ทำงานให้ดีที่สุดได้เร็วขึ้นด้วย AI ที่ฝังอยู่ในเครื่องมือที่คุณใช้ทุกวัน Gemini ปรับปรุงการสื่อสารของคุณโดยช่วยคุณสรุป ร่าง และค้นหาข้อมูลในอีเมล แชท และไฟล์ของคุณ AI สามารถเป็นคู่คิดและมอบแรงบันดาลใจ ช่วยคุณสร้างเอกสาร สไลด์ สเปรดชีต และวิดีโอระดับมืออาชีพตั้งแต่เริ่มต้น Gemini ยังสามารถช่วยให้การประชุมของคุณราบรื่นขึ้น โดยการจดบันทึก ปรับปรุงคุณภาพเสียงและวิดีโอของคุณ และช่วยให้คุณตามทันการสนทนาหากคุณเข้าร่วมช้า
· แชทกับ Gemini Advanced ซึ่งเป็น AI รุ่นถัดไปของ Google: เริ่มต้นการเรียนรู้ การระดมความคิด และการวางแผนด้วยแอป Gemini บนแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์มือถือของคุณ Gemini Advanced สามารถช่วยคุณจัดการกับโปรเจ็กต์ที่ซับซ้อน รวมถึงการเขียนโค้ด การวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยให้คุณสร้าง Gems ที่เป็นเหมือนทีม AI ผู้เชี่ยวชาญของคุณเพื่อช่วยในการทำงานซ้ำ ๆ หรืองานเฉพาะทาง · ปลดล็อกพลังของ NotebookLM Plus: เรากำลังนำผู้ช่วยวิจัย AI ที่ปฏิวัติวงการมาสู่พนักงานทุกคน เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจหัวข้อที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น อัปโหลดแหล่งข้อมูลเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกทันทีและภาพรวมของเสียงที่เหมือนกับพอดแคสต์ จากนั้นแชร์ Notebooks ที่กำหนดเองกับทีมเพื่อเร่งกระบวนการเรียนรู้และการเริ่มต้นทำงาน
ราคาแพ็กเกจ AI ที่เข้าใจง่ายขึ้น
เรากำลังลดความซับซ้อนของแพ็กเกจและราคาของเราเพื่อให้ลูกค้า Google Workspace ทุกรายมีโอกาสเข้าถึงประโยชน์จาก AI ของ Google ได้มากขึ้น โดยตอนนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าส่วนเสริมเพื่อเข้าถึงความสามารถ Generative AI ล่าสุดของเราอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจ Workspace Business Standard พร้อมส่วนเสริม Gemini Business แต่เดิมจะต้องจ่าย 1,210 บาท ต่อผู้ใช้ต่อเดือน ตอนนี้ ลูกค้ารายเดียวกันนี้จะจ่ายเพียง 550 บาท ต่อผู้ใช้ต่อเดือน ซึ่งแพงกว่าราคาแพ็กเกจ Workspace แบบไม่มี Gemini เพียง 96 บาท เท่านั้น คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาที่อัปเดตของเราและความพร้อมใช้งานของฟีเจอร์ตามรุ่นได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือ (Help Center) ราคานี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้สำหรับลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าปัจจุบันนั้น ราคาการสมัครสมาชิกรายเดือนจะได้รับการอัปเดตตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2025 หรือในวันที่ต่ออายุพร้อมแพ็กเกจรายปี/แพ็กเกจตามระยะเวลาที่กำหนด แล้วแต่ว่าวันใดจะเกิดขึ้นทีหลัง ทั้งนี้ลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กมากจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาในขณะนี้
การปกป้องการสนทนาของคุณกับ AI ให้ปลอดภัย
เรารู้ว่าความปลอดภัยของข้อมูล การรักษาความลับ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับผู้นำธุรกิจเมื่อใช้ AI และเรามุ่งมั่นที่จะช่วยคุณรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย
· ข้อมูลของคุณยังคงเป็นของคุณ: เราจะไม่ใช้ข้อมูล พรอมต์ หรือคำตอบที่สร้างขึ้นของคุณเพื่อฝึกโมเดล Gemini ภายนอกโดเมนของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งจะไม่ขายข้อมูลของคุณหรือใช้ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณาด้วย
· คุณสามารถควบคุมได้: เราสร้าง Gemini ด้วยการควบคุมระดับองค์กรเพื่อช่วยคุณเริ่มใช้ Gemini ในขณะที่ปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของคุณ Gemini จะดึงเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่ผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง นอกจากนี้ มาตรการควบคุมความปลอดภัยและความเป็นเจ้าของข้อมูล Workspace ที่มีอยู่ของคุณจะถูกนำไปใช้โดยอัตโนมัติ
· คุณสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้: Gemini สำหรับ Workspace และแอป Gemini เป็นหนึ่งในโซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพ Generative AI กลุ่มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยที่ครอบคลุม รวมถึงมาตรฐาน SOC 1/2/3, ISO 27001/17/18 และ ISO 42001
Cr: Google
ทรู คอร์ปอเรชั่น ลุยเข้มหยุดภัยมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน โดยคณะผู้บริหารระดับสูง นำโดย นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร และนางสาวทิพยรัตน์ แก้วศรีงาม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการจัดการระดับภูมิภาค เข้าพบ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแนวคิดตั้ง “วอร์รูม” ร่วมกันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
การปรึกษาหารือครั้งนี้ ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทรู คอร์ปอเรชั่น จะร่วมมือกันในแนวทางการจัดตั้ง "วอร์รูม" ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการข้อมูลเชิงลึกจากทั้งสองฝ่าย นำมาวิเคราะห์เพื่อป้องปรามและจับกุมแก๊งมิจฉาชีพ โดยเฉพาะการทลายเครือข่ายที่ใช้อุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ (Simbox) และการตรวจจับพฤติกรรมการโทรหรือส่ง SMS ที่ผิดปกติ เพื่อหยุดยั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และทลายแหล่งมิจฉาชีพในการสร้างความเสียหายและการสูญเสียทรัพย์สินจากการหลอกลวงประชาชน
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีของประเทศไทย เราตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง จึงได้มุ่งมั่นดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างเข้มข้น เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากมิจฉาชีพที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชน ทั้งในรูปแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการส่งข้อความ SMS หลอกลวง โดยบริษัทได้กำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของลูกค้าและสังคมอย่างเป็นระบบ มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยคัดกรองและเฝ้าระวังพฤติกรรมที่ผิดปกติ พร้อมทั้งจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจในการตรวจสอบและป้องกันการกระทำผิดอย่างเข้มงวด ล่าสุด เราได้ยกระดับความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการบูรณาการการทำงานเชิงลึก ด้วยการเตรียมจัดตั้งวอร์รูมร่วมกัน เพื่อผสานความเชี่ยวชาญและข้อมูลเชิงลึกจากทั้งสองฝ่าย การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ยับยั้งและทลายเครือข่ายมิจฉาชีพ เพื่อปกป้องประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มอาชญากรเหล่านี้”
นับตั้งแต่ปี 2567 บริษัทได้เพิ่มความเข้มงวดในการลงทะเบียนซิมการ์ดและเลขหมาย พร้อมนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการคัดกรอง มีการยกเลิกความร่วมมือกับคู่ค้าที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย และระงับการใช้งานซิมการ์ดที่อาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ รวมถึงจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจด้านการป้องกันการทุจริต (Fraud Team)
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้พัฒนาบริการ "ทรูไซเบอร์เซฟ" (True CyberSafe) เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์แก่ผู้ใช้บริการ โดยระบบจะแจ้งเตือนเมื่อพบลิงก์ต้องสงสัย ซึ่งลูกค้าทรู-ดีแทค และทรูออนไลน์สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม โดยล่าสุดได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Cyber Check ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถคัดกรองเบอร์โทรศัพท์และตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารที่ต้องสงสัยได้ โดยใช้ฐานข้อมูลจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นข้อมูลจากการร้องเรียนและการดำเนินคดีจริง
ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินที่ถูกหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพ สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงประชาชน รวมถึงการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ HONOR X9c 5G ภายใต้คอนเซปต์ “ถึก ทน คุ้ม ที่สุดของความแข็งแกร่ง” เน้นจุดเด่นด้านความแข็งแกร่งและทนทาน มาพร้อมเทคโนโลยี HONOR Anti-Drop รองรับการตกกระแทกได้อย่างทรงพลังและช่วยป้องกันอุปกรณ์ตกจากที่สูงได้ถึงระยะ 2 เมตร ผสานการออกแบบโครงสร้างตัวเครื่องจากวัสดุคุณภาพสูงที่ทนต่อการกระแทกรอบด้าน 360 องศา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมาตรฐานกันน้ำระดับ IP65M ที่สามารถป้องกันน้ำและฝุ่นได้เป็นอย่างดี เสริมศักยภาพการใช้งานไร้ขีดจำกัดด้วยแบตเตอรี่อึด ความจุ 6600mAh พร้อมระบบชาร์จไว 66W ตลอดจนมอบประสบการณ์การถ่ายภาพบนมือถือด้วยกล้อง AI ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอคมชัดในทุกมุมมอง HONOR X9c 5G จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในทุกมิติ และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งถึก ทน และคุ้มค่าในเครื่องเดียว

HONOR X9c 5G เตรียมเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ วันที่ 8 มกราคม 2568 มาพร้อมความพิเศษสุดกับการคว้า “ก้อง ห้วยไร่” ศิลปินลูกทุ่งอีสานขวัญใจคนไทยมาร่วมเป็น HONOR’s friend เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพที่พร้อมท้าชนและพิสูจน์ความแข็งแกร่งในทุกแง่มุม สามารถติดตาม
โปรโมชันและข้อเสนอพิเศษได้ในงานเปิดตัวพร้อมกัน วันพุธที่ 8 มกราคม 2568 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ณ ชั้น 1 โซน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หรือรับชมบรรยากาศการเปิดตัวแบบสด ๆ ได้ทางเฟซบุ๊กเพจ HONOR Thailand และ YouTube HONOR Thailand
ห้ามพลาด!! เปิดพรีออเดอร์ HONOR X9c พร้อมรับโปรโมชันและของแถมสุดพิเศษตั้งแต่วันที่ 8 – 17 มกราคม 2568 เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2568 เป็นต้นไป สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/3W7AUCb และอีกหนึ่งรุ่นแห่งความประหยัด HONOR X9c Smart พรีออเดอร์ผ่านเฉพาะช่องทาง Shopee ตั้งแต่วันที่ 8 – 14 มกราคม 2568 และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เฉพาะช่องทาง Online สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/4gVOOzl
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 นายฐิติวุฒิ เงินคล้าย รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ร่วมกับนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยฝ่ายบริหาร และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่สำรวจ และติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ถนนพระราม 3 ณ หน้าสวนศิลาฤกษ์ และบริเวณเส้นทางโครงการโดยรอบ โดยเน้นย้ำเรื่องการปฏิบัติงานให้ลดผลกระทบจากการก่อสร้างกับประชาชนมากที่สุด
รองผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ได้ดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านระบบไฟฟ้า ทำให้เกิดความปลอดภัย และเกิดทัศนียภาพที่สวยงาม โดยได้ดำเนินงานในช่วงเวลา 22.00 - 05.00 น. ของทุกวันเพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลากลางวันที่มีการเปิดให้รถสัญจรเป็นปกตินั้น MEA ได้กำหนดรูปแบบการดำเนินงานให้กับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างในแต่ละโครงการ เช่น การปิดฝาบ่อพักชั่วคราว การวางแผ่น Road Deck ตลอดจนการเทคอนกรีตเพื่อแก้ไขปัญหาผิวการจราจร แต่เนื่องจากปัญหาอุปสรรคการทรุดตัวของดิน และข้อจำกัดในด้านระยะเวลาดำเนินงาน จึงส่งผลต่อความราบเรียบและความสม่ำเสมอของผิวถนนในบางพื้นที่ ซึ่ง MEA และบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้ให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากการวางแนวทางด้านวิศวกรรมแล้ว MEA ได้วางมาตรการกำกับการปฏิบัติงานของบริษัทผู้รับเหมา โดยการจัดให้มีการตรวจสอบความเรียบร้อยของฝาบ่อ และผิวจราจรตลอดระยะพื้นที่ของโครงการก่อสร้าง 2 ช่วงเวลาต่อวัน รวมถึงการจัดทีมงานเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขเหตุเร่งด่วน และการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน

ปัจจุบัน MEA ได้ดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแผนดำเนินการรวมทั้งสิ้น 313.5 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายแล้วเสร็จภายในปี 2572 ซึ่งในขณะนี้ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 90 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่สำคัญหลายแห่ง ขณะที่อีก 223.5 กิโลเมตร อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก และโครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ซึ่งมีพื้นที่ก่อสร้างส่วนใหญ่ร่วมกับการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการก่อสร้าง รวมถึงลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในคราวเดียวกัน
ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการของ MEA รวมถึงพบสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าของ MEA ชำรุด หรืออยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่ MEA Smart Life Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนระบบ iOS และ Android ดาวน์โหลดฟรีได้ที่ App Store และ Google Play หรือช่องทางโซเชียลมีเดียทางการของ MEA ได้ที่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เดินหน้าจับมือโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ต่อยอดความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2566 เพื่อให้ประชาชนภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงการตรวจหาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ในปีนี้เราได้ขยายขอบเขตความร่วมมือสู่การวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่ครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มดำเนินการในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอดและมะเร็งตับเป็นกลุ่มนำร่อง ทั้งยังช่วยสนับสนุนการเข้าถึงการตรวจหายีนส์กลายพันธุ์และร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลศูนย์ของภาคตะวันออก พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล 8 โรงพยาบาล ครอบคลุมผู้ป่วยในจังหวัดจันทบุรี ตราด สระแก้ว และ 3 อำเภอของจังหวัดระยอง อาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “มะเร็งรักษาหายได้ หากได้รับโอกาสในการรักษา” โดยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เข้ามารับการรักษาที่ศูนย์แห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 คนต่อปี และพบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 200 คน ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้าย จากความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประกอบการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในปี 2566 ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลในเครือข่าย ส่งผลให้พบผู้ป่วยในระยะแรกเริ่มได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงขยายไปสู่โรคปอดอื่น ๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด วัณโรค และ โรคหัวใจ เช่น
หัวใจล้มเหลว เป็นต้น นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีศูนย์ Clinical Research Center ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก เพื่อศึกษาวิจัยยาใหม่ในผู้ป่วยมะเร็ง

นายแพทย์ธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในภาคตะวันออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับโรคมะเร็งซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย การลงนามความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระปกเกล้าเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้มีความครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และการคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น การพัฒนาระบบการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การรักษาที่แม่นยำเฉพาะบุคคลด้วยการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม ไปจนถึงการวิจัยระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ซึ่งพบมากในประชากรไทย นอกจากนี้ เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ผ่านการอบรมและสัมมนาวิชาการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และเพื่อให้โครงการนี้สามารถเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในระดับประเทศต่อไปในอนาคต”

ด้านนายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เผยว่า “ปัจจุบัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญมากในประเทศไทย โดยมีโรคมะเร็งเป็นปัญหาหลัก ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลพระปกเกล้านี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของการคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพและขยายผลไปสู่การตรวจในกลุ่มมะเร็งตับ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการทำงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้าแห่งนี้ให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น”
“และเนื่องจากสถิติการตรวจพบมะเร็งในคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แอสตร้าเซนเนก้าเล็งเห็นความสำคัญของการผลักดันให้คนไทยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต เพราะการตรวจพบจะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค และเพิ่มโอกาสในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมแก่แพทย์ได้ แอสตร้าเซนเนก้าคาดหวังว่าการร่วมมือกับ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ในครั้งนี้จะส่งเสริมการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทย และด้วยเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปอด โครงการนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าที่จะช่วยให้คนไทยห่างไกลโรคร้าย เพราะสุขภาพที่ดีของทุกคนคือจุดมุ่งหมายที่เรายึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด” นายโรมัน กล่าวทิ้งท้าย
กรุงเทพฯ 16 ธันวาคม 2567 - ปีใหม่ ทั้งทีต้องไม่ธรรมดา! ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะเนรมิตมหาปรากฏการณ์งานเคานต์ดาวน์ระดับเวิลด์คลาส “ICONSIAM Amazing Thailand Countdown 2025” ส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่แบบยิ่งใหญ่เว่อร์ ว้าวกว่าใคร มอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้ลูกค้าทรูแบล็ค ดีแทค PLATINUM BLUE MEMBER ตลอดจนลูกค้าทรู ดีแทค ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ร่วมเฉลิมฉลองเคานต์ดาวน์สะกดโลก ดื่มด่ำกับการแสดงพลุสุดวิจิตรงดงามอลังการยาวที่สุดในประเทศไทย และโชว์สุดเอ็กคลูซีฟระดับโลก จากศิลปินชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมด้วยการแสดงวัฒนธรรมไทยโดยทัพนักแสดงและโวคัลลิสต์ระดับแชมป์ ที่ร่วมส่งต่อความรุ่งโรจน์แห่งสยามสู่เวทีโลก
โดยมีกระแสการตอบรับดีเยี่ยม ลูกค้าทรูแบล็ค และดีแทค PLATINUM BLUE MEMBER แลกรับบัตรคืนวันเคานต์ดาวน์สุดพิเศษ กับ 2 โซนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ทั้งบัตรนั่งโซน ICONSIAM PARK ชั้น 2 และที่ TrueSphere ICONSIAM ชั้น 4 และ True Branding Shop ที่มาพร้อมรับสิทธิพิเศษ อาหารและเครื่องดื่มฟรีจากทรูคอฟฟี่ และส่วนลดมือถือ 2,000 บาท รอเพียงลูกค้าทรูแบล็ค และดีแทค PLATINUM BLUE MEMBER
มาสัมผัสประสบการณ์สะกดโลกในวันเคานต์ดาวน์สุดอลังการ ส่วนผู้ที่พลาดโอกาสแลกพอยท์ไม่ทันยังสามารถ ร่วมสนุกชิงรางวัลบัตรเข้างานคอนเสิร์ต ในวันที่ 29, 30 และ 31 ธันวาคม 2567 ลูกค้าทรู ดีแทค ร่วมสนุกโดย ใช้ 9 ทรูพอยท์ หรือ 90 ดีแทคคอยน์ รับ 1 สิทธิ์ หรือใช้ 90 ทรูพอยท์ หรือ 900 ดีแทคคอยน์ รับ 10 สิทธิ์ ชิงบัตรเข้างาน ICONSIAM Amazing Thailand Countdown 2025 สุดยิ่งใหญ่อลังการพร้อมสะกดทุกสายตาของชาวโลก
ทรูจัดให้ VIP SEATING ZONE โซนนั่ง สำหรับลูกค้าทรูแบล็ค และดีแทค PLATINUM BLUE และ VIP STANDING ZONE โซนยืนหน้าเวที สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ แลกสิทธิ์ ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 ธันวาคม 2567 นี้เท่านั้น ผ่านแอปทรูไอดีสำหรับลูกค้าทรู และดีแทคแอปสำหรับลูกค้าดีแทค โดยประกาศผลผู้โชคดี ในวันที่ 25 ธันวาคม 2567 เวลา 16.00 น. ทาง Facebook: TrueYou พิเศษ! ลูกค้าที่ใช้บริการต่อเนื่องยิ่งนาน ยิ่งได้สิทธิ์เพิ่ม รับทันที 1 สิทธิ์ ทุกๆ 12 เดือนที่ใช้บริการ (นับถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567) โดยร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 ธันวาคม 2567 นี้ ผ่านแอปทรูไอดีและดีแทคแอป
สร้างโมเมนต์สุดประทับใจ ส่งท้ายปี 2024 และเริ่มต้นปี 2025 แบบตื่นตาตื่นใจไปด้วยกันกับ ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมส่งมอบสัญญาณความสุข เร็ว แรงทั่วไทย โดยจัดเตรียมรถขยายสัญญาณจากทรู และดีแทค 5G ให้ชาวไทยไร้กังวล เคานต์ดาวน์แบบหมดห่วง อัปโซเชียล เล่นเน็ตเร็วแรงได้ไม่อั้น ในทุกพื้นที่ทั่วไทยอีกด้วย
เคทีซีเปิดเวทีเสวนา KTC FIT Talk 13 "โฟกัสเศรษฐกิจปี 2568: โอกาสและความท้าทาย" นำเสนอข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจ การรับมือความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในปี 2568 ชี้อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตท่ามกลางความท้าทาย โดยมีดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ - การเงิน “เคทีซี” ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ณ “เคทีซี” อาคารยูบีซี 2
![]()
ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ประมาณ 2.7% โดยไตรมาส 4/2567 จีดีพีจะขยายตัวได้ 4% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการขยายตัวของการส่งออก แต่ในปี 2568 นั้น ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า จีดีพีจะขยายตัว 2.9% แต่แนวโน้มยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยมีความเสี่ยงที่โน้มเอียงไปในทิศทางขาลง ซึ่งทางไอเอ็มเอฟคงจะนึกถึงการชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ และความเสี่ยงของภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นหากมองไปในปี 2568 จะมี 4 ปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้คือ
1. การส่งออกสินค้าซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของจีดีพี โดยการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เท่ากับเกือบ 10% ของจีดีพี จะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโอกาสที่มีผลกระทบทางลบหรือความเสียหาย (downside risk) มาก และตลาดยุโรปกับจีนก็ดูจะ ไม่แข็งแรง
2. การท่องเที่ยวคงจะฟื้นตัวต่อไป คือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2568 น่าจะกลับไปที่ 40 ล้านคน เท่ากับปริมาณก่อนการระบาดของโควิด 19 แต่รายจ่ายต่อหัวจะยังต่ำกว่า
3. แรงกระตุ้นจากภาครัฐคงจะมีต่อเนื่องถึงประมาณกลางปีหน้า จากการแจกเงินก้อนสุดท้าย และการเร่งใช้งบลงทุน แต่การที่รัฐมนตรีคลังพูดถึงการเก็บภาษีเพิ่ม แปลว่า นโยบายการคลังน่าจะตึงตัวขึ้น
4. นโยบายการเงินนั้น ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยังคงจะส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ และธนาคารพาณิชย์เองก็คงจะต้องใช้เวลากับการแก้หนี้เสียที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้น แนวโน้มของการลดลงของสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ (debt deleveraging) ก็จะยังดำเนินต่อไปในปี 2568
อย่างไรก็ตาม หากธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายนโยบายการเงินเชื่องช้าเกินไป ผลที่จะตามมาคือ กำลังซื้อในประเทศจะ ไม่แข็งแรงและเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีกได้”
![]()
นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ - การเงิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยว่า “เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 2.9 ในปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการส่งออกในภูมิภาค การที่สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมอีกร้อยละ 60 และขึ้นภาษีทั่วไปร้อยละ 10 สำหรับประเทศอื่นๆ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์ในระยะสั้น จากการย้ายฐานการผลิตของจีนมายังอาเซียน (China+1) แม้ว่าในระยะยาวอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดส่งออก จุดแข็งสูงสุดของการเติบโตคาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 4/2567 และไตรมาส 1/2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.50-2.00 สอดคล้องกับทิศทางทั่วโลก เนื่องจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่คาดว่าจะปรับ
ลดลง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลยังคงมีแนวโน้มเข้ามาต่อเนื่อง โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568
ภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม บริการสุขภาพที่ได้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ และสถาบันการเงินที่มีการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินและปรับตัวสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลก ควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตจากเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้มากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความ ท้าทายสำคัญยังคงเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม รวมถึงการปรับตัวต่อกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันจากผู้ให้บริการเดิมและผู้เล่นใหม่ โดยเคทีซีพร้อมที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย
ทิศทางธุรกิจเคทีซีในปี 2568 จะนำพาองค์กรสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืนด้วย 3 องค์ประกอบ คน ระบบและเทคโนโลยี เราเชื่อมั่นว่าการทำความเข้าใจแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และการวางแผนกลยุทธ์ที่รอบคอบ จะช่วยให้เคทีซีสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคที่โลกเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรามุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยบริการทางการเงินที่ทันสมัยและครบวงจร พร้อมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงิน และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดสินเชื่อผู้บริโภคและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568 และต่อไปในอนาคต”
ผลการดำเนินงานในปี 2567 เคทีซีทำกำไรสุทธิ 5,549 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรก และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายกำไรสุทธิ 7,295 ล้านบาทในสิ้นปี สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยพอร์ตสินเชื่อรวมคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 4-5% พร้อมรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อให้มีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL (Non-Performing Loan) ไม่เกิน 2.0% เคทีซียังวางแผนเพิ่มยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 10% โดยใช้กลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า และขยายผลิตภัณฑ์บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) เติบโต 3% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,000 ล้านบาท ด้วยโซลูชันการเงินเฉพาะบุคคลที่ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่คนพิการเพื่อผลิตบัณฑิตกลุ่มวิชาชีพครู หวังเพิ่มจำนวนบุคลากรครูที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการสอนคนพิการไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ส่งเสริมศักยภาพให้คนพิการมีอาชีพที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการระดมทุนในโครงการทุนสถาบันราชสุดา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของคนพิการในสังคมไทย
คนพิการคือกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการศึกษา แม้ว่าในทางกฎหมาย ภาครัฐจะให้ความสำคัญต่อการศึกษาโดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องได้รับและสามารถเข้าถึงได้ แต่ในทางปฏิบัติ การจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มคนพิการนั้นยังคงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากและอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากปัญหาทั้งด้านหลักสูตร โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาสำหรับคนพิการ และความสามารถในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
![]()
อาจารย์นายแพทย์สมเกียรติ ลีละศิธร ผู้อำนวยการสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “การขาดโอกาสทางการศึกษาส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี จนนำมาสู่ปัญหาการขาดโอกาสในการประกอบอาชีพของกลุ่มคนพิการ จากข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 พบว่า มีจำนวนคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายในประเทศไทยทั้งสิ้น 423,936 คน คิดเป็น 19.19% ของคนพิการทั้งหมด โดยในจำนวนคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายทั้ง 423,936 คนเหล่านี้ มีผู้ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาสูงที่สุด 282,410 คน รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษาที่ 35,899 คน ในขณะที่ผู้ที่ได้รับ
การศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามีเพียง 9,227 คนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงมุ่งมั่นเป็นสถาบันที่เปิดพื้นที่ทางการศึกษาสำหรับนักศึกษาทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ระดับชั้นปริญญาตรี โท และเอก เพื่อผลิตบุคลากรครูสำหรับคนพิการทางการได้ยินโดยเฉพาะ รวมทั้งเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนพิการที่ต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพกายและจิตใจผ่านงานบริการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับทุกคนในสังคมได้อย่างมีความสุข”
อาจารย์ ดร.ปรเมศวร์ บุญยืน ประธานหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การขาดแคลนล่ามภาษามือ จากสถิติกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2567 พบว่า ล่ามภาษามือที่จดแจ้งมีจำนวนทั้งหมด 178 คน โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลมากที่สุด และ 36 จังหวัดในประเทศไทยไม่พบล่ามภาษามือที่จดแจ้ง สถาบันราชสุดา ในฐานะสถาบันการศึกษาแห่งเดียวที่ผลิตล่ามภาษามือในระดับปริญญาตรี จึงให้มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตเพื่อส่งต่อความรู้ให้แก่คนพิการทางการได้ยินให้มีทักษะในการประกอบอาชีพ ตลอดจนสามารถหาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนพิการในสังคมไทย”
![]()
คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวเสริมว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเท่าเทียมและไม่แบ่งแยก โดยเฉพาะความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาตนเอง โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนสนับสนุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมจัดสรรเงินทุนเพื่อพัฒนาด้านการเรียนการสอนในสถาบันราชสุดา รวมถึงส่งเสริมด้านงานวิจัยนวัตกรรมด้านคนพิการและการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของคนพิการ เพื่อให้คนพิการในสังคมไทยมีอาชีพที่มั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มวิชาชีพครูที่สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในอนาคต นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนของคนพิการในประเทศไทย”
สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้คนพิการสามารถเรียนรวมกับคนทั่วไปได้อย่างเท่าเทียม โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในห้องเรียนเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ระหว่างคนพิการและบุคคลทั่วไป พร้อมจัดบริการสนับสนุนการศึกษาอย่างเหมาะสมเพื่อลดอุปสรรคการเรียนรู้ที่เกิดจากข้อจำกัดด้านความพิการ สถาบันราชสุดา เปิดสอนทั้งหมด 5 หลักสูตร ดังนี้ ระดับปริญญาตรี ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา วิชาเอกการออกแบบเชิงพาณิชย์ และวิชาเอกล่ามภาษามือไทย และ หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หลักสูตรศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ และ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของมูลนิธิรามาธิบดีฯ เพื่อสร้างพื้นที่แห่งโอกาสทางการศึกษาให้คนพิการ นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนพิการและคนทั่วไป พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมที่ปราศจากการแบ่งแยก ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th
24X บริษัทสตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้านงานซ่อมแซมบำรุงรักษาและติดตั้งแบบครบวงจรให้กับลูกค้าทั้งแบบ B2B และ B2C ผ่านพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่มีความหลากหลาย ประกาศความสำเร็จครั้งใหม่ในการระดมทุนรอบซีรีส์ บี โดยสองกลุ่มนักลงทุนระดับชั้นนำอย่าง เวฟเมคเกอร์ เวนเจอร์สและกรุงศรี ฟินโนเวต ในเครือกรุงศรี ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ 24X ในการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการเฉพาะทางด้านการซ่อมแซมบำรุงรักษาและติดตั้งครบวงจร
โดยธุรกิจการให้บริการของ 24X ประกอบไปด้วย
- 24 FIX บริการซ่อมแซมบ้านแบบ All-in-one สำหรับลูกค้าทั่วไป
- 24 House Solution บริการต่อเติมและตกแต่งพื้นที่อยู่อาศัยภายใต้การควบคุมดูแลของนักออกแบบตกแต่งภายในและ Project Managers ตลอดการทำงาน
- 24 FIX for Business บริการซ่อมแซมสำหรับลูกค้าธุรกิจอย่างมืออาชีพ
- 24 Projects บริการออกแบบและก่อสร้างสำหรับลูกค้าธุรกิจ
- VERTE ให้บริการด้าน Green Energy Solution เช่น การติดตั้งระบบพลังงานโซลาร์ และระบบชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger)
![]()
นายคณิศร มีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง 24X กล่าวว่า “24X เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มีประสบการณ์กว่า 6 ปีในการให้บริการด้านงานซ่อมแซมบำรุงรักษา และติดตั้ง แบบครบวงจรให้กับลูกค้า และตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและทิศทางในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยมุ่งเน้นสนับสนุนลูกค้าภาคธุรกิจต่างๆ เสนอโซลูชั่นในการซ่อมแซมแบบครบวงจร และการติดตั้งงานกลุ่ม Green Energy งานโซลาร์เซลล์ รวมถึงเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า จนทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาเราสามารถทำรายได้รวมกว่า 480 ล้านบาท ซึ่งโตกว่าปีก่อนถึง 2.5 เท่า และมากกว่าครึ่งมาจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจ ความสำเร็จนี้ ตอกย้ำให้สองนักลงทุนระดับชั้นนำอย่าง เวฟเมคเกอร์ เวนเจอร์สและกรุงศรี ฟินโนเวต มั่นใจในศักยภาพและโอกาสในการเติบโตในระยะยาวของเรา เป็นผลให้เราสามารถระดมทุนในรอบ Series B ได้สำเร็จ”
นอกจากการบริการด้านงานซ่อมแซมบำรุงรักษา ติดตั้ง และโซลูชั่นเพื่อบ้านและธุรกิจแบบครบวงจรแล้ว 24X ยังมุ่งเน้นในการขยายบริการและโซลูชั่นที่ครอบคลุมธุรกิจกลุ่ม Green Energy ไม่ว่าจะเป็นงานติดตั้งระบบ Solar และจุดชาร์จยานพาหนะ EV ผ่านดำเนินงานภายใต้แบรนด์ ‘VERTE’ โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ และพันธมิตรทางธุรกิจด้านระบบโซลาร์อย่าง JA Solar และ TRINA รวมถึงอีกหลายแบรนด์อื่นๆ ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกสามารถติดตั้งระบบพลังงานทางเลือกแบบครบวงจรไปแล้วกว่า 80 แห่ง ทั้งแบบ Engineering Procurement and Construction (EPC) และ Power Purchase Agreement (PPA) รวมทั้งสิ้นกว่า 20 เมกะวัตต์ (MW) และยังเป็นผู้ดำเนินการติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ AC และ DC มากว่า 2,000 แห่ง ให้กับแบรนด์รถ EV ชั้นนำอย่าง BYD, NETA, Changan, และ Aion รวมถึงสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ณ สถานีให้บริการน้ำมันอีกด้วย
Joel Ang Investment Principals ของบริษัท เวฟเมคเกอร์ เวนเจอร์ส กล่าวว่า “รูปแบบการบริการด้านการ ซ่อมแซม บำรุงรักษา การติดตั้ง และรีโนเวทในปัจจุบันนั้น ยังมีโอกาสในการปรับปรุงและพัฒนาได้อีกมาก โดยเฉพาะ ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาที่มักพบบ่อย เช่น การขาดความโปร่งใสด้านราคา ปัญหาด้าน คุณภาพ กำหนดเวลาที่คลาดเคลื่อน มาตรฐานการบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และนี่คือเหตุผลที่เราเลือกจะสนับสนุน 24X บริษัทที่กำลังสร้างนิยามใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้ โดยเป็นแพลตฟอร์มที่
ลูกค้าจะไว้วางใจได้สำหรับบริการคุณภาพในราคาที่โปร่งใส ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบและเวลาส่งงานที่ชัดเจน และการสร้างเครือข่ายช่างฝีมือที่น่าเชื่อถือ ทำให้ 24X พร้อมที่จะตั้งมาตรฐาน ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงสร้างมูลค่าระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด”
![]()
นางสาวปาลิดา อธิศพงศ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจด้านการก่อสร้าง ซ่อมบำรุง และโซลูชั่นด้านพลังงานทางเลือก ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งสิ้น และการที่ 24X เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุม ก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ เองก็มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก โดยการลงทุนในรอบซีรีส์ B จะช่วยส่งเสริมให้ 24X สามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการเฉพาะทางด้านการซ่อมแซมบำรุงรักษา และติดตั้งครบวงจร”
“สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในขั้นต่อไป เราต้องการพุ่งเป้าไปที่การให้บริการด้านการซ่อมบำรุง ทั้งแบบ Preventive Maintenance (PM) และ Corrective Maintenance (CM) ธุรกิจจะสามารถไว้วางใจให้เราช่วยดูแลงานติดตั้งซ่อมแซมและบำรุงรักษาหลังบ้านด้วยประสบการณ์จากการบริหารงานกว่า 100,000 งาน พร้อมระบบ Digital Platform ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมา ได้แก่ Eagle Platform ระบบบริหารงานซ่อมแซม, Cheetah Platform สำหรับบริหารโครงการแบบศูนย์รวม และ Wolf App แอปพลิเคชันควบคุมงานช่าง ทั้งหมดนี้สร้าง Ecosystem ที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้มั่นใจในคุณภาพบริการของเรา และสามารถทุ่มเททรัพยากรไปสู่การขยายธุรกิจสามารถทุ่มเทเวลาและทรัพยากรไปกับการขยายธุรกิจเป็นหลักได้” นายคณิศร กล่าวเสริม