

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สนับสนุนรัฐบาลขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ต่อยอดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025” ด้วยการวางแผนยกระดับบริการ และให้การสนับสนุนกิจกรรม เพื่อตอบรับ 3 กลยุทธ์หลักของรัฐบาล ได้แก่ การยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว ผ่านการนำเสนอบริการเรียกรถระดับพรีเมียม GrabExecutive เจาะกลุ่มไฮเอนด์ การโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ไม่ควรพลาด และเป็น Hidden Gems ด้วยแผนการขยายบริการเรียกรถเพิ่มใน 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง สตูล ตราด และ อำนาจเจริญ รวมถึงการสนับสนุนการจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และอีเวนต์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น การสนับสนุนโครงการโอ่งอ่าง Water & Colour ต้อนรับวันลอยกระทง ตลอดจนเทศกาลดนตรีระดับโลก อาทิ Rolling Loud Thailand, Wonderfruit Festival พร้อมสานต่อเป้าหมายการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “หลังจากที่แกร็บได้เข้าร่วมภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Taskforce) ที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เรามีความมุ่งมั่นที่จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และความแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็มที่ให้บริการครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เดินทางมายังประเทศไทย และสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ โดยเรามีแผนที่จะพัฒนาและขยายบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และให้การสนับสนุนด้านการเดินทางในการเข้าร่วมกิจกรรม และงานอีเวนต์ต่างๆ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน อาทิ แพลตฟอร์มจองที่พัก โรงแรมชั้นนำ และสายการบิน ในการยกระดับการท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งตอบรับกับเป้าหมายของแคมเปญ 'Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025' ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การเดินทางที่เข้าถึงง่าย และการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน”
ทั้งนี้ แกร็บ ในฐานะหนึ่งในสมาชิกภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรม (Tourism Taskforce) ได้วางแผนที่จะยกระดับบริการ และให้การสนับสนุนกิจกรรมที่ตอบรับ 3 เสาหลักทางยุทธศาสตร์ ดังนี้
![]()
· ยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวตลอดการเดินทาง เพื่อความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ ก่อนการเดินทาง-ระหว่างการเดินทาง-หลังการเดินทาง โดยนอกจากการรักษาคุณภาพมาตรฐานด้านการบริการ และความปลอดภัยของบริการแล้ว แกร็บยังได้มีการพัฒนาบริการใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลายด้วยเช่นกัน อย่างเช่น การทดลองเปิดตัว GrabExecutive บริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียมที่ให้การดูแลแบบเวิลด์คลาส รองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มไฮเอนด์ ซึ่งจะให้บริการด้วยรถลักซ์ชัวรี อาทิ Mercedes Benz E Class, BMW Series 5, Toyota Vellfire และ Toyota Alphard ในราคาเริ่มต้น 2,500 บาท ซึ่งสามารถจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่ 4 ชั่วโมง ถึง 7 วัน
· การสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด (Must Do) และสถานที่ท่องเที่ยวแบบ Hidden Gems เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และยังเป็นการช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชน โดยล่าสุด แกร็บได้มีการจัดทำคู่มือท่องเที่ยวฉบับภาษาอังกฤษ “Bangkok: Taste, Tour, Treasure” ที่ได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารเด็ดในกรุงเทพฯ จากคนขับแกร็บวัยเก๋าเพื่อส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งยังวางแผนที่จะขยายการให้บริการเรียกรถไปยังจังหวัด 4 เมืองท่องเที่ยวภายในปีหน้า ได้แก่ จังหวัดระนอง ที่มี Hidden Gems อย่างภูเขาหญ้า จังหวัดสตูล ที่มี Hidden Gems อย่างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล จังหวัดตราด ที่มี Hidden Gems อย่างหาดทรายดำ และจังหวัดอำนาจเจริญ ที่มี Hidden Gems อย่าง พุทธอุทยานพระมงคลมิ่งเมือง
· การสนับสนุนการจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมและอีเวนต์ระดับโลกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดย แกร็บ มีแผนที่จะให้การสนับสนุนบริการด้านการเดินทางในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย อย่าง โครงการโอ่งอ่าง Water & Colour เพื่อฉลองวันลอยกระทง และงานดนตรีและอีเวนต์ระดับโลก อาทิ เทศกาลดนตรี Hip-Hop ระดับโลก Rolling Loud Thailand และเทศกาลดนตรีและศิลปะ Wonderfruit Festival
“แกร็บเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025 ของรัฐบาล จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย โดย แกร็บ พร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนรัฐบาล ผ่านการให้บริการที่มอบความสะดวกสบาย มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย และมีความโปร่งใสในด้านราคา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนต่อไป” นายวรฉัตร กล่าวปิดท้าย
บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด (SCIeco) ผู้นำด้านการจัดการของเสียและกากอุตสาหกรรม และบริการการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม ชวนทุกท่านมาเจาะลึกอนาคตแห่งการจัดการสิ่งแวดล้อม ในงาน Environmental and Waste Management Expo 2024 (EnwastExpo 2024) งานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อม และการจัดการของเสีย ภายใต้แนวคิด “Join the movement towards a better planet” หรือ “ร่วมขับเคลื่อนสู่โลก ที่ดีกว่า”
ห้ามพลาดกับ SCIeco ภายใต้ Green Circular ซึ่งครั้งนี้มาในคอนเซ็ปต์ “Waste to The Future” ด้วยโซลูชันด้านการจัดการ Waste เพื่อสร้างสรรค์โลกที่ดีขึ้น เพื่ออนาคตที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้แก่ Industrial Waste Management บริการรับจัดการของเสียและกากอุตสาหกรรม, Municipal Waste Management การจัดการ waste ภาคชุมชนมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทน RDF, Agricultural Waste Management แปลงวัสดุเหลือทิ้งภาคการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล, Environmental Service Solutions บริการตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม พร้อมดูแลครบวงจร พร้อมกันนี้ ทุกท่านยังจะได้สัมผัสการสาธิตแบบจำลองระบบตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม โดยมี Model ปล่องระบาย
อากาศที่แสดงผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการตรวจวัดและวิเคราะห์คุณภาพอากาศจากปล่องอุตสาหกรรม
เดินหน้าเชิดชูเกียรติ 3 นักวิจัยสตรีไทย โครงการทุน"เพื่อสตรีในงานวิทยาศาตร์ ประจำปี 2567" ผลักดันบทบาทสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืน
ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าผลักดันบทบาทของนักวิจัยสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์ ด้วยการมอบทุนวิจัยต่อเนื่องเป็นปีที่ 22 พร้อมประกาศรายชื่อ 3 นักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย "เพื่อสตรีในงานงานวิทยาศาสตร์"(For Women in Science)ประจำปี 2567 โดยได้มีการมอบทุนวิจัย 250,000 บาทพร้อมโล่เกียรติคุณ ให้แก่นักวิจัยสตรีที่มีผลงานวิจัยโดดเด่น สร้างคุณูปการแกแวดวงวิทยาศาสตร์ มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนสังคมทั้งในประเด็นสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอรีอัล ซึ่งมุ่งสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ผ่านการสนับสนุนงานวิจัยและเชิดชูบทบาทสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการสร้างความตระหนักรู้ต่อประเด็นสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันสังคมสู่ความยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจวบจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 115 ในปีนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ในฐานะบริษัทความงามระดับโลก เชื่อว่าความงามมีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ เราตระหนักดีว่านวัตกรรมวิทยาศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพัฒนาโลกใบนี้ อย่างไรก็ดี บทบาทระดับสูงของสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์ไทยยังคงต้องมีการผลักดันอีกมาก ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น นับแต่ตั้ง พ.ศ. 2525 จนถึงปัจจุบัน มีนักวิทยาศาสตร์หญิงที่ได้รับรางวัลอยู่เพียงร้อยละ 16 เท่านั้น แม้จะมีผู้หญิงอยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ไทยเป็นจำนวนเทียบเท่ากับผู้ชายก็ตาม เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี ลอรีอัลจึงเดินหน้าเชิดชูเกียรติผลงานวิจัยอันโดดเด่นของสตรีผ่านโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” อย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 22 เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโตในสายงานวิทยาศาสตร์ และพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเปล่งประกายได้ในแบบของตนเอง”
ทุนวิจัยฯ 3 ทุน มอบแก่นักวิจัยสตรี 3 ท่าน จาก 3 สถาบัน ในสองสาขา
สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จำนวน 1 ท่าน
สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จำนวน 2 ท่าน
3 นักวิจัยสตรีผู้มีผลงานอันโดดเด่นที่ได้รับทุนโครงการฯ ประจำปี 2567
รองศาสตราจารย์ ดร.อัญญานี คำแก้ว จากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “แม้หลายทศวรรษที่ผ่านมาจะมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนายาและอุปกรณ์การรักษาด้วยแสงเพื่อรักษามะเร็ง แต่ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่อาจใช้ทางคลินิกได้อย่างแพร่หลาย ดิฉันและทีมวิจัยจึงเล็งเห็นว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งนั้น การปรับปรุงโครงสร้างของสารไวแสงและระบบนำส่งสารไวแสงไปยังเซลล์มะเร็งมีความจำเป็นต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน ซึ่งทำได้โดยการพัฒนาตัวนำส่งที่มุ่งเป้ามะเร็งร่วมกับการกระตุ้นด้วยแสงเฉพาะที่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นโดยมีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์น้อยลง ทางทีมวิจัยเราจึงมุ่งใช้เทคนิค “การบำบัดด้วยโฟโตไดนามิก” (PDT) และ “การบำบัดด้วยความร้อนจากแสง” (PTT) ร่วมกับวัสดุนาโนที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย โดยเน้นไปที่วิธีพัฒนาและสังเคราะห์สารไวแสงที่ตอบสนองต่อแสงได้อย่างดีเยี่ยม และมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงเท่านั้น โดยสารจะไม่มีพิษต่อเซลล์มะเร็งเมื่อไม่ได้ถูกกระตุ้น งานวิจัยชิ้นนี้จึงเริ่มจากการสังเคราะห์สารประกอบ พิสูจน์โครงสร้าง และทดสอบสมบัติทางแสง จากนั้นจึงพัฒนาตัวนำส่งระดับนาโนที่มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ โดยควบคุมให้อนุภาคมีขนาดเหมาะสมต่อการมุ่งเป้าเซลล์มะเร็ง แล้วจึงทดสอบในระดับเซลล์มะเร็งเทียบกับเซลล์ปกติในระดับห้องปฏิบัติการ โดยเทียบระหว่างแบบใช้แสงกระตุ้นและไม่ใช้แสงกระตุ้น สุดท้ายระบบนำส่งสารไวแสงจะถูกนำไปทดสอบประสิทธิภาพในระดับสัตว์ทดลอง เพื่อศึกษาผลกระทบที่มีต่อระบบร่างกาย ทั้งเมื่อถูกกระตุ้นและไม่ถูกกระตุ้นด้วยแสง ซึ่งผลการทดลองล่าสุดพบว่าทีมผู้วิจัยสามารถพัฒนาสารไวแสงหลายกลุ่มได้สำเร็จ โดยพิสูจน์ในระดับห้องปฏิบัติการและระดับเซลล์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ สารแต่ละกลุ่มมีความจำเพาะต่อความยาวคลื่นแสงที่ใช้กระตุ้นและชนิดของมะเร็งต่างกัน ทำให้มีตัวเลือกหลากหลายในการนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นตัวเลือกในการรักษามะเร็งได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ทีมผู้วิจัยยังพัฒนาระบบนำส่งสารไวแสงเหล่านี้ให้ไปสะสมที่ก้อนมะเร็งได้อย่างจำเพาะได้สำเร็จ และได้พิสูจน์ประสิทธิภาพการรักษามะเร็งในระดับสัตว์ทดลองแล้วพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะต่อยอดให้สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้ในอนาคต งานวิจัยชิ้นนี้จึงไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ด้านกลยุทธ์การออกแบบโมเลกุลอินทรีย์ที่ไวแสงและการพัฒนาระบบนำส่งระดับนาโน แต่ยังเปิดโอกาสสู่ความร่วมมือและการต่อยอดการนำไปใช้ประโยชน์อีกมากมายเพื่อเพิ่มทางเลือกในการรักษามะเร็ง อีกทั้งมีส่วนสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมะเร็ง การตรวจคัดกรองมะเร็ง และเข้ารับการรักษามะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการรักษามะเร็งในประเทศไทยอีกด้วย”
ดร.ปองกานต์ จักรธรานนท์ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า “สืบเนื่องจากปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลจากภาคพลังงานและภาคการผลิต เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) จึงเป็นที่คาดหวังว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาเพื่อนำพาประเทศไทยสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ ผู้วิจัยเล็งเห็นว่าปฏิกิริยารีดักชันเชิงเคมีไฟฟ้าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2RR) คือปฏิกิริยาที่สามารถผลิตสารเคมีมูลค่าสูงจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายหลายชนิด แต่การผลิตสารเคมีเหล่านี้ยังมีข้อจำกัด คือมีกลไกซับซ้อน ใช้พลังงานสูง และมักประสบปัญหาการเลือกเกิดปฏิกิริยาที่ต่ำ ทั้งนี้ ในระบบปฏิกิริยาการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารเคมีเชิงไฟฟ้า เซลล์ไฟฟ้าที่ใช้ทำปฏิกิริยาประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า 2 ขั้ว คือขั้วแอโนด (Anode) และขั้วแคโทด (Cathode) ปฏิกิริยารีดักชันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเกิดขึ้นที่ขั้วแคโทด โดยระหว่างเกิดปฏิกิริยา ขั้วแอโนดจะทำปฏิกิริยาออกซิเดชันของน้ำและเกิดเป็นก๊าซออกซิเจน (OER) เป็นปฏิกิริยาร่วม ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้พลังงานสูง งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งเป้าพัฒนาเซลล์ไฟฟ้าที่สามารถทำปฏิกิริยาทั้งสองได้อย่างควบคู่กัน เพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเคมีภัณฑ์ที่มีมูลค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการออกซิไดซ์ชีวมวลจากอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมกระดาษ ให้กลายเป็นวัสดุและสารเคมีที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ด้วย โดยใช้วิธีพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความจำเพาะสูงสำหรับกระบวนการ CO2RR และทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวในเซลล์ไฟฟ้าที่สามารถขยายขนาดได้ จากนั้นปรับปรุงคุณสมบัติของตัวเร่งให้ผลิตสารเคมีได้สูง เสถียร และทนทานต่อสิ่งเจือปนในสารตั้งต้น รวมไปถึงการคัดเลือกชีวมวลที่เหมาะกับการทำปฏิกิริยาเคมีเชิงไฟฟ้า พัฒนาระบบการออกซิไดซ์ชีวมวล จากนั้นจึงพัฒนาระบบการทำปฏิกิริยาแบบควบคู่ระหว่าง CO2RR และการออกซิไดซ์ชีวมวล แล้วศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐศาสตร์ พร้อมประเมินวัฏจักรชีวิตของเทคโนโลยี เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการเร่งปฏิกิริยาเชิงเคมีไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ และสามารถขยายขนาดการผลิตสู่ระดับโรงประลอง (pilot scale) เพื่อนำไปสู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมได้ และจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมหนัก ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมเคมีและพลังงานของประเทศไทย”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลีพร ดอนไพร จาก ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า “สืบเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ประเทศไทยจึงได้แสดงเจตจำนงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกับประชาคมโลกและมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันหลายภาคส่วนจึงพยายามใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทน โดยการเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกทั้งสองชนิดนี้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงผ่านกลไกการเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ผู้วิจัยเล็งเห็นว่า ปฏิกิริยาที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมาก ได้แก่ “ปฏิกิริยาการแตกตัวของมีเทน” และ “ปฏิกิริยาดรายรีฟอร์มมิ่ง” เพราะผลิตทั้งพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดได้พร้อมกับใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งศึกษา 3 ส่วนด้วยกัน คือ (1) การใช้ประโยชน์จากของเสียเหลือทิ้งจากการเกษตรมาใช้เป็นวัตถุดิบรอบสอง (Secondary raw material) โดยนำเถ้าชานอ้อยซึ่งเหลือทิ้งจากโรงงานผลิตน้ำตาลทรายมาสังเคราะห์เป็นโซเดียมซิลิเกต พร้อมศึกษาองค์ประกอบและลักษณะโครงสร้างของซิลิกาที่สังเคราะห์จากเถ้าชานอ้อย (2) การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการเปลี่ยนก๊าซมีเทนเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจำพวกไฮโดรเจนและผลิตภัณฑ์คาร์บอน (3) การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจำพวกไฮโดรเจนและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ผ่านปฏิกิริยาดรายรีฟอร์มมิ่ง งานวิจัยนี้จะก่อให้เกิดองค์ความรู้ด้านการใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก โดยการใช้กลไกนาโนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดมลพิษจากกระบวนการผลิต ลดต้นทุนการกำจัดกากของเสีย สร้างการผลิตที่ยั่งยืน สะอาด และมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือต้องการนำก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลที่สามารถนำของเสียเหลือทิ้งจำพวกเถ้าชานอ้อยมาเพิ่มมูลค่า สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ตอบโจทย์เร่งด่วนของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน”
ทั้งนี้ โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women in Science ริเริ่มขึ้นในปี 2540 โดย มูลนิธิลอรีอัล ด้วยความร่วมมือจากยูเนสโก แต่ละปีได้สนับสนุนนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 ท่าน ในโครงการระดับประเทศและระดับภูมิภาคทั่วโลก และได้มอบทุนเกียรติยศระดับนานาชาติแก่นักวิจัยสตรีระดับ Laureates ไปแล้วมากกว่า 100 ท่าน ซึ่งมีถึง 7 ท่าน ที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบล สำหรับในประเทศไทย โครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” มอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ได้ดำเนินงานโครงการมาเป็นปีที่ 22 โดยมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 87 ท่าน จากมากกว่า 20 สถาบัน
ทรูมันนี่ หนึ่งในผู้ให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สานต่อพันธกิจในการสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมเปิดโอกาสในการช่วยพัฒนาชีวิตของผู้คนให้เข้าถึงการออมเงินหลังเกษียณ โดยได้มีการจับมือร่วมกับ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่ยังไม่มีสวัสดิการใด ๆ ให้เข้าถึงกองทุนการออมภาคสมัครใจของ กอช. ผ่านแอปทรูมันนี่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยล่าสุด ทรูมันนี่ ได้รับเกียรติให้เข้ารับโล่รางวัลเกียรติยศการส่งเสริมการออมจากกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องในโอกาสของวันออมแห่งชาติ ประจำปี 2567 ภายหลังช่วยให้ยอดสมัครสมาชิกใหม่เพื่อเปิดบัญชีออมกับ กอช. เพิ่มขึ้นที่ 51% (มกราคม – ตุลาคม 2567) และสูงสุดกว่าช่องทางอื่น โดยในงานนี้ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล ณ Paragon South Hall 1 & 4 ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน
![]()
นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด เผยว่า “ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทรูมันนี่ ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์มของเราให้สามารถตอบรับความต้องการของคนหลากหลายกลุ่ม ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Underserved) อย่างกลุ่มแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีสัดส่วนกว่า 52.3% ของแรงงานไทยทั้งหมด ที่ยังไม่ได้มีสวัสดิการรองรับให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างการออมเงินหลังเกษียณ ซึ่งทรูมันนี่ เล็งเห็นถึงความต้องการของกลุ่มแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ นักเรียน นักศึกษา จึงได้นำเอาเทคโนโลยีอย่างแพลตฟอร์มดิจิทัลมาช่วยให้การเริ่มใช้บริการทางเงินต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย (Low Barrier of Entry) และจับมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ ที่นำเสนอกองทุนการออมภาคสมัครใจซึ่งตอบความต้องการของกลุ่มแรงงานนอกระบบได้รอบด้าน เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกกอช. ปัจจุบัน และผู้ที่สนใจ สามารถสมัครและส่งเงินออมได้ครบจบที่เดียวบนแอปทรูมันนี่ โดยปัจจุบันมียอดผู้สมัครเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าถึง 51% ผ่านแอปทรูมันนี่ และถือว่าสูงสุดเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ๆ สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการออกแบบประสบการณ์การใช้งานที่ดีของเรา และการตอบรับความต้องการที่จะเข้าถึงการออมหลังเกษียณของแรงงานนอกระบบได้เป็นอย่างดี”
“และเพื่อสอดรับกับความต้องการและนโยบายของกองทุนการออมแห่งชาติในการขับเคลื่อนและส่งเสริมการออมของประชาชนในวงกว้าง ทรูมันนี่ยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้กระตุ้นการออมเงินร่วมกันกับ กอช. เช่น กิจกรรมออมเงินผ่าน ทรูมันนี่ลุ้นรับของรางวัล รวมไปถึงการลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ฯลฯ ให้ความรู้แก่ประชาชน และสร้างการเข้าถึงการออมเงินยามเกษียณผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจากความร่วมมือและผลตอบรับที่ดีนี้ ทรูมันนี่ จึงตั้งเป้าในการช่วยเพิ่มยอดผู้สมัครและออมเงินบน กอช. รวม 3 ล้านคนภายในปี 2568 เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งในการที่จะนำเสนอโซลูชันด้านบริการทางการเงินแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ โดยการนำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ นำเอามาสร้างและนำเสนอนวัตกรรมที่ถูกคน ถูกความต้องการมากที่สุด ซึ่งการได้รับรางวัลเกียรติยศจากกอช. ในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันศักยภาพของแพลตฟอร์มทรูมันนี่ที่ช่วยเปิดโอกาสการเข้าถึงทางการเงินให้ผู้คนในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายธัญญพงศ์ กล่าวเสริม
ต่อจากนี้ ทรูมันนี่ จะยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการทางการเงินด้วยการประยุกต์เอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยออกแบบและนำเสนอบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปของผู้ใช้งาน อาทิ การนำเอาเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาสร้าง Customized Customer Experience ที่ดีผ่านฟีเจอร์ที่ตรงใจและตอบพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ทั้งการใช้จ่าย (Payment) ผ่านทรูมันนี่ ที่เปิดโอกาสให้สามารถใช้จ่ายได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ณ จุดขายกว่า 7 ล้านจุดทั้งประเทศ การออมเงิน (Saving) บริการบัญชีเงินฝากที่ได้รับดอกสูงตั้งแต่บาทแรก รวมไปจนถึงการให้ผู้ใช้อัปเกรดเป็นบัญชี Money Plus ที่ช่วยให้ทุกการจ่ายได้เงินคืน 1% และเก็บเงินไว้ เงินก็เพิ่มพูน การลงทุน (Investment) ที่มอบการเข้าถึงบริการลงทุนที่ครอบคลุมทั้ง กองทุนรวม หุ้นกู้ตลาดแรกและรอง ออมทอง เพื่อสร้างการเติบโตทางการเงินให้ผู้ใช้งานได้ง่ายกว่าที่เคย สินเชื่อ (Loan) อย่าง PayNext เงินติดมือ ใช้ก่อน จ่ายทีหลัง โดยไม่ต้องใช้สลิปเงินเดือนเพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่ม Underserved และ บริการประกัน (Insurance) ที่มีประกันแบบเบี้ยสบายเป๋า ซึ่งเป็น Micro Insurance ที่เปิดโอกาสให้เลือกจ่ายเบี้ยน้อยแบบรายเดือนได้ ไม่ผูกมัดระยะยาว ฯลฯ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเสริมเกราะความปลอดภัยโดยนำเทคโนโลยีเอไอที่สกัดและป้องกันแอปดูดเงินได้ ที่ชื่อว่า TrueMoney 3X Protection มาใช้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง มั่นใจได้สูงสุดว่าทุกการใช้จ่ายและธุรกรรมการเงินปลอดภัยห่างไกลความเสี่ยง
บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการได้รับคะแนนการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ประจำปี 2567 และติด Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่า 3,000-9,999 ล้านบาท ด้วยผลประเมินคะแนน 102 จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2024 : CGR) ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors : IOD) โดยการสนับสนุนจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตั้งแต่ปีแรกที่รับการประเมิน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการกำกับดูแลกิจการด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยยึดหลักในการใช้นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคะแนน CGR ในระดับ “5 ดาว” หรือ “ดีเลิศ” ตั้งแต่ปีแรก ทั้งยังติด Top Quartile ในกลุ่ม Market Cap. เดียวกัน โดยได้รับคะแนนรวม 102 ซึ่งเกิน 100% โดยเฉพาะในหมวดการคำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสียและการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่ได้รับคะแนนถึง 104 เป็นข้อพิสูจน์ที่ KCG ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม รวมถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างรอบด้านด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ KCG เกิดความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ KCG ติดอันดับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG Emerging ปี 2567 และการเปิดตัว ‘KCG Logistics Park’ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รวมถึงการคว้ารางวัล Investors’ Choice Award 2567 ด้วยคะแนนเต็ม 100 ซึ่งทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า วิธีการบริหาร และยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่เราใช้นั้นถูกต้อง รวมทั้งผลประกอบการที่เติบโตอย่างสวนกระแส”
“ดังนั้น KCG จะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ (7 Business Pillars) เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมทั้งสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง การได้รับรางวัลนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายดำรงชัย กล่าว
![]()
นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของอารยธรรมทางภาษาและการจดบันทึกในยุคอียิปต์โบราณ จนถึงภาษาดิจิทัลและเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งในปัจจุบัน “ข้อมูล” (Data) หรือ เนื้อหาที่ถูกเข้ารหัสทางภาษาในการสื่อสารถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สังคมมนุษย์และมวลมนุษยชาติก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สะท้อนได้จาก Generative AI ที่ได้สร้างความมหัศจรรย์และนานาประโยชน์ที่มนุษย์คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ผ่านมา ยังคงจำกัดอยู่ในแวดวงธุรกิจเป็นหลัก พร้อมยังเป็นที่ถกเถียงถึงแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบนโยบายสาธารณะ ทั้งนี้ ในงาน dataCon 2024 งานสัมมนาที่เชื่อมกลุ่มคนที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงและคนในวงการข้อมูลให้มาพบกัน เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้นด้วยดาต้า ที่จัดขึ้น ณ True Digital Park โดยการสนับสนุนของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้จัดเสวนาหัวข้อ “สร้างนโยบายแห่งอนาคต ด้วยพลังข้อมูล Shaping the Future with Insights”
Mobility Data เพื่อการส่งเสริมนโยบายท่องเที่ยวที่แม่นยำ-ตรงใจ
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย อาจารย์ภาควิชาวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงการจัดทำแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด โจทย์ใหญ่เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังโควิดที่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้น และการจัดเก็บข้อมูลเพื่อสำรวจพฤติกรรมการท่องเที่ยวมีข้อจำกัด ทรู-ดีแทค สดช. คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ และบุญมีแล็บจึงได้ผนึกกำลังวิจัย “ศักยภาพการท่องเที่ยวจังหวัดเมืองรองจาก Mobility Data” ทำให้เห็นข้อมูลที่สำคัญถึงพฤติกรรมในการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทย ทั้งวิธีการเดินทาง รูปแบบการเดินทาง และได้จัดทำข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ซึ่งมี 3 ด้าน ดังนี้
1. การดึงดูดการท่องเที่ยวระยะใกล้ (Micro-Tourism) แบบเช้าไปเย็นกลับ ในระยะทาง 150 กิโลเมตร
2. การส่งเสริมการค้างคืน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ เพิ่มมูลค่าการใช้จ่าย และระยะเวลาพำนัก
3. การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด (คลัสเตอร์) เพื่อส่งเสริมการเดินทางในกลุ่มจังหวัดใน 1 ทริป
“เราได้วิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทางแบบกลุ่มจังหวัด (คลัสเตอร์) โดยใช้ Mobility Data ว่าในหนึ่งทริปของการเดินทางผ่านจังหวัดใดบ้าง สรุปออกมาได้เป็น 19 คลัสเตอร์ และมี 7 คลัสเตอร์ที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัดในระดับสูง ที่สามารถทำกิจกรรม โปรโมตการเดินทางร่วมกันได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ทั้งระยะเวลาในการพำนักและใช้จ่าย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างรายได้ แต่ที่ผ่านมากลับพบปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำในเชิงพื้นที่ท่องเที่ยวและการกระจายรายได้มาโดยตลอด ซึ่งผลวิเคราะห์ Mobility Data นี้เอง จะช่วยเสริมแกร่งให้จังหวัดเมืองรอง สามารถวางกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามศักยภาพของตนเอง เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มายังจังหวัด อันนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่เมืองรองได้อย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Mobility Data ยังมีศักยภาพสามารถนำมาวิเคราะห์ในด้านการให้บริการสาธารณะด้านอื่น ๆ ได้ เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย
“การใช้ Mobility Data ไม่เพียงแต่ช่วยให้นโยบายของรัฐสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมแก้ปัญหาอย่างทรู-ดีแทคได้มองเห็นโอกาสจากการวิเคราะห์ดาต้าเพื่อการออกแบบนโยบายสาธารณะ ที่เปิดให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาร่วมกันวางนโยบายสำหรับอนาคต” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าว
ความท้าทายของการใช้ข้อมูล

ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการ สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐมีข้อมูลหลายชุด ทั้งดาต้าของแต่ละหน่วยงาน ดิจิทัล ฟุตปรินต์ แต่การบริหารจัดการข้อมูล และนำข้อมูลมาออกแบบนโยบายในภาพใหญ่ของประเทศ ต้องเข้าใจปัญหาให้รอบด้าน และลงลึกถึงกลุ่มที่ภาครัฐต้องการเข้าไปช่วยเหลืออย่างแท้จริง ผ่านการเก็บข้อมูลให้ครบทั้ง 3 มิติ หนึ่ง ครอบคลุมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สอง ลงลึกถึงรายละเอียด และสาม ต้องเห็นความเชื่อมโยง
ทั้งนี้ การนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์จะต้องส่องให้ครบ 5 เลนส์สำคัญ คือ
1. Macro but granular ภาพใหญ่แต่ต้องลงลึกให้เห็นรายละเอียด อย่างการทำวิจัยหนี้ครัวเรือนของสถาบันป๋วย ข้อมูลหลักที่ใช้จากเครดิตบูโร ซึ่งอาจยังไม่ครอบคลุม ต้องลงไปดูในพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของหนี้ครัวเรือน เช่น ในเมือง กลุ่มเหล่านี้เปราะบางอย่างไร
2. Near real time ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ อย่างช่วงโควิดในสหรัฐอเมริกา ใช้ข้อมูลจากแอปพลิเคชันด้านการเงิน เพื่อวิเคราะห์จำนวนผู้ป่วย
3. Lungitudinal ติดตามพัฒนาการของแต่ละเจนเนอเรชั่น อย่างการใช้ข้อมูล tax data เพื่อจะดูว่าพ่อแม่จน ส่วนใหญ่ลูกยังจนอยู่
4. Network/relationship ติดตามความเชื่อมโยง อย่างระบบพร้อมเพย์ จะทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับประชาชน ผู้บริโภคกับผู้บริโภค และผู้บริโภคกับภาคธุรกิจ
5. Observe the unobserved ดาต้าจะช่วยให้คนทำนโยบายมองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ดาต้า ทำให้มีหลายเลนส์ที่เห็นกันได้ แต่การทำนโยบายที่ดีที่สุด ต้องนำทุกเลนส์เข้ามาร่วมกัน แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายในการนำข้อมูลมาใช้เพื่อออกแบบนโยบาย หนึ่ง คือข้อมูลไม่ครบ การใช้ข้อมูลต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน สอง การนำข้อมูลมาใช้ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของข้อมูล สาม การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน และสี่ การแชร์ข้อมูล จะสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการออกแบบนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะได้อีกมาก” ดร.โสมรัศมิ์ กล่าว
ด้าน LINE MAN Wongnai ในฐานะเป็นบริษัทเอกชนที่ใช้ข้อมูลในการดำเนินธุรกิจ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า บริษัทฯ มีการเก็บข้อมูลจำนวนมาก และเก็บทุกรายละเอียดของธุรกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของคนไทย ข้อมูลธุรกิจร้านอาหาร และนำไปเผยแพร่บางส่วนเพื่อให้สังคมนำไปวิเคราะห์ได้ สามารถออกแบบนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการได้ โดยเฉพาะร้านอาหารขนาดเล็ก เช่น การสำรวจข้อมูลร้านอาหารในประเทศไทย ดัชนีอาหารจานเดียว (กะเพรา อินเด็กซ์) เพื่อเทียบราคาอาหารกับเงินเฟ้อ รวมถึงการใช้นโยบายคนละครึ่ง มีส่วนช่วยธุรกิจร้านอารหารได้มากน้อยเพียงใด และยังมีข้อมูลอีกมากที่ภาครัฐสามารถนำไปออกแบบนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน
“สุดท้าย อยากให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูล ทั้งข้อมูลทางการค้า ข้อมูลส่วนบุคคล อยากให้มีกลไก หรือกรอบทางกฎหมายที่จะทำให้เอกชนมั่นใจว่าการนำข้อมูลไปใช้จะไม่มีปัญหาตามมา ถือเป็นสิ่งสำคัญในการแชร์ข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชน” อิสริยะ กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ "ดีลแห่งปี" ในงาน SET Awards 2024 จาก Deal of the Year Awards – Mergers & Acquisition Deal ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้เพื่อยกย่องความสำเร็จและคุณค่าจากการควบรวมกิจการ (Amalgamation) ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดิม และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ถือเป็นก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งรางวัลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยเฉพาะการมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล
การควบรวมกิจการระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่นเดิม และโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น ซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 นับเป็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการควบรวม (Combined enterprise value) และเป็นการควบรวมกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างบริษัทจดทะเบียนไทยสองบริษัทเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดรวม (Combined market capitalization) บริษัทใหม่ได้ยกระดับการเชื่อมต่อและนวัตกรรมดิจิทัลทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในวงการเทคโนโลยีระดับโลก
ดีลครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดจากวิสัยทัศน์ร่วมกันของเครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์ ในการสร้างบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำในไทยที่สามารถรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เครือซีพี ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่นเดิม และกลุ่มเทเลนอร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น สร้างความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน โดยถือหุ้นกันที่ร้อยละ 30.3 ในบริษัทใหม่
นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "รางวัล 'Deal of the Year Awards' จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการเปลี่ยนแปลงของทรู คอร์ปอเรชั่นสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เพิ่มขีดความสามารถในการลงทุนโครงข่ายใหม่ และสนับสนุนการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทย ดีลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในด้านต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ คลาวด์ อุปกรณ์อัจฉริยะ และเมืองอัจฉริยะ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายประเทศไทย 4.0 ในการส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย"
การผนึกกำลังทางธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์
รางวัล “Deal of the Year Awards" เป็นหนึ่งในรางวัลแห่งคุณค่าสูงสุดที่มอบโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) เพื่อเชิดชูธุรกรรมที่โดดเด่นและสร้างผลประโยชน์สร้างสรรค์ต่อตลาดทุน รางวัลนี้ยกย่องดีลที่แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรม วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ และการสร้างมูลค่าที่มีนัยสำคัญ
![]()
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การได้รับรางวัล ‘ดีลแห่งปี หรือ Deal of the Year Awards’ จาก SET ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งของกลุ่มเทเลนอร์และเครือซีพีในการสร้างผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทย ดีลนี้เผชิญความท้าทายที่สำคัญหลายประการ รวมถึงการเจรจาที่อยู่ในช่วงผลกระทบของโควิด-19 สูงสุด เราได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจ (Clean teams) ภายใต้มาตรการพิเศษจากทั้งสองบริษัท ซึ่งช่วยให้มั่นใจว่าสามารถรักษาความลับของข้อมูลที่มีผลกระทบต่อมูลค่าราคาในตลาด และทั้งสองบริษัทยังคงแข่งขันกันได้ระหว่างการทำธุรกรรม การก้าวสู่ความท้าทายเหล่านี้ได้สำเร็จสะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของทีมผู้นำและทีมการเงินของทั้งสองฝ่าย"
การควบรวมกิจการของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น ได้ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม ข้อมูลสำคัญได้ถูกเปิดเผยให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล เจ้าหนี้ และคู่ค้า เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมข้อมูลครบถ้วน การยึดมั่นในหลักการความโปร่งใสนี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นต่อทิศทางกลยุทธ์ของทรู คอร์ปอเรชั่นใหม่ สะท้อนผ่านรางวัล 'ดีลแห่งปี' จากตลาดหลักทรัพย์ฯ
มุ่งขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย
บริษัทใหม่คาดว่าจะสร้างผลประโยชน์ที่ได้จากการควบรวมกิจการ หรือ “Synergies” มูลค่า 2.5 แสนล้านบาทใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีและไอที การรวมองค์กรและการดำเนินงาน การจัดซื้อในระดับใหญ่ และผลประโยชน์ร่วมด้านรายได้ โดย Synergies นี้จะขับเคลื่อนการดำเนินงานที่มีกำไร ปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท
นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การควบรวมกิจการได้สร้างประโยชน์อย่างมากต่อผู้ใช้งานมือถือและประเทศ การควบรวมทำให้ทรู คอร์ปอเรชั่นสามารถเร่งพัฒนาความครอบคลุมของบริการ 5G เพิ่มคุณภาพโครงข่าย ความน่าเชื่อถือ และความเร็ว มอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า การผนึกจุดแข็งที่รวมกันของทรู และดีแทคสร้างสรรค์ให้เกิดผลิตภัณฑ์ บริการ และสิทธิพิเศษที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสแก่ลูกค้าของเรา ทั้งนี้ นับเป็นการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ในการสร้างโอกาสใหม่ทั้งด้านธุรกิจและการสร้างงาน มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีแห่งภูมิภาค "
ราคาหุ้นของทรู คอร์ปอเรชั่น (ชื่อย่อหลักทรัพย์: TRUE) หลังจากกลับมาจดทะเบียนซื้อขายใหม่เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2566 ได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 130 เมื่อเทียบกับต้นปี แสดงให้เห็นถึงการควบรวมได้ดึงดูดการลงทุนและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ทรูได้รับการปรับอันดับเครดิต (Credit rating) ที่ปรับตัวดีขึ้น และเพิ่มฐานนักลงทุนหุ้นกู้ที่กว้างขึ้นซึ่งมีส่วนช่วยในการเติบโตและเสถียรภาพของตลาดการเงิน นอกจากนี้ การควบรวมยังสร้างโอกาสในการจ้างงานและสนับสนุนผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ในประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม
โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนลชี้ผู้สูงอายุคนไทยป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเพิ่มมากขึ้น เตรียมบุคลากรการแพทย์พร้อมพัฒนานวัตกรรมดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ด้านเคทีซีเล็งเห็นเทรนด์การเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ พร้อมเดินหน้าทำการตลาดแบบเข้าใจผู้บริโภค ดูแลสมาชิกกลุ่ม รักสุขภาพ หลังข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า ใน พ.ศ. 2569 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุ 15 ล้านคน และพ.ศ. 2581 จะมีผู้สูงอายุ 20 ล้านคน หรือในจำนวนคนไทย 5 คนจะมีผู้สูงอายุ 1 คน
นายแพทย์ศริษฏ์ หงส์วิไล ศัลยแพทย์ข้อสะโพกและข้อเข่า โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลเพื่อกระดูกและสมอง เผยว่า “จากจำนวนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อมูลเชิงสถิติของโรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนลพบว่า ผู้ป่วยสูงอายุเข้ารับการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมเพิ่มมากขึ้น โดยตรวจพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ดังนั้นโรงพยาบาลกรุงเทพจึงได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยี VELYS™ Robotic-Assisted Solutions (VRAS) หรือหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดข้อเข่าเทียมรุ่นใหม่ Generation 4 เข้ามาใช้ร่วมกับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลแรกในประเทศไทย โดยมีข้อดีคือผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดไม่ต้องทำการ CT Scan ไม่เสี่ยงต่อการรับรังสี พร้อมรายงานผลระหว่างการผ่าตัดได้แบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์สามารถตัดแต่งกระดูกและวางข้อเข่าเทียมในตำแหน่งที่เหมาะสมกับสรีระของผู้ป่วยแต่ละราย ลดภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากการผ่าตัด”
![]()
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดสุขภาพและความงาม “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “หนึ่งในธุรกิจที่กำลังเติบโตในขณะนี้คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่คนไทยให้ความสำคัญมากขึ้นและยอมจ่ายเพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด โดยช่วงเดือนมกราคม - กันยายน 2567 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสุขภาพเติบโต 14% เคทีซีจึงได้เดินหน้าทำการตลาดแบบเข้าใจผู้บริโภค โดยได้ร่วมกับทางโรงพยาบาลกรุงเทพ (ซอยศูนย์วิจัย) มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก บัตรเครดิตเคทีซี ที่เข้ารับการตรวจคัดกรองอาการปวดเข่า เข่าเสื่อม ในราคาพิเศษ 2,000 บาท จากราคาปกติ 2,800 บาท สำหรับผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าด้วยเทคนิค VRAS รับฟรีคูปองตรวจอัลตราซาวด์หลอดเลือดคอที่ไปเลี้ยงสมอง (Carotid Doppler Ultrasound) มูลค่า 6,000 บาท จำนวน 1 คูปอง ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ยังจะได้รับส่วนลด 30% สำหรับค่าห้องพักผู้ป่วยใน รับส่วนลด 10% สำหรับค่ายา และส่วนลด 10% ในการทำ ทันตกรรม 5 รายการ โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/40aVxQO”
สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและ
ชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ไหว
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลการศึกษา โครงการศึกษา “Thailand Digital Outlook” ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยมีนางสาวพลอยรวี เกริกพันธุ์กุล ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวรายงาน ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การดำเนินโครงการศึกษา Thailand Digital Outlook ประจำปี พ.ศ. 2567 ดำเนินการศึกษาตัวชี้วัดด้านการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลของประเทศไทย โดยอิงข้อมูลจาก OECD Going Digital toolkit และ กรอบ Measuring the Digital Transformation ของ OECD ซึ่งมีการสำรวจทั้งสิ้น 8 มิติ ประกอบด้วย 1) การเข้าถึง 2) การใช้งาน 3) นวัตกรรม 4) อาชีพ 5) สังคม 6) ความน่าเชื่อถือ 7) การเปิดเสรีของตลาด และ 8) การเติบโตและสภาพความเป็นอยู่ สำหรับในปี พ.ศ. 2567 มีการนำเสนอตัวชี้วัดทั้งหมด 102 ตัวชี้วัด ซึ่งมีวิธีการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถาม โดยสำรวจจำนวน 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยบริการปฐมภูมิรวมจำนวน 51,187 ตัวอย่าง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งสิ้น 35 หน่วยงาน
ทั้งนี้ ดร.เวทางค์ ฯกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจพบว่าตัวชี้วัดด้านดิจิทัลของประเทศส่วนใหญ่ดีขึ้นในทุกมิติ คือ
· การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของครัวเรือนในประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 90.3 (21.7 ล้านครัวเรือน) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 89.5 (21.0 ล้านครัวเรือน)
· ประชากรช่วงอายุ 16 – 74 ปี มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตคิดเป็นร้อยละ 90.7 (50.1 ล้านคน) เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 89.5 (49.2 ล้านคน)
· แรงงานดิจิทัลที่ทักษะเฉพาะทางเพิ่มสูงขึ้นจาก 2.63 แสนราย เป็น 2.78 แสนราย โดยมีผู้ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้นในอาชีพ โปรแกรมเมอร์ และ ช่างเทคนิคปฏิบัติการด้าน ICT
· ประชาชนกลุ่มเปราะบาง (บุคคลทั่วไปที่มีระดับรายได้ครัวเรือนอยู่ในช่วงร้อยละ 25 ที่ต่ำที่สุด) มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ร้อยละ 74.60 (12.12 ล้านคน) เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ ร้อยละ 69.90 (11.23 ล้านคน)
· สัดส่วนจำนวนนักศึกษาจบใหม่ระดับอุดมศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ร้อยละ 33.26 (101,411 ราย จากจำนวน 304,925 ราย) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 23.69
“นอกจากนั้นแล้วพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมง 20 นาที เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่เฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง 25 นาที โดยพบว่า ส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการติดต่อสื่อสาร และการทำธุรกรรมทางการเงิน และการพักผ่อน/บันเทิง สำหรับพฤติกรรมการซื้อสินค้า/บริการออนไลน์ของประชาชน เพิ่มสูงขึ้น พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ซื้อสินค้าออนไลน์จะมีการซื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากเดิม 375 บาท/ครั้ง เป็น 428 บาท/ครั้ง โดยมีสินค้าที่เป็นที่นิยมสูงสุดสามอันดับแรก
คือ เสื้อผ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และหนังสือ ตามลำดับ โดยช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ E-Marketplace เช่น Shopee Lazada ซึ่งผู้ซื้อสินค้าออนไลน์นิยมใช้ช่องทางนี้สูงถึงร้อยละ 95.98 (16,501 ราย จากผู้ตอบ 17,193 ราย) ตามมาด้วย Social Commerce ได้แก่ Tiktok Line Facebook อยู่ที่ ร้อยละ 47.18 (8,111 ราย จากผู้ตอบ 17,193 ราย)” ดร.เวทางค์ฯ กล่าวทิ้งท้าย
พร้อมกันนี้ ภายในงานได้จัดเวทีเสวนา ภายใต้หัวข้อ “การขับเคลื่อนดิจิทัลไทยแลนด์ (Digital Thailand)” โดยวิทยากรรับเชิญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)
สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งได้ร่วมกันพูดคุยหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์” ต่อไปในอนาคต
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าสิ้นปีหน้า (2568) จะมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จำนวน 85 ล้านคัน วิ่งบนท้องถนน ครอบคลุมประเภทต่าง ๆ อาทิ รถยนต์, รถบัส, รถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่
โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "แม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เรายังคาดการณ์ว่าในปีนี้ยอดรวมของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะอยู่ที่ 64 ล้านคัน และจะเพิ่มขึ้น 33% ในปี 2568 ซึ่งผลจากการที่บริษัทหลายแห่งต่างประเมินสูงเกินจริงไปว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดขึ้นรวดเร็ว นั่นส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ออกไป โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีหน้านั้น หลัก ๆ มาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นในจีน (58%) และยุโรป (24%) ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้วคิดเป็น 82% ของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก"
การ์ทเนอร์คาดว่า สิ้นปี 2568 ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) จะมีจำนวนเกือบ 62 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2567 ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าเล็กน้อยและปีหน้าจะมีปริมาณอยู่ที่ 23 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2567
สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) มากกว่า 77,800 คัน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2567 โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จะมีสัดส่วน 74% และมียอดรวมทั้งหมดกว่า 57,900 คัน
![]()
สำหรับในระดับภูมิภาค การ์ทเนอร์คาดว่าความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังคงมีปริมาณมากกว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าส่วนที่เหลือของโลกรวมกันยาวไปจนถึงปีหน้า และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกทศวรรษ โดยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในยุโรปและอเมริกาเหนือ คาดว่าจะคิดเป็น 36% ของยอดรวมรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปีนี้ (2567) การ์ทเนอร์ประมาณการว่าในปีหน้า (2568) จะมีรถยนต์ไฟฟ้า 49 ล้านคัน วิ่งอยู่ตามท้องถนนในจีน 20.6 ล้านคันในยุโรป และ 10.4 ล้านคันในอเมริกาเหนือ
ภายในอีกหกปี (2573) ผู้ผลิตรถยนต์จะสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่รถ EVs ได้สูง 95% ช่วยลดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ
ตามที่คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และการแก้ไขปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบถือเป็นเรื่องท้าทาย ดังนั้น "ความพยายามในการรีไซเคิลอย่างจริงจังเพื่อใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานรวมถึงเศษวัสดุจากกระบวนการผลิต ผนวกเข้ากับความพยายามของสหภาพยุโรปเพื่อบังคับให้มีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ก็อาจช่วยลดความจำเป็นในการขุดแร่เพิ่มเติมได้" ดาเวนพอร์ตกล่าวเพิ่มเติม
“เนื่องจากความเข้มข้นของโลหะหายากในแบตเตอรี่มีสูงกว่าแร่ธรรมชาติ ดังนั้นแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้วจึงอาจถือเป็นแร่ที่มีความเข้มข้นสูง หากสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในปริมาณมาก ๆ อาจช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าในภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการลดราคาแบตเตอรี่ลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมคือ แบตเตอรี่จะไม่ถูกกำจัดด้วยวิธีที่ผิดจริยธรรมหรือถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ" ดาเวนพอร์ตกล่าวสรุป