

12 ธันวาคม 2567 : ภายหลังจากที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าภารกิจรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ลงทุนพัฒนาและนำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อยกระดับการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการโลกออนไลน์ เปิดระบบป้องกันภัยไซเบอร์อัจฉริยะ "True CyberSafe" ให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับ ลูกค้ามือถือทรูและดีแทค รวมทั้งลูกค้าเน็ตบ้านทรูออนไลน์ ทุกราย โดยจะ บล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย หากลูกค้ากดเข้าไป จาก SMS หรือบราวเซอร์ และเมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย บนเว็บบราวเซอร์ โดยเริ่มให้บริการไปตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคมนั้น
ล่าสุด ทีมงานทรู คอร์ปอเรชั่นได้เปิดเผยข้อมูลสถิติที่รวบรวมได้ระหว่างการเปิดระบบ True CyberSafe เพียง 7 วัน (ระหว่างวันที่ 3 - 9 ธันวาคม 2567) พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
ü จำนวนครั้งที่ลูกค้าคลิกลิงก์แปลกปลอมทั้งหมด 10,773,877 ล้านครั้ง
ü สามารถปกป้องลูกค้าจากการคลิกลิงก์แปลกปลอมได้ถึง 10.3 ล้านครั้ง
ü คิดเป็น 96.28% ที่ระบบสามารถปกป้องได้
อย่างไรก็ตาม ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเคารพสิทธิ์ลูกค้า หากลูกค้ายังยืนยันจะคลิกเข้าลิงก์ที่ได้รับการแจ้งเตือนต่อไป ก็สามารถทำได้ โดยพบว่า ช่วง 7 วันดังกล่าว จำนวนครั้งที่ลูกค้ายืนยันเข้าลิงก์แปลกปลอมอยู่ที่ 400,283 คลิก ( จาก 10,773,877 ล้านคลิก )
โดย 4 ประเภทลิงก์แปลกปลอมที่พบจากระบบ True CyberSafe ในช่วงที่ผ่านมา มีดังนี้
อันดับ 1 : มัลแวร์ – เป็นไวรัสหรือซอฟแวร์เข้ามาฝังตัวในเครื่อง เพื่อเปิดช่องทางเข้ามาควบคุมเครื่องของเรา
อันดับ 2 : ฟิชชิง – เป็นการหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน เช่น รายละเอียดบัตรเครดิต หรือรหัสผ่าน
อันดับ 3: หลอกลงทุน - มีการแสดงผลกำไรที่สูงเกินควร เพื่อดึงดูดความสนใจ รวมไปถึงการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล เช่น คริปโต
อันดับ 4 : สแกม – การหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ทางออนไลน์ เช่น สแกมบัตรเครดิต, สแกมถูกรางวัล, สแกมค่าธรรมเนียมศุลกากร และโรแมนซ์สแกม
หมายเหตุ: พบว่า 1 ลิงก์ มีมากกว่า 1 ประเภทการหลอกลวง
ยิ่งไปกว่านั้น ทรูยังเดินหน้าร่วมกับภาครัฐทุกภาคส่วน ในการตรวจสอบและเพิ่มลิงก์แปลกปลอมในฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อบล๊อคการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตรายได้ อีกทั้งยังสร้างความตระหนักรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพทางออนไลน์ เพื่อให้รู้ทันภัยไซเบอร์ ผ่านทาง ทรูปลูกปัญญา “รู้ทันโลกออนไลน์” https://www.trueplookpanya.com/rootanlokonline
5 ธันวาคม 2567 เคทีซีปักหมุดปี 2568 เป็นองค์กรดิจิทัลเต็มรูปแบบ เน้นเติบโตยั่งยืน เคทีซีเผยแผนยุทธศาสตร์ปี 2568 ยกระดับทั้งองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” เตรียมพร้อมระบบไอทีและแผนการพัฒนาโครงสร้างการทำงานเชิงลึก ผลักดันบุคลากรทุกฝ่ายติดอาวุธความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์สมาชิกแบบครบวงจร พร้อมขยายฐานสมาชิกให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่การบริหารพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ

นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผย “เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ จะช่วยเพิ่มรายได้ในภาคประชาชนและสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกกับธุรกิจบริการสินเชื่อผู้บริโภค สำหรับทิศทางธุรกิจเคทีซีในปี 2568 เราได้เตรียมการเพื่อก้าวสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” บน 4 แนวทางหลัก ประกอบด้วย 1. Reach Better: ใช้ช่องทางดิจิทัลในการขยายฐานสมาชิกกลุ่มใหม่ที่นิยมทำรายการด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการด้วยการพัฒนา E-Application ที่ง่าย ไร้รอยต่อ และปลอดภัย สามารถรู้ผลการสมัครได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนาและทดสอบเครื่องมือในการประเมินคุณภาพสินเชื่อ (Credit Scoring Model) ใหม่ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสของการขยายฐานสมาชิกที่ยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับได้ 2. Grow Healthier: การบริหารฐานข้อมูลสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาบริการใหม่ๆ บน แอป KTC Mobile ที่ทำให้สมาชิกสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเคทีซีได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก และสร้างความมั่นใจในการใช้จ่าย 3. Bond Tighter: เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบริการรวมถึงการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านแอป “KTC Mobile” Line Connect, Facebook และเว็บไซต์ www.ktc.co.th เพื่อให้สมาชิกใช้งานง่าย สะดวกและมั่นใจมากขึ้น

รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานคอนแทคเซ็นเตอร์ (Contact Center) สามารถให้บริการตอบคำถามได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้สมาชิกได้รับความพึงพอใจมากที่สุด 4. Work Smarter: เตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ กระบวนการและการพัฒนาทักษะ (Upskill) ด้าน ไอทีให้กับบุคลากรเคทีซีทั้งองค์กร ส่งเสริมการคิดริเริ่มและปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงาน ลดค่าใช้จ่าย และพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สำหรับเป้าหมายการทำธุรกิจในปี 2568 เคทีซีคาดว่าพอร์ตสินเชื่อรวมจะขยายตัวที่ 4-5% และ คุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio) รวมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% และมีแผนระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงรองรับหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดประมาณ 13,000 ล้านบาท ในส่วนของยอดการใช้จ่ายผ่าน บัตรเครดิตปี 2568 คาดการเติบโตที่ประมาณ 10-12% ด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ไม่ต่ำกว่า 320,000 ล้านบาท เพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ 250,000 บัตร เน้นกลุ่มผู้มีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป รวมถึงกลุ่มคนเริ่มทำงาน (First Jobber) สร้างความแตกต่างในด้านการทำกิจกรรมทางการตลาดและส่งเสริมการขายโดยใช้จุดแข็งด้านคะแนนสะสม KTC FOREVER ในการเพิ่มมูลค่าให้สมาชิกโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกหมวดสำคัญ เช่น หมวดอาหาร ช้อปปิ้ง เติมน้ำมัน และท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาชิกทุกกลุ่มเซ็กเมนต์

สำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ตั้งเป้าเติบโตที่ 3% เน้นขยายฐานสมาชิกใหม่ผ่านพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อผ่านช่องทางสมัครสินเชื่อออนไลน์ E-Application ที่ลูกค้าสามารถทำรายการได้ด้วยตนเอง รู้ผลอนุมัติพร้อมรับเงินโอนเข้าบัญชีภายใน 30นาที พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับสมาชิกผ่านฟังก์ชัน “รูด โอน กด ผ่อน” ครบจบในบัตรเดียว และสานต่อโครงการ “เคลียร์หนี้” เพื่อเสริมวินัยทางการเงินแก่สมาชิก ส่วนสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" ตั้งเป้าการเติบโตที่ 3,000 ล้านบาท เน้นขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำและเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่เป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และกำลังมองหาสินเชื่อ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายและปลอดภัย พร้อมรับวงเงินใหญ่สูงสุด 100% ของราคาประเมิน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน เคทีซีพร้อมพัฒนาองค์กรด้วยกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างยั่งยืน และธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต”

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(WHA Group) จัดงาน WHA Open House 2024: Explore -Discover – Shape the Future โชว์ศักยภาพธุรกิจ เจาะลึกนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน พร้อมขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่ความยั่งยืน เผยทุกแง่มุมธุรกิจในระบบนิเวศของ WHA จากนิทรรศการและเวทีเสวนาพิเศษโดยผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการทดลองใช้งาน Mobilix โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกของไทย
![]()
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานพิธีเปิดงาน กล่าวว่า “โลกกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยโควิด-19 ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และที่สำคัญที่สุดคือเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนและ Disrupt รูปแบบการดำเนินชีวิตและธุรกิจ WHA ตระหนักถึงความไม่แน่นอนนี้ จึงให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อม ปรับเปลี่ยนเป้าหมายธุรกิจจากเดิมที่เน้นกำไร มาเป็นการสร้างความยั่งยืน สร้างคุณค่าให้ชุมชนและสังคม พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ งาน Open House ครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจ แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนสร้างพันธมิตร และความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน”
![]()
คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “WHA Open House 2024: Explore – Discover – Shape the Future เป็นการเปิดบ้านครั้งแรกของเราเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ WHA Group ในฐานะต้นแบบของธุรกิจที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อสร้างและพัฒนาการเติบโตของอุตสาหกรรมระดับโลกจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างสมดุล สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ WHA: WE SHAPE THE FUTURE และความมุ่งมั่นในการเป็น Tech-Driven Organization งานในครั้งนี้จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และโอกาสทางธุรกิจ ที่ช่วยต่อยอดการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับสากล จึงขอเชิญชวนพันธมิตรทางธุรกิจและผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน”
สำหรับงาน WHA Open House 2024: Explore – Discover – Shape the Future ไฮไลท์ ที่พลาดไม่ได้ ประกอบด้วยการเสวนาพิเศษ จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน พันธมิตร คู่ค้า ลูกค้า ชุมชน และผู้บริหารระดับสูงของ WHA Group ซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การขับเคลื่อนธุรกิจ และอุตสาหกรรม เพื่อก้าวสู่อย่างยั่งยืนร่วมกัน
· วันแรก (20 พฤศจิกายน 2567) เปิดงานด้วยการบรรยายพิเศษ "How We're Shaping a Sustainable Future" โดยคุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA Group
· วันที่สอง (21 พฤศจิกายน 2567)
o ช่วงเช้า: เริ่มด้วยการบรรยายในหัวข้อ “Mobilix : Driving Sustainable Supply Chains” และเสวนาในหัวข้อ “Pioneering Thailand's Fully Integrated Green Logistics Solution” โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ที่ดีต่อธุรกิจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บริษัท โมบิลิกส์ จำกัด(บริษัทในกลุ่ม WHA) ร่วมกับผู้เช่าและผู้จัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ตามด้วยการบรรยายในหัวข้อ “Smart Eco-Industrial Estates : Shaping the Future of Industrial Development” และการเสวนาเรื่อง "Driving Smart Eco-Industrial Estates Towards Sustainability: The Role of Government, Private Sector, and Innovation" การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะสร้างความยั่งยืน หน้าที่ของภาครัฐ และภาคธุรกิจ โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
o ช่วงบ่าย: เข้มข้นกับการบรรยาย 3 หัวข้อ โดยเริ่มจากหัวข้อ “Powering Innovation and Transformation” พลังขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงจาก บริษัท ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำกัด ตามด้วย “Corporate Innovation” ปฏิวัติองค์กรด้วยพลังแห่งนวัตกรรม โดย RISE และปิดท้ายด้วย “Pioneering Generation” ร่วมเรียนรู้และสัมผัสวัฒนธรรมองค์กรเพื่อสร้างอนาคต โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
· วันสุดท้าย (22 พฤศจิกายน 2567)
o ช่วงเช้า: เปิดด้วยเสวนาในหัวข้อ “Innovations in Utilities and Renewable Energy: Collaborative Efforts for Sustainable Industrial Development" รวมพลังเพื่อขับเคลื่อน และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการใช้นวัตกรรมการบริหารจัดการสาธารณูปโภคและพลังงานหมุนเวียน โดย พันธมิตรชั้นนำอย่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(GC) และบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตามด้วยเสวนาในหัวข้อ “ESG: Shape the Future with Sustainability Growth and Circularity” ยกระดับอนาคต ด้วยพลังแห่งความยั่งยืน และเศรษฐกิจหมุนเวียน โดย สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ๊ก (GCNT) บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด (ERM) และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
o ช่วงบ่าย ปิดท้ายด้วย การเสวนาในหัวข้อเรื่อง “Co-Creating the Future: WHA's Mission for Sustainable Community Development” รวมพลังความร่วมมือสร้างอนาคตกับการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดย การนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) สถาบันอาชีวศึกษาภาคตะวันออก กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อบต. เขาคันทรง จังหวัดชลบุรี ตัวแทนชุมชนกลุ่มสัมมาชีพชุมชนบ้านชากมะหาด และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
โซนนิทรรศการ ที่จะได้ “สำรวจ” “ค้นหา” และ”สร้างอนาคตอย่างยั่งยืนร่วมกัน”
· Journey 1: WHA Empire ทำความรู้จักกลุ่มธุรกิจของ WHA Group
พร้อมร่วมสำรวจ Location พื้นที่ให้บริการไปสู่ที่ตั้งยุทธศาสตร์กว่า 80 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม ผ่านหน้าจอ Interactive Touchscreen
· Journey 2: WHA Group Business การดำเนินงานผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก มุ่งสร้างอนาคตด้วยนวัตกรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
o ธุรกิจโลจิสติกส์: การเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดคลังสินค้าแบบ Built to Suit และโซลูชันโลจิสติกส์สีเขียวเพื่อธุรกิจยุคใหม่
o ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (SMART ECO Industrial Estates)
o ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน: นวัตกรรมการบริหารจัดการสาธารณูปโภคและพลังงานด้วยเทคโนโลยี AI เช่น Solar Forecasting, Solar Anomaly Detection, และ RO System Performance Forecasting
o ธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน: โครงการดิจิทัลที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น Tech and Sustainable Company และโซลูชันดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ
![]()
· Journey 3: โมบิลลิกส์ (Mobilix): เปิดประสบการณ์โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรครั้งแรกของไทย ด้วย 3 บริการหลักได้แก่ บริการให้เช่ารถไฟฟ้า สถานีชาร์จรถไฟฟ้า และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชันที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับภาคธุรกิจ และภายในงานผู้สนใจสามารถร่วมทดสอบประสิทธิภาพ (Test Drive) ยานยนต์ไฟฟ้าที่ให้บริการโดยโมบิลลิกส์หลากหลายรุ่น
· Journey 4: WHA Sustainable Development การดำเนินธุรกิจของ WHA Group ร่วมกับทุกภาคส่วนตามแนวคิดคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (ESG) สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ตั้งแต่การใช้พลังงานสะอาด การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนตั้งแต่ปีพ.ศ. 2564 พร้อมตั้งเป้าหมายสู่ Net Zero ในปีพ.ศ. 2593 และการนำเสนอโครงการที่ดำเนินการร่วมกับพาร์ตเนอร์ คู่ค้า ลูกค้า และชุมชน อาทิ “โครงการ WeCycle” เป็นโครงการที่ WHA และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group เก็บพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติก “โครงการ Shine Brighter with WHA” เพื่อ ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของโรงเรียนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม “โครงการปันกัน” เพื่อช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำหน่ายของชาวชุมชนอผ่านแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น
· Journey 5: Work with US “มินิจ๊อบแฟร์” ที่เปิดต้อนรับน้องๆ และบุคคลที่สนใจร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันและพร้อมเติบโตไปกับ WHA Group ที่ผ่านมา WHA Group เป็นหนึ่งในองค์กรที่คนยุคใหม่อยากร่วมงานด้วยการันตีจาก 3 รางวัลที่โดดเด่น คือ รางวัลสุดยอดองค์กรนายจ้างดีเด่น จาก คินเซนทริค (ประเทศไทย) ประจำปี 2566 และในปี 2567 รางวัล “HR Asia: Best Companies to Work for in Asia” และ รางวัล “HR Asia: Sustainable Workplace Awards” จากนิตยสาร HR Asia
“WHA Group ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเจริญ สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับผู้คนและสังคมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สู่เป้าหมายสูงสุด คือสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย” คุณจรีพรกล่าวทิ้งท้าย
ทรู คอร์ปอเรชั่น ภายใต้เป้าหมายต้องการอยู่คู่การศึกษาไทย ล่าสุดเผยอีกหนึ่งโครงการ คือ CONNEXT ED ที่ทรู เป็นหนึ่งใน 12 องค์กรเอกชน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ภายใต้ความร่วมมือ 3 ภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน สานต่อความมุ่งมั่นในการเป็นเทคคอมปานีไทย นำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มาร่วมสนับสนุนการศึกษา ดูแลโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีของทรู 1,101 แห่ง ครอบคลุม 70 จังหวัดทั่วประเทศ สร้างผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) กว่า 80 คน พร้อมด้วยผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) อีก 250 คน ที่พร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ ทำงานร่วมกับผู้บริหาร ครู นักเรียน และชุมชน เพื่อวางแผนพัฒนาโรงเรียนให้เกิดขึ้นจริงอย่างยั่งยืน
![]()
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี กล่าวว่า “โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน รวมถึงด้านการศึกษา ที่ไม่ใช่มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้เพียงแค่ “จำให้ได้ สอบให้ผ่าน ทำการบ้านให้เสร็จ” แต่ควรเป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติและลงมือทำเพื่อให้ได้ประสบการณ์จริง โดยบทบาทของครู จะกลายเป็นโค้ชออกแบบการสอนให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนประสบการณ์และสนุกไปกับการเรียนที่ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ซึ่งแม้ประเทศของเราอาจจะยังไม่มีพิพิธภัณฑ์ที่ครอบคลุมด้านต่างๆ มากมาย ให้เด็กได้เลือกเรียนตามความสนใจ แต่ถ้าภาคเอกชน สามารถทำให้มีศูนย์ Learning Center เกิดขึ้น และปรับหลักสูตรร่วมกับภาคการศึกษา ก็จะทำให้องค์ความรู้จากภาคเอกชนเชื่อมโยงเข้าไปพัฒนาระบบทรัพยากรมนุษย์ได้”
ดึงศักยภาพทรู บุกเบิกโครงการ ร่วมพลิกโฉมการศึกษาไทย
ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนภารกิจยกระดับการศึกษาไทย ผ่านความร่วมมือมูลนิธิฯ ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นโมเดลต้นแบบให้ภาครัฐและองค์กรเอกชนอื่นๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชนไทยยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น นำร่องสร้างศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (Learning Center) ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อสร้างระบบนิเวศและเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยจากเดิมมี 9 แห่ง ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 20 แห่งทั่วประเทศ หรือโครงการผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) ที่ทำหน้าที่ผลักดันให้ครูและนักเรียนใช้สื่อไอซีทีอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์สูงสุด
![]()
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี สอดคล้องตามแนวทาง 5 ยุทธศาสตร์หลักมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 5 (Digital Infrastructures) นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงความเชี่ยวชาญด้านไอซีทีและเทคโนโลยีที่มีอยู่ของทรู เข้าไปร่วมสนับสนุนภาคการศึกษา แต่ขณะเดียวกัน ต้องปลูกฝังเยาวชนเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในทุกด้าน ดังนั้นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเรื่องการใช้เทคโนโลยีและ AI อย่างมีจริยธรรม มีความรับผิดชอบ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง”
ส่อง ร.ร.บ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบฯ สู่โรงเรียนต้นแบบคอนเน็กซ์อีดี
หนึ่งในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีต้นแบบ คือ โรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของทรู นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างโมเดลโรงเรียนที่สะท้อนให้เห็นชัดถึงการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา คุณครู นักเรียน ICT Talent และ School Partner ที่สามารถนำแนวทางยุทธศาสตร์ 5 หลัก ไปประยุกต์ใช้จนเกิดผลและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะ (Transparency) นำระบบ School Management System (SMS) มาใช้ พร้อมกรอกข้อมูล และตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็ง มาวางแผนพัฒนาโรงเรียนต่อไป
2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Market Mechanisms) โรงเรียนแห่งนี้ทำงานร่วมกับชุมชนอย่างเข้มแข็ง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ให้การสนับสนุน เช่น คอมพิวเตอร์ งบประมาณ และองค์ความรู้จากชาวบ้าน มีกรรมการสถานศึกษาร่วมติดตามในทุกด้าน รวมถึงมี SP ร่วมคิดพัฒนา ทำงานกันอย่างใกล้ชิด
3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน (High Quality Principals & Teachers) ICT Talent ผลักดันให้ครูมีทักษะดิจิทัล และผลักดันครูทุกคนมี Blog ของตนเองในเว็บไซต์โรงเรียน เพื่ออัปโหลดคลิปวิดีโอ สื่อการสอน และกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าไปทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ผู้ปกครองยังสามารถเข้ามาดูบรรยากาศในห้องเรียนของบุตรหลานได้ด้วย ครูบางส่วน สามารถใช้ AI ทำสื่อการสอนให้เด็กๆ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดทักษะการใช้อุปกรณ์บอร์ด Micro:bit มาสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น ล่าสุด โรงเรียนได้รับการประเมินจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ให้เป็นโรงเรียน Digital Platform ต้นแบบ นอกจากนี้ ICT Talent ยังทำงานร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ ICT Talent ภาครัฐ อบรมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่บุคลากรการศึกษาในพื้นที่อีกด้วย
4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ (Child Centric & Curriculum) จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เด็กนักเรียนสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการเรียนรู้ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระดับประเทศ เช่น นำ AI มาใช้ในการแต่งและเล่านิทาน ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำลังมีแผนนำห้องสมุดมาปรับเป็นศูนย์ Learning Center โดยสามารถระดมทุนและจัดหางบประมาณได้ด้วยตนเองจากการจัดกิจกรรมฟุตบอล ผ่านความร่วมแรงร่วมใจกับคนในชุมชน
5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) เข้าถึงสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เด็กนักเรียนมีห้องคอมพิวเตอร์ ห้องวิทยาศาสตร์ และห้องออกอากาศ เพื่อการเรียนรู้และอัปเดตข่าวสารของโรงเรียน
นางบุษบา มณีวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า “โรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) พัฒนาในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยนำ 5 ยุทธศาสตร์หลักของคอนเน็กซ์อีดีมาปรับใช้ และที่สำคัญมี ICT Talent และ School Partner จากทรู ที่เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิด ทำให้โรงเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบวกในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของครูและนักเรียน รวมถึงการสนับสนุนที่เข้มแข็งจากชุมชน ทั้งนี้ เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ได้จากการเป็นโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี จะช่วยส่งเสริมระบบการศึกษาของโรงเรียนอย่างแน่นอน”
กรุงเทพฯ 20 พฤศจิกายน 2567 – ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ ให้ความร่วมือในปฎิบัติการบุกทลายบริษัทผี โทรตุ๋นเหยื่อเสียหายทั่วไทยกว่า 40 ล้านบาท โดย นายวันชัย ฉัตรฐิติ ผู้แทนจาก บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมแถลงข่าวกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. และนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. จากกรณีที่มีการตรวจพบกลุ่มบุคคลใช้โทรศัพท์ ติดต่อหลอกลวงประชาชนในลักษณะอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จนนำไปสู่การสืบสวนและปฎิบัติการจับกุมได้ในที่สุด โดยทรูให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐทั้งในด้านการปราบปราม ด้วยการให้ข้อมูลเบาะแสของมิจฉาชีพ พร้อมร่วมกำหนดมาตรการเชิงป้องกันต่างๆ กับสำนักงานกสทช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อป้องกันและปิดโอกาสของมิจฉาชีพที่สร้างความเดือดร้อน และความเสียหายแก่ประชาชน
ทั้งนี้ แก๊งมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นข้อมูลเบาะแสจากประชาชนจึงเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้หน่วยงานรัฐและผู้ให้บริการมีข้อมูลเบาะแส ทราบพฤติกรรมและรูปแบบของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนที่ได้รับ SMS หรือสายโทรเข้าหลอกลวง แจ้งเบาะแส ผ่านสายด่วน 9777 เพื่อทรูจะเร่งประสานงานกับ สำนักงาน กสทช. , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในการตรวจสอบ สืบสวนและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
กรุงเทพฯ, 18 พฤศจิกายน 2567 – เตรียมตัวพบกับมหากาพย์แห่งศึกอีสปอร์ตในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่น และ โลตัส จัดการแข่งขัน “The Ultimate Battle Lotus's x True5G Esports Tournament 2024” รับรองโดย Garena RoV Thailand ซึ่งเป็นการรวมยอดฝีมือ RoV 64 ทีม จากทัวร์นาเมนต์ใหญ่ 2 รายการ ได้แก่ 32 ทีม จาก Lotus's x True5G Tournament 2024 และ 32 ทีม จาก True5G Esports Tournament 2024 ที่ผ่านมา โดยผู้เข้าแข่งขันจะมาต่อสู้กันในรอบสุดท้าย ณ Lotus’s สาขารังสิต วันที่ 14 ธันวาคม 2567 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักสู้เกม RoV ระดับมืออาชีพจากทั่วประเทศ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 850,000 บาท พร้อมโอกาสก้าวสู่นักกีฬามืออาชีพต่อไปนอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมความบันเทิงอีกมากมายอาทิ การแสดงคัฟเวอร์แดนซ์ และการประกวดคอสเพลย์ สร้างบรรยากาศสุดมันให้กับเหล่าเกมเมอร์และผู้เข้าร่วมงาน
รายละเอียดรางวัล
· รางวัลชนะเลิศ 100,000 บาท
· รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง 50,000 บาท
· รองชนะเลิศอันดับสอง 30,000 บาท
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP และหยุดการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (กองทุนรวม LPF) ชั่วคราวเพื่อเตรียมการแปลงสภาพเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ (กองทรัสต์ AXTRART) โดยกำหนดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เป็นวันปิดสมุดทะเบียน เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LPF กับหน่วยทรัสต์ AXTRART (XO-Swap) และวันหยุดทำการซื้อขาย (SP) ของหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF ตั้งแต่ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF จะสิ้นสภาพการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) โดยวันสุดท้ายที่หน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการแลกเปลี่ยนหน่วยลงทุนและโอนทรัพย์สินและภาระในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยกองทรัสต์ AXTRART จะรับโอนทรัพย์สินและภาระ รวมถึงสิทธิ หน้าที่ และความผูกพันตามสัญญาต่าง ๆ ของกองทุนรวม LPF โดยมีจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายทั้งสิ้น 2,337,282,928 หน่วย และสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน LPF เดิม หากมีชื่อในวันปิดสมุดทะเบียน (ก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567) หน่วยลงทุนจะถูกแปลงสภาพเป็นหน่วยทรัสต์ AXTRART โดยอัตโนมัติ ในอัตราสับเปลี่ยน 1 หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AXTRART ต่อ 1 หน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF (“Swap Ratio”) โดยคาดว่าจะมีการเพิกถอนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้จัดการกองทรัสต์ดำเนินการให้หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AXTRART เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนธันวาคม 2567
![]()
นายสานต่อ มุทธสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ พร็อพเพอร์ตี้ รีท จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ AXTRART กล่าวว่า “การแปลงสภาพเป็นกองทรัสต์ AXTRART ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจและนักลงทุน โดย AXTRART เป็นกองทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับการแปลงสภาพของกองทุนรวม LPF ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการให้นักลงทุนเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจอย่างมั่นคง โดยต่อยอดความแข็งแกร่งจากกองทุนรวม LPF เดิม ผสานกับข้อได้เปรียบของกองทรัสต์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
· เพิ่มศักยภาพการลงทุน: สามารถระดมทุนเพิ่ม เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ขยายพอร์ตลงทุนให้ใหญ่ขึ้น กระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น
· เพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน: สามารถกู้ยืมเงินได้สูงสุดถึง 35% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม และสูงสุดถึง 60% หากได้รับ Credit Rating ระดับ Investment Grade ในขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถกู้ยืมได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เท่านั้น
· เปิดโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ: ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดเดียว พร้อมเปิดรับโอกาสเติบโตและผลตอบแทนที่สูงขึ้นในตลาดที่มีศักยภาพ
“ยิ่งไปกว่านั้น กองทรัสต์ยังเป็นรูปแบบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในระดับสากล มีกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลที่เข้มงวด ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีมูลค่าที่มั่นคง และได้รับการดูแลโดยผู้จัดการกองทรัสต์ที่มีความเชี่ยวชาญ การลงทุนในกองทรัสต์จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว” นายสานต่อ กล่าวเสริม
ทั้งนี้ ภายหลังการแปลงสภาพจากกองทุนรวมเป็นกองทรัสต์แล้วเสร็จ คาดว่ากองทรัสต์ AXTRART จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในเดือนธันวาคม 2567 นี้
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567: 51Talk (ไฟฟ์วันทอล์ก) แพลตฟอร์มหลักสูตรการศึกษาภาษาอังกฤษออนไลน์สำหรับเยาวชนระดับโลก ครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 40 ล้านคน ส่งนักเรียนดาวเด่นจากสี่ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และไทย ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงานครั้งสำคัญระดับโลกอย่างการประชุมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 29 (the United Nations Climate Change Conference) หรือ COP29 ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน 2567 ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน พร้อมเปิดโอกาสให้ทัศนศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมงาน โดยการประชุมที่จัดขึ้นนี้มีผู้นำและตัวแทนจากทั่วโลกมากมายมาร่วมเสวนาเพื่อหาแนวทางจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
![]()
ธาร ธีรภาสิริ หรือ มียู วัย 12 ปี ตัวแทนของ 51Talk ประเทศไทย เป็นผู้ชนะจากโครงการ “เสียงเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนโลก LITTLE VOICE FOR A BETTER WORLD: 51Talk English Speech Contest 2024 For UN Climate Change Conference" ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยอายุระหว่าง 6-12 ปี ได้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในที่สาธารณะ ส่งเสริมความมั่นใจ และกล้าแสดงออกทางความคิดเห็น นำไปสู่การเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่เชื่อมต่อกับผู้คนทั้งโลก โดยธารได้ถ่ายทอดวิธีแก้ปัญหาของตนเองเพื่อช่วยลดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงผลลัพธ์ของการเริ่มจากตนเองว่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้อย่างไร
ภายในงาน COP29 นักเรียนที่มีศักยภาพโดดเด่นของ 51Talk จากจีน ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และไทย ได้รับเชิญในฐานะตัวแทนเยาวชนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีองค์การสหประชาชาติ ทำให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะอุทิศตนเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งปัจจุบันและอนาคต ปัญหาหรือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงรณรงค์สร้างสำนึกรับผิดชอบร่วมกันต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสืบไป
ธาร เยาวชนชาวไทยหนึ่งเดียวได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีระดับโลก COP29 ว่า “ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีจุดร่วมกันอย่างหนึ่งคือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ หากเราทำลายโลกได้ เราก็รักษาโลกได้เช่นกัน ธารจึงขอเสนอแนวทาง SEEDS โดย S ย่อมาจาก Save หมายถึง การพยายามประหยัดให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ หรือไฟฟ้า เช่น ปิดไฟและเครื่องปรับอากาศทุกครั้งก่อนออกจากห้อง E ย่อมาจาก Earth ให้คิดถึงโลกทุกครั้งเมื่อก้าวเดิน ควรมีการใช้ซ้ำ ลดการใช้ นำกลับมาใช้ใหม่ และปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ E ย่อมาจาก Encourage เป็นการบอกต่อและสนับสนุนให้คนอื่น ๆ ช่วยกันดูแลโลก D ย่อมาจาก Don’t Wait เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ทุกคนลงมือทำได้ทันที และ S ย่อมาจาก Sustainability เช่น เลือกใช้พลังงานทดแทน เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แยกขยะนำไปรีไซเคิล เป็นต้น เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้อย่างยั่งยืน แม้ SEEDS จะเป็นการกระทำเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่หากช่วยกันปลูกคนละไม้คนละมือมันจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่คอยปกป้องเราและพาเราไปสู่โลกที่ดีกว่า”
นอกจากเข้าร่วมเวทีใหญ่ของสหประชาชาติแล้ว ธารยังได้รับเชิญให้แสดงทรรศนะด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้หัวข้อ “Youth Leadership in Climate Action” ณ Thailand Pavilion จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อีกด้วย
นับแต่ปี 2562 เป็นต้นมา 51Talk ได้สนับสนุนให้เยาวชนเข้าร่วมงานของสหประชาชาติผ่านการกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีที่ได้รวบรวมผู้มีความรู้และประสบการณ์ไว้อย่างคับคั่ง ด้วยทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียน 51Talk ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และพรแสวง ทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างมั่นใจ ตรงประเด็น ทั้งยังมีเสน่ห์เฉพาะตัว จึงสร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน COP29 ได้อย่างไร้ข้อกังขา เป็นนิมิตหมายอันดีว่าเยาวชนเหล่านี้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง และสามารถนำความเข้าใจไปต่อยอดให้เป็นรูปธรรมได้
![]()
นอกจากนี้ 51Talk ได้จัดกิจกรรมล่าลายเซ็น “Our planet, Our responsibility. We speak for the world!” กระตุ้นให้ผู้ร่วมงานได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน โดย กนกพร สิมะพิเชฐ เจ้าของเพจ 2madames อีกทั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้ตัดสินโครงการ “เสียงเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนโลก LITTLE VOICE FOR A BETTER WORLD” พร้อมครอบครัวได้เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรมกับเหล่าเยาวชนในงาน COP29 ครั้งนี้
ไม่เพียงเป็นแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์เท่านั้น โครงการของ 51Talk ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ เห็นประโยชน์ของการฝึกฝนภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้ได้จริง ส่งต่อความกระตือรือร้นที่จะสื่อสารกับผู้คนต่างชาติต่างภาษา โดยแพลตฟอร์ม 51Talk ได้มีการพัฒนาและออกแบบหลักสูตรให้เหมาะกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน จึงมั่นใจได้ว่าทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียนจะได้รับการยกระดับขึ้นแน่นอน พิสูจน์ได้จากการส่งเยาวชนเข้าร่วมเวทีระดับโลกของสหประชาชาติที่ผ่านมา
![]()
เอมิลี่ หลี่ ผู้จัดการทั่วไป 51Talk Thailand กล่าวว่า “ที่ 51Talk เราเชื่อมั่นว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน ผู้เรียนสามารถค้นพบศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ เรารู้สึกดีใจและขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านที่ให้การสนับสนุนเด็ก ๆ เข้าเรียนภาษาอังกฤษกับ 51Talk รวมทั้งให้เด็ก ๆ ได้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อสั่งสมประสบการณ์และรับโอกาสที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการของสหประชาชาติในปีนี้ หัวข้อเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับอนาคตของเราทุกคนทั่วโลก เราเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ที่ประเทศไทย หรือบนเวที
ระดับโลกอย่าง COP29 จะช่วยให้นักเรียนของเราทุกคนได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเรียนและการแข่งขันกลับไป ทีม 51Talk ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันที่จะสนับสนุนให้นักเรียนได้พัฒนาความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษของตนเอง และการคิดวิเคราะห์เชิงตรรกะอย่างมีเหตุผล และได้เป็นหนึ่งในกระบอกเสียงเพื่อส่งสัญญาณให้คนมากมายได้รับรู้ถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต”
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน 51Talk ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อเปิดโลกกว้างไปกับเรา ทดลองเรียนแบบตัวต่อตัวกับครูผู้สอนชาวต่างชาติฟรีได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่เว็บไซต์ 51Talk Thailand หรือกด https://wap.51talk.com/landing/unonlinecampaign.html ได้เลย
บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยมีรายได้รวม 5,872 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 645 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,477 ล้านบาท ความสำเร็จนี้เกิดจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี และการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ เช่น อินเดียและออสเตรเลีย ช่วยเพิ่มยอดขายและผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
ดั๊บเบิ้ล เอ มุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมกระดาษอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการพลังงานสะอาด การปรับปรุงเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริษัทฯ มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction : CFR) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกถึง 15 รายการ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นขยายการลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพสูง ควบคู่กับการยกระดับศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ตอบสนองทั้งความต้องการของผู้บริโภคและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว.
Wi-Fi Alliance®, คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ร่วมกับสมาชิก Wi-Fi Alliance® ได้แก่ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ (HPE), Intel และ Meta รวมถึงได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA) ในการดำเนินโครงการนำร่อง Wi-Fi 6 GHz ระยะ 7 เดือนเสร็จสิ้นแล้ว และเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี Wi-Fi ความถี่ 6 GHz ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบการรักษาพยาบาลด้วยโซลูชันนวัตกรรมการเชื่อมต่อ จากที่ผ่านมาคลื่นความถี่ที่ใช้ในประเทศไทยต่ำกว่า 500 MHz โครงการนำร่องดังกล่าวนับเป็นการทดสอบการใช้งานคลื่นความถี่ 6 GHz แบบองค์รวมที่รวบรวมทุกย่านความถี่ (สเปกตรัม 1200 MHz) ของ Wi-Fi ในสถานพยาบาล เพื่อนำไปเป็นต้นแบบต่อยอดและใช้งานต่อไปทั่วประเทศ
การเปลี่ยนแปลงการฝึกอบรมแพทย์ฝึกหัดและการบริการในระบบการรักษาพยาบาล
เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านของระบบดิจิทัลที่นำมาใช้ในการรักษาพยาบาลมีความก้าวหน้ามากขึ้น อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ มีการเชื่อมต่อกัน และอุปกรณ์เชื่อมต่อระหว่างผู้ป่วยและเครื่องมือแพทย์ก็เชื่อมต่อกัน จึงต้องมีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงที่เสถียรและปลอดภัย และการนำ Wi-Fi 6 GHz มาใช้จะช่วยตอบสนองความต้องการนี้โดยการเพิ่มสเปกตรัมความถี่วิทยุและช่องสัญญาณการทำงานที่มีอยู่ให้มากขึ้น ซึ่งทำให้สถานพยาบาลสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ได้ดีขึ้นและมีความปลอดภัย ช่วยลดเวลาแฝง (Latency) และรองรับปริมาณงานได้สูง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในแวดวงการแพทย์ปัจจุบัน
คลื่นความถี่ 6 GHz ถือเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยี Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7 ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อด้วยการให้ช่องสัญญาณที่ไม่แออัดหลายๆ ช่อง ความก้าวหน้าเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรองรับความเร็วระดับ Gigabit และการทำงานที่ราบรื่นในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นของข้อมูลสูง เช่น ในโรงพยาบาล เป็นต้น
รายละเอียดและวัตถุประสงค์ของโครงการนำร่อง Wi-Fi 6 GHz
โครงการนำร่อง Wi-Fi 6 GHz จัดขึ้นที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยโครงการประกอบด้วย:
· การใช้งานเทคโนโลยี AR/VR - โครงการนำร่องนี้จะสาธิตการสร้างภาพกายวิภาคแบบเสมือนจริงโดยใช้จุดกระจายสัญญาณ Wi-Fi 6 GHz ของ HPE Aruba Networking และชุดแว่นของ Meta ซึ่งช่วยให้แพทย์และนักศึกษาแพทย์สามารถวิเคราะห์โครงสร้าง 3 มิติของร่างกายมนุษย์ได้อย่างละเอียด ได้แก่ โครงกระดูก กล้ามเนื้อ และระบบประสาท ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกอบรมแพทย์ฝึกหัดด้วยประสบการณ์ที่สมจริง
· การใช้สเปกตรัมสำหรับแอปพลิเคชัน AR/VR: โครงการนี้แสดงประสบการณ์ของผู้ใช้ขณะใช้งานในย่านความถี่ต่ำกว่า 500 MHz เทียบกับย่านความถี่ 1,200 MHz แบบเต็มของสเปกตรัม 6 GHz โดยแสดงให้เห็นว่าการมีสเปกตรัมที่เพียงพอนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด
· การใช้งานที่มีปริมาณผู้ใช้หนาแน่นและการสตรีมข้อมูล: การทดลองใช้งานจะแสดงให้เห็นประโยชน์ของสเปกตรัม 6 GHz แบบเต็มย่านความถี่ ในการรองรับการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง และการย้ายไฟล์พร้อมๆ กันในสภาพแวดล้อมการใช้งานที่มีข้อมูลขนาดใหญ่และผู้ใช้หนาแน่น เช่น ห้องเรียนขนาด 500 ที่นั่ง
ประโยชน์ของ Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7 แบบ 6 GHz ในระบบรักษาพยาบาล
Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7 นำเสนอความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับสถานพยาบาล โดยช่วยให้สามารถใช้ช่องสัญญาณ 80 MHz หรือ 160 MHz ที่กว้างขึ้นได้ เพื่อปรับปรุงปริมาณงานรวมของแต่ละจุดเชื่อมต่อไร้สาย และเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลสูงสุด โดยคลื่นความถี่ 6 GHz ที่ขยายเพิ่มเติมนี้ ช่วยให้ใช้งานสเปกตรัมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการชนกันของสัญญาณ (Signal Collisions) และลดเวลาแฝงให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีข้อมูลและผู้ใช้หนาแน่น และมีปริมาณการใช้งานสูง เช่น โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย เป็นต้น
การใช้งาน Wi-Fi 6 GHz แบบเต็มย่านความถี่ รองรับเครือข่ายแบบแบ่งส่วนที่สามารถจัดลำดับความสำคัญของ แอปพลิเคชันทางการแพทย์ที่สำคัญได้ พร้อมๆ กับการแยกการรับส่งข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกมา ทำให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีสำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วยนี้จะทำงานได้อย่างเสถียร และนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ทั้งการฝึกอบรมแพทย์ฝึกหัด และแอปพลิเคชันด้านการรักษาพยาบาลอื่นๆ ด้วย ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานให้แก่โซลูชันการเชื่อมต่อในหลายภาคส่วน ทั้งองค์กรธุรกิจ ยานยนต์ และ IoT
![]()
ความสำเร็จของโครงการนำร่อง Wi-Fi 6E นี้อาจช่วยปูทางไปสู่การนำเทคโนโลยี Wi-Fi ขั้นสูงไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานพยาบาล และเพิ่มศักยภาพให้กับนวัตกรรมในอนาคตสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
คุณสมบัติขั้นสูงเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำงานร่วมกับ HPE Aruba Networking มาเป็นระยะเวลาหลายปีเพื่อติดตั้งโซลูชันนวัตกรรมของ HPE ในด้านเครือข่ายองค์กรให้กับสถานพยาบาลของตน และได้เลือก HPE ให้สนับสนุนโครงการนำร่องนี้ โดย HPE Aruba Networking ได้เสนอเทคโนโลยีการกรองสัญญาณแบบ Ultra Tri-band Filtering ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้คลื่นความถี่ 6 GHz โดยลดการรบกวนให้ต่ำที่สุด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นของผู้ใช้สูง เช่น วิทยาเขตของสาขาวิชาการแพทย์ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการเชื่อมต่อจะมีความสม่ำเสมอ และมีคุณภาพสูงสำหรับแอปพลิเคชันหลากหลายประเภท
นอกจากนี้ HPE ยังสนับสนุนองค์กรด้านการรักษาพยาบาลด้วยการผสาน IoT ที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังรองรับ Zigbee และ BLE และด้วยแดชบอร์ด IoT ที่ครอบคลุม และการรองรับระบบนิเวศ ประกอบกับข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงการจัดการเครือข่าย และลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน ทำให้เราได้รากฐานเครือข่ายที่ปลอดภัยและวางใจได้สำหรับแอปพลิเคชันด้านการรักษาพยาบาล
ผลลัพธ์จากการนำใช้เทคโนโลยี Wi-Fi ความถี่ 6 GHz ทั่วโลก
จากการนำใช้เทคโนโลยี Wi-Fi ความถี่ 6 GHz มาใช้ สถานพยาบาลทั่วโลกสามารถใช้แนวคิดริเริ่มนี้เพื่อเป็นมาตรฐานในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลของตนได้ การทำให้ย่านความถี่ 6 GHz แบบเต็ม (5925-7125 MHz) ใช้งานสำหรับ Wi-Fi ได้จะช่วยรองรับแอปพลิเคชันการรักษาพยาบาลใหม่ๆ พร้อมทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นไปอีกระดับในสภาพแวดล้อมแบบต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และสำนักงานของบริษัท
โครงการนี้เป็นตัวอย่างของความพยายามร่วมกันระหว่างผู้นำในอุตสาหกรรมและสถาบันต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นตัวกำหนดอนาคตของระบบการรักษาพยาบาลและการศึกษา