

สถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineering Institute; AIEI) ร่วมมือกับ 6 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย จัดงาน AI Engineering & Innovation Summit 2024 นำโดย มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น สนับสนุนการดำเนินงานของอาจารย์ และนักวิจัยในเครือข่าย เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตบัณฑิตที่มีความ เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และคอมพิวเตอร์ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและตอบสนอง ความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ สถาบัน AIEI ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ณ ห้อง Grand Ballroom, The Ritz-Carlton Bangkok
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวถึง บทบาทของมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ในการเป็นผู้นำในการสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัยกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในประเทศไทย รวมถึงงานวิจัยต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยฯ ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในด้านต่าง ๆ อาทิ การเกษตร การยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะสำหรับผู้พิการ การแพทย์ และการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ทั้งยังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ ของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายในอนาคต โดยเฉพาะความร่วมมือกับโรงพยาบาลเจ้าคุณทหารฯ ซึ่งจะเป็นโรงพยาบาลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI แห่งแรกของประเทศไทย
รศ.ดร. สุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น อธิการบดี มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวว่า ในการจัดงานครั้งนี้ ยังมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับอีก 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) รวมกันเป็นเครือข่าย 9 มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมพัฒนางานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ และเปิดโอกาสให้ใช้ทรัพยากรระหว่างมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาอย่างสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับอีก 2 หน่วยงาน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (Federation of Thai Industries - FTI) เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนการใช้งาน และพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับ SME ในเครือข่ายของ FTI และสยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น (Siam AI Cloud) เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการวิจัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ เหล่านี้ ล้วนนับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือด้านวิชาการและนวัตกรรม AI อีกด้วย
![]()
ผศ.ดร.อักฤทธิ์ สังข์เพ็ชร ผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวว่า งาน AI Engineering & Innovation Summit 2024 จัดขึ้นโดยสถาบัน AI Engineering Institute (AIEI) เป็นครั้งที่ 2 สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ (อว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และ DELL Technologies ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำระดับโลกด้าน AI โดยอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายสถาบันการศึกษา ภายใต้สถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน AI Engineering & Innovation Summit 2024 ในครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มปัจจุบันในด้าน AI ผ่านการบรรยายและอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา พร้อมทั้งนำเสนอผลงานวิจัย และพัฒนาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ภายใต้เครือข่าย AIEI ซึ่งเป็นโอกาสที่ประชาชนทั่วไปจะได้ค้นพบความก้าวหน้าของ AI และเทคโนโลยีในประเทศไทย และเรียนรู้ว่าเรากำลังทำงานเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทย นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำภารกิจของ AIEI ในการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคส่วนสาธารณะ มาร่วมกันเพื่อความก้าวหน้าของ AI
โดยการจัดกิจกรรมสำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ด้วยการสนับสนุนของ PMU-C ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ MHESI/TSRI นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Innovation Fund เพื่อสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรภาคอุตสาหกรรมสนับสนุนการเติบโตของภาค AI และนวัตกรรมของไทย ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมแนวคิดธุรกิจสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการของนักศึกษาภายใต้ AIEI ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแกนกลางในการช่วยประสานงานระหว่างเครือข่ายมหาวิทยาลัย เพื่อร่วมกันจัดการศึกษาแบ่งปันทรัพยากร และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อตอบสนองเป้าหมายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แผน AI แห่งชาติ โดยการสร้างทรัพยากรบุคคลของประเทศ ที่มีศักยภาพตามสาขาความต้องการด้านปัญญาประดิษฐ์ และสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ของประเทศสู่ระดับโลก
สามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมของสถาบัน AIEI ได้ทาง www.facebook.com/CMKLUniversity และ www.cmkl.ac.th/aiei/ai-summit/ai-summit-2024
โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร จุดหมายใหม่เพื่อผู้ประกอบการ ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล ประกาศความสำเร็จจากกิจกรรมพิเศษ ที่จับมือร่วมกับ เบทาโกร มอบโอกาสการเรียนรู้ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยแจกบัตรกำนัลคอร์สเรียนระยะสั้นที่สถาบัน เดอะ ฟู้ด สคูล แบงคอก “The Food School Bangkok” ซึ่งเป็นสถาบันสอนศิลปะการประกอบอาหารชื่อดังของไทย ย่านใจกลางกรุงเทพฯ โดยมีการแจกบัตรเรียนคอร์สอาหารอิตาเลียนระยะสั้น จำนวน 16 สิทธิ์ สำหรับผู้สะสมยอดซื้อสินค้ากลุ่มอาหารสดให้ครบ 15,000 บาท ซึ่งมีผู้สนใจรับสิทธิ์เต็มจำนวนในเวลาอันรวดเร็ว และเข้าคอร์สเสริมความรู้เป็นที่เรียบร้อยในช่วงที่ผ่านมา
นับเป็นภาพความสำเร็จของกิจกรรมความร่วมมือระหว่างโก โฮลเซลล์ และเบทาโทร ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ พร้อมทั้งยกระดับธุรกิจอาหารของไทยสู่มาตรฐานระดับสากล
แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยข้อมูลสถิติ “ที่สุดแห่งปี 2024” ครอบคลุมทั้งธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรีในประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมา บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะบริการใหม่อย่าง GrabCar SAVER ที่เติบโตขึ้นกว่า 400% พบกระแส “หมูเด้งฟีเวอร์” ดันยอดเรียกรถไปสวนสัตว์เขาเขียวเพิ่มขึ้น 267% ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนและประเทศในอาเซียนติดท็อป 5 ใช้บริการมากที่สุด โดยเน้นเรียกรถไปห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้ง ฟากบริการฟู้ดเดลิเวอรี เมนู “อาหารไทย” และ “อเมริกาโน่เย็น” ยังครองใจผู้ใช้บริการเป็นอันดับหนึ่ง กระแสไวรัลของหมีเนยดันยอด Butterbear พุ่งเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ “ดูไบช็อคโกแลต” “ชาผลไม้พรีเมียม” และ “สมูตตี้เพื่อสุขภาพ” เป็นเมนูมาแรงแห่งปี
บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ปี 2567 เรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงเติบโต รับอานิสงส์ “ท่องเที่ยวคึกคัก-หมูเด้งฟีเวอร์-ไลน์อัพอีเวนท์”
· บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยและต่างชาติ โดยมียอดใช้บริการสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริการใหม่อย่าง GrabCar SAVER ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการเรียกรถในราคาที่ประหยัดลง โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 400% ในหัวเมืองหลัก
· กระแส “หมูเด้ง” ที่กลายเป็นขวัญใจของคนทั่วโลก ไม่เพียงช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวในประเทศ แต่ยังดันยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เดินทางไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวให้เติบโตขึ้นกว่า 267%
· นโยบายรัฐบาลที่ผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น “World Class Event Hub” ทำให้ปีนี้เราได้เห็นความคึกคักของวงการอีเวนท์ ไม่ว่าจะเป็น งานประชุมและนิทรรศการ งานแฟร์ รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและเทศ ซึ่งส่งผลให้ยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไปงานเหล่านี้เติบโตขึ้นถึง 25% โดยเฉพาะการเดินทางไปราชมังคลากีฬาสถาน ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อิมแพ็คอารีนา และไบเทค บางนา
ต่างชาติมั่นใจใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไป “สนามบิน แหล่งช้อปปิ้ง และเที่ยวเมืองรอง”
· ด้วยบริการที่สะดวกสบายและราคาที่โปร่งใสทำให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว สะท้อนผ่านยอดใช้บริการที่สนามบินต่าง ๆ ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า 67% โดย 5 ชาติที่ใช้บริการมากที่สุด คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม
· ห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้งยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางไป โดย 5 สถานที่ยอดฮิต คือ ไอคอนสยาม (ICONSIAM) เซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) สยามพารากอน (Siam Paragon) ถนนข้าวสาร และตลาดนัดจตุจักร นอกจากนี้ อีกหนึ่งห้างที่มาแรงที่สุด คือ เอ็มสเฟียร์ (EMSPHERE) ไลฟ์สไตล์มอลล์ใจกลางสุขุมวิท ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมา
· จังหวัดเมืองรองยังได้รับความนิยมต่อเนื่องจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล สะท้อนผ่านยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เติบโตขึ้นกว่า 90% โดยเฉพาะใน 5 เมืองน่าเที่ยวอย่างเชียงราย ตาก อุดรธานี อุบลราชธานี และพิษณุโลก
ฟีเจอร์มาแรง “จองรถล่วงหน้า ใช้รถอีวี”
· ฟีเจอร์จองรถล่วงหน้า (Advance Booking) กลับมาได้รับความนิยมหลังแกร็บประกาศปรับโฉมใหม่ โดยสามารถจองรถล่วงหน้าได้ถึง 7 วันและมีประกันคุ้มครองสูงสุดถึง 800,000 บาท โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่นิยมใช้บริการเพื่อเดินทางไปสนามบิน ไม่ว่าจะเป็น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และกระบี่
· คนไทยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนผู้ใช้บริการที่ใช้ฟีเจอร์เลือกใช้รถอีวี (Grab EV Rides) เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยฟีเจอร์ดังกล่าวพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสค้นหารถ EV ในพื้นที่และช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้บริการเป็นตัวเลือกแรก
![]()
บริการฟู้ดเดลิเวอรี
“อาหารไทย” และ “อเมริกาโนเย็น” ครองใจคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง
· อาหารไทยยังคงครองใจผู้ใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี โดยเฉพาะเมนูสั่งง่ายในราคาสบายกระเป๋า โดย 5 เมนูขายดีแห่งปี คือ ส้มตำ ไก่ทอด ข้าวมันไก่ หมูปิ้ง รวมถึงเมนูที่ทำจากหมูอย่าง “ไข่พะโล้” และ “ข้าวขาหมู” ซึ่งมียอดสั่งในเดือนกันยายนเติบโตขึ้นกว่า 38% จากอิทธิพลของ “หมูเด้ง” ฟีเจอร์
· ขณะที่กาแฟและชายังคงเป็นเมนูเครื่องดื่มขายดีตลอดปี นำโดย “อเมริกาโน่เย็น” กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลที่ตอบโจทย์คอกาแฟสายสุขภาพ โดยมียอดสั่งรวมทั้งปีถึง 5 ล้านแก้ว รองลงมา คือ “ชาไทย” โดยเฉพาะเมนู “เสลอปี้ชาไทย” สุดฮิตที่แทบทุกแบรนด์ส่งมาชิงตลาด ตามมาด้วยเอสเพรสโซ่เย็น ชาเขียวเย็น และชานมไข่มุก
กระแส “บัตเตอร์แบร์” แรงไม่หยุด “ดูไบช็อคโกแลต ชาผลไม้ สมูตตี้” เมนูมาแรงแห่งปี
· กระแสไวรัลของหมีเนยขวัญใจโซเชียลมาแรงไม่แผ่วตลอดทั้งปี ทำให้ยอดสั่งเมนูต่าง ๆ ของบัตเตอร์แบร์ (Butterbear) พุ่งเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่า 1,200%
· ชาผลไม้พรีเมียมแบรนด์ดังจากประเทศจีนที่ตบเท้าเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น เจี้ยนชา (JIAN CHA) ชาจี (CHAGEE) และ ไนซือ (NaiXue) ได้รับกระแสความนิยมจากคนไทยไม่ขาดสาย โดยมียอดขายเฉลี่ยเติบโตขึ้นถึง 10 เท่า โดยเฉพาะ “ชาองุ่นปั่นครีมชีส” ที่กลายเป็นไอเทมที่มาแรงที่สุดในปีนี้
· เมนูเพื่อสุขภาพยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มฟู้ดดี้สายเฮลท์ตี้ ไม่ว่าจะเป็น อาซาอิโบลว์ที่ดังต่อเนื่องข้ามปี สลัดแร็ปผักล้น ไปจนถึงสมูตตี้เพื่อสุขภาพที่เป็นกระแสจาก “น้ำปั่น Erawon” จนกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูฮิตติดลมบน โดยเฉพาะ Oh! Juice แบรนด์น้องใหม่จากโอ้กะจู๋ ที่ปั่นทั้งกระแสและยอดขายไปอย่างถล่มทลายจนเติบโตขึ้นกว่า 400% ภายในระยะเวลา 3 เดือน
· ฟากของหวานอย่าง “ดูไบช็อกโกแลต” รวมถึงเมนูขนมหวานที่มีส่วนผสมของถั่วพิตาชิโอ กลายเป็นไอเท่มสุดฮอตแห่งปี โดยเฉพาะแบรนด์ The Rolling Pinn ที่มียอดขายถล่มทลายในช่วงครึ่งปีหลัง และทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า
ฟีเจอร์มาแรง “สั่งเป็นกลุ่ม กินที่ร้าน”
· ฟีเจอร์คำสั่งซื้อกลุ่ม (Group Order) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นโดยมียอดสั่งอาหารเติบโตขึ้นสองเท่าหลังแกร็บฟู้ดอัปเกรดฟีเจอร์ให้สามารถสั่งอาหารร่วมกันได้สูงสุดถึง 10 คนและเพิ่มทางเลือกในการแบ่งจ่ายได้ถึง 3 ออปชัน
· เทรนด์การกินข้าวนอกบ้านดันให้ฟีเจอร์กินที่ร้าน (Dine Out) เติบโตขึ้น โดยมียอดใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 11 เท่าในไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในร้านบุฟเฟต์ ซึ่ง 3 ร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ โม โม่พาราไดซ์ (Mo-Mo-Paradise) โคเอ็น (Kouen) และซูกิชิ (Sukishi)
กลุ่มธุรกิจการเงินเอ็กซ์สปริง (XSpring Group) และ บริษัท ซิคซ์ เนทเวิร์ค (ไทยแลนด์) จำกัด (SIX Network) ประกาศเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กรในการขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนด้านเทคโนโลยี Real World Asset Tokenization โดยนำประสบการณ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของ XSpring Group มาผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนของ SIX Network เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ครอบคลุมความต้องการของภาคธุรกิจและการลงทุนอย่างครบวงจร
ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ทั้งสององค์กรสามารถพัฒนาโซลูชันด้าน Real World Asset Tokenization ที่ครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การพัฒนาเทคโนโลยี การออกแบบโทเคน ไปจนถึงการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งสำหรับการทำ Real World Asset Tokenization และนำสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มาทำงานอยู่บนเครือข่ายบล็อกเชน SIX Protocol อีกทั้งยังมุ่งผลักดันให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีที่ SIX Network พัฒนาในวงกว้าง ผสานกับประสบการณ์ของ XSpring Group เพื่อนำโซลูชันบล็อกเชนไปใช้สร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคองค์กรและการเงิน รวมไปถึงพันธมิตรธุรกิจในเครือต่อไป
อีกทั้งยังนับเป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับเศรษฐกิจไทย โดยการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัลจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการจัดการสินทรัพย์ รวมถึงช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจในไทยสามารถเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ๆ ในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับอสังหาริมทรัพย์ หรือการระดมทุนสำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนช่วยผลักดันให้นักลงทุนรายย่อยในไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ระดับโลกได้ง่ายขึ้น
XSpring Group เป็นผู้นำด้านการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลครอบคลุม 4 ประเภท ได้แก่ นายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี นายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล ผู้ค้าคริปโทเคอร์เรนซี และ
ผู้ค้าโทเคนดิจิทัล พร้อมทั้งได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้เป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ซึ่งสร้างความแข็งแกร่งในระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่ม XSpring
สำหรับ SIX Network เป็นผู้พัฒนาเครือข่ายบล็อกเชน SIX Protocol ที่รองรับเทคโนโลยี Real-World Asset Tokenization และกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Pas.ss เพื่อทำให้กระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนดิจิทัลสะดวกและใช้งานง่าย ทั้งนี้ เทคโนโลยี Real-World Asset Tokenization ได้รับการจับตามองจากสถาบันการเงินระดับโลกในฐานะเครื่องมือการลงทุนที่มีศักยภาพสูง โดยตลาดนี้มีมูลค่าปัจจุบันกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 จากรายงานของ Boston Consulting Group
นางสาววรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) “XPG” กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของเครือบริษัทเอ็กซ์สปริง ในการเป็นผู้นำด้านสินทรัพย์ดั้งเดิม และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ครอบคลุมทุกมิติ เราเชื่อมั่นว่า การผสานความเชี่ยวชาญจากทั้งสองฝ่ายจะสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญในโลกการลงทุน พร้อมเปิดโอกาสใหม่ให้กับภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน”
ทั้งนี้ การผนึกกำลังระหว่าง XSpring Group และ SIX Network เป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันเทคโนโลยีบล็อกเชนและ Real-World Asset Tokenization ไปสู่ระดับโลก ตอกย้ำถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมการเงินในอนาคต
– เลือกจ่ายเฉพาะสิ่งที่ต้องการ ก็ฟินได้!...ทรู คอร์ปอเรชั่น ย้ำศักยภาพเครือข่ายทรู 5G ที่พัฒนาต่อเนื่องและดีที่สุด พร้อมเครือข่ายอัจฉริยะเน็ตบ้านไฟเบอร์อันดับหนึ่งทรูออนไลน์ ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รองรับทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ จับมือพันธมิตร Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก จัดเต็มแพ็กเกจ “True Super Netflix” เอาใจคนรักความบันเทิง ให้สนุกกับการดู Netflix ได้คมชัดทุกจอ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษที่คุ้มยิ่งกว่า สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค 5G จ่ายเริ่มต้นเพียง 499 บาท/เดือน ดูชัดครบทุกจอ ทุกอุปกรณ์ ชัดต่อเนื่องไม่สะดุด และสำหรับลูกค้าทรูออนไลน์ ดูจุใจทั้งครอบครัวเริ่มต้นเพียง 799 บาท/เดือน ความเร็วเน็ตบ้านไฟเบอร์เริ่มต้น 500/500 Mbps พร้อมรับฟรี กล่อง TrueID TV + แพ็กเกจ TrueVisions Now Joy ซิมเน็ต 10GB/เดือน แถมกล้อง CCTV ฟรี มั่นใจครบครัน คุ้มค่า ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนชอบดูหนัง และซีรีส์จาก Netflix
![]()
นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป คนไทยหันมาเสพความบันเทิงผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากขึ้น และ Netflix ก็เป็นตัวเลือกอันดับแรกของคนไทย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Netflix ในไทย 1.5 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกในอนาคตทั้งการรับชมผ่านสมาร์ททีวี และสมาร์ทดีไวซ์ การจับมือในครั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมกับพันธมิตร Netflix เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการรับชมให้กับลูกค้า ออกแบบแพ็กเกจใหม่ล่าสุด 'True5G Super Netflix และ TrueOnline Super Netflix' ที่จะเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับวิถีการรับชมพรีเมียมคอนเทนท์ของคนยุคดิจิทัล เพราะจะทำให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การสตรีมมิ่งที่ลื่นไหล ไร้สะดุด ทุกที่ทุกเวลา ในราคาสุดคุ้ม คมชัดและที่สำคัญคือดูได้ทุกอุปกรณ์ทั้งสมาร์ททีวี และสมาร์ทดีไวซ์ ด้วยราคาเริ่มต้นที่คุ้มค่ายิ่ง อีกทั้งเราเชื่อว่า การดูหนังหรือซีรีส์สุดโปรด ต้องมาพร้อม
ความเร็วเน็ตที่แรง เพื่อให้เพลิดเพลินกับการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ที่ชื่นชอบได้อย่างเต็มที่ ด้วยสัญญาณ ทรู ดีแทค 5G ที่เร็ว แรง ครอบคลุมทั่วไทย การันตีสัญญาณคุณภาพอันดับ 1 การันตีจาก nPerf 8 ปีซ้อน ทำให้การออกแบบแพ็กเกจครั้งนี้เหมาะสำหรับลูกค้าทุกไลฟสไตล์การใช้งาน ลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับการใช้ดาต้า มันส์กับการรับชมเน็ตฟลิกซ์และการทำงานให้เน็ตไม่อั้นในราคาสุดพิเศษ เพียง 1,299 บาท/เดือน พร้อมรับชมเน็ตฟลิกซ์ พรีเมียม คมชัดระดับ 4K ดูพร้อมกันสูงสุดถึง 4 อุปกรณ์ หรือแพ็กเกจเริ่มต้นเพียง 499 บาท/เดือน ก็ยังรับชมเน็ตฟลิกซ์ เบสิก ชัดระดับ HD ทุกจอ ทุกอุปกรณ์ซึ่งแม้แพ็กเกจเน็ตหมดก็ยังใช้เน็ตต่อเนื่องที่ด้วยความเร็วที่ยังสามารถดูสตรีมมิ่งได้ไม่สะดุด นอกจากนี้ยังมีแพ็กเกจสำหรับลูกค้าทรูออนไลน์ ที่ให้ดูจุใจทั้งครอบครัวในราคาสุดคุ้ม รับฟรีกล่อง TrueID TV แพ็กเกจ TrueVisions Now Joy รวมถึง ซิมเน็ต 10GB/เดือน และติดตั้งใหม่ยังได้รับกล้อง CCTV อีกด้วย เชื่อมั่นว่าแพ็กเกจ True Super Netflix ทำให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกับการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ที่ชื่นชอบได้อย่างเต็มที่ ไร้รอยต่อ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
– ทรู คอร์ปอเรชั่น ชวนคนไทยร่วมยิ้มให้ตัวเองกับปีที่ผ่านมา พร้อมยิ้มรับปีใหม่ ให้มีแต่สุขยิ้มได้ตลอดปีกับแคมเปญ “ยิ้มทั่วไทย” ยิ้มรับสุข พร้อมของขวัญพิเศษทั่วไทยที่จะส่งไปกับสัญญาณทรู ดีแทค 5G เร็ว แรง กระจายครอบคลุมทั่วไทย เติมเต็มทุกความสุขตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าครบครันทั้ง “ยิ้มทั่วไทย ยิ้มให้ตัวเอง” ภาพยนตร์โฆษณาสุดซึ้งกินใจ ที่จะชวนให้ทุกคนหันมายิ้มให้กับตัวเองและคนข้างๆกับสิ่งดีๆ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งต้อนรับปีใหม่ด้วยความหวัง และรอยยิ้ม https://www.youtube.com/watch?v=kx6D090psBk พร้อมชวนส่ง “ยิ้มทั่วไทย ทรูทั่วไทย” ส่งตรงความเร็ว แรง ของสัญญาณความสุข ที่ทั่วถึง ทุกทิศ ทั่วไทย “ยิ้มทั่วไทย ยิ้มให้ ปีใหม่” กับกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สนุก ฟิน อมยิ้มข้ามปี และพิเศษสุดกับ “ยิ้มทั่วไทย ยิ้มรับของขวัญ” ที่ชวนลูกค้าแลกยิ้มรับความสุขทั่วไทยง่ายๆ ผ่าน AR จากแอปทรูไอดี ดีแทคแอป หรือ ทรูไอเซอร์วิส เลือก “สิทธิพิเศษ” แล้วคลิกที่แบนเนอร์ “ยิ้มรับสุขทั่วไทย” เพียงแค่เปิดกล้องและยิ้ม ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับสุข 2 ต่อ ต่อที่ 1 รับทันทีบริการ “ทรู ไซเบอร์เซฟ” ป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพ ปกป้องพร้อมแจ้งเตือนเมื่อกดลิ้งก์แปลกปลอม ต่อที่ 2 รับสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลมากมาย ทั้งรับฟรี!
ไอศกรีมโคน McDonald, แพ็กเกจเสริมเน็ต 5GB, วอลเปเปอร์เสริมดวงตามวันเกิดจาก HoroWorld ส่วนลดจากคาเฟ่ และร้านอาหารชื่อดัง อาทิ Hello Yogurt, TrueCoffee, Au Bon Pain, PAUL, Dunkin, KatsuyaPepperlunch Chabuton, Greyhound Café และร้านในเครือ ส่วนลดช้อปปิ้ง จาก Lazada Oriental Princess Robinson Beauty ตลอดจนความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตจาก FWD ด้วยประกันอุบัติเหตุวงเงิน 500,000 บาท โดยลูกค้าสามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่ วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ถึง 15 มกราคม 2568 คลิกเพื่อร่วม “ยิ้มรับสุข” ได้ที่ https://www.true.th/true-network/happiness-express
นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ. ทรู ค อร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “แคมเปญ ‘ยิ้มทั่วไทย’ เกิดขึ้นจากความตั้งใจของทรู ที่ต้องการสร้างรอยยิ้มให้ลูกค้าทุกคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ เชื่อว่ารอยยิ้มเป็นพลังบวกที่สามารถสร้างความสุขให้กับทุกคนได้ ขณะที่ เครือข่ายทรู เร็ว แรง พร้อมเป็นสัญญาณความสุขที่กระจายครอบคลุมทั่วไทย ให้ยิ้มทั่วไทย ทรูทั่วไทย เพื่อส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขได้แบบไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะในช่วงบรรยากาศส่งท้ายปี ที่ทรูตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะเติมเต็มทุกความสุขตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ด้วยการมอบของขวัญและความสุขต้อนรับปีใหม่ ผ่านเครือข่ายที่ดีที่สุดจากทรูและดีแทค อยากให้ทุกคนได้ “ยิ้มให้ตัวเอง” กับทุกเรื่องราวในปีที่ผ่านมา และ “ยิ้มรับของขวัญ” ที่เราตั้งใจมอบให้ เพื่อเป็นแรงใจในการ ”ยิ้มให้ปีใหม่” ไปด้วยกัน ด้วยกิจกรรม “ยิ้มรับสุข” ให้ลูกค้าทรู ดีแทคและทรูออนไลน์ทุกคน เพียงมีแอปทรูไอดี ทรูไอเซอร์วิส หรือดีแทคแอป เข้าในแอป และคลิกที่แบนเนอร์ “ยิ้มรับสุข” กดยอมรับเพื่อเล่นเกม ลูกค้าจะเห็นการ์ดอวยพรปีใหม่จากเรา จากนั้นให้ลูกค้าเปิดกล้อง และยิ้มรับความสุข ก็จะได้รับกล่องของขวัญ กดที่กล่องของขวัญเพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ ให้ได้ไป อิ่ม ช้อป เพลิน จากร้านค้าชั้นนำ ฟรีทั่วไทย หรือคลิกเพื่อร่วม “ยิ้มรับสุข” ได้ที่ https://www.true.th/true-network/happiness-express”
มาร่วมเป็นครอบครัวทรู ดีแทค เพื่อรับความสุขแบบนี้ตลอดทั้งปีได้ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอปทรู หรือแอปดีแทค แล้วมาร่วมยิ้มรับสุขไปพร้อมกัน!
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “ยิ้มทั่วไทย” และคลิกเพื่อร่วม “ยิ้มรับสุข” ได้ที่ https://www.true.th/true-network/happiness-express
กรุงเทพฯ 28 พฤศจิกายน 2567 – ตามที่มีลูกค้าบางท่านได้รับจดหมายใช้ชื่อและโลโก้ทรมูฟ เอช แจ้งว่าลูกค้ามีการกระทำความผิดตามพรบ. คอมพิวเตอร์และหลอกให้ประสานตรงตำรวจ โดยขอให้เพิ่มเพื่อนใน line เพื่อคุยกับตำรวจนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับจดหมายดังกล่าวอย่าหลงเชื่อ เนื่องจาก เอกสารจดหมายดังกล่าว เป็นการกระทำของ”มิจฉาชีพ “อ้างชื่อและนำโลโก้ทรูไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมท้้งใช้ชื่อผู้บริหารทรูเป็นผู้ลงนามซึ่งเป็นการแอบอ้างชื่อ โดยที่ไม่เป็นความจริงและไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอยืนยันว่าบริษัทฯ ไม่เคยมีการออกจดหมายแจ้งเตือนดังกล่าว และไม่เคยขอให้ลูกค้าติดต่อตรงกับตำรวจในทุกกรณีแต่อย่างใด ขอลูกค้าโปรดเพิ่มความระมัดระวัง หากมีข้อสงสัยกรุณาติดต่อกลับ 1242
สิงห์ เอสเตท ยื่น filing เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 2 ชุด อายุ 2 ปี และ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย [4.50 – 4.70]% และ [4.90 -5.10]% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ [7 – 9] ม.ค. 2568 พร้อมอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้อยู่ที่ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ “BBB+” แนวโน้ม “Negative” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 67
กรุงเทพฯ 2 ธันวาคม 2567 - หลังจากประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ในปี 2566 และเมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการเสนอขายหุ้นกู้ทั้ง 2 ครั้งรวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 2,700 ล้านบาท บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลตราสารหนี้ (filing) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยหุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 หุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย [4.50 – 4.70]% ต่อปี และ ชุดที่ 2 หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย [4.90 -5.10]% ต่อปี สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวจะชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยคาดว่าจะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ [7 – 9] มกราคม 2568 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 4 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Negative” โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนถึงคุณภาพที่ดีของสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทฯ ตลอดจนแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีและรายได้ประจำจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของบริษัทฯ
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าหุ้นกู้ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีอีกครั้งจากผู้ลงทุนที่เชื่อมั่นในแบรนด์ “สิงห์ เอสเตท” ถึงแม้ในสภาวะที่ตลาดหุ้นกู้ไทยโดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น แต่ด้วยภาพรวมการดำเนินงานของสิงห์ เอสเตทในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผน พิสูจน์ได้จากผลประกอบการงวดเก้าเดือนแรก ของปี 2567 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักรวมทั้งสิ้น 11,431 ล้าน คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 13% เมื่อเทียบกับสิ้นงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในการขยายธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ในสภาวะที่ตลาดกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความท้าทายในหลายๆ ด้าน อีกทั้งมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งโครงการบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมั่นใจว่าแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาความต้องการของลูกค้าในตลาดบ้าน เซกเมนต์ลักชูรีซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ ยังคงมีการขยายความต้องการอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการบ้านระดับ Luxury Segment และ Premium Luxury Segment ของบริษัทฯ ประกอบกับกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อสูง ดังนั้นแผนการเดินหน้าพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกับลูกค้ากลุ่มนี้ โดยอาศัยกลยุทธ์การมุ่งพัฒนาโครงการคุณภาพชั้นนำในทำเลที่มีศักยภาพ พร้อมด้วยแนวทางการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์แก่ผู้อยู่อาศัย ซึ่งจะนำพา สิงห์ เอสเตท ก้าวขึ้นเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
อีกทั้ง ภายในปลายปีนี้จนถึงช่วงต้นปีหน้า สิงห์ เอสเตท เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ครอบคลุม Luxury Segment ไปถึง Super Luxury Segment รวม 4 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดร่วมทุน 1 โครงการ ตั้งอยู่บนทำเลพระราม 3 และโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ สมิทธ์ (SMYTH’S) บน 2 ทำเลสำคัญ ได้แก่ รามอินทรา และ เกษตร-นวมินทร์ และ S’RIN Prannok-Kanchana (สริน พรานนก-กาญจนา) บน ถนน พรานนก-ตัดใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,800 ล้านบาท ตอกย้ำการเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับไฮเอนด์ของบริษัทฯ
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นอย่างชัดเจนในรอบเก้าเดือนที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการปรับปรุงโรงแรม อาทิ โรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรม Outrigger ในฟิจิ เพื่อเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกระแสการขยายตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวในหลายประเทศทั่วโลก โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7,746 ล้านบาท และสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผลกำไรจากการดำเนินงานหลัก เติบโตขึ้นกว่า 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเติบโตขึ้นประมาณ 51% เมื่อเทียบกับช่วง
เดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของ SHR พร้อมรับแรงสนับสนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยและในหลาย ๆ ประเทศที่ลงทุน
ในส่วนของธุรกิจอาคารสำนักงาน ในปีนี้บริษัทฯ ได้รับการรับรองจาก 3 มาตรฐานไอเอสโอ (ISO) ระดับสากล ครบทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ S-OASIS, S-METRO, SUNTOWERS, และ SINGHA COMPLEX รวมถึงการคว้ารางวัล Global Business Outlook Award 2024 สาขา Most Innovative New Office Building Development จากโครงการ S-OASISนับเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในฐานะผู้นำด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าและอาคารสำนักงาน ที่มุ้งเน้นการพัฒนาสินทรัพย์ให้มีมาตรฐานที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตและคุณภาพการทำงานของผู้ใช้อาคารตามนโยบายและทิศทางของบริษัทที่คำนึงถึงระบบการบริหารจัดการด้านคุณภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญ โดยปัจจัยดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้อาคารสำนักงานในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ มีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดอัตราการเช่าและเพิ่มโอกาสในการขายพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในสภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
ทางด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ก็ยังมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน การขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ซึ่งมีจุดแข็งด้านความพร้อมของระบบทรัพยากรไฟฟ้าและน้ำ พร้อมข้อได้เปรียบด้านต้นทุนสาธารณูปโภคที่ต่ำกว่าพื้นที่เศรษฐกิจอื่น จะเป็นจุดดึงดูดดีมานด์ของนักลงทุนที่สำคัญ และช่วยให้เราขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของเราได้อย่างในอนาคต โดยในปีนี้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการโอนที่แก่นักลงทุนแล้วทั้งสิ้นจำนวน 56 ไร่ และส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่เปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กว่า 100 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี
“สิงห์ เอสเตท มุ่งมั่นขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ “Entrusted And Value Enricher” สร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และสร้างความสมดุลในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงแนวคิดหลักในการทำธุรกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความซื่อตรงและรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่ไปกับแผนการบริหารจัดการนโยบายทางการเงินของบริษัทฯ ซึ่งเราเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ อย่างแน่นอน” นางฐิติมา กล่าวเสริม
ทั้งนี้ หุ้นกู้ สิงห์ เอสเตท คาดว่าจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนในระหว่างวันที่ [7 – 9] มกราคม 2568 ผ่าน 4 สถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่
· ธนาคารกรุงไทย โทร. 02-111-1111 โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Money Connect by Krungthai บนแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT
· ธนาคารกสิกรไทย (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) โทร 02-888-8888 กด 819
· บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร โทร. 02-165-5555 และรวมถึงการเปิดจองซื้อออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DIME!
· ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย โทร.02-626-7777 โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์แอปพลิเคชัน CIMB Thai
ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน ได้ที่ www.sec.or.th
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 9 ธันวาคม 2567 – แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค เข้ารับรางวัล Most Innovative Company (รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม) จาก สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หรือ British Chamber of Commerce Thailand (BCCT) โดยรางวัลนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยมายาวนานกว่า 40 ปี ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น โครงการ Lung Ambition Alliance และ การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัล "Chronic Kidney Disease (CKD) Risk Score" ซึ่งได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยโครงการด้านนวัตกรรมดังกล่าว ได้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการตรวจหาความเสี่ยงของโรคในระยะเริ่มต้น ตอกย้ำพันธกิจของบริษัทที่มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
![]()
โครงการด้านการพัฒนาสุขภาพต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้เข้ามาพลิกโฉมรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม ช่วยให้การตรวจหาโรคสามารถทำได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงการจัดทำแผนการรักษาที่ออกแบบให้เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้มากขึ้น โดยโครงการ Lung Ambition Alliance ที่ได้ริเริ่มร่วมกับ Qure.ai ในปี 2565 ได้มีการนำเครื่องมือ Chest AI มาใช้ เพื่อคัดกรองสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปอด โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ด้วยจุดมุ่งหมายในการตรวจหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นให้แก่ประชาชนจำนวน 1 ล้านคนภายในปี 2569 โดยขณะนี้ได้ดำเนินการคัดกรองไปแล้วกว่า 302,682 คน และพบอัตราการตรวจพบมะเร็งปอดที่ 0.1% นอกจากนี้ เครื่องมือดิจิทัล CKD Risk Score ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ก็สามารถดำเนินการคัดกรองไปแล้วถึง 130,000 ครั้ง โดยตั้งเป้าคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง 1 ล้านคนภายในปี 2568 ทั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนานวัตกรรมหรือโซลูชันด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก พร้อมปรับเปลี่ยนจากวิธีการดูแลรักษาแบบดั้งเดิมไปสู่แนวทางที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
![]()
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และ ขอขอบคุณทาง BCCT สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้และต่อยอด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และเสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ดีในประเทศไทย ขอขอบคุณทีมงานแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งทุกคนสำหรับความทุ่มเทจนเกิดผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจในครั้งนี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคนในอนาคตต่อไป”
แอสตร้าเซนเนก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ในการพัฒนายารักษาและโซลูชันที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย ระบบการดูแลสุขภาพ และสังคมโดยรวม วิสัยทัศน์ของบริษัทในการริเริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถต่อยอดการใช้งานได้จริง การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างมีนัยยะสำคัญต่อสังคม ความสามารถในการขยายผลอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสร้างผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งล้วนแล้วแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากการดูแลเชิงรักษาสู่การดูแลเชิงป้องกัน ตอกย้ำ พันธกิจของบริษัท เพื่อการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์อย่างเต็มประสิทธิภาพ
กรุงเทพฯ 12 ธันวาคม 2567 – ทรูออนไลน์ ผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้านไฟเบอร์อันดับ 1 ที่สุดของแบรนด์หนึ่งเดียวในไทย การันตีด้วยรางวัลสุดยอดแบรนด์ระดับโลก World Branding Awards สาขาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต 8 ปีซ้อน เดินหน้าเปลี่ยนบรอดแบนด์สู่การเติมเต็มชีวิตอัจฉริยะในบ้าน มุ่งยกระดับมาตรฐานบรอดแบนด์เพื่อคนไทย ทั้งเร็ว แรง เสถียร ครอบคลุม 77 จังหวัด เปิดตัวอุปกรณ์อัจฉริยะ "TrueOnline WiFi7 Router" เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของโลก คุ้มครบทั้งความเร็วและบันเทิง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล และเหล่าเกมเมอร์ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เชื่อมต่อ รับ-ส่งสัญญาณได้เร็ว แรงกว่า เหนือกว่า WiFi 6 ถึงเท่าตัว ให้ความเร็วสูงสุดแบบเต็มสปีดบน WiFi ได้ถึง 2Gbps รองรับการใช้งานเต็มประสิทธิภาพได้พร้อมกันหลายอุปกรณ์ โดย WiFi7 Router มาพร้อมเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ผสานและเลือกการใช้คลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดแบบอัตโนมัติ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานแบบที่ลูกค้าทรูไม่เคยสัมผัสมาก่อน ลูกค้าใหม่สมัครแพ็กเน็ตบ้านไฟเบอร์ 2 Gbps เริ่มต้นเพียง 1,399 บาทต่อเดือน พร้อมรับ TrueOnline WiFi7 Router ฟรีไม่ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์เพิ่ม สัมผัสความเร็วแรงเหนือกว่าใคร ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2567 ถึง 31 พ.ค. 2568
![]()
นายสกลพร หาญชาญเลิศ หัวหน้าสายงานโพสต์เพย์ คอนเวอร์เจนซ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรูออนไลน์ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าชาวไทยที่เปลี่ยนไป ล่าสุด ดึง WiFi7 เทคโนโลยีสุดล้ำของโลกมาให้ลูกค้าทรูออนไลน์ได้สัมผัสประสบการณ์ WiFi 2 Gbps แบบเต็มสปีด ด้วย "TrueOnline WiFi7 Router" แรงจุใจ ไม่ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์เพิ่ม เอาใจคอเกมและชาวเน็ตที่ชื่นชอบไลฟ์สด สตรีมมิ่ง ที่มีดีไวซ์รองรับ WiFi7 ให้ออนไลน์ได้เต็มประสิทธิภาพ รับ-ส่งสัญญาณ เร็วและแรงกว่า WiFi6 ถึงเท่าตัว มีค่า Latency หรือค่า Ping ที่ต่ำกว่ามาก และมาพร้อมเทคโนโลยี MLO (Multi-Link Operation) ซึ่งช่วยยกระดับการเชื่อมต่อไร้สายให้ล้ำหน้ากว่าเดิม โดยการผสานข้อดีจากการใช้งานทั้งสองความถี่ 2.4 GHz และ 5GHz เข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด เชื่อมต่อใช้งานได้ทั้งภายในและบริเวณนอกบ้าน รวมถึงพื้นที่จุดอับสัญญาณ เน็ตลื่นไหลไม่สะดุด แม้มีสัญญาณรบกวนจากบ้านใกล้เคียง หรืออยู่ห่างจากอุปกรณ์ Router ออกไปเกินกว่าระยะที่ WiFi6 เคยให้บริการด้วยคลื่น 5GHz แต่ด้วยเทคโนโลยี MLO บน WiFi7 Router ระบบ Intelligent Frequency Selection จะเลือกใช้คลื่นความถี่ที่เหมาะสมที่สุด เช่นเดิมระยะห่างจากอุปกรณ์เกิน 50 เมตรการใช้งาน
WiFi จะไม่ต่อเนื่อง ไม่สามารถใช้งานได้ แต่ TrueOnline WiFi7 Router จะแก้ปัญหาให้หมดไปและทำให้สามารถใช้งาน WiFi ได้อย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าแพ็กเกจเน็ตบ้านไฟเบอร์ 2 Gbps ยังอัดแน่นด้วยความบันเทิงระดับพรีเมี่ยม ครบรสถึงบ้าน ทั้ง TrueVisions NOW Standard, VIU Premium และ iQIYI VIP ที่สำคัญ ลูกค้าเน็ตบ้านทรู ยังได้รับการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานด้วยบริการ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์” ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่ทันสมัย ด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นของทรูออนไลน์ที่ตั้งใจส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการเน็ตบ้านมาโดยตลอด ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี การันตีด้วยรางวัลสุดยอดแบรนด์ของโลก World Branding Awards สาขาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต 8 ปีซ้อน จาก World Branding Forum ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเพียงแบรนด์เดียวจากวงการบรอดแบนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยผ่านเกณฑ์การประเมินถึง 3 เกณฑ์ คือ การวิจัยตลาดผู้บริโภค การวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ และการโหวตของประชาชน นับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ และเครื่องหมายของความสำเร็จและความไว้วางใจจากผู้บริโภคคนไทยและทั่วโลก”
ลูกค้าใหม่ที่สนใจ สามารถสมัครแพ็กเกจ "TrueOnline WiFi7 Router" พร้อมสัมผัสเทคโนโลยีสุดล้ำ WiFi7 ความเร็ว แรง 2 Gbps เริ่มต้นเพียง 1,399 บาทต่อเดือน พิเศษ ลูกค้าซิมทรู ดีแทค สมัครเพียง 1,199 บาทต่อเดือน พร้อมรับฟรี! TrueOnline WiFi7 Router กล่องทรูไอดีทีวีรุ่นใหม่ล่าสุด ครบรสความบันเทิงระดับพรีเมี่ยม ทั้ง TrueVisions NOW Standard, VIU Premium, iQIYI VIP และซิมเน็ต 5G 20GB ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2568 ที่ ทรูช็อป ดีแทคช็อป โทร. 02 700 8000 แล true.th/trueonline