December 20, 2025

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ผู้นำด้านโทรคมนาคมระดับโลก ประกาศเปิดตัว 'EricssonEdge Academia Program' โครงการซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างอาชีพและพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่รองรับภาคโทรคมนาคมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดีย

จากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ 5G, AI และ IoT และจากผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญและเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก อีริคสันจึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่จะเข้าไปทำงานในภาคโทรคมนาคม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการคัดสรรบัณฑิตของอีริคสันทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดีย

EricssonEdge Academia Program ได้รับการออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความรู้และเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็นด้านเทคโนโลยี 5G, Cloud และ AI ให้กับนักศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตและก้าวเป็นผู้นำในภูมิทัศน์ของตลาดโทรคมนาคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง ตลอดระยะเวลา 6 เดือน โครงการนี้จะมอบประสบการณ์การเรียนรู้เชิงลึกให้กับนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 40 แห่ง จากอินเดีย ออสเตรเลีย ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม

โครงการนี้จะเป็นการผสมผสานการเรียนแบบตัวต่อตัวร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของอีริคสัน และการเรียนรู้แบบออนไลน์ช่วงเดือนที่สองและสาม ซึ่งจะมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าบุคลากรจะได้รับความก้าวหน้าและมีความเข้าใจที่ต่อเนื่อง โดยการเรียนรู้ในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์แก่ผู้เข้าเรียน พร้อมยังนำเสนอความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเทคโนโลยีและเตรียมพร้อมสำหรับอาชีพในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยนักศึกษาที่จบหลักสูตรจะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาคัดสรรเป็นบัณฑิตในโครงการของอีริคสันในระดับภูมิภาค

ปริยันกา อานันท์ รองประธานและหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดียของอีริคสัน กล่าวว่า "EricssonEdge Academia Program เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาเพื่อมุ่งพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ๆ ในด้านโทรคมนาคม ด้วยการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นให้กับนักศึกษาเพื่อนำไปต่อยอดสู่ความสำเร็จ และเราไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสทางอาชีพให้กับพวกเขา แต่ยังเพิ่มความมั่นใจในด้านความก้าวหน้าและความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง"

โครงการนี้เป็นประโยชน์ทั้งต่อนักศึกษาและระบบนิเวศโทรคมนาคมวงกว้าง โดยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและพัฒนาขีดความสามารถในด้านอุตสาหกรรม การเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ของอีริคสัน และได้สัมผัสโดยตรงกับผู้นำในอุตสาหกรรม โดย EricssonEdge Academia Program ได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับแรงงานที่พร้อมรับมือกับอนาคต

 Bridgewise (บริดจ์ไวส์) แพลตฟอร์มข้อมูลข่าวสารการลงทุนทางการเงินสำหรับหลักทรัพย์ทั่วโลก ประกาศเปิดตัว BRIDGETTM เครื่องมือการลงทุนด้วย AI แบบสนทนา ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับภาคการลงทุนสถาบัน รวมถึงโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขาย โดยนำเทคโนโลยี AI โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM - Large Language Model) ที่สามารถประมวลผลภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด BRIDGETTM ช่วยพลิกโฉมการรายงานข้อมูลการลงทุนแบบดั้งเดิม ให้กลายเป็นการสนทนาแบบโต้ตอบและให้คำแนะนำการลงทุน ผ่านแพลตฟอร์มที่ปรับแต่งได้หลากหลายภาษา ปัจจุบันบริดจ์ไวส์ มีให้บริการกว่า 25 ภาษา ใน 15 ตลาด และครอบคลุมเครื่องมือทางการเงินทั่วโลกมากกว่า 50,000 รายกา

การเปิดตัวในครั้งนี้ ได้รวมถึงการประกาศความสำเร็จในการระดมทุนได้ถึง 21 ล้านดอลลาร์ มีการเปิดตัว Bridgewise Funds (FundWise) และการแต่งตั้งบุคคลากรในอุตสาหกรรมตลาดทุนอีกหลายท่านเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและนวัตกรรมของบริดจ์ไวส์อย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2019 โดยมีสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาปัจจุบันหลากหลายท่าน หลากหลายประสบการณ์ อาทิ คริสเตียน รูส (อดีต CEO ของตลาดหลักทรัพย์สวิส) ดาโต เนโต (อดีตกรรมการผู้จัดการของ Banco Model ประเทศบราซิล) เดวิด เลนชัส (กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ HC Wainright) เดวิด ซีเกล (อดีต CEO ของ Investopedia และประธานของ Seeking Alpha) และ โยไค คอร์น (อดีตหัวหน้าฝ่ายข้อมูลตลาดและการวิจัยทั่วโลก Interactive Brokers)

คุณ เคลวิน ฟัว ผู้อำนวยการทั่วไปของบริจ์ไวส์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะนำ BRIDGETTM มาสู่เอเชีย ซึ่งเราเห็นศักยภาพมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงการลงทุนด้วยข้อมูลข่าวสารทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI บริดจ์ไวส์มองว่าตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ เห็นได้จากเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย พร้อมทั้งการขยายไปสู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของบริดจ์ไวส์ และความสามารถด้านข้อมูล

ข่าวสารทางการเงิน AI สามารถปฏิวัติวิธีการดำเนินงานของตลาดทุนเอเชียแปซิฟิก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายการเข้าถึงของภูมิภาคนี้ในตลาดทุนโลก”

จากงานวิจัยได้มีการประเมินว่า Generative AI (Gen AI) สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมได้ตั้งแต่ 200,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 340,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 2.8 ถึง 4.7 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของอุตสาหกรรมในภาคการธนาคารทั่วโลก ท่ามกลางศักยภาพการเติบโตสูงนี้ Gen AI ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมและการพลิกโฉมอุตสาหกรรม เสริมพลังให้สถาบันการเงินสามารถให้บริการได้มากกว่าความคาดหวังของลูกค้าและนักลงทุนในปัจจุบัน ที่มีความต้องการบริการที่รวดเร็ว สะดวก และทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบ ข้อปฏิบัติระหว่างประเทศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

คุณ กาเบรียล ดิอาแมนต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริดจ์ไวส์ กล่าวว่า “BRIDGETTM ของบริดจ์ไวส์ เป็นตัวช่วยการลงทุนด้วย AI แบบสนทนาที่นำเสนอการพลิกโฉมที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการลงทุนและหลักทรัพย์ระดับโลก โดยการผสาน AI ขั้นสูงเข้ากับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เราไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น แต่ยังทำให้มั่นใจว่าการตัดสินใจเหล่านี้เกิดขึ้นภายในกรอบที่ปลอดภัยและสอดคล้องกับกฎระเบียบ ในฐานะหนึ่งในแพลตฟอร์มข้อมูลข่าวสารการลงทุนทางการเงินเพียงไม่กี่แห่งของโลกที่มุ่งให้บริการแก่ภาคการลงทุนสถาบัน เราสามารถปรับแต่ง BRIDGETTM ให้ตรงกับมาตรฐานและข้อกำหนดเฉพาะของสถาบัน เครื่องมือนี้นับเป็น Game Changer สำหรับสถาบันการเงินที่ต้องการอยู่แถวหน้าในภาคการเงินที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ช่วยให้ผู้วิเคราะห์และนักลงทุนได้รับข้อมูลที่เฉียบคมจากการโต้ตอบกับระบบในรูปแบบที่ใช้งานง่าย พร้อมมีข้อมูลเชิงลึก ส่งผลให้กระบวนการตัดสินใจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

การแก้ไขปัญหาสำคัญ

ในสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ผู้วิเคราะห์และนักลงทุนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้รับข้อมูลที่ล้นหลาม ข้อจำกัดด้านเวลา และความต้องการข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง BRIDGETTM ของบริดจ์ไวส์ มอบข้อมูลเชิงลึกในการลงทุน รวมถึงคำแนะนำการซื้อ/ขายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับหุ้น BRIDGETTM ยังแก้ไขข้อบกพร่องที่เกี่ยวข้องกับแชทบอท AI หลายประการ เช่น

· การขาดคำแนะนำการลงทุน: แชทบอทแบบดั้งเดิมไม่สามารถแนะนำการลงทุนในหุ้นตัวใด ๆ ได้ ในขณะที่ BRIDGETTM ให้คำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ได้ รวมถึงคำแนะนำการซื้อ/ขายที่เฉพาะเจาะจง

· ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน: BRIDGETTM ใช้ Micro Language Model (MLM) เฉพาะสำหรับการสนทนาเกี่ยวกับการลงทุนและตลาดทุน

· การวิเคราะห์ข้อมูลที่ผิดพลาด: แชทบอทอื่น ๆ มักสร้างข้อเสนอแนะที่ไม่ถูกต้องหรือไร้เหตุผล เช่น แนะนำหุ้นที่ไม่มีอยู่จริงหรือหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดี BRIDGETTM ได้รับการออกแบบเพื่อลดข้อบกพร่องเหล่านี้ เนื่องจาก MLM ของบริษัทได้รับการฝึกอบรมโดยเฉพาะเพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขความละเอียดของหัวข้อเฉพาะการลงทุน

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ขอเชิญคนหัวใจรักษ์โลก (GEN S: Generation Sustainability) ทุกวัย ทุกอาชีพ มาร่วมกันหาคำตอบของการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในงาน GC Sustainable Living Symposium 2024: GEN S GATHERING ในรูปแบบ Hybrid Event ทั้ง On Ground และ Online ภายใต้แนวคิด “ยั่งยืนไม่ยาก” พบกับการเสวนาเปิดมุมมองธุรกิจสู่ความยั่งยืนอย่างรอบด้านและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero โดยผู้นำจากทุกภาคส่วน ชมนิทรรศการนวัตกรรมที่คิดเพื่อโลก และแลกเปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์จุดแรงบันดาลใจกู้โลกเดือด เป็นประโยชน์สำหรับทั้งภาคธุรกิจและการใช้ชีวิตที่จะทำให้เรื่องของความยั่งยืนไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ที่พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 นี้

การร่วมสร้างความยั่งยืนคือทางออกเดียวของการกู้โลกใบนี้ให้พ้นวิกฤตโลกเดือดและเป็นหน้าที่ของเราทุกคน GC Sustainable Living Symposium 2024 จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 มุ่งหวังที่จะสร้างการมีส่วนร่วม ระดมความคิด ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้ง Sustainable Business และ Net Zero Lifestyles โดยมีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจเจาะลึกทุกมิติความยั่งยืนผ่าน 30 ผู้นำทางความคิดและพันธมิตรจากหลากหลายวงการและอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ บน 3 เวทีเสวนา

เวทีเสวนา PLENARY

ความยั่งยืน ≠ ทางเลือกของความอยู่รอด

แต่ความยั่งยืน = ทางออกเดียวของโลกใบนี้

ชวน GEN S สำรวจเทรนด์โลกและแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (GHG Reduction) สำรวจเส้นทางของประเทศไทยในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

· Global Sustainability แนวโน้มกฎระเบียบและแนวปฏิบัติระดับสากล ครอบคลุมทั้ง EU และสหรัฐฯ รวมถึงแนวทางการลดคาร์บอนของไทยที่ต้องดำเนินควบคู่กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม โดย Boston Consulting Group ที่ปรึกษาระดับโลก

· กลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ภารกิจในการผลักดันนโยบายเพื่อสนับสนุนภาคีเครือข่ายและยกระดับภาคเอกชนไทย โดย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย

ความยั่งยืน ≠ เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป

แต่ความยั่งยืน = โอกาสทางธุรกิจและโซลูชันต่อยอดสู่อนาคต

เสริมสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจในการนำแนวคิดความยั่งยืนไปใช้ในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

· Packaging for a Sustainable Future: แนวทางการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่ออนาคตลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย 3 ผู้นำ ที่ใส่ใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน NatureWorks และ Interface Polymers และ King Yuan Fu Packaging Co., Ltd.

· Sustainable Products and Solutions ร่วมค้นหานวัตกรรมเพื่อผลิตภัณฑ์ยั่งยืน โดย allnex ผู้นำในธุรกิจ Coating Resins ระดับโลก Green Power for All ชวนทุกคนไปรู้จักเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว และการยกระดับประสิทธิภาพทางพลังงานของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อสนองความต้องการพลังงานสะอาดและความยั่งยืนของระบบไอซีที โดย บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชั่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ชั้นนำระดับโลก

· บทบาทของการเงินที่ยั่งยืนในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดย ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

เวทีเสวนา Exhibition

ความยั่งยืน ≠ “จำกัด” และ “กำจัด”

แต่ความยั่งยืน = หมุนเวียนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

· ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ภาคปฏิบัติในการก้าวสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย สู่ภาคปฏิบัติ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ

สิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การมหาชน) กรมสรรพสามิต และ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

· การเดินหน้าลดขยะพลาสติกให้ประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อโลกยั่งยืน โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติดริ๊งส์ ธนาคารไทยพาณิชย์ และ GC

เวทีเสวนา Lifestyle

ความยั่งยืน ≠ หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง

แต่ความยั่งยืน = หน้าที่ของทุกคน

เวทีที่จะสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม แบ่งปันเคล็ดลับและตัวอย่างที่สามารถทำได้ง่ายและนำมาใช้ได้จริงในการใช้ชีวิตประจำวัน

· GEN S Academic showcase: ความร่วมมือระหว่าง GC x AIS ในการปลุกพลัง สร้างการตระหนักรู้และสร้างจิตสำนึกในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และพลาสติกใช้แล้วร่วมกับ 42 มหาวิทยาลัย ทั่วประเทศ ในโครงการ “Green University ทิ้งเทิร์นให้โลกจำ Upvel 2” การโชว์ Skill GEN S เก็บขยะเพื่อโลก ของเหล่า Green Agent จาก 3 อันดับมหาวิทยาลัยที่ส่งขยะเข้าสู่การรีไซเคิลสูงสุด

· GEN S all stars: จุดประกายแรงบันดาลใจสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน จากบุคคลต้นแบบทุก เจเนอเรชัน ตั้งแต่ Baby Boomer ยายหนิง คุณวารี หน่อแก้ว คุณยายสุดแซ่บส์ของน้องเกล ลูกแม่ชมพู่ และเจ้าของช่องครัวยายหนิง, Gen X รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, Gen Y คุณเพชร ภิพัชรา แก้วจินดา เจ้าของแบรนด์ PIPATCHARA, Gen Z คุณพีรกานต์ จูฑะพงศ์ธรรม และคุณกนกวรรณ บุณยะสุต จากเพจ Go Green Girls คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่เปลี่ยนเรื่องรอบตัวให้เป็นเรื่องกรีน ๆ, และ Gen Alpha น้อง ปาณพุฒิ ศักตยาวนิช ผู้นำการคัดแยกขยะในโรงเรียน

พร้อมร่วมสัมผัสนวัตกรรมเพื่อโลกและเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบ Net Zero กับนิทรรศการเพื่อความยั่งยืนและไฮไลต์กิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย:

Ø นวัตกรรมเพื่อโลกยั่งยืน ผ่าน Showcase การปฏิบัติจริง ด้วยกระบวนการ เทคโนโลยี และแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Ø พบกับ Sustainable Products เคมีภัณฑ์และโซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนวัตกรรม ที่คิดเพื่อโลกพร้อมทั้งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ จาก GC อาทิ สารเคลือบเรซิน, ไบโอพลาสติก และ วัตถุดิบชีวภาพ

Ø การบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว แยก ทิ้ง เทิร์น เพิ่มคุณค่าสู่ Net Zero เรียนรู้วิธีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี กับ GC YOUเทิร์น เทิร์นพลาสติกใช้แล้วให้กลับมาเพิ่มมูลค่า

Ø สนุกกับโลกของการอัพไซเคิลกับ Plastic Funtastic เปลี่ยนฝาขวดน้ำใช้แล้วให้เป็น พวงกุญแจ DIY

Ø เลือกช็อปสินค้าโดนใจสายรักษ์โลก ใน “GEN S Market” ที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานไปพร้อมกับการช่วยโลกยั่งยืน ที่คัดสรรจากแบรนด์ชั้นนำ และ SMEs สายรักษ์โลก

มาร่วมเป็น GEN S ในงาน GC Sustainable Living Symposium 2024 ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหน อยู่ในวัยใด มาร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไปได้

สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย นำโดย นายเปโดร สวาห์เลน เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน “Cardio Catalyst: Driving Change in Heart Health” ครั้งที่ 2 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างอนามัยและสุขภาวะที่ดีให้กับคนไทย โดยได้รับเกียรติจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายเควิน โจว Head, Asia Aspiring Cluster, Novartis International ร่วมเปิดงาน ณ สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย

ภายในงานมีการเสวนาระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนเกี่ยวกับการสร้างความตระหนักรู้ การพัฒนาการรักษา และแนวทางการทำงานร่วมกัน เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบโล่ AHA GWTG HF และแสดงความยินดีกับ 6 โรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองคุณภาพการรักษาผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวตามมาตรฐานระดับนานาชาติจาก American Heart Association ซึ่งแสดงถึงศักยภาพและคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในระดับสากล

 

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 กล่าวว่า “การประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสสำคัญในการหารือเกี่ยวกับปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทยและทั่วโลก จากข้อมูลสถิติของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มวัยทำงานที่อายุน้อยลง กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ และกำหนดให้เป็นหนึ่งใน

ยุทธศาสตร์หลักของกระทรวงสาธารณสุข โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการแพทย์ ในการสร้างโครงการและนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การจัดตั้งคลินิกโรคหัวใจล้มเหลว และการพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรอง ติดตาม และให้คำแนะนำผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ในโอกาสนี้ ขอแสดงความยินดีกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับรางวัลจากสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”

 

พล.ต.ต.นพ.เกษม รัตนสุมาวงศ์ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อธิบายถึงสถานการณ์การดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในปัจจุบันว่าแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจแล้ว และการป้องกันการเกิดโรคหัวใจในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงแต่ยังไม่เป็นโรคหัวใจ สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ ประเทศไทยมีการพัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยการขับเคลื่อนจากกระทรวงสาธารณสุขรวมถึงอีกหลายๆหน่วยงานและสมาคมวิชาชีพต่างๆซึ่งรวมถึงสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาระบบ ‘Fast Track’ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วและได้รับผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง ‘คลินิกหัวใจล้มเหลว’ ในหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ ไปพร้อมกับการทำงานร่วมกันระหว่างทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลตามมาตรฐานสูงสุดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับการป้องกันการเกิดโรคหัวใจในผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหัวใจ คือการสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยง สัญญาณเตือนและอันตรายของโรคหัวใจ โดยเผยว่าปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องในสื่อโซเชียลมีเดียอยู่และทำให้ผู้ป่วยมีความสับสนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต พฤติกรรมบริโภค การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารอาหารเสริมรวมถึงความกังวลถึงผลข้างเคียงของยา ทางสมาคมฯ จึงได้จัดทำ เว็บไซต์ ThaiHealthyHeart.com ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลตนเองสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง และจัดทำแนวเวชปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง และผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว

“สำหรับงาน Cardio Catalyst: Driving Change in Heart Health ในวันนี้ มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะขับเคลื่อนการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วน ในการดูแลสุขภาพของประชาชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด”

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงหลักการ 4A ในการพัฒนาระบบการดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในประเทศไทย อันได้แก่ การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค (Awareness) การประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรค (Assessment) การเข้าถึงการรักษาตามมาตรฐานที่เหมาะสม (Accessibility) และการมีวินัยในการรับการรักษาและการรับประทานยา (Adherence)

 

ทางด้าน เภสัชกรหญิงสุมาลี คริสธานินทร์ ประธานบริหาร บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ เข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ และส่งเสริมให้เกิดผลการรักษาที่ดีขึ้น

“ที่โนวาร์ตีส เราเล็งเห็นว่า การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ เราจึงเชื่อว่าการทำงานร่วมกับผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก จะนำไปสู่การพัฒนาการดูแลโรคหัวใจที่ก้าวหน้าไปมากกว่าการใช้ยาเพียงอย่างเดียว โดยในปีนี้เราได้ต่อยอดจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งหวังที่จะช่วยผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทางด้านการดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากโรคเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงในผู้สูงอายุ แต่ยังรวมถึงผู้ที่มีอายุน้อยทั่วโลก ผ่านเวทีที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคในทุกภาคส่วนให้ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนในการยกระดับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวให้ได้มาตรฐานสากล เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้านี้ และขอขอบคุณโรงพยาบาลและทีมบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลและทุ่มเทเพื่อผู้ป่วยอย่างตั้งใจเสมอมา ด้วยความร่วมมือกัน เราจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดียิ่งขึ้น และได้ใช้เวลาอันมีค่ากับคนที่รักมากขึ้น”

การเสวนาและกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังอย่างเหนียวแน่นจากทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพหัวใจและลดอัตราการเสียชีวิตทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้น กลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำน้อยลง และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วย ตอกย้ำถึงเส้นทางความสำเร็จในวันข้างหน้าที่มุ่งสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนแก่ประชาชนไทย ในขณะเดียวกันประชาชนยังสามารถมีส่วนร่วมในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้ โดยการหมั่นตรวจสุขภาพหัวใจ คอยสังเกตและเอาใจใส่ครอบครัวและคนใกล้ชิด เพื่อป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ป่วยให้มีวินัยในการรักษามากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมพันธมิตรชั้นนำ เดินหน้าจัดงาน “Rethink Pink We Care” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด “ห่วงใยผู้หญิงไทย ห่างไกลมะเร็งเต้านม” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเฝ้าระวังเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ไปจนถึงการดูแลตนเองเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง หวังลดจำนวนผู้ป่วยและความรุนแรงของโรคในประเทศไทย งานนี้จัดขึ้น ณ SCBX NEXT STAGE @ NEXT TECH ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน  โดยมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายมากมาย 

แอสตร้าเซนเนก้า ในฐานะบริษัทผู้วิจัยและพัฒนายาระดับโลก เดินหน้าสานต่อกิจกรรม “Rethink Pink We Care” ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนที่เข้าร่วมงานใน 2 ปี 
ที่ผ่านมา โดยกิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านมที่มักพบในผู้หญิง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของหญิงไทย มีเป้าหมายเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องครอบคลุมตั้งแต่การสังเกตร่างกายเบื้องต้น เห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ไปจนถึงแนวทางรักษา 
ในปัจจุบันและการดูแลตนเองเพื่อสุขภาวะที่ดี ในการส่งมอบองค์ความรู้เหล่านี้ให้ประชาชน แอสตร้าเซนเนก้าจึงได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมนี้ขึ้น 

 

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า  
“จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่ามะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งชนิดที่พบบ่อยที่สุดในหญิงไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเก็บสถิติในปี 2565 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจำนวน 38,559 คนจากทั่วประเทศ ปัจจุบันสาเหตุของโรคเกิดได้ทั้งจากพันธุกรรมและพฤติกรรมเสี่ยง แอสตร้าเซนเนก้าตระหนักถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราจึงมุ่งทำการศึกษาวิจัย พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยอย่างตรงจุดและช่วยลดความรุนแรงของโรคในอนาคต ในประเทศไทยเราได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ผ่านโครงการ ““Rethink Pink We Care” เพื่อส่งมอบองค์ความรู้ในการป้องกัน แนวทางการวินิจฉัย การกระตุ้นให้เข้ารับการตรวจคัดกรองแต่เนิ่นๆ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ภารกิจทั้งหมดนี้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ” 

ศ.นพ. มานพ พิทักษ์ภากร สาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “การตรวจยีนหรือ Genomics  ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ไทยมากขึ้น ตั้งแต่การป้องกันโรค การตรวจคัดกรอง วินิจฉัย รวมไปถึงการรักษา ในกลุ่มโรคที่หลากหลาย ซึ่งโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จึงช่วยในการค้นหาความเสี่ยงภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน  
บีอาร์ซีเอ 1 (BRCA1) และ บีอาร์ซีเอ 2 (BRCA2) จากสถิติพบว่าผู้ที่มียีนกลายพันธุ์กว่า 80% มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูง ซึ่งประโยชน์ของการตรวจคัดกรองด้วยยีนนี้คือมีความแม่นยำสูงหากตรวจพบความเสี่ยงเร็วก็จะช่วยวางแผนการรักษาได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความรุนแรงของโรคช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นได้ สำหรับรูปแบบการรักษาในปัจจุบันมีอยู่หลากหลาย ทั้งการผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีที่ใช้รักษาผู้ป่วยมานาน แต่ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยในปัจจุบัน หากตรวจพบก้อนเนื้อเร็ว การผ่าตัดก็จะเกิดเพียงแผลขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผลดีกับผู้ป่วยในการฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมีการใช้เคมีบำบัด การฉายแสง ภูมิคุ้มกันบำบัด และยามุ่งเป้า ซึ่งการเลือกรูปแบบการรักษานี้จะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาและการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยด้วย” 

 

ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำ โครงการ และสถาบัน 
เพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมากมาย ได้แก่ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด สถานวิทยามะเร็งศิริราช (SiCA) โครงการ Art for Cancer ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย (Thailand Breast Cancer Community) แบรนด์เอนิต้า (ประเทศไทย) จำกัด ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) นอกจากกิจกรรมบนเวทีและการออกบูธนิทรรศการแล้ว ยังได้รับความร่วมมือจาก แบรนด์ลา โรช-โพเซย์ ภายใต้บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีการดำเนินพันธกิจยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวผ่านโครงการ “ลา โรช-โพเซย์ เคียงข้างผู้ป่วยมะเร็ง” (Cancer Support by La Roche-Posay) โดยร่วมมือกับมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง มีเป้าหมายช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง การให้คำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังจากผลกระทบจากการรักษา และการบริจาคผลิตภัณฑ์ ลิปิการ์ โบม เอพี+เอ็ม เพื่อดูแลผิวอย่างอ่อนโยนให้กับผู้ป่วยมะเร็ง 

เมื่อพูดถึงการล่อลวงทางการเงิน หลายคนอาจคิดถึงฉากที่มิจฉาชีพสวมหมวกปีกกว้างและแว่นดำ คอยมองหาผู้ที่พร้อมจะ "รวยทางลัด" แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการเหล่านี้กลับแยบยลและทันสมัยกว่าที่คุณคิดมาก ลองนึกภาพดิไอคอนกรุ๊ปที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ความวาววับ และการนำเสนอการลงทุนที่ฟังแล้วเหมือนฝันที่คุณสามารถแตะต้องได้ แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

ในกรณีของกลุ่ม ดิ ไอคอน กรุ๊ป การตลาดที่ใช้ไม่ใช่แค่การนำเสนอว่าคุณสามารถทำกำไรได้เร็ว แต่ยังสอดแทรกด้วยภาพลักษณ์ของความสำเร็จที่ดูจับต้องได้ ตัวอย่างเช่น การจัดงานหรูหรา ใช้รถหรูเป็นรางวัล และให้ความรู้สึกว่า "ถ้าคุณไม่ลงทุนตอนนี้ คุณอาจจะพลาดโอกาสทอง" นี่คือจุดเริ่มต้นของความหวังในการทำกำไรอย่างรวดเร็วที่เป็นกับดักสำคัญสำหรับหลายคน ผู้ลงทุนจำนวนมากจึงก้าวเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงหรือที่มาของเงินทุน

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ การสร้างบรรยากาศ "ความสำเร็จทันตาเห็น" ผ่านการใช้คนดังและสังคมออนไลน์ นักแสดงที่เราคุ้นเคยหรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์มักเป็นหน้าตาของการลงทุนเหล่านี้ ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่แค่คุณที่ลงทุน แต่คนดังเหล่านี้ก็ทำเหมือนกัน!

ยิ่งไปกว่านั้น กรณีของดิไอคอนกรุ๊ปยังเน้นหนักไปที่การทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการลงทุนนี้เป็นเรื่องง่าย มีคนลงทุนแล้วสำเร็จมาแล้วมากมาย ผลตอบแทนสูงและมีการชักชวนแบบ "ถ้าคุณไม่เข้าร่วม คุณอาจจะพลาดอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งส่งผลให้หลายคนรู้สึกกดดันที่จะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ตกกระแส การหลอกลวงในลักษณะนี้จึงเปรียบเสมือนการนำเสนอการเดินเข้าสู่โลกของผู้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะเป็น

แม้ว่าการขาดความรู้ทางการเงินและการลงทุนจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ แต่เสน่ห์ของการตลาดที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลก็ไม่สามารถมองข้ามได้ ความรู้สึกว่าคุณกำลังเข้าใกล้กับ "การเป็นเศรษฐีคนใหม่" ทำให้ผู้คนหลงลืมความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในนั้น บางคนอาจจะคิดว่า "ก็มีคนที่ได้รับผลตอบแทนจริงๆ นี่นา" แต่ความจริงคือการลงทุนลักษณะนี้มักดำเนินไปในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยผู้ที่เข้ามาในช่วงแรกอาจได้รับผลตอบแทน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การจ่ายผลตอบแทนจะกลายเป็นเรื่องยากเมื่อไม่มีผู้ลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่มเติม

สิ่งสำคัญที่ทำให้ดิไอคอนกรุ๊ปดูมีเสน่ห์เกินกว่าจะต้านทานได้ คือบรรยากาศของ "โอกาสที่พลาดไม่ได้" งานเปิดตัวอลังการที่เปล่งประกาย รางวัลรถหรู และการโฆษณาที่ดูเหมือนทุกคนกำลังประสบความสำเร็จอยู่แล้ว หากคุณไม่เข้าร่วมก็เหมือนกับการปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ซึ่งกดดันให้หลายคนต้องเข้าร่วมโดยไม่มีเวลาคิดให้รอบคอบ

สุดท้ายนี้ ความหลงใหลใน "ความสำเร็จที่ง่ายดาย" ที่หลายคนเห็นผ่านคนดังหรือภาพลักษณ์หรูหราของการลงทุน เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถต้านทานการตัดสินใจร่วมลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่แท้จริงต้องมีการตรวจสอบ การศึกษา และประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด เพื่อลดโอกาสในการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงที่ดูหรูหราเกินจริง

 เรื่อง   ชายกลาง

14/10/2567

นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี ได้รับการยอมรับให้ติดอันดับ 1 ใน 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 จากนิตยสารฟอร์จูน (Fortune Magazine) ความสำเร็จนี้ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้นำหญิงของประเทศไทยที่ได้รับการยกย่องในระดับสากล โดยเธอเป็น 1 ใน 14 ผู้บริหารหญิงของไทยที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อนี้

พิทยาได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำที่ไม่เพียงแค่ผลักดันการเติบโตทางธุรกิจของเคทีซี แต่ยังสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และยกระดับความเป็นเลิศขององค์กรผ่านการบริหารงานที่โดดเด่น เธอได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการบริหารองค์กร โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่และส่งเสริมศักยภาพของผู้บริหารในองค์กร

ความสำเร็จของพิทยายังมาจากการเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน รวมถึงการให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับบุคลากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับสมาชิก เธอไม่เพียงแต่เป็นผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ แต่ยังเป็นต้นแบบของผู้บริหารหญิงที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เคทีซีก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง

AION THAILAND ร่วมมือกับสมาคมประสานงานรถรับจ้างสุวรรณภูมิ จัดกิจกรรมพิเศษสำหรับคนขับแท็กซี่ ณ ลานจอดรถแท็กซี่ สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างวันที่ 24 - 26 กันยายนที่ผ่านมา โดยกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ AION ES รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในบริการขนส่งสาธารณะอย่างแท็กซี่ โดยเน้นถึงประสิทธิภาพสูงและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในโอกาสนี้ AION THAILAND ได้มอบของที่ระลึกเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายระหว่างการเดินทางให้แก่คนขับแท็กซี่ที่เข้าร่วมกิจกรรม เช่น ยาดม ทิชชู่เปียก ผ้าเย็น และน้ำดื่ม นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังได้รับโค้ดชาร์จไฟฟรีสำหรับใช้งานที่ EV Station Pluz สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมขนส่งสาธารณะ โดยมี EVme ผู้ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า และไทยสมาย ลีสซิ่ง ผู้นำด้านธุรกิจรถแท็กซี่แบบครบวงจร เข้าร่วมงานในครั้งนี้

AION ES ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของคนขับรถแท็กซี่โดยเฉพาะ ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน การขับขี่ที่เงียบ และการลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอย่างมีนัยสำคัญ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไม่ปล่อยไอเสียที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทั้งยังมีระบบขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพและสามารถชาร์จไฟได้ทั้งที่บ้านและสถานีชาร์จไฟที่มีให้บริการทั่วประเทศ

ในแง่ของประสิทธิภาพ AION ES สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 442 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในแต่ละวันของคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ ตัวรถ AION ES ยังมีพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ห้องโดยสารถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการเดินทางระยะยาว ด้วยเบาะนั่งที่รองรับสรีระอย่างเหมาะสม ทำให้ขับขี่ได้อย่างสบายและลดความเหนื่อยล้า

เทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเต็มรูปแบบของ AION ES ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขับขี่อย่างมาก โดยค่าใช้จ่ายในการชาร์จพลังงานต่อกิโลเมตรอยู่ที่เพียง 60-70 สตางค์ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการเติมพลังงานแล้ว AION ES ยังมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม เพราะไม่มีระบบเครื่องยนต์ซับซ้อนเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ส่งผลให้มีการสึกหรอน้อยกว่า จึงไม่ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงที่สูง

AION ES ถูกออกแบบมาให้เน้นที่ความนุ่มนวลในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นในสภาพถนนที่ขรุขระหรือต้องเผชิญกับการจราจรที่หนาแน่นของกรุงเทพฯ ระบบช่วงล่างและระบบควบคุมที่ล้ำสมัยช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเมื่อยล้าของคนขับ อีกทั้งยังมีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์น้อยลง ทำให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนขับแท็กซี่ AION ES ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้โดยสารที่ได้ใช้บริการ พวกเขาชื่นชมถึงความสะดวกสบายของห้องโดยสาร ความเงียบสงบขณะเดินทาง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง สามารถรองรับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “KCG” ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่  “แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา” ครั้งแรกของนวัตกรรมชีสแผ่นรสกะเพราจัดจ้านในประเทศไทย จากแบรนด์ “แดรี่โกลด์” (Dairygold) ที่สร้างสรรค์ความอร่อยโดยผสมผสานระหว่างรสชาติท้องถิ่นดั้งเดิม (Localization) และความทันสมัย (Modernization) ที่ตอบโจทย์ความสะดวก พร้อมคอนเซ็ปต์ “สนุก อร่อยเกินคาด ถึงเครื่องรสกะเพรา” เพิ่มความอร่อยนัวชีส เพียงแค่โปะบนอาหาร  

  นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG  ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย กล่าวว่า “KCG มีความตั้งใจนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์มาตลอด เราพบว่าเทรนด์ของผู้บริโภค ให้ความสำคัญกับ Localization ผู้คนมีความภูมิใจในอาหารท้องถิ่นบ้านเกิด ขณะเดียวกัน หากนำเสนออาหารท้องถิ่น ในบริบท Modernization ที่ทันสมัยมากขึ้น และทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการบริโภคที่มีความหลากหลายได้ ก็จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคมีความสุขในการรับประทานมากขึ้น แดรี่โกลด์ ในฐานะผู้นำผลิตภัณฑ์ชีสของประเทศไทย จึงนำเสนอ แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา ซึ่งนำชีสที่เป็นอาหารตะวันตกมาผสมผสานกับกะเพรา ที่เป็นอาหารยอดฮิต ของคนไทย ที่ตอบโจทย์ทั้งความอร่อย และความสนุกที่ผู้บริโภคสามารถนำไปโปะบนอาหารเพื่อเพิ่มความอร่อยได้” 

 

จุดเด่นของแดรี่โกลด์ ชีสกะเพรา: 

  • ความอร่อยในแบบที่คุ้นชิน รสชาติกะเพราเข้มข้น ผสานกับความอร่อยของชีสคุณภาพสูงจากแดรี่โกลด์  
  • ความง่าย/สะดวกสบาย แค่แกะและโปะ ก็อร่อยได้ทันที 
  • ความสนุก/หลากหลาย  โปะชีสบนสารพัดเมนูโปรด เพิ่มรสชาติอร่อยพร้อมเปลี่ยนเมนูธรรมดาให้อร่อยฟิน 

 
“สิ่งที่ KCG ทำมาตลอดคือ “Fusion” ตั้งแต่การนำวัตถุดิบอาหารตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย มาจนถึงการเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารตะวันตกในประเทศไทยสำเร็จ สิ่งที่ KCG ทำคือการ Crossover ข้ามสายพันธุ์มาตลอด แต่ Fusion ในรูปแบบของ KCG ไม่เพียงแค่การนำอาหารต่างสไตล์มาประยุกต์รวมกันเท่านั้น แต่หัวใจของการคิดค้นรูปแบบ Fusion เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่คือ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีออกมาต่อยอดใน หลากหลายมิติ อย่าง แดรี่โกลด์ เรามองว่าเป็น Beyond Dairy หรือเป็นผู้สร้างนวัตกรรมการบริโภคชีสแผ่นให้แตกต่าง จากชีสทั่วๆ ไป โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้ผลิต Topping Cheese อันดับ 1 เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องความนิยมอาหาร Fusion และ เทรนด์ Solo Economy ซึ่งทั้งหมดนี้ต่อยอดมาจากกลยุทธ์ “Fusion กินnovation” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ KCG ใช้เป็นอาวุธสำคัญในการเป็นผู้นำด้านอาหาร สำหรับโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต” นายดำรงชัย กล่าว 

แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ Lotus's go fresh, Big C Mini และ ห้างสรรพสินค้า ชั้นนำทั่วประเทศ 

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย สถานีวิจัยลำตะคอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จัดกิจกรรม “ตั้งแคมป์ ดูหนัง” ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 กิจกรรมต้อนรับลมหนาว นั่งดูดาว ร่วมย้อนวันวาน...นอนเต็นท์...และดูหนังกลางแปลง ในเวลา 19.00 น. พร้อมแคมป์ปิ้งสุดชิล ในบรรยากาศริมเขื่อนลำตะคอง

ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถจองที่นั่งและลานกางเต็นท์ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยราคาพิเศษ 299 บาท/คน (ลานกางเต็นท์+หนังกลางแปลง) และกิจกรรมดูหนังอย่างเดียว 99 บาท/คน สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ดูหนังและลานกางเต็นท์ ฟรี!!! หรือท่านใดที่ต้องการห้องพัก ติดต่อสอบถามรายละเอียด ได้ที่ คุณอรุณวรรณฯ โทร. 087 879 3330

นอกจากการจัดกิจกรรม “ตั้งแคมป์ ดูหนัง” แล้ว สถานีวิจัยลำตะคอง วว. ยังจัดกิจกรรมพิเศษสุดๆ สำหรับทุกท่าน ในเวลา 14.00-16.00 น. ของวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ในการเยี่ยมชมแมลงและพรรณไม้ฟรี!!! ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ (เรือนกระจกหลังที่ 2) จัดแสดงรูปแบบวิวัฒนาการของพรรณไม้ในทางอนุกรมวิธานพืชสมัยใหม่ พร้อมให้ความรู้ความเข้าใจการใช้ประโยชน์พรรณไม้ของมนุษย์ และศูนย์อนุรักษ์แมลงเขตร้อน...ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของแมลง จัดแสดงทั้งแมลงมีชีวิตที่ปล่อยอิสระ แมลงที่อยู่ในกรง และแมลงที่ถูกสตาฟฟ์ไว้

จากการจัดกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ขอเชิญร่วมกิจกรรมเก็บภาพความประทับใจ ด้วยการถ่ายภาพ post และ check in เพจสถานีวิจัยลำตะคอง แล้วรับรางวัลพิเศษ 2 รางวัล สำหรับการร่วมกิจกรรม 1) ภาพการแต่งกายยอดเยี่ยม ที่เข้ากับธีมหนังกลางแปลง และ 2) ภาพบรรยากาศยอดเยี่ยมจากกิจกรรม “ตั้งแคมป์ ดูหนัง”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม “ตั้งแคมป์ ดูหนัง” ติดต่อได้ที่ คุณวิเซ็นฯ โทร. 086 866 3189

X

Right Click

No right click