

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอบรับทุกความต้องการที่หลากหลาย ยกระดับบริการเพื่อตอบสนองความต้องการพร้อมสร้างตัวช่วยการจัดการเงินสำหรับร้านค้ายุคใหม่ ภายใต้ TrueMoney for Business เปิดตัว ‘มันนี่ บ็อกซ์ (Money Box)’ กล่องเรียกทรัพย์ หนึ่งในโซลูชันของร้านค้าทรูมันนี่ ที่เป็นร้านค้าขนาดย่อมและขนาดย่อย (Micro & Small Merchants) อัปเกรดบริการให้สามารถรับชำระเงินได้หลายช่องทาง ใช้งานง่าย ไม่ต้องติดตั้ง พร้อมสร้างความมั่นใจเงินเข้าชัวร์ด้วยเสียงแจ้งเตือนพร้อมระบุยอดเงินเมื่อรับชำระ และยังช่วยให้การจัดการรายรับเป็นเรื่องง่าย ทำบัญชีสะดวก เพราะสามารถตรวจสอบ ยอดการรับชำระแต่ละรายการและยอดสรุปการโอนเงินเข้าบัญชี ได้ในแอปเดียว

นายกรวุฒิ ปวิตรปก ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “นอกเหนือจากการเป็นซูเปอร์แอปทางการเงินที่นำเสนอบริการเพื่อผู้บริโภคยุคดิจิทัล ทรูมันนี่ยังตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ให้บริการโซลูชันทางการเงินดิจิทัลสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย ซึ่งเราได้ขยายบริการภายใต้ TrueMoney for Business อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือบริการรับชำระเงินสำหรับร้านค้า ซึ่งเป็น Touch Point ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อทั้งการช่วยให้ธุรกิจมีพื้นฐานการบริหารจัดการด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันทางการเงินได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ปริมาณการทำธุรกรรมในรูปแบบของ e-Money ในปี 2566 สูงถึง 3,000 ล้านรายการ เพิ่มจากปี 2563 ที่มีราว 1,200 ล้านรายการ โดยล่าสุดเราได้เปิดตัว มันนี่ บ็อกซ์ (Money Box) กล่องเรียกทรัพย์ กล่องรับชำระเงินที่มีเสียงแจ้งเตือนระบุยอดเงินเมื่อรับชำระ สำหรับร้านค้าขนาดย่อมและขนาดย่อย (Micro & Small Merchants) เพื่ออัปเกรดประสบการณ์การรับชำระเงินที่ดีกว่าให้กับสมาชิกร้านค้าทรูมันนี่”

โดยตั้งแต่เปิดให้ทดลองใช้ มันนี่ บ็อกซ์ ในกลุ่มร้านค้าทรูมันนี่ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา มีผลการตอบรับเป็นอย่างดี ว่าช่วยเพิ่มความสะดวกมากขึ้นให้กับร้านค้าและผู้บริโภค เช่น คุณมนัญญา ชัยสุขหิรัญโภคิน เจ้าของร้านชาม ก๋วยเตี๋ยวเส้นคลุก กล่าวว่า “มันนี่ บ็อกซ์ ถือเป็นตัวช่วยสำคัญของร้าน เพราะออกเสียงได้ทันทีว่ามีการจ่ายเงินเท่าไหร่ ทำ
ให้สะดวกขึ้นเยอะ และพอปิดร้านยังมีรายงานรายรับให้ด้วย” ในขณะที่ คุณทิพวรรณ ลิขิตอำนวยพร เจ้าของร้านปิรันย่า@สยาม กล่าวว่า “พอมันนี่ บ็อกซ์ ร้องปุ๊ป ก็เป็นการยืนยันว่าลูกค้าจ่ายแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลาในการที่จะดูสลิปหรือดูหน้าจอโทรศัพท์ สามารถเอาเวลาไปรับออร์เดอร์ และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น”
มันนี่ บ็อกซ์ (Money Box) กล่องเรียกทรัพย์ ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ร้านค้ามักพบการใช้สลิปปลอม ทำให้ต้องคอยตรวจหรือถ่ายสลิปหลังโอนเงิน โดยจุดเด่นของมันนี่ บ็อกซ์ คือ ฟีเจอร์การแจ้งเตือนด้วยเสียงบอกยอดทันทีที่เงินเข้าแบบเรียลไทม์ อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ให้สามารถสแกนชำระเงินที่ร้านค้าได้ผ่านแอปทรูมันนี่และทุกแอปธนาคารแบบไร้ข้อจำกัด ช่วยให้ดูแลธุรกิจได้ง่ายขึ้นเพราะใช้งานง่าย พร้อมใช้ไม่ต้องติดตั้ง มีรายงานแสดงยอดขาย (Sales Dashboard) ให้สามารถติดตามยอดขายได้แบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน อีกทั้งยังมีบริการส่งสรุปรายการเงินเข้าอีเมลเพื่อใช้ในการทำบัญชี

มันนี่ บ็อกซ์ (Money Box) กล่องเรียกทรัพย์ จาก TrueMoney for Business เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับร้านค้ายุคใหม่ ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ ช่วยอำนวยความสะดวกและรวดเร็วขึ้นให้แก่ร้านค้า พร้อมสร้างความมั่นใจเงินเข้าชัวร์ด้วยเสียงแจ้งเตือนระบุยอดเงินเมื่อรับชำระ โดยร้านค้าที่สนใจสามารถสมัครเป็นร้านค้าทรูมันนี่ เพื่อเปิดใช้บริการ มันนี่ บ็อกซ์ ได้บนแอปทรูมันนี่ เพียงชำระค่าเครื่องและค่าบริการรายปีในราคาเพียง 859 บาท จากราคาปกติ 1,680 บาท
สำหรับร้านค้าขนาดย่อมและขนาดย่อยที่สนใจร่วมเป็นร้านค้าทรูมันนี่เพื่อเปิดใช้บริการ มันนี่ บ็อกซ์ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.truemoney.com/truemoney-shop/
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 - 4.10]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ของทรู คอร์ปอเรชั่นแสดงถึงความสำเร็จต่อเนื่องจากการควบรวมทรูและดีแทค ด้วยกำไรสุทธิ (หลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ) 2.4 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เรายังมุ่งสู่การเป็นผู้นำโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เน้นการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร นอกจากนี้ การลงทุนในเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม 92% ของประชากร จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทและสร้างคุณค่าแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”
บริษัทฯ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะสมหุ้นกู้ที่มีคุณภาพก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับตัวลดลง โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยปรับลดลง 0.50% และส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับประเทศไทย แม้ว่าการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% แต่ก็มีโอกาสที่ กนง. จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยการประชุมครั้งต่อไปคือวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน”
![]()
หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนหุ้นกู้ทุกชุดที่ผ่านมาของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.10]% ต่อปี
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.25 - 3.40]% ต่อปี
3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.65 – 3.80]% ต่อปี
4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80 – 3.95]% ต่อปี
5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.95 – 4.10]% ต่อปี
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking
• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
TPIPL เสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท และชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเปิดจองซื้อวันที่ 5 - 7 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน ผ่านสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายรวม 19 แห่ง เผยหุ้นกู้และองค์กรได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) สะท้อนความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ รวมถึงกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย มั่นใจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ชี้หุ้นกู้มีความเสี่ยงต่ำที่ระดับ 3 (ความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ระดับ 8)

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ ธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ รวมทั้งผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ ธุรกิจโพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) และธุรกิจโรงไฟฟ้า (ผ่านบริษัทย่อย) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ที่ระดับ A- แนวโน้ม “คงที่” (Stable) เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร โดยคาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ TPIPL จะได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากได้กำหนดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสม สอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “A-” จากทริสเรทติ้งโดยมีความเสี่ยงต่ำที่ระดับ 3 (ความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ระดับ 8) ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์เขียว และผลิตภัณฑ์ปูนซิเมนต์เขียว รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจพลังงานทดแทนจากขยะเทศบาลและแสงอาทิตย์ และสาธารณูปโภค ธุรกิจการเกษตรชีวะอินทรีย์ และอื่นๆ ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ขณะที่ ทริสเรทติ้ง ระบุด้วยว่า “ทีพีไอ โพลีน” มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ตลอดจนอยู่ในตำแหน่งผู้นำในตลาด Ethylene Vinyl Acetate (EVA) ซึ่งเป็นเม็ดพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่หลากหลาย
ปัจจุบัน บมจ. ทีพีไอ โพลีน และบริษัทในเครือประกอบธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้
(1) ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์เขียว คอนกรีตผสมเสร็จเขียว กระเบื้องคอนกรีตเขียว ไฟเบอร์ซีเมนต์เขียว อิฐมวลเบาเขียว สี และวัสดุก่อสร้างอื่น โดยเป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สามารถลด CO2 ได้มากที่สุดของประเทศไทย
(2) ธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) ประกอบด้วย พลาสติก LDPE และ EVA (โดยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลาสติก EVA รายเดียวในประเทศไทย) กาวน้ำ กาวผง Solar Film แอมโมเนียมไนเตรท และกรดไนตริก เป็นต้น โดยเป็นผู้ผลิตแอมโมเนียมไนเตรทรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
(3) ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงขยะ (โดยมีโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่ปล่อยของเสียออกนอกโรงงาน (Zero Waste) และได้รับ Carbon Credits มากที่สุด มีโรงกำจัดขยะในพื้นที่แห่งเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก) (โรงไฟฟ้าถ่านหิน อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนเป็นโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 100% ภายในปี 2568 โรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน) โรงงานผลิตเชื้อเพลิงเหลวจากยางรถยนต์เก่า สถานีให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมด้วย Charger ไฟฟ้า สำหรับรถไฟฟ้า (EV) และโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม
(4) ธุรกิจการเกษตรชีวะอินทรีย์และอื่น ๆ ดังนี้
(4.1) ผลิตภัณฑ์สำหรับพืชไร้สารพิษ ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ สารปรับปรุงสภาพดิน และสารไล่แมลง โดยไม่ต้องใช้ยาเคมีพิษฆ่าแมลง
(4.2) ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ไร้สารพิษ ได้แก่ จุลินทรีย์ชีวนะ สำหรับปศุสัตว์และประมง ไร้สารพิษและสารฆ่า VIRUSES ในสัตว์บกและสัตว์น้ำ โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
(4.3) ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยชีวภาพ ได้แก่ เครื่องดื่มโพรไบโอติกผสมวิตามิน (Pro vita) อาหารเสริมโพรไบโอติกแคลเซียมและวิตามินซี น้ำยาบ้วนปากไบโอน็อค (Bio Knox) เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรียในช่องปาก ป้องกันไม่ให้เชื้อ Virus เข้าสู่ร่างกายทางปาก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน และน้ำยาขจัดคราบ นอกจากนี้มี น้ำยาล้างผัก สบู่เหลวอาบน้ำ สบู่ล้างมือ รวมถึงน้ำดื่มตราทีพีไอพีแอล อีกทั้งยังมีธุรกิจประกันชีวิตที่ดำเนินการภายใต้บริษัทในเครือทีพีไอโพลีน

นอกจากนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีน ได้ส่งเสริมการพัฒนาด้านความยั่งยืน ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission โดยใช้เชื้อเพลิงขยะในการผลิตไฟฟ้า และใช้เชื้อเพลิงขยะแทนถ่านหินบางส่วนในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ใช้ระบบสายพานลำเพียงวัตถุดิบ ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรโรงปูนซิเมนต์เพื่อลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและลดฝุ่น (Green Cement Process) เปลี่ยนใช้มอเตอร์ ไฟฟ้าในรถและเครื่องจักร เหมืองแทนเครื่องยนต์สันดาป (Green Mining) ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Products) ปรับปรุงระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า (Green Logistics) ใช้รถไฟฟ้าในการปฏิบัติงาน (Green Management) และใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าในการปฏิบัติงาน (Green Warehouse) นอกจากนี้กลุ่มทีพีไอโพลีนได้บริจาคเงินช่วยเหลือชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้รับรางวัลในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ESG 100 ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2565-2567) และเป็นบริษัทที่น่าลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์
2. ได้รับการประเมินเป็น “หุ้นยั่งยืนระดับ AA” ประจำปี 2566 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2566 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ”
4. ได้รับรางวัล 3G Excellence Award in CSR Activities 2023 จากเวทีระดับโลก Global Good Governance Awards 2023 จากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน Cambridge IFA International Financial Advisory สหราชอาณาจักร
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ TPIPL สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายได้ที่ www.sec.or.th และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 19 แห่ง ดังนี้
จัดจำหน่ายสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-8888
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
จัดจำหน่ายสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 02-676-8000
จัดจำหน่ายสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-638-5500
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-351-1800 กด 1
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7311 หรือ 7391
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-635-1700
บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6688
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร.02-820-0100
บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โทร. 02-625-2422
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-659-5272-73
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด โทร. 02-088-9100
ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จอีกขั้นในระดับนานาชาติ เผย “ยุภา ลีวงศ์เจริญ” หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) ได้รับการยกย่องด้วยรางวัลอันทรงเกียรติ "Best Women Chief Financial Officer– Telecom" หรือ ผู้นำสตรีดีเด่นด้านการเงินของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม จาก Women's Tabloid Awards ประจำปี 2024 เวทีระดับนานาชาติที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องความสำเร็จของสตรีในหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งรางวัลนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเป็นเลิศในการบริหารการเงินของผู้บริหารหญิงแกร่งท่านนี้เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของผู้นำสตรีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมระดับโลก อีกทั้งยังสะท้อนวิสัยทัศน์ของทรู คอร์ปอเรชั่นในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในองค์กร
ด้วยประสบการณ์อันยาวนานมากกว่า 16 ปีในฐานะผู้บริหารระดับสูง “ยุภา ลีวงศ์เจริญ” ได้สร้างผลงานอันโดดเด่นตลอดเส้นทางอาชีพ เริ่มต้นจากการทำงานในระดับบริหารในธนาคารชั้นนำของไทย ก่อนจะก้าวสู่การเป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้บริหารในองค์กรรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ และต่อมาได้เข้าร่วมทำงานกับ UTV ผู้นำธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก หรือปัจจุบันคือทรูวิชั่นส์ ในช่วงที่บริษัทเผชิญกับ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ที่เงินบาทลอยตัวและต้นทุนด้านคอนเทนท์ที่ซื้อจากต่างประเทศมาสูงขึ้นเป็น “เท่าตัว” และด้วยความทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง และความสามารถที่โดดเด่นสามารถผลักดันบริษัทผ่านสถานการณ์อันยากลำบากมาได้ จึง ได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงินกลุ่ม ดูแลทุกธุรกิจของกลุ่มทรู และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงินกลุ่มทรู เป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคในเดือนมีนาคม 2566 โดยปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า "รางวัลอันทรงเกียรตินี้ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของดิฉันเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างโอกาสสำหรับผู้หญิงในทุกระดับขององค์กร ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional agility) การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Innovative thinking) และทัศนคติเชิงบวกพร้อมรับการเปลี่ยน (Adaptive attitude) ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับผู้นำในยุคดิจิทัล"
ตลอดระยะเวลาการทำงานที่ทรู คอร์ปอเรชั่น ยุภาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำพาองค์กรผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการควบรวมกิจการครั้งสำคัญระหว่างทรู กับดีแทค ในปี 2566 ซึ่งถือเป็นการควบรวมด้านโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มจากการควบรวมกิจการ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 2.5 แสนล้านบาท
![]()
ล่าสุด ยุภามีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่น โดยทรูเป็นบริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีแห่งแรกของไทยที่ได้รับ “เงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan)” มูลค่ารวม 1.41 แสนล้านเยน (ประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้ไปจ่ายคืนเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท วงเงินกู้นี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ยังสอดคล้องกับแผนการบริหารการเงินและการลดต้นทุนของบริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ การเข้าสู่ตลาดเงินเยนของญี่ปุ่นยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน เพิ่มความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการบริหารการเงิน เป็นการขยายแหล่งเงินทุนตลอดจนลดความเสี่ยงจากการใช้สินเชื่อเงินบาทหรือดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพียงอย่างเดียว
ที่น่าสนใจคือ วงเงินกู้นี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารญี่ปุ่นและธนาคารต่างประเทศชั้นนำในจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่บริษัทไทยเคยได้รับ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินระดับโลกต่อศักยภาพและการดำเนินงานของทรู คอร์ปอเรชั่น
ยุภายังให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เท่าเทียมและครอบคลุม รวมถึงการบริหารการใช้ทรัพยากรทางการเงินเพื่อผลประโยชน์ของพนักงานทุกเพศ รวมถึงกลุ่มชาย หญิง และ LGBTQI+
"ในฐานะผู้หญิง ดิฉันภูมิใจที่ได้เห็นการเปิดกว้างมากขึ้นในสังคม และโอกาสที่เท่าเทียมกันในแวดวงธุรกิจ" คุณยุภากล่าว "นอกจากวิสัยทัศน์ ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ (Systems Thinking) และการมองภาพรวมที่จำเป็นต้องมีในผู้นำทุกคน ผู้หญิงสามารถนำคุณสมบัติที่มีในตัวทั้งความรอบคอบ อดทน และความใส่ใจในรายละเอียดมาเสริมทำให้การตัดสินใจทำได้เด็ดขาดเฉียบคมมากขึ้น สามารถนำพาองค์กรก้าวผ่านอุปสรรคและความท้าทาย พร้อมสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร และสังคมโดยรวม" ยุภา แม่ทัพหญิง กล่าวในที่สุด
รางวัล Women's Tabloid Awards เป็นเวทีระดับนานาชาติที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องความสำเร็จของสตรีในหลากหลายสาขาอาชีพ โดยเฉพาะในบทบาทผู้นำและผู้บริหารระดับสูง การได้รับรางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกย่องความสำเร็จส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านความเท่าเทียมทางเพศและคุณค่าของความหลากหลายในการบริหารองค์กรระดับโลก
ความสำเร็จของคุณยุภาและการได้รับรางวัลครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นต่อไปที่มุ่งมั่นจะก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำในวงการธุรกิจ และยืนยันถึงบทบาทสำคัญของผู้นำหญิงในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขยะจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้การจัดการขยะกลายเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องเผชิญในปัจจุบัน โดยเฉพาะการลดปริมาณขยะ การจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ และการเพิ่มอัตราการรีไซเคิลเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ปริมาณขยะในประเทศไทย
จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ ข้อมูลในปี 2565 พบว่าประเทศไทยมีปริมาณขยะสูงถึงประมาณ 24.98 ล้านตัน ต่อปี โดยในจำนวนนี้สามารถนำมาจัดการได้อย่างถูกต้องเพียง 35% ของขยะทั้งหมด ซึ่งส่วนที่เหลือส่วนใหญ่จะถูกทิ้งลงสู่ที่ทิ้งขยะกลางแจ้งโดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ขยะมูลฝอยที่ถูกจัดการได้ถูกต้องจะถูกนำไปรีไซเคิลหรือเผาผลิตพลังงาน แต่ยังมีขยะจำนวนมากที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม
ประเภทขยะที่พบมากที่สุด
ประเทศไทยมีขยะประเภทต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะขยะที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ขยะพลาสติก ซึ่งคิดเป็น ประมาณ 2 ล้านตันต่อปี แต่สามารถรีไซเคิลได้เพียง ประมาณ 25% เท่านั้น นอกจากนี้ ขยะอินทรีย์หรือขยะเศษอาหารยังคงเป็นปริมาณมากถึง 64% ของขยะมูลฝอยทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ปัญหาหลักในการจัดการขยะ
1. ขาดโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ: ปัญหาสำคัญของการจัดการขยะในประเทศไทยคือการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่กำจัดขยะที่ได้มาตรฐาน ระบบคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และการให้ความรู้แก่ประชาชนในการลดการสร้างขยะและคัดแยกขยะในครัวเรือน
2. ขยะพลาสติกและขยะอันตรายที่เพิ่มขึ้น: การใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและการกำจัดขยะอันตราย เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งการรีไซเคิลและการกำจัดขยะเหล่านี้ยังทำได้ไม่ดีพอ
3. พฤติกรรมของประชาชนในการจัดการขยะ: การที่ประชาชนยังไม่คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงการขาดการรับรู้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากขยะ ส่งผลให้ขยะหลายประเภทปะปนกัน ทำให้การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพทำได้ยาก
ความท้าทายในการจัดการขยะ

1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนให้ลดการใช้ขยะพลาสติกและคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย การส่งเสริมการรีไซเคิลและการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของขยะที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง
2. การสร้างระบบรีไซเคิลที่ยั่งยืน: การเพิ่มอัตราการรีไซเคิลขยะในประเทศยังคงเป็นปัญหา เนื่องจากโครงสร้างระบบรีไซเคิลในประเทศไทยยังไม่เพียงพอ เช่น การขาดสถานที่รองรับขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้หรือการขาดโรงงานรีไซเคิลที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ
3. การบริหารจัดการขยะในชุมชนเมืองและชุมชนชนบท: ในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น การจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบที่รวดเร็ว ส่วนในชนบท การขาดแคลนทรัพยากรและระบบจัดการขยะทำให้มีการทิ้งขยะลงแหล่งธรรมชาติ หรือเผาขยะซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แนวทางการแก้ไขปัญหา
1. การพัฒนากฎหมายและนโยบาย: รัฐบาลสามารถออกกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการจัดการขยะ รวมถึงการควบคุมการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการรีไซเคิลมากขึ้น
2. การส่งเสริมการรีไซเคิลและการลดขยะจากต้นทาง: การรณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้
3. การใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการขยะที่ดีขึ้น: การนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น การแปรรูปขยะเป็นพลังงานหรือการใช้ AI ในการคัดแยกขยะ อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะและลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด
การจัดการขยะในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พฤติกรรมของผู้บริโภค และระบบรีไซเคิลที่ไม่เพียงพอ หากต้องการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน จนถึงประชาชนทั่วไป เพื่อให้การจัดการขยะสามารถเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว
เรื่อง MBAmagazine Team
NIMO แพลตฟอร์มสตรีมเกมชั้นนำระดับโลกจากประเทศจีน ภายใต้ Tencent Group เตรียมระเบิดความมันส์แบบ Non Stop ให้เหล่าสตรีมเมอร์จากทั่วโลก ด้วยการจัดกิจกรรม “Gaming & Music Live Show by NIMO WAVE” ขนทัพกลุ่มไอดอล ศิลปิน ดีเจและนักดนตรีชื่อดังจากทั่วโลก อาทิ MILLI, PAPER PLANES, IRONBOY, FIRZTER, Sisweet จากประเทศไทย Lúcia จากประเทศบราซิล Phąm Anh Khoa, Teddy Dook, Brian, Dzung จากประเทศเวียดนาม และ SISMA GIRL GROUP น้องใหม่ ไทย-เกาหลี มาสร้างสีสัน ความสนุกสนาน พร้อมระเบิดความมันส์แบบเต็มพิกัดในงาน Thailand Game Show (TGS) 2024 วันที่ 19 ตุลาคม 2567 ณ เวทีกลาง Exhibition Hall 3 - 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
การจัดกิจกรรม “Gaming & Music Live Show by NIMO WAVE” เป็นการผนึกกำลังครั้งแรกระหว่าง TGS และ NIMO ดังนั้น NIMO ในฐานะน้องใหม่ที่เข้าร่วมงาน Thailand Game Show (TGS) 2024 เป็นครั้งแรก จึงอยากสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับเหล่าสตรีมเมอร์จากทั่วโลกที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ โดยมุ่งหวังจะสร้างพื้นที่แห่งความสุขให้เยาวชนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบการเล่มเกม ให้ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ และที่สำคัญต้องการสร้างให้กิจกรรมนี้ควบคู่ไปกับงาน Thailand Game Show เพื่อเป็นแหล่งนัดพบของนักเล่นเกมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “Gaming & Music Live Show by NIMO WAVE” สามารถหาซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ Zipevent >> https://www.zipeventapp.com/e/TGS2024 ราคาใบละ 1,200 บาท โดยจะเป็นบัตรยืนทุกที่ การแสดงจะจัดขึ้น ณ เวทีกลางภายในงาน Thailand Game Show 2024 ในวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม นี้ เวลา 20.45 น. ยาวไปถึง 23.00 น. จะมีการแสดงจากกลุ่มไอดอลชื่อดัง วงดนตรี และดีเจระดับแนวหน้า ที่จะมาร่วมสร้างสีสันและความสนุกให้กับผู้เข้าร่วมงาน อาทิ MILLI, PAPER PLANES, IRONBOY, FIRZTER, Sisweet จากประเทศไทย Lúcia จากประเทศบราซิล Phąm Anh Khoa, Teddy Dook, Brian, Dzung จากประเทศเวียดนาม และ SISMA girl group น้องใหม่ ไทย-เกาหลี มาสร้างความสุขให้กับทุกคนแบบ Non Stop
พิเศษสุดนอกจากจะได้ชม Live Show แบบสุดเหวี่ยงแล้ว NIMO มอบของที่ระลึกสุดพิเศษ ให้กับผู้ที่ซื้อบัตร NIMO LIVE PASS: Gaming & Music Live Show by NIMO WAVE อาทิ ปลอกแขนกันแดด, เข็มกลัด, สร้อยข้อมือตบแปะ, กระเป๋ากีฬา รวมถึงบัตรเข้าร่วมงาน Thailand Game Show 2024 ฟรี 2 วัน (วันที่เสาร์ที่ 19 และ อาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2567)
สององค์กรผู้ให้บริการด้านการเงินชั้นนำ ธนาคาร CIMB THAI ผู้นำหุ้นกู้ตลาดรอง เจ้าของรางวัล Best Bond Dealer และ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ร่วมเปิดช่องทางลงทุนหุ้นกู้ตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอปทรูมันนี่ เพื่อมอบโอกาสให้คนไทยและผู้ใช้กว่า 34 ล้านคน เข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดีเพื่อสร้างการเติบโตทางการเงินได้ง่ายกว่าที่เคย เพราะไม่ต้องรอ ไม่ต้องจองล่วงหน้าเหมือนหุ้นกู้ตลาดแรก และเป็นอีกทางเลือกของการออมเพื่อรับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ
พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า “เราต้องการให้เกิด Digital Ecosystem ตามวิสัยทัศน์ของการเป็น ‘a Digital – led Bank with ASEAN Reach: ธนาคารอาเซียนขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล’ เพื่อส่งมอบบริการอันเป็นเลิศให้ลูกค้า พัฒนาธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยนำเอาจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญธุรกิจ Wealth Management ของธนาคาร เดินหน้าผนึกกำลังกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่าง บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการใช้เทคโนโลยี เปิดช่องทางใหม่ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีที่ CIMB THAI คัดสรรมาแล้ว ได้ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ผ่านแอปทรูมันนี่ จากทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก”
![]()
นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด
ธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันทรูมันนี่ เปิดเผยว่า “แอสเซนด์ มันนี่ และ ทรูมันนี่ มีพันธกิจในการมอบการเข้าถึงบริการทางการเงินและยกระดับชีวิตให้กับผู้คนผ่านการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน โดยการจับมือกับ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อเปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อ ‘หุ้นกู้ตลาดรอง’ (Secondary Bond) ผ่านแอปทรูมันนี่ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการมอบความสะดวกสบายและช่วยขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงการลงทุน เนื่องจากปกติแล้ว ‘หุ้นกู้ตลาดแรก’ หรือที่เรียกว่า ‘หุ้นกู้มือหนึ่ง’ นั้นมีจำนวนไม่มากและมีขั้นตอนในการติดต่อขอจองซื้อที่ยุ่งยาก ทำให้ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ ทาง ทรูมันนี่ จึงร่วมกับ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีของเรา พร้อมส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองได้เข้ามาศึกษาและเลือกลงทุน เพราะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำ โดยหุ้นกู้ตลาดรองสามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 5% ต่อปี และในครั้งนี้ ทรูมันนี่ จับมือกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของหุ้นกู้ตลาดรอง มีหุ้นกู้ตลาดรองให้เลือกหลากหลาย อัปเดตใหม่ทุกสัปดาห์ และซื้อได้ทุกวันผ่านแอปทรูมันนี่ นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังมั่นใจอุ่นใจได้ในความปลอดภัยเพราะเป็นการร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อคัดสรรหุ้นกู้ Investment Grade คุณภาพดี เหมาะสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ และนักลงทุนหน้าใหม่ และธนาคารมีเกณฑ์ในพิจารณาเลือกซื้อหุ้นกู้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ต้องเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง และแพลตฟอร์มทรูมันนี่ของเราที่มีระบบความปลอดภัยที่ใช้เอไอในการ ตรวจ จับ หยุด ทุกความเสี่ยงและปกป้องบัญชีลูกค้า”
เพา จาตกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “การบริหารเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ลูกค้า คือเป้าหมายสำคัญของเรา เรามุ่งมั่นผลักดันให้ ‘ตราสารหนี้ตลาดรอง (Secondary Bond)’ เติบโตขึ้น สร้างสภาพคล่องให้สามารถซื้อ – ขายเปลี่ยนมือได้ตลอด เพื่อตอบโจทย์ของนักลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งสถาบัน นิติบุคคล รวมถึงนักลงทุนรายย่อย
การร่วมมือครั้งนี้กับบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด สอดรับกับกลยุทธ์ของเรา ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ‘ตราสารหนี้ตลาดรอง (Secondary Bond)’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน สะท้อนจากรางวัลใหญ่ ‘Best Bond Dealer: ธนาคารที่เป็นที่ยอมรับในความสามารถในการให้บริการกับคู่ค้าในตลาดรองที่ยอดเยี่ยม’ และรางวัล ‘Most Active Bank in Corporate Bond Secondary Market: ธนาคารที่มีมูลค่าซื้อ – ขายหุ้นกู้เอกชนตลาดรองสูงที่สุด’ จาก ThaiBMA ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน (2019 – 2023) ซึ่งทั้ง 2 รางวัลเป็นเครื่องการันตีว่า เรามี “พันธบัตรและหุ้นกู้ตลาดรองคุณภาพดี” พร้อมรองรับความต้องการของนักลงทุนตลอดปี การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยเสริมให้คนไทยและผู้ใช้งานทรูมันนี่ที่มีไลฟ์สไตล์ดิจิทัล 34 ล้านคน สามารถเข้าถึงโอกาสบริการทางการเงิน ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สามารถจัดสรรเงินออม มาลงทุนพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดีได้ทุกวัน สร้างโอกาสให้กับนักลงทุนได้เติบโตอย่างมั่งคั่ง และมั่นคง”
ภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้บริหารพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน ธุรกิจผลิตภัณฑ์การเงินและที่ปรึกษา Equity Derivatives และผู้บริหารการขายลูกค้าบุคคลธนกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เสริมว่า “ ตลาดตราสารหนี้ปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อ – ขายอยู่ที่ 5,921,913 ล้านบาท (ข้อมูล: มูลค่าธุรกรรมซื้อขายตราสารหนี้ทุกประเภทที่มีอายุมากกว่า 1 ปี มกราคม – กันยายน 2567 จากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ) ซึ่งแม้ว่าจะมีลูกค้าบุคคลเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดรองเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าซื้อขายมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแตะระดับ 37,089 ล้านบาท ในปัจจุบัน แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อ – ขายทั้งตลาด ในขณะที่หันกลับมาที่ตลาดหุ้น กลับพบว่า ลูกค้าบุคคลมีสัดส่วนสูงถึง 30% นั่นหมายถึง ‘โอกาส’ และเราเองในฐานะผู้นำ รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกตราสารหนี้ตลาดรองของลูกค้าบุคคล เรามุ่งมั่นผลักดันให้ลูกค้าบุคคลเข้าถึงโอกาสของการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดรอง เพื่อเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้นี้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และมีสภาพคล่องทัดเทียมตลาดหุ้น เพื่อให้เป็นอีกแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศ
ซึ่งการร่วมมือกับบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ที่มีบริการหลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าในครั้งนี้ คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ที่ทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้าง ในขณะเดียวกันก็สามารถพาลูกค้าผู้ใช้งานทรูมันนี่ เข้าถึงการลงทุนตราสารหนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้หลังเฟดลดดอกเบี้ย ซึ่งเปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน จึงเป็นจังหวะของการลงทุนพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดีเข้าพอร์ต เพื่อล็อคผลตอบแทน สร้าง passive income โดยนักออมเงินหรือนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนหุ้นกู้ตลาดรองได้ทั้งแอปพลิเคชันทรูมันนี่และแอปพลิเคชั่น CIMB THAI
นอกจากนี้ CIMB THAI ยังเตรียมจัดกิจกรรมดี ๆ ร่วมกับพันธมิตร ที่จะให้ความรู้กับนักลงทุน พร้อมกับการสร้างความสุขและสนุกสนาน เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่และส่งเสริมการสร้างความมั่งคั่งผ่านผลิตภัณฑ์หุ้นกู้คุณภาพดี”
บริติช เคานซิล ขอเชิญบุคลากรทางการศึกษา ร่วมพัฒนาศักยภาพการสอนภาษาอังกฤษ ในงานประชุมวิชาการออนไลน์ ASEAN Teaching English Online Conference 2024 ระหว่างวันที่ 10 - 30 ตุลาคม 2567 โอกาสพิเศษสำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษและบุคลากรทางการศึกษาในภูมิภาคอาเซียน ในการพัฒนาทักษะการสอนและเรียนรู้ที่จะเข้าใจในตัวนักเรียนให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พร้อมรับความรู้เชิงลึกและแนวทางปฏิบัติใหม่ ๆ ที่ทันสมัยในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (ELT)
งานนี้เปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาในประเทศไทยร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวิทยากรชั้นนำจากทั่วภูมิภาคอาเซียนและผู้เชี่ยวชาญด้าน ELT ระดับนานาชาติ พร้อมเลือกเข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์แบบอินเทอร์แอคทีฟได้มากกว่า 16 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รับเคล็ดลับที่นำไปใช้ได้จริง อีกทั้งยังได้อัปเดตเทรนด์ล่าสุดของ ELT และรับฟังมุมมองอันทรงคุณค่าจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิธีการทำความเข้าใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น

มร.แดนนี่ ไวท์เฮด ผู้อำนวยการ บริติช เคานซิล ประเทศไทย กล่าวว่า “ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาตนเองและส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพ แต่ยังเปิดโอกาสในการเข้าถึงแนวคิด วัฒนธรรม และความรู้จากทั่วโลกอีกด้วย งานประชุม ASEAN TeachingEnglish Online Conference นี้ ถือเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงคุณครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยให้ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากอาเซียนและสหราชอาณาจักร เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับวิธีการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเข้าไปในวิธีการสอน รวมถึงสื่อการสอน แหล่งข้อมูลต่างๆ และเครือข่าย TeachingEnglish ของบริติช เคานซิล ที่รวบรวมคุณครูภาษาอังกฤษจากทั่วโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เยาวชนในประเทศไทยได้รับการศึกษาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด”
การประชุมปีนี้จัดขึ้นธีม Understanding Our Learners โดยวิทยากรจะเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญ อาทิ แรงจูงใจ พฤติกรรม และทักษะการปรับตัวของผู้เรียน พร้อมแบ่งปันกลยุทธ์ในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงบวก รวมถึงเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา และอนาคตของเทคโนโลยีการศึกษา ผ่านหัวข้อเกี่ยวกับ AI และ EdTech เสริมความรู้ความเข้าใจในด้านสำคัญๆ ของการสอนภาษาอังกฤษอย่างรอบด้าน โดยคณะผู้เชี่ยวชาญจะมาแบ่งปันเทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนผู้เรียน ยกระดับการมีส่วนร่วม และผลสำเร็จในการเรียนรู้ ผ่านแนวทางปฏิบัติแบบครอบคลุมพร้อมเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และค้นพบแนวทางในการทำความเข้าใจผู้เรียนจากผู้เชี่ยวชาญด้าน ELT ที่ได้รับรางวัล

สำหรับไฮไลต์ของการประชุมในปีนี้ คือเสวนาพิเศษในหัวข้อ “All Ears for Change: Transformative Practices in Exploratory Action Research (EAR)” ในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้รู้จักกับแนวคิดหลักโครงการพัฒนาทักษะการทำวิจัยในชั้นเรียน หรือ Exploratory Action Research (EAR) และการนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางการศึกษา รับฟังเรื่องราวความสำเร็จจากชีวิตจริง และเรียนรู้วิธีการในการริเริ่มวางแผนทำโครงการ EAR ให้เหมาะสมกับรูปแบบและสไตล์การสอนของตนเอง ตลอดจนกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการนำแนวปฏิบัติใหม่ ๆ นี้ไปใช้ในชั้นเรียนได้จริง โดยมีผู้ร่วมเสวนาผู้ทรงคุณวุฒิในประเทศไทยซึ่งเคยเข้าร่วมโครงการ EAR มาก่อน ได้แก่ จิตติมา ดวงมณี คุณครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ จังหวัดนครราชสีมา, พัชรินทร์ กรรณา คุณครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย, ธัญญาศิริ สิทธิรักษ์ คุณครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนหนองวัวซอพิทยาคม จังหวัดอุดรธานี และดำเกิง มุ่งธัญญา คุณครูสอนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมจากกรุงเทพฯ
สำหรับงานประชุมเมื่อปีที่แล้วมีครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมกว่า 15,000 คน จาก ทั่วภูมิภาคอาเซียน รวมถึงครูไทยกว่า 700 คน โดยผู้ร่วมงานทุกคนได้รับฟังมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับ นวัตกรรมการสอนภาษา การพัฒนาหลักสูตร การส่งเสริมบทบาทของครู การสร้างสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ที่หลากหลาย รวมถึงประเด็นสำคัญอย่างความแตกต่าง ความเท่าเทียม และความมีส่วนร่วม (EDI) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs

ผลการวิจัย Dell Technologies Innovation Catalyst Research 99% สำหรับองค์กรไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 85% ทั่วโลก 81%) โดยองค์กรที่รายงานการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นในปี 2023 มีสูงถึง 91% (เพิ่มขึ้น 25%) และลดลงเหลือ 75% สำหรับองค์กรที่รายงานการเติบโตรายได้ลดลง (1-5%) และมีรายได้คงที่หรือถดถอย
จากการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจจำนวน 6,600 คน ครอบคลุม 40 ประเทศ รายงานชี้ให้เห็นว่า แม้องค์กรส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI และ GenAI แต่ระดับความพร้อมขององค์กรในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล้วนแตกต่างกันไปมาก เกือบทุกองค์กรในประเทศไทย (98%) กล่าวว่าตัวเองมีจุดยืนที่ดีในการแข่งขันและมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 80% ทั่วโลก 82%) ขณะเดียวกัน ครึ่งหนึ่งผู้เข้าร่วมสำรวจที่เป็นองค์กรในไทยต่างไม่แน่ใจว่าอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 50% ทั่วโลก 48%) และทุกองค์กร (100%) รายงานถึงความยากลำบากในการตามให้ทันกับสถานการณ์ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 59% ทั่วโลก 57%) โดย 40% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทยกล่าวว่ายังขาดบุคลากรที่มีความสามารถ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 41% ทั่วโลก 35%) โดย 37% รายงานถึงความกังวลใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 36% ทั่วโลก 31%) และ 34% ขององค์กรในประเทศไทยรายงานถึงการขาดงบประมาณ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 31% ทั่วโลก 29%) ว่าเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม
GenAI จากแนวคิดสู่การใช้งานจริง
60% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย กล่าวว่า GenAI ให้ศักยภาพที่โดดเด่นในการปฏิรูปการทำงาน ช่วยสร้างคุณค่าในการปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยไอที (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 51% ทั่วโลก 52%) และ 65% อ้างถึงการสร้างผลลัพธ์ที่ดี (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 53% ทั่วโลก 52%) ขณะที่ 62% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย อ้างถึงศักยภาพที่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 51% ทั่วโลก 51%) นอกจากนี้ ผู้ร่วมการสำรวจยังตระหนักดีถึงความท้าทายที่ต้องรับมือ 88% ขององค์กรในไทยกลัวว่า AI จะนำพาปัญหาใหม่ๆ ด้านความปลอดภัยภัยและความเป็นส่วนตัวมาด้วย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 69% ทั่วโลก 68%) และ 90% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 76% ทั่วโลก 73%) เห็นพ้องว่าข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญาในองค์กรตนมีค่ามากเกินกว่าจะเอามาไว้ในเครื่องมือ GenAI ที่บุคคลที่สามสามารถเข้าถึงได้
ในภาพรวม การตอบแบบสอบถามยังชี้ว่าองค์กรต่างๆ กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของ GenAI ในการเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การนำมาใช้งานจริง 27% ของผู้ร่วมการสำรวจจากไทยกล่าวว่ากำลังเริ่มนำ GenAI มาใช้งาน เนื่องจากองค์กรต่างๆ กำลังนำมาใช้กันมากขึ้น ซึ่งความกังวลหลักจะอยู่ที่การทำความเข้าใจว่ามีความเสี่ยงตรงจุดไหนบ้าง และใครรับผิดชอบความเสี่ยงเหล่านั้น โดย 92% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย เห็นพ้องว่าองค์กรควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ของ AI มากกว่าตัวระบบ การใช้งาน หรือสาธารณะเองก็ตาม

ฐิตพล บุญประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ เดลล์ เทคโนโลยีส์ ในประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มว่า “ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าบรรดาธุรกิจในประเทศไทยเริ่มตระหนักถึงพลังในการเปลี่ยนแปลงของ AI และ GenAI ที่ให้ศักยภาพสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและยกระดับประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้แก่ลูกค้า ความท้าทายในขณะนี้ คือการเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การใช้งานจริง และการสร้างระบบนิเวศของพันธมิตรที่เชื่อถือได้คือสิ่งสำคัญยิ่งที่ช่วยให้องค์กรสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย สามารถปรับขยายเพื่อรองรับนวัตกรรมได้ อีกทั้งช่วยตอบโจทย์ความกังวลใจหลักอย่างความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถที่เหมาะสม และการสร้างความยั่งยืน
องค์กรกำลังต่อกรกับความท้าท้ายของภาพรวมภัยคุกคามในปัจจุบัน
การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับองค์กรในวงกว้าง ความกังวลเหล่านี้ มีที่มาที่ไป เนื่องจาก 92% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย กล่าวว่าได้รับผลกระทบจากการโจมตีความปลอดภัยภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 84% ทั่วโลก 83%) ผู้ร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ (96%) กำลังนำกลยุทธ์ Zero Trust มาใช้ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 90% ทั่วโลก 89%) และ 94% ขององค์กรในประเทศไทย กล่าวว่าองค์กรตนมีแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response Plan) อยู่แล้ว ในการรับมือการโจมตี หรือข้อมูลรั่วไหล (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 79% ทั่วโลก 78%)
ปัญหาหลักสามอันดับแรก ได้แก่ มัลแวร์ ฟิชชิ่ง และการละเมิดข้อมูล ในรายงานยังเน้นว่าปัญหาที่เกิดจากฟิชชิ่ง เป็นสัญญานบ่งชี้ถึงปัญหาที่ใหญ่ขึ้นตามมา โดยพนักงานมีบทบาทต่อภัยคุกคามในภาพรวม ตัวอย่างเช่น 86% ของผู้ร่วมการสำรวจไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 72% ทั่วโลก 67%) เชื่อว่าพนักงานบางคนหลบหลีกข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยในองค์กรเพราะทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงานและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และ 91% ของผู้ร่วมการสำรวจไทย กล่าวว่าภัยคุกคามจากในองค์กรเป็นความกังวลอย่างมาก (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 70% ทั่วโลก 65%) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมุ่งเน้นเรื่องการฝึกอบรมเพราะบุคลากรคือด่านแรกในการป้องกัน

โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ
การวิจัยยังเผยว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยมีบทบาทสำคัญในขณะที่เทคโนโลยีอย่าง GenAI กำลังเดินหน้าพัฒนาและมีปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย รองรับการปรับขยายได้ ถูกหยิบยกว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่ธุรกิจต้องปรับปรุงเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรม ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีส่วนใหญ่ในประเทศไทย (78%) กล่าวถึงความชื่นชอบในโมเดลแบบ on-prem หรือไฮบริด ว่าช่วยตอบโจทย์ความท้าทายที่คาดว่าจะเกิดจากการนำ GenAI มาใช้ในองค์กร
นอกจากนี้ ความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลทั่วองค์กร ยังนับว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรม 53% ของผู้ร่วมการสำรวจชาวไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 36% ทั่วโลก 33%) กล่าวว่าปัจจุบันตนสามารถเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เพื่อช่วยสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมได้ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ กำลังรับมือกับความท้าทาย 98% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 84% ทั่วโลก 82%) กล่าวว่าข้อมูลคือปัจจัยที่สร้างความแตกต่างและกลยุทธ์ GenAI ต้องสัมพันธ์กับการใช้และปกป้องข้อมูล นอกจากนี้ผู้ร่วมการสำรวจเกินครึ่ง (62%) ในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 47% ทั่วโลก 42%) ยังอ้างว่าตัวเองคาดว่าภายในห้าปีข้างหน้า จะมีปริมาณข้อมูลมากมายที่หลั่งไหลมาจากเอดจ์
ผลวิจัยที่น่าสนใจอื่นๆ รวมถึงประเด็นต่อไปนี้
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา นวัตกรรมภาคการเงินได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ภูมิทัศน์ภาคการเงินและระบบเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกและลดช่องว่างให้ผู้คนได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้มากขึ้นตั้งแต่ช่วงอายุที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินควรมาพร้อมกับการส่งเสริมการบริหารการเงินส่วนบุคคลที่ดี เพราะทักษะทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถใช้นวัตกรรมทางการเงินได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการยกระดับคุณภาพชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินส่วนบุคคลและหนี้เสียในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่
Sea (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ การีนา ช้อปปี้ และซีมันนี่ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการบ่มเพาะทักษะความรู้ ทักษะ และทัศนคติทางการเงินที่ดีในคนไทยตั้งแต่วัยเยาว์ อันจะนำไปสู่การสร้างพฤติกรรมและภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดีในสังคมไทย จึงริเริ่มโครงการให้ความรู้ด้านการเงินต่าง ๆ รวมถึงริเริ่มพัฒนาบอร์ดเกมทางการเงิน “Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน” ซึ่งมีการจัดการแข่งขันระดับประเทศเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ “Wishlist Thailand Tournament 2024” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
การแข่งขัน “Wishlist Thailand Tournament 2024” ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมแข่งขันกว่า 100 คน ประกอบด้วยตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนทั่วประเทศ บุคคลทั่วไปซึ่งเป็นตัวแทนจากศูนย์การเรียนรู้ TK Park และร้านบอร์ดเกม นอกจากนี้ โครงการฯ ยังมีกรุงเทพมหานครฯ เป็นพันธมิตรที่ร่วมให้การสนับสนุนด้านการส่งเสริมความรู้ด้านการเงินในโรงเรียนและร่วมมอบโล่รางวัลให้แก่ผู้ชนะทั้งในระดับโรงเรียนและบุคคลทั่วไป
พุทธวรรณ สุภัทรนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร Sea (ประเทศไทย) กล่าวบนเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “ความท้าทายของการขับเคลื่อนการเรียนรู้ทางการเงินในโลกที่เปลี่ยนไป” ซึ่งจัดขึ้นภายในงานฯ ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีความผันผวน การเรียนรู้ทางด้านการเงินส่วนบุคคลตั้งแต่อายุยังน้อยจึงมีความจำเป็นต่อเยาวชน เพื่อให้มีทักษะด้านการเงินและภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี อันจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการบริหารการเงินส่วนบุคคล นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี
“จุดเด่นของบอร์ดเกมการเงิน ‘Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน’ คือสามารถเล่นร่วมกันได้ระหว่างผู้เล่นทุกช่วงวัยก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดทางการเงิน และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันผ่านกลไกของบอร์ดเกม อาทิ การบริหารรายรับ การจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่าย การบริหารจัดการสภาพคล่อง การบริหารจัดการหนี้สิน การหารายได้เพิ่มเป็นต้น โดยเป็นพื้นที่จำลองให้ผู้เล่นได้ฝึกฝนการวางแผนทางการเงินอย่างสนุกสนาน ปลูกฝังพฤติกรรมและทัศนคติทางการเงินที่ดี โดย Sea (ประเทศไทย) ริเริ่มพัฒนาบอร์ดเกมการเงิน Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน ร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ สถาบันบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ (IBGL) Wizard of Learning Money Coach และ Inskru กระทั่งเกิดเป็นบอร์ดเกมการเงิน Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน ซึ่งปัจจุบันได้รับการปรับปรุงและพัฒนาสู่เวอร์ชันที่สองแล้ว”
ปัจจุบัน บอร์ดเกมการเงิน “Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน” ได้รับการแจกจ่ายสู่โรงเรียน ศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศ รวมทั้งร้านบอร์ดเกมชั้นนำแล้ว จำนวน 500 กล่อง เพื่อเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเงินส่วนบุคคล รวมทั้งยังได้เผยแพร่บอร์ดเกมดังกล่าวในฉบับ “ Print & Play” ผ่านเว็บไซต์ Sea Academy ขณะนี้มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 1,100 ครั้ง
ภายในงาน Wishlist Thailand Tournament 2024 ยังมีหน่วยงานอีกมากมาย ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้นำบอร์ดเกมการเงินมาร่วมจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ทดลองเล่น ตลอดจนร่วมเสวนาบนเวทีหลัก
อรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยวิสัยทัศน์ของธนาคารแห่งประเทศไทยในการมุ่งให้เกิดความอยู่ที่ดีของคนไทยอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เห็นถึงปัญหาภาคการเงินของคนไทย อาทิ ปัญหาหนี้เสียและหนี้นอกระบบ ทักษะการบริหารการเงินส่วนบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับการปลูกฝังตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเรียนรู้ผ่านการเล่นบอร์ดเกมการเงินเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เชาวชนได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะดังกล่าวและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันด้านการเงิน
วรุตม์ นิมิตยนต์ ผู้อำนวยการสถาบันบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ (IBGL) กล่าวว่า ครอบครัวคนไทยมักไม่พูดคุยเรื่องการเงินร่วมกัน การส่งเสริมให้ผู้ปกครองพูดคุยเรื่องการเงินภายในครอบครัวกับเยาวชนจะก่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจถึงสถานภาพทางการเงินของแต่ละครอบครัว นำไปสู่การเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเงิน รวมถึงการวางแผนในอนาคตซึ่งอาจมีเรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้บอร์ดเกมการเงินเป็นวิธีหนึ่งที่จะก่อให้เกิดการพูดคุยเรื่องการเงินภายในครอบครัวระหว่างผู้ปกครองและบุตรหลาน ผ่านกลไกที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และสนุกสนาน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดบทสนทนาด้านการเงินในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นต่อไป ปัจจุบัน บอร์ดเกมทางด้านการเงิน “Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน” ได้รับการผลักดันสู่โรงเรียนทั่วประเทศแล้วกว่า 100 โรงเรียน รวมไปถึงศูนย์การเรียนรู้ TK Parkทั่วประเทศ และพร้อมด้วยร้านบอร์ดเกม เนื่องจากเป็นชุมชนบอร์ดเกมที่เป็นแหล่งรวมตัวของเยาวชน เป็นการกระจายบอร์ดเกมฯ ให้เยาวชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

นิวัฒน์ ถุงเงินศิริ นักจัดการความรู้อาวุโส ศูนย์การเรียนรู้ Tk Park กล่าวว่า บอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ให้ผู้เล่นเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและฝึกฝนทักษะความรู้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านคณิตศาสตร์ ทักษะการใช้ชีวิต ไปจนถึงทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเรียน ซึ่งบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้นั้นอาจจะปรับสัดส่วนระหว่างความสนุกสนานและความรู้ทางวิชาการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่มีเป้าหมายมากกว่าเพียงความสนุกสนานเท่านั้น สำหรับศูนย์การเรียนรู้ TK Park มุ่งเน้นการส่งต่อความรู้ให้กับเยาวชน โดยได้ดำเนินการในรูปแบบห้องสมุดมีชีวิตแล้ว 32 แห่งทั่วประเทศ และมีการจัดกิจกรรมมากมาย รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ โดยระหว่างปี 2563 - 2566 มีผู้ยืมบอร์ดเกมจาก TK Park ไปแล้วกว่า 13,000 ครั้ง TK Park มุ่งผลักดันบอร์ดเกมในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันอุตสาหกรรมบอร์ดเกมไทยสู่ระดับโลก
ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า บอร์ดเกมเป็นการออกแบบการเรียนการสอนที่มีเป้าหมายเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อาทิ คณิตศาสตร์ หากในโรงเรียนมีบุคลากรที่สามารถแนะนำการเล่นบอร์ดเกม จะสามารถส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและผลักดันให้นักเรียนมีความสนใจบอร์ดเกมมากขึ้น ทำให้ห้องสมุดมีชีวิตชีวาและความหลากหลายมากขึ้น
ปิ่นมุก มาลิ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จ.นครสวรรค์ สะท้อนแนวคิดว่า นับตั้งแต่มีบอร์ดเกมในห้องสมุด ทำให้ห้องสมุดมีสีสันมากขึ้น มีการตั้งชุมนุมบอร์ดเกม เกิดวิธีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางด้านการเงินในรูปแบบใหม่ คือการคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ด้วยความเข้าใจจากกลไกของบอร์ดเกม จากเดิมที่มีเพียงการศึกษาด้วยการอ่านจากหนังสือ การเรียนรู้ผ่านการเล่นบอร์ดเกมยังแฝงไปด้วยความสนุกสนาน ทำให้ดึงดูดเยาวชนสู่การเรียนรู้มากขึ้น
“บอร์ดเกมฯ สอนให้เกิดการเรียนรู้และการวางแผน จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง ทำให้เกิดทักษะทางความคิดอย่างเป็นขั้นตอน เดิมทีไม่ได้มีความสนใจทางด้านการเงิน แต่หลังจากเล่นบอร์ดเกมการเงินฯ จะทำให้เกิดความสนใจและมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการบริหารเงินที่ได้รับจากผู้ปกครอง รวมไปถึงการออมและการวางแผนหารายได้เพิ่มเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินตามที่ต้องการ”
ณัฐวัฒน์ ไชยเมธิน เจ้าของร้านเกม Lunar Café กล่าวว่า ปัจจุบันภูมิทัศน์การบริหารจัดการห้องสมุดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากที่ในอดีตห้องสมุดมีเพียงหนังสือหรือสื่อวิชาการ แต่ปัจจุบัน ห้องสมุดมีการผสมผสานไปด้วยสื่อการเรียนรู้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น เพลง บอร์ดเกม ฯลฯ สำหรับ Lunar Café เองได้แนะนำให้ลูกค้าได้รู้จักว่ามีบอร์ดเกมในรูปแบบบอร์ดเกมการเงิน เพื่อสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นในวงกว้าง ทั้งนี้ บอร์ดเกมเป็นกระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่นเกม ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้เล่นเกิดความสนใจและศึกษาค้นคว้าต่อด้วยตนเอง รวมทั้งเกิดการเรียนรู้ผ่านการถอดบทเรียนจากการเล่นและต่อยอดเป็นความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อไป
บอร์ดเกมการเงิน “Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน” เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ Sea (ประเทศไทย) ในการปลูกฝังทักษะด้านการเงินส่วนบุคคลที่ดีแก่เยาวชนไทย สร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในอนาคต สะท้อนพันธกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคซึ่ง Sea (ประเทศไทย) ยึดมั่นเสมอมา