

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวแคมเปญลดหย่อนภาษี “ภารกิจพิชิตเงินคืนภาษีให้เต็มแม็กซ์” ให้คนไทยได้เตรียมพร้อมในการลดหย่อนภาษีและสนับสนุนการวางแผนทางการเงิน ผ่านแบบประกันที่หลากหลาย ตามไลฟ์สไตล์ของคุณ และสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท* ได้แก่
1. ไลฟ์เรดดี้ (LifeReady) พร้อมคุ้มครองยาวให้ความคุ้มครองชีวิตสูง นานถึงอายุ 99 ปี เลือกจ่ายเบี้ยสั้น-ยาวได้ตามใจ ทั้ง 6 ปี 12 ปี 18 ปี หรือตลอดสัญญา
2. ไอ สมาร์ท 80/6 (iSmart 80/6) พร้อมรับเงินคืนทุกปี และรับเงินคืนก้อนใหญ่ เมื่อครบกำหนดสัญญาอีก 200%* ของจำนวนเงินเอาประกันภัย จ่ายเบี้ยสั้น เพียง 6 ปี ให้ความคุ้มครองยาวจนถึง 80 ปี
3. บำนาญ เรดดี้ (BumnanReady) พร้อมเกษียณ แบบชิวๆ วางแผนเกษียณวันนี้ รับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 60 ยาวจนถึงอายุ 88 สูงสุดปีละ 25% ของทุนประกัน
โดยแคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2567 สำหรับลูกค้าที่สนใจแบบประกันลดหย่อนภาษี สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนของบริษัทฯ สำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ และที่สาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่
คาร์ดเอกซ์ (CardX) เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตต่อเนื่อง โดยหมวดธุรกิจที่มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตสูงสุด เรียงตามยอดการใช้จ่าย 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต ประกันภัย การศึกษา โรงแรม และดีพาร์ทเมนท์สโตร์ สะท้อนคนไทยเน้นการเลือกซื้อเฉพาะสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตมากกว่าการจับจ่ายกับสินค้าที่มีความฟุ่มเฟือย สอดคล้องไปกับเหตุจูงใจด้านสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปี 2567 อยู่ที่ 5-8% พร้อมขานรับนโยบายเร่งด่วนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วม มุ่งสนับสนุนช่วยเหลือเพื่อช่วยลดภาระ และเสริมสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ รวมถึงแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนไปพร้อมกัน โดยยังคงให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) อย่างต่อเนื่อง
จากการศึกษาแนวโน้มสถานการณ์ทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของไทยจาก SCB EIC พบว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงมีความระมัดระวังในการจับจ่าย แม้ว่าหลายภาคส่วนจะมีการเร่งปรับตัว พร้อมมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวได้อย่าวรวดเร็ว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังปรับลดลงต่อเนื่องตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ ภาระหนี้ครัวเรือนยังคงกดดันสภาวะการใช้จ่ายในปัจจุบัน ยังผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไป การจับจ่ายใช้สอยในแต่ละครั้งของผู้คนในปัจจุบัน เริ่มมีการวางแผนมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจภาพรวมในสถานการณ์ครึ่งปีหลัง จะมีการปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังเร่งดำเนินการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปีในภาพรวม
นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด (CardX) เปิดเผยว่า “พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปัจจุบัน หลายครอบครัวเลือกที่จะจับจ่ายซื้อของด้วยความรอบคอบ วางแผนการใช้จ่าย และเลือกซื้อของใช้ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ลดการใช้จ่ายกับสินค้าที่ฟุ่มเฟือย โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ทั้งด้านการใช้งานและราคา อีกทั้งยังมองหาโปรโมชัน หรือส่วนลดที่คุ้มค่าต่อการซื้อของในแต่ละครั้งมากที่สุด สะท้อนผ่านการจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตของคาร์ดเอกซ์ โดยหมวดธุรกิจที่มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มีอัตราเติบโตสูงสุดในช่วงครึ่งปีแรกเทียบกับปีที่แล้ว เติบโตระหว่าง 8%-17% ได้แก่ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต (+17%) ประกันภัย (+12%) การศึกษา (+11%) โรงแรม (+9%) และดีพาร์ทเมนท์สโตร์ (+8%) ตามลำดับ ซึ่งมีการเติบโตสอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจที่คาร์ดเอกซ์ ที่มุ่งผลักดันการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่านแคมเปญ โปรโมชันต่างๆ รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในทุกภาคส่วนที่มีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี "

โดยผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ามีการเติบโตอย่างมั่นคงเป็นที่น่าพอใจจากการเดินกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการขยายระบบนิเวศด้านพันธมิตร เพื่อร่วมกันนำเสนอสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลอดทั้งปี โดยในช่วงปลายปีที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและการท่องเที่ยว คาร์ดเอกซ์ ได้เตรียมแผนการตลาดที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นที่ธุรกิจช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว และ ร้านอาหาร เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าในช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ คาร์ดเอกซ์ ยังคงเดินหน้าขานรับมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องและเป็นไปตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเฉพาะมาตรการในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ อย่างเหมาะสม อาทิ
1. มาตรการเร่งด่วนสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม เพื่อช่วยลดภาระ และเสริมสภาพคล่องของลูกหนี้ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการ อาทิ การพักชำระหนี้สูงสุด 3 รอบบัญชี โดย คาร์ดเอกซ์ยังคงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนตามแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้าแต่ละราย พร้อมทั้งสร้างความเป็นไปได้ทางการเงินอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม
2. มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต ให้ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 8 ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 เพื่อช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้และรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และให้เครดิตเงินคืน เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ปิดจบเร็วขึ้น โดยครึ่งปีแรก ลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับ 8% จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่ากับการลดดอกเบี้ย 0.5% ของยอดค้างชำระ และ 0.25% สำหรับครึ่งปีหลังของปี 2568
“คาร์ดเอกซ์ เข้าใจสถานการณ์ที่ท้าทายในขณะนี้ พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ลูกค้าของคาร์ดเอกซ์ ยังสามารถใช้โปรโมชันผ่อนสินค้า รวมถึงรายการส่งเสริมการขายร่วมกับเครือข่ายร้านค้าและพันธมิตรอื่น ๆ ที่มีความหลากหลาย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินให้กับทุกท่าน เพื่อให้ทุกความจำเป็นทางการเงินเป็นไปได้ด้วยบัตรเครดิตและสินเชื่อจากคาร์ดเอกซ์ โดยเรายังคงให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) อย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำการให้ความรู้ทางด้านการเงิน พร้อมทั้งการวางแผน และสร้างความเข้าใจเรื่องการเป็นหนี้ และวินัยทางการเงิน พร้อมส่งเสริมการกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว” นายสารัชต์ กล่าวเสริม
ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2567 ที่ผ่านมา ยอดสินเชื่อรวมครึ่งปีแรก อยู่ที่ 103,000 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 2.9 ล้าน บัญชี สำหรับครึ่งปีหลัง 2567 ทางคาร์ดเอกซ์ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 5-8% เพราะธุรกิจในขณะนี้ยังคงเผชิญปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย และยังต้องระมัดระวังอยู่ตลอด โดยกลยุทธ์หลังจากนี้ จะยังคงเน้นการเติบโตและกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มลูกค้าเดิม ควบคู่ไปกับการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้น และเฝ้าระวังหนี้เสียให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตลอดครึ่งปีหลัง
บางครั้งเหตุผลหลักในการไปเที่ยวของหลาย ๆ คนไม่ใช่การเดินดูสถานที่ท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่คือการดื่มด่ำกับหลากหลายอาหารอร่อยในประเทศนั้น เหตุนี้เอง อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว จึงได้ทำการสำรวจ พร้อมเผย 5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียของนักท่องเที่ยวสายกิน ซึ่งตั้งใจไปเที่ยวเพื่อเพลิดเพลินกับอาหารเป็นหลัก โดยเกาหลีใต้ครองอันดับ 1 เป็นประเทศสุดฮิตของสายกินทั่วเอเชีย
จากข้อมูลการสำรวจที่อโกด้าจัดทำขึ้น มากกว่า 64% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเกาหลีใต้ระบุว่า อาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ ทั้งนี้เกาหลีใต้ ซึ่งโด่งดังทั้งกิมจิ บาร์บีคิวสไตล์เกาหลี และไก่ทอด เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวสายกิน ตามมาด้วยไต้หวัน (62%) ไทย (55%) ญี่ปุ่น (52%) และมาเลเซีย (49%) การสำรวจครั้งนี้มีผู้ใช้อโกด้ามากกว่า 4,000 ราย ใน 10 ประเทศ ร่วมตอบแบบสอบถามหลังทำการจองที่พักเสร็จสิ้น
![]()
คุณเอนริก คาซาลส์, Associate Vice President, Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า “อาหารไม่ได้เป็นแค่สิ่งหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอีกด้วย นักท่องเที่ยวบางคนหลงใหลในอาหารมากถึงขนาดจองร้านอาหารในต่างประเทศก่อนจองตั๋วเครื่องบินเสียอีก ข้อมูลการสำรวจของอโกด้าแสดงให้เห็นชัดเจนว่านักท่องเที่ยวกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่สามารถไปดื่มด่ำกับอาหาร และประเพณีท้องถิ่นได้ ไม่ใช่แค่ไปเดินชมสถานที่ท่องเที่ยว เรารู้สึกภูมิใจที่ได้นำเสนอดีลที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และกิจกรรมสุดคุ้มให้ทุกคนได้ไปเที่ยวในราคาที่ประหยัดขึ้น นักท่องเที่ยวจึงังมีงบเหลือเอาไว้ใช้จ่ายกับอาหารจานเด็ดในท้องถิ่นนั้นมากขึ้นด้วย”
![]()
5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับสายกินทั่วเอเชีย ประกอบไปด้วย:
1. เกาหลีใต้
อาหารเกาหลีใต้ดึงดูดนักกินจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความนิยมนี้ส่วนหนึ่งมาจากละคร และภาพยนตร์เกาหลีที่มักจะนำเสนอประสบการณ์การกินอาหารที่ชวนให้ผู้ชมรู้สึกอยากลิ้มรสตาม เช่น เมื่ออยู่บนเกาะเชจู ต้องไม่พลาดอาหารทะเลสด และหมูดำปิ้งบนเตาบาร์บีคิวเกาหลีแบบดั้งเดิมที่นุ่มละลายในปาก หรือใครที่ชื่นชอบอาหารแปลกขึ้นมาหน่อย ควรแวะไปลองคันจังเคจัง (ปูสดดองในซอสถั่วเหลือง) ที่เมืองชายฝั่งอย่างอินชอน สำหรับอาหารโซลฟู้ดที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งกินกับครอบครัวที่บ้าน ก็ต้องโชดังซุนดูบู (เต้าหู้เนื้อนุ่มในซุปร้อน) ที่คังนึง ส่วนใครที่ชอบสตรีทฟู้ด ตลาดแบบดั้งเดิมอย่าง ตลาดควังจางในกรุงโซล ก็มีอาหารริมทางอร่อยอยู่มาก เช่น ต็อกโบกี (เค้กข้าวรสเผ็ด) และบินเดต็อก (แพนเค้กถั่วเขียวสไตล์เกาหลี)
2. ไต้หวัน
ไต้หวันเป็นดินแดนแห่งอาหารซึ่งผสมผสานประเพณีโบราณเข้ากับอิทธิพลสมัยใหม่อย่างลงตัว ตลาดกลางคืนยอดฮิตของไทเปอย่าง ซื่อหลินและเหราเหอ เป็นที่ที่สายกินทุกคนต้องแวะไปกินของอร่อยซึ่งมีอยู่ละลานตา เช่น เต้าหู้เหม็นอันเลื่องชื่อ และชาไข่มุกที่โด่งดังไปทั่วโลก หรือที่ไถหนานซึ่งมีอาหารดั้งเดิมอย่าง บะหมี่ตันไซ และซุปปลานวลจันทร์ทะเล แสดงให้เห็นถึงมรดกภูมิปัญญาอาหารอันล้ำค่าของเกาะ นอกจากนี้ไต้หวันยังมีวัฒนธรรมการดื่มชาที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งชาอู่หลงของอาลีซานนั้นถือเป็นชาโปรดของคนรักชาหลาย ๆ คน
3. ไทย
ไทยเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารที่มีวัฒนธรรมอาหารสตรีทฟู้ดที่โดดเด่นไม่เป็นรองใคร แผงขายอาหารแบบดั้งเดิมในเยาวราช หรือที่นิยมเรียกกันว่าไชนาทาวน์ในกรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมอาหารจานเด็ดอย่างหมูสามชั้นทอด ผัดไทย ไข่เจียวหอยนางรม และข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งนอกจากจะอร่อยขึ้นชื่อแล้วยังราคาไม่แพงด้วย ส่วนเมื่อเดินทางไปในภาคเหนือของประเทศอย่าง จังหวัดเชียงใหม่ นักเดินทางก็ต้องไม่พลาดไปรับประทานข้าวซอยรสชาติเข้มข้น ส่วนในภาคใต้ อาหารจานเส้นที่อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่ชาวต่างชาติอย่าง ขนมจีน ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีทั้งแบบเส้นแป้งสดและแป้งหมักให้เลือกทานพร้อมแกงหลากหลายชนิด
4. ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของสายกิน ด้วยอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น อาหารทานเล่นแบบอิซากายะ และอาหารไคเซกิแบบฟูลคอร์ส หรือเมื่อไปเที่ยวตลาดสึกิจิรอบนอก ของกรุงโตเกียว นักท่องเที่ยวก็มีหลายร้านซูชิ และซาซิมิสด ๆ ให้เลือกรับประทาน หรือลองชิมอาหารท้องถิ่นอย่าง ทาโกะยากิ (ลูกชิ้นปลาหมึก) และยากิโทริ (ไก่เสียบไม้ย่าง) ในย่านยอดนิยมอย่าง ชินจูกุและกินซ่า สำหรับสายอาหารทะเลไม่ควรพลาดการไปเยือนเมืองท่าโอตารุในฮอกไกโด เพื่อลองปูสด อูนิ (ไข่หอยเม่น) และดงบุริทะเลสด ส่วนใครที่โปรดปรานการกินราเม็ง ลองแวะไปที่ย่านช้อปปิ้งเท็นจินในฟุกุโอกะ ที่มีราเม็งทงคัตสึขึ้นชื่อ เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปหมูรสเข้มข้น
5. มาเลเซีย
อาหารมาเลเซียนั้นหลากหลาย เช่นเดียวกับมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ ที่กัวลาลัมเปอร์มีนาซิเลอมักให้เลือกลิ้มลองหลายรูปแบบ เช่น นาซิเลอมักบุงกุส (ข้าวแช่กะทิห่อ เสิร์ฟพร้อมน้ำพริก และผัก) และนาซิเลอมักอายัมโกเร็งเบเรมปาห์ (ไก่รสเผ็ด) ส่วนรัฐปีนังก็พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยอาหารสตรีทฟู้ดคลาสสิกอย่าง ฉ่าก๋วยเตี๋ยว (ก๋วยเตี๋ยวผัด) หมี่ฮกเกี้ยน (เส้นหมี่เหลืองผัด) และเซ็นดอล (น้ำแข็งไสหวานเย็น) ในมาเลเซียตะวันออก โคตาคินาบาลูมีอาหารท้องถิ่นสดใหม่ให้ชิมอยู่มาก เช่น ฮินาวา (สลัดปลาดิบ) และหมี่ตัวรัน หรือ Tuaran Mee ส่วนที่กูชิงก็มีจานเด็ดขึ้นชื่อมานอกปันโซห์ หรือ Manok Pansoh ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวอีบันที่ทำจากไก่ที่ปรุงด้วยสมุนไพรในไม้ไผ่
ทั้งนี้ญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 1 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ระบุว่าอาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางไปเที่ยว ตามมาด้วยเวียดนามและลาว (#2) และจีน (#3) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ระบุว่าอาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางมาเที่ยวไทย ส่วนใหญ่มาจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ตามลำดับ
อโกด้าช่วยให้ทุกคนได้เดินทางไปเที่ยวกินอาหารตามที่วางแผนได้ง่ายขึ้น ด้วยที่พักกว่า 4.5 ล้านแห่ง เส้นทางบินกว่า 130,000 เส้นทาง และกิจกรรมกว่า 300,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ชิมอาหารริมทางในกรุงเทพฯ หรือคลาสเรียนทำซูชิในโตเกียว อโกด้าช่วยให้นักท่องเที่ยวไปสำรวจรสชาติอาหารจากทั่วโลกได้ในราคาที่ประหยัดขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ agoda.com หรือดาวน์โหลดแอป Agoda
เนื่องในโอกาสวันแพทย์สากล วันที่ 7 ตุลาคม มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ (SGU) คณะแพทยศาสตร์ ในเกรนาดา หมู่เกาะเวสต์อินดิส ได้เผยเคล็ดลับเพื่อช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สร้างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น
การส่งเสริม Work-life balance
ในสาขาที่มีความต้องการสูง เช่น การแพทย์ปฐมภูมิ (Primary care) มักจะมีตารางเวลาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้แพทย์สามารถจัดการทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานได้ง่ายขึ้น “การแพทย์ปฐมภูมิมีความโดดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่น” ดร. ลินดา กิร์กิส ศิษย์เก่าของ SGU และแพทย์ปฐมภูมิในรัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าว “ปัจจุบัน แพทย์หลายคนเน้นให้บริการผู้ป่วยนอกเพื่อลดการทำงานช่วงดึกในโรงพยาบาล โดยแต่ละทางเลือก ทั้งการทำงานส่วนตัวหรือภายใต้ระบบโรงพยาบาล มีทั้งข้อดีและความท้าทายที่แตกต่างกัน”
Work-life balance สามารถทำได้ในสาขาวิชาเฉพาะทางอื่น ๆ นอกเหนือจากการแพทย์ปฐมภูมิ แม้ว่าอาจต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน ความเชี่ยวชาญด้านหัตถการมักต้องใช้เวลาทำงานหลายชั่วโมง โดยส่วนใหญ่ในช่วงเช้า ทำให้แพทย์ในสาขานี้ต้องจัดตารางเวลาอย่างรอบคอบเพื่อแบ่งเวลาสำหรับการทำงานและการพักผ่อนที่บ้าน
เคล็ดลับในการป้องกันภาวะหมดไฟ (burnout)
“กินอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ และอย่าละเลยเวลาสำหรับเพื่อนและครอบครัวเกินความจำเป็น” ดร. เดวิด โธมัส ศิษย์เก่าของ SGU และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในการปลูกถ่ายและมะเร็งที่ Moffitt Cancer Center แนะนำ “การหาสมดุลคือกุญแจสำคัญในการยกระดับการทำงานของคุณ”
![]()
"แพทย์ที่มี Work-life balance มักมีสุขภาพที่ดี โดยสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจาก SGU ความสมดุลนี้เริ่มต้นตั้งแต่ในมหาวิทยาลัย ซึ่ง ดร. อิเฟอาทู เอ็กวาตูศิษย์เก่าของ SGU และแพทย์ประจำบ้านด้านอายุรศาสตร์ กล่าวว่า ความสามารถในการจัดการความรับผิดชอบที่หลากหลายอย่างเกิดจากประสบการณ์ที่ SGU “การบริหารจัดการเวลาของผมอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ผมประสบความสำเร็จทั้งในโรงเรียนแพทย์และกิจกรรมนอกหลักสูตร’
ดร. นันดิธา กูรูวายะห์ ศิษย์เก่าของ SGU และเป็นแพทย์ประจำบ้านขั้นต้น เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าและการดูแลตนเอง ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า “เรายังคงต้องรักษาสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตกับการทำงานต่อไป และสิ่งสำคัญคือแผนการที่ดีรวมกับการจัดสรรเวลาในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดการหมดไฟ
สิ่งที่แนะนำคนอื่นไว้ ตัวเองก็ต้องทำได้
ตัวแพทย์เองอาจต้องทำตามคำแนะนำของตนเองที่เคยให้ไว้กับผู้ป่วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ได้รับรู้ถึงผลกระทบจากความเครียดและการหมดไฟดีกว่าบุคคลอื่น ดังนั้นหากแพทย์ใส่ใจเรื่องความสุขทางร่างกายและจิตใจของตนเอง จะสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ป่วยได้
ดร. การิมา กุปตะ ศิษย์เก่าของ SGU และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา กล่าวว่า “สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการให้ความสำคัญและดูแลสภาพจิตใจ เพื่อไม่เกิดภาวะหมดไฟ”
การรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวในอาชีพแพทย์อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็สามารถเป็นไปได้ นักศึกษาแพทย์ที่กำลังจะเริ่มเรียนไม่ควรท้อแท้เมื่อเผชิญกับอุปสรรคนี้ ซึ่งตัวอย่างที่ดีคือบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จที่สามารถมี Work-life balance ได้ในฐานะแพทย์
‘ทรัพย์สินกงสี’ ทรัพย์สินที่ได้รับการจัดสรรให้มาอยู่ในกองกลางของครอบครัวที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนและต้องการส่งต่อให้ลูกหลานในรุ่นต่อๆ ไป อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน การรักษาความมั่งคั่งของทรัพย์สินกงสีให้ยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับกฎหมายและภาษีที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การเตรียมพร้อมและวางแผนภาษีสำหรับทรัพย์สินกงสีจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทรัพย์สินกงสีเติบโตได้อย่างมั่นคงและส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้อย่างราบรื่น
ทำความรู้จัก ‘ทรัพย์สินกงสี’
ทรัพย์สินมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันตามที่มาและแหล่งรายได้ ซึ่งทรัพย์สินของครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ทรัพย์สินกงสี นั้น หมายถึงทรัพย์สินส่วนกลางของครอบครัว ที่อาจถือครองโดยสมาชิกในตระกูลร่วมกัน หรือมอบหมายให้คนใดคนหนึ่งที่ครอบครัวไว้ใจถือครอง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สมาชิกครอบครัวได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ทรัพย์สินกงสีมักประกอบด้วยทรัพย์สินหลายประเภท เช่น บัญชีเงินฝาก พอร์ตการลงทุน และอสังหาริมทรัพย์ (ทั้งที่ใช่และไม่ใช่ในธุรกิจครอบครัว) เป็นต้น ลักษณะการถือครองที่พบบ่อยคือ การถือครองทรัพย์สินร่วมกันของสมาชิกครอบครัว เช่น การใส่ชื่อร่วมกันระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือพี่น้อง โดยมองว่าเป็นการเสริมความมั่นคงให้แก่ทรัพย์สินกงสี และทำให้สมาชิกครอบครัวมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกงสีอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยรักษาความเป็นเจ้าของให้อยู่ภายในครอบครัว รวมถึงเป็นเครื่องมือส่งเสริมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างรุ่นสู่รุ่นผ่านการตัดสินใจร่วมกัน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการขายหรือโอนย้ายทรัพย์สินในอนาคต
แนวทางการจัดการภาษีของทรัพย์สินกงสี
ทรัพย์สินกงสี มักถูกถือครองในชื่อร่วม ซึ่งหมายถึงการถือครองโดยบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ทำให้การจัดการภาษีของทรัพย์สินกงสีมีความซับซ้อน เนื่องจากมีประเด็นทางภาษีที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงต้องมีการวางแผนภาษีอย่างเป็นระบบและเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ตามกฎหมายภาษี การถือทรัพย์สินร่วมกันถือเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ที่ไม่ใช่นิติบุคคล (หสม.) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหน่วยภาษีที่ต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา ในอดีต ส่วนแบ่งกำไรที่เจ้าของร่วม (หุ้นส่วน) แต่ละคนได้รับไม่ต้องนำไปรวมเสียภาษีระดับบุคคลอีก ทำให้การถือครองทรัพย์สินร่วมกันหรือการตั้งคณะบุคคลเป็นที่นิยมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม นับแต่ปี 2558 กฎหมายภาษีได้มีการแก้ไขและยกเลิกการยกเว้นภาษีระดับบุคคลดังกล่าว ส่งผลให้ในปัจจุบัน เงินได้จากทรัพย์สินที่มีชื่อร่วมกัน นอกจากจะต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้าในระดับหสม. แล้ว ยังต้องเสียภาษีในระดับบุคคลอีกครั้งเมื่อมีการแบ่งกำไร โดยถือเป็นเงินได้ประเภทอื่น (ประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)) ยกเว้น การถือครองทรัพย์สินร่วมกันของสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสที่ไม่ถือเป็นหสม. และในกรณีที่ทรัพย์สินกงสีถูกถือครองโดยบุคคลเดียว ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีก็คือบุคคลที่มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นนั่นเอง
![]()
จากที่กล่าวมา แต่ละครอบครัวสามารถวางแผนภาษีการถือครองทรัพย์สินกงสีแต่ละประเภทให้ถูกต้องได้ โดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันตามประเภทของทรัพย์สิน ดังนี้
· ทรัพย์สินกงสีประเภทเงินลงทุน: การเสียภาษีของเงินลงทุนที่ถือร่วมกันจะขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ที่เกิดขึ้น สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากนั้นไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน เนื่องจากกฎหมายได้ยกเว้นไว้ว่าหากหักภาษี ณ ที่จ่ายในนามของหสม. แล้ว การแบ่งส่วนแบ่งดอกเบี้ยไม่ต้องเสียภาษีในระดับบุคคลอีก ซึ่งแตกต่างจากเงินปันผลหรือกำไรจากการขาย ที่จะต้องเสียภาษีในระดับหสม. โดยมีอัตราและข้อยกเว้นเหมือนบุคคลธรรมดา กล่าวคือ เงินปันผลสามารถเลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% และกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้รับยกเว้นภาษีในระดับหสม. แต่เมื่อมีการแบ่งเงินปันผลหรือกำไรระหว่างกัน ต้องนำมารวมกับเงินได้อื่นของตนและเสียภาษีในอัตราภาษีก้าวหน้า
· ทรัพย์สินกงสีประเภทอสังหาริมทรัพย์: สำหรับเงินได้จากการขายหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ถือร่วมกันก็ถือเป็นหสม. เช่นกัน หากเป็นการซื้อมาร่วมกัน เงินได้จากการขาย/ให้เช่าต้องเสียภาษีในระดับหสม. ในลักษณะเดียวกับบุคคลธรรมดา และเสียภาษีในระดับบุคคลอีกครั้งเมื่อมีการแบ่งส่วนแบ่งจากการขาย/ค่าเช่า แตกต่างกับเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการรับให้หรือรับมรดกร่วมกัน กฎหมายได้ยกเว้นในกรณีนี้ไว้ให้เสียภาษีเพียงระดับเดียว คือ กรณีค่าเช่าเสียภาษีระดับหสม. เท่านั้น และในกรณีขาย ให้เจ้าของแยกคำนวณภาษีตามส่วนของแต่ละคน
การถือครองทรัพย์สินกงสีร่วมกันอาจถูกมองว่าเป็นหนึ่งวิธีในการเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เพราะทำให้ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเท่าเทียม แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่าหลายครั้งผลลัพธ์อาจตรงกันข้าม เช่น ครอบครัวที่มีทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เจ้าของร่วมบางคนต้องการขายเพราะ
มีภาระภาษีและค่าใช้จ่ายระยะยาวสูง แต่เจ้าของร่วมที่เหลือไม่ต้องการขายเพราะมองว่าเป็นทรัพย์สินสำคัญของครอบครัว ทำให้ไม่สามารถขายได้ เนื่องจากการขายทรัพย์สินในชื่อร่วมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของทุกราย (และอาจรวมถึงคู่สมรสด้วย) ยิ่งปล่อยเวลานานไปโดยไม่จัดการ เมื่อถึงเวลาส่งต่อให้ทายาท จำนวนเจ้าของร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ การตัดสินใจร่วมกันยิ่งยากและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในครอบครัว อีกตัวอย่างที่พบบ่อยคือการใส่ชื่อบุคคลอื่นให้ถือทรัพย์สินแทน โดยทุกคนในครอบครัวไม่ได้รับทราบโดยทั่วกัน เมื่อผู้ถือแทนเสียชีวิต ทรัพย์สินนั้นก็จะส่งต่อไปยังทายาทของผู้ถือแทนตามกฎหมาย ทรัพย์สินจึงไม่ตกไปยังเจ้าของที่แท้จริง ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการถือทรัพย์สินแทนกันถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีข้อตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร KBank Private Banking แนะนำ 3 ขั้นตอน เพื่อให้การจัดการทรัพย์สินกงสีเป็นไปอย่างราบรื่น ได้แก่
1. พูดคุยตกลงกันภายในครอบครัว เพื่อแบ่งประเภททรัพย์สินเป็นกลุ่มๆ เช่น กลุ่มทรัพย์สินที่มีคุณค่าทางจิตใจ กลุ่มทรัพย์สินที่อาจขายในอนาคต และกลุ่มทรัพย์สินที่จะส่งต่อให้สมาชิกรายคน เป็นต้น
2. ปรับวิธีการถือครองทรัพย์สินกงสีที่มีอยู่ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการตามที่ตกลงกันไว้และป้องกันไม่ให้มีภาระภาษีซ้ำซ้อน
3. วางแผนการถือครองทรัพย์สินกงสีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เพราะการวางแผนบริหารจัดการภาษีทรัพย์สินกงสีอย่างเหมาะสม มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ตามหลักเกณฑ์กฎหมายถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจกงสีดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมั่นคง KBank Private Banking ส่งเสริมให้เตรียมความพร้อมในการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่นต่อไปในอนาคต จึงมอบบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัว(Family Wealth Planning Services) ที่ครอบคลุมทั้งบริการด้านการวางแผนที่หลากหลาย ทั้งการวางแผนความต่อเนื่อง และกติกาของครอบครัว, การบริหารความเสี่ยงของครอบครัว, โครงสร้างการถือครองทรัพย์สิน, การสืบทอดกิจการและทรัพย์สิน, การทำสาธารณกุศล และการจัดตั้งสำนักงานครอบครัว
ทรูชวนลูกค้าทั่วไทย รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม... จากสถานการณ์วิกฤตอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมเป็นอีกหนึ่งร่วมสนับสนุนการฟื้นฟูผู้ประสบภัยในครั้งนี้ โดยได้ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังประสบภัยทางภาคเหนือ ร่วมบริจาคโดยไม่ต้องใช้เงินสด เปิดโอกาสให้ลูกค้าทรู และดีแทค สามารถใช้ทรูพอยท์ หรือ ดีแทคคอยน์ แลกเป็นเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถแลกพอยท์บริจาคเริ่มต้นได้ที่ 50 ทรูพอยท์ หรือ 150 ดีแทคคอยน์ ดังนี้
ลูกค้าทรู ใช้ทรูพอยท์ แลกเงินบริจาคผ่านแอปทรูไอดี
· ใช้ทรูพอยท์ 50 คะแนน แทนเงิน 5 บาท
· ใช้ทรูพอยท์ 100 คะแนน แทนเงิน 10 บาท
· ใช้ทรูพอยท์ 150 คะแนน แทนเงิน 15 บาท ลูกค้าดีแทค ใช้ดีแทคคอยน์ แลกเงินบริจาคผ่านดีแทคแอป
· ใช้ 150 ดีแทคคอยน์แทนเงิน 5 บาท
· ใช้ 350 ดีแทคคอยน์ แทนเงิน10 บาท
· ใช้ 450 ดีแทคคอยน์ แทนเงิน 15 บาท
ร่วมส่งน้ำใจสู่พี่น้องผู้ประสบอุทกภัย โดยบริจาคทรูพอยท์และดีแทคคอยน์ได้ไม่จำกัด ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 4 ตุลาคม 2567 เพิ่มเติมทางแฟนเพจ TrueYou และ dtac reward
กรุงเทพฯ (26 กันยายน 2567) - ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ นาโน เตือนภัยประชาชนให้ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อบริษัทฯ โลโก้ หรือชื่อสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนสมัครบริการสินเชื่อปลอม แนะนำวิธีสังเกตบริการสินเชื่อที่ถูกต้องบนแอปทรูมันนี่ของจริงว่ามีเพียงบริการ Pay Next / Pay Next Extra โดยบริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด และวงเงินพร้อมใช้สบายเป๋าที่บริษัทฯ ให้บริการร่วมกับพันธมิตร ณ จุดขาย โดยผู้ที่สนใจต้องสมัครและส่งเอกสารผ่านแอปทรูมันนี่ ที่ดาวน์โหลดจาก App Store และ Google Play Store เท่านั้น ทั้งนี้ จุดสังเกตข้อที่สำคัญคือ ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการสมัครทุกกรณี บริษัทฯ มีความห่วงใยและขอแนะนำประชาชนให้ระมัดระวังและตรวจสอบก่อนทำธุรกรรมทางการเงินทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

ทั้งนี้ ทรูมันนี่ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง อาทิ ระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น TrueMoney 3X Protection ที่ ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำงานโดยผสานการทำงานของปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีการอ่านชีวมิติ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำธุรกรรมในระดับสูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับต่างๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีสายด่วน 1240 กด 6 เพื่อรับแจ้งเหตุต้องสงสัยด้านภัยทางการเงิน และแจ้งอายัดบัญชี ตลอด 24 ชั่วโมง
จุฬาฯ เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมการวิจัยและพัฒนาโกโก้ไทยเพื่อความยั่งยืน ISTC กู้วิกฤตราคาโกโก้ตกต่ำโดยส่งเสริมแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธัญศิภรณ์ ณ น่าน สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและธุรกิจด้านระบบนิเวศโกโก้ในประเทศไทย โดยใช้การศึกษา งานวิจัย และนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การนำผลผลิตโกโก้ไปสู่ตลาดสินค้าคุณภาพสูงด้วยรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อทำให้โกโก้ไทยได้เปรียบในการแข่งขันกับตลาดทั่วโลก

ผลผลิตได้น้อยลง ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะสม ประเทศไทยจึงถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการปลูกโกโก้แห่งใหม่ที่มีศักยภาพ เกษตรกรชาวไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดน่าน (ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ จังหวัดโกโก้” ในปัจจุบัน) ก็ได้เริ่มหันมาเพาะปลูกโกโก้โดยมองว่าเป็นผลผลิตที่จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ดีในอนาคต อย่างไรก็ตามเกษตรกรก็ยังขาดความรู้ที่ถูกต้องสำหรับการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการหมักโกโก้ ทำให้ได้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังทำให้เมล็ดโกโก้มีคุณภาพต่ำ ส่งผลให้ไม่มีผู้รับซื้อ ผลผลิตราคาตก และถูกทิ้งเป็นจำนวนมาก

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ศูนย์ ISTC ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงสร้างของบริษัท ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจามจุรี จำกัด จึงได้เข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เกษตรกรในด้านวิธีการเพาะปลูกโกโก้ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในทุกหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโกโก้ นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ยังได้ส่งเสริมการแปรรูปและการหมักโกโก้ในท้องถิ่น เพื่อคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดการสูญเสียคุณภาพระหว่างการขนส่ง

ทางศูนย์ฯ ยังมีบริการด้านการรับรองคุณภาพด้วยระบบการจัดการคุณภาพโกโก้ที่ทันสมัย และระบบรับรองมาตรฐานคุณภาพเมล็ดโกโก้ เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานโกโก้ไทยในระดับโลก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกรเพื่อแนะนำการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกโกโก้เป้าหมายระยะยาวของ
ศูนย์ ISTC คือ การสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับโกโก้ของไทย โดยการสร้างกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นตามพื้นที่เพาะปลูกที่แต่ละที่ การหมักในลักษณะที่เป็นงานคราฟ และการเล่าเรื่องราวเพื่อเพิ่มคุณค่า
ของผลิตภัณฑ์ ทางศูนย์ฯ ยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรมุ่งเน้นไปที่การผลิตโกโก้คุณภาพสูงที่เป็น Single Origin ซึ่งมีมูลค่าสูงในตลาดเฉพาะกลุ่ม ศูนย์ ISTC ได้มุ่งหวังที่จะยกระดับโกโก้ไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
สร้างผลประโยชน์ให้แก่เกษตรกรและอุตสาหกรรมในวงกว้าง โดยใช้การศึกษา การรับรองคุณภาพ และนวัตกรรม
เอ้ก ดิจิทัล ผู้ให้บริการธุรกิจด้านวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ให้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรและการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลสัญชาติไทย ใช้พลังการผสานการทำงานระหว่าง AI, ML, อินไซท์เชิงลึก, สื่อ O4 (Online, OOH, On-Premise, On-Ground) และมาร์เทคโซลูชัน โชว์ศักยภาพนักสร้างสรรค์กลยุทธ์การสื่อสารและโฆษณาสุดเจ๋ง พาแบรนด์ลูกค้ากวาด 5 รางวัลใหญ่ จากเวทีระดับนานาชาติ Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จัดโดยนิตยสาร MARKETING-INTERACTIVE ประเทศสิงคโปร์
โดยเอ้ก ดิจิทัลคว้ารางวัลระดับ Gold 1 รางวัล ระดับ Silver 1 รางวัล และระดับ Bronze 3 รางวัล ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะพาร์ทเนอร์ด้านโฆษณาและการตลาดดิจิทัลที่มีศักยภาพแข็งแกร่งได้อีกครั้ง การันตีด้วยผลงานคุณภาพที่กวาดรางวัลทั้งเวทีการตลาดในประเทศไทยและระดับภูมิภาคมากมาย
เอ้ก ดิจิทัล ขยายธุรกิจสู่ที่ปรึกษาด้านวิเคราะห์ข้อมูล การทำตลาดดิจิทัล สื่อในห้างค้าปลีก และการวางแผนโฆษณาครบวงจรเมื่อปี 2022 และด้วยจุดแข็งของการผสานพลังความเชี่ยวชาญ (The Power of Collaboration) ด้าน AI, First-Party Data & Second-Party Data 360/720 องศา และพลังสมองของผู้เชี่ยวชาญนิวเจน ทั้งทีมกลยุทธ์, ทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทีมดูแลลูกค้า และทีมปฏิบัติการ ทำให้สร้างสรรค์แคมเปญโฆษณาและการตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดนใจผู้บริโภค และสอดคล้องกับสื่อยุคใหม่จนกวาดรางวัลจากเวทีระดับประเทศและนานาชาติมามากมาย ล่าสุด ธุรกิจ Media Convergence และธุรกิจ MarTech Solution พาแคมเปญของลูกค้าคว้า 5 รางวัลใหญ่เวที Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จากผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศทั้งหมด 13 รางวัลใน 9 สาขา ถือเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จและศักยภาพของเอ้ก ดิจิทัลเป็นอย่างดี

นายชัชพล องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ Media Convergence บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ด้วยการทำงานแบบเพื่อนคู่คิดกับคู่ค้า ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมงานและความครบเครื่องของแพลตฟอร์ม MediaFusion ที่ดูแลครบวงจรตั้งแต่การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค จับเทรนด์อินไซท์เชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายพร้อมชี้โอกาสสำคัญต่อยอดขายให้กับแบรนด์แบบวัดผลได้ ทำให้เราคว้ารางวัลระดับ Gold สาขา “Excellence in Omnichannel” ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ระดับ Silver สาขา “Excellence in Personalisation Marketing’ ระดับ Bronze สาขา ‘Excellence in Launch Marketing’ และสาขา ‘Excellence in Omnichannel’ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เอ้ก ดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ สร้างกลยุทธ์และวางแผนปฎิบัติการพร้อมแนะนำส่วนผสมในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย โลเคชันและการใช้สื่อ O4 ได้อย่างสร้างสรรค์ แม่นยำและมีประสิทธิภาพทั้งสื่อ Online Personalization, OOH Shoppers’ Digital Screen, On-Premise Retail media, On-Ground Activation”

นางสาวรัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ทางธุรกิจ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี AI/ML พร้อมกับนำเสนอโซลูชันการตลาดดิจิทัลที่ครบวงจรผ่านแพลตฟอร์มเดียว (One Platform) ที่เชื่อมต่อข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจากหลายแหล่งเข้าสู่ระบบเดียวกัน ทำให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยข้อมูลที่มีความแม่นยำสูง โดยนำเสนอประสบการณ์เฉพาะเจาะจงและตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งช่วยให้การเพิ่มยอดขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถ
ขยายฐานข้อมูลผ่านพันธมิตรและคู่ค้าต่างๆ ปัจจุบันเรามีโซลูชันทางการตลาดที่ครอบคลุม ทั้งระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Advanced CRM), บริการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytic Service), ระบบอัตโนมัติสำหรับการตลาด (Marketing Automation), การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์แบบปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Creative Communication) และเทคโนโลยีโฆษณา (Advertising Tech) ซึ่งการสร้างกลยุทธ์การตลาดด้วยการใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้เราคว้ารางวัลระดับ Bronze สาขา ‘Excellence in Loyalty Marketing’ มาได้สำเร็จ”
ในปีนี้ Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จัดประกวดถึง 43 หมวด มีผลงานร่วมประกวดกว่า 402 แคมเปญ โดยตัวอย่างผลงานโดดเด่นของเอ้ก ดิจิทัลที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ได้แก่
· แคมเปญ The Extreme Lime Experience แบรนด์ Coke Zero Lime คว้ามาได้ 2 รางวัล รางวัลระดับ Gold สาขา Excellence in Omnichannel และระดับ Bronze สาขา Excellence in Launch Marketing ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์และแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ซึ่งแบ่งออกเป็น 1) กลุ่มมิลเลเนียล 2) กลุ่มคนรักสุขภาพ 3) กลุ่มคนที่ดื่มเป็นครั้งคราวและเพื่อสังคม วางกลยุทธ์การสื่อสารผ่าน Omnichannel Media ที่ประสานการทำงานของสื่อ O2O ได้แก่ สื่อ Online และสื่อ Out-of-Home หรือ Shoppers’ Digital Screen รวมถึงเสนอแนวทางสร้างประสบการณ์ตรงกับผู้บริโภคที่หน้าร้าน โดยใช้สื่อที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กลุ่มโค้กสูตรไม่มีน้ำตาลได้ถึง 55% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนแคมเปญ รวมถึงสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ในช่วงแคมเปญนี้ได้ถึง 49% ของฐานผู้ซื้อทั้งหมด
· แคมเปญ The Lucky Draw แบรนด์ Dreamy คว้ารางวัลระดับ Bronze สาขา Excellence in Loyalty Marketing ด้วยการยกระดับ CRM Platform ให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยใช้ AI และ Data Analysis มาช่วยรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและร้านค้าเป้าหมาย โดยพัฒนาฟังก์ชันบนแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งรายละเอียดเมนู, ดีลพิเศษสำหรับร้านค้า, Loyalty Platform, ระบบสะสมและใช้คะแนน และสิทธิพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ได้สร้างสรรค์แคมเปญ Lucky Draw 'ล่าภาพลุ้นทอง' ซื้อผลิตภัณฑ์ Dreamy ลุ้นรับทองง่ายๆ โดยตลอดแคมเปญระบบ CRM มีผู้ลงทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้น 930.70% และในช่วงแคมเปญยังเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ได้ถึง 56.62%
พลังของการผสานจุดแข็งรอบด้านทำให้เอ้ก ดิจิทัลได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมรวมกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งเอ้ก ดิจิทัล พร้อมที่จะเป็นพาร์ทเนอร์สำหรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด เพื่อช่วยทุกธุรกิจปลดล็อกศักยภาพด้านการตลาด การสื่อสาร และการใช้สื่อในยุคดิจทัล พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดไปพร้อมกัน
25 กันยายน 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เริ่มให้บริการส่งข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยถึงมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว โดยเจาะจงพื้นที่ระดับตำบลและหมู่บ้าน
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ทรูห่วงใยประชาชน จึงร่วมมือกับ ปภ. และ กสทช. ส่ง SMS แจ้งเตือนภัยฉุกเฉิ โดยเริ่มนำร่องแจ้งเตือนภัยระดับ 3 กรณีแม่น้ำวังล้นตลิ่งในพื้นที่ 3 ตำบลของอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างทันท่วงที"
ข้อความแจ้งเตือนจะส่งจากชื่อผู้ส่ง "DDPM" ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล โดยจะแจ้งรายละเอียดครบ ทั้งวัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง และวิธีปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย
ระบบ SMS มีข้อดีคือ ประชาชนสามารถรับข้อมูลได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ และใช้งานได้สะดวก
ปภ. เป็นหน่วยงานหลักในการเฝ้าระวัง รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนส่งแจ้งเตือนให้ทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งต่อไปยังมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยการแจ้งเตือนจะมี 2 รูปแบบ คือ แจ้งเตือนล่วงหน้า 12-24 ชั่วโมง และแจ้งเตือนฉุกเฉิน 6-12 ชั่วโมง
บริการนี้จะช่วยให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ลดความเสี่ยงและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น