December 20, 2025

 บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) บริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย ประกาศอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปในระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2567 ที่ 5.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยสามารถจองซื้อผ่านสถาบันการเงิน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บล.บลูเบลล์ บล.เอเซีย พลัส และบล.หยวนต้า อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ BBB- เป็น “ระดับลงทุน” ซึ่งสะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในการรับงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่ มั่นใจตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดี ในบริษัทที่มีความมั่นคง ด้วยมูลค่างานในมือ (Backlog) เกือบ 5 หมื่นล้านบาท ที่สามารถทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2571   

นายเติมพงษ์  เหมาะสุวรรณ  รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ บริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี ในอัตรา 5.50% ต่อปี โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ในระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2567 ผู้สนใจสามารถจองซื้อผ่านสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด  บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด  

“นอกเหนือจากอัตราผลตอบแทนที่จูงใจผู้ลงทุนแล้ว ที่ผ่านมาผู้ที่เคยลงทุนในหุ้นกู้ UNIQ มีความพึงพอใจที่ได้รับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอทุกๆ 3 เดือน ไม่เคยมีประวัติผิดนัดหรือเลื่อนชำระดอกเบี้ย ซึ่งทำให้มั่นใจว่า หุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งอายุหุ้นกู้ 3 ปี เป็นรุ่นที่ตรงกับความต้องการของผู้ลงทุนส่วนใหญ่ด้วย” นายเติมพงษ์กล่าว 

 

ทั้งนี้ หุ้นกู้ UNIQ ชุดนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB- จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็น “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ BBB ซึ่งสะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในการรับงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่และมีมูลค่างานในมือ (Backlog) จำนวนมาก โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีมูลค่างานคงเหลือที่รอการส่งมอบและรับรู้รายได้จำนวน 49,574.45 ล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2571 ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 34.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 133.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีโครงการที่มีลักษณะการทำงานคล้ายๆ กัน ทำให้การบริหารรวมถึงการใช้เครื่องจักรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการซื้อวัสดุก่อสร้างในปริมาณมากๆ ทำให้บริษัทฯ มีขีดความสามารถในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างในราคาที่ลดลงได้ 

นอกจากนี้ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะส่งผลดีกับบริษัทฯ ในระยะต่อไปอีกด้วย โดยบริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลงานต่างๆ ของภาคราชการและรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะได้รับงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชี่ยวชาญของ UNIQ ที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย ที่มีความสามารถดำเนินโครงการขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการสูง หรือเป็นโครงการที่ต้องอาศัยความชำนาญหรือเทคโนโลยีเฉพาะด้าน  เช่น สถานีกลางบางซื่อ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างสะพานโครงสร้างเหล็กและสะพานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก งานก่อสร้างอุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ทางแยก งานก่อสร้างทางพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กและแอลฟัลท์ติกคอนกรีต งานระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ทั้งไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์  

ผู้ลงทุนที่สนใจหุ้นกู้ UNIQ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อสถาบันการเงินที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้ 

สำหรับผู้ลงทุนทุกประเภท (ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน) 

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือโทร 0-2111-1111 โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Money Connect by Krungthai บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next 

SCB  WEALTH  เปิดตัว “No Gain No Pay” แนวคิดใหม่ของการลงทุน ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด นำร่องส่งกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 อายุ 8 เดือน เสนอขายวันที่ 14-28 สิงหาคมนี้  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว กองทุนนี้ไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายและบริหารจัดการ  หลังจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนภายใน 8 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.82 บาทต่อหน่วย  กองทุนคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 2% แต่หากหลังจาก 8 เดือนมูลค่าหน่วยลงทุน ต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย ไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่นี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  สุเนต์ตา , CFA  รองผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product  กลุ่มธุรกิจ Wealth  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB WEALTH  ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา  และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ไว้วางใจให้ธนาคารบริหารสินทรัพย์ และมั่นใจในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพ มานำเสนอให้กับนักลงทุน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง จึงได้นำร่องเปิดตัว No Gain No Pay  แนวคิดใหม่ของการลงทุน ที่ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย  เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน 

SCB WEALTH  ยึดมั่นในหลักการของ Open architecture  ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก  Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย  รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน    ล่าสุด เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้  ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1)บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ทิสโก้  จำกัด  ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว  ในระหว่างวันที่ 14 - 28   สิงหาคม  2567  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท   

กองทุน TTARGET8M1มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี  คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 

สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ภายใน 5  วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้  คือ  ภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป  และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.60 บาทต่อหน่วย  

อย่างไรก็ตาม หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ  และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท   ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด  สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.20 บาทต่อหน่วย  โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมาย ที่ราคาไม่ต่ำกว่า  10.82   ติดต่อกัน 3  วัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  แต่หากหลังครบระยะเวลา 8  เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาท ในอัตรา 0.5% และ หากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาท จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน  ทั้งนี้ กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่ของการลงทุนนี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  กล่าวต่อไปว่า  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  มีดังนี้คือ 1) SCB CIO คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับ ศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และ ภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น และจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการ รวมถึง งบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง นอกจากนี้ แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดจะเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจเร่งขยายตัว  2) ดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภค  หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ให้ร้านค้าลงทะเบียน วันที่ 1 ต.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มอาหาร เป็นต้น   3) กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์  โดยครม.ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน  พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้น ในดัชนี SET/mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา โดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย  

นอกจากนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus   ณ วันที่   30 กรกฎาคม  2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เทียบปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทย และมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อย่างถูกจังหวะ  

ธุรกิจโรงแรมขยับตัวรับการแข่งขัน เล็งใช้การออกแบบตกแต่งสร้างความแตกต่าง เน้นจับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ให้ความสำคัญไลฟ์สไตล์ พฤติกรรม และความสนใจผู้เข้าพัก พร้อมสร้างประสบการณ์ร่วมเพื่อหวังผลการบอกต่อ ด้าน  อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เผยเทรนด์ออกแบบใหม่ เน้นความโดดเด่นเฉพาะตัว ใช้เทคโนโลยี รักษ์โลก และเชื่อมโยงถึงธรรมชาติ ล่าสุดขยายโซน Hospitality Style ในงาน Food & Hospitality Thailand 2024 เพื่อครอบคลุมในทุกมิติของการออกแบบ พร้อมจับมือสมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย ให้คำปรึกษาแนะนำและจัดกิจกรรมบรรยายให้ความรู้ 3 หัวข้อสำคัญ คือ การออกแบบบาร์ การออกแบบร้านอาหารคาเฟ่ และการออกแบบโรงแรม 

นางกรกช คุณาลังการ นายกสมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญและแนวโน้มของการออกแบบตกแต่งที่พัก โรงแรม และรีสอร์ทให้เป็นจุดแข็งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวว่า การออกแบบห้องพักสำหรับโรงแรมมีความสำคัญอย่างมาก นักท่องเที่ยววันนี้ต้องการประสบการณ์ใหม่จากการเดินทาง โรงแรมที่มีการออกแบบให้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น น่าสนใจ จึงสร้างความประทับใจและตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้อย่างลงตัวและเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด รูปแบบในการออกแบบคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น  

สำหรับการพิจารณารูปแบบและสไตล์การออกแบบนั้น ผู้ประกอบการและนักออกแบบควรเริ่มต้นที่ความเข้าใจบริบทของพื้นที่ ข้อจำกัดด้านกฎหมาย และกลุ่มเป้าหมายหลักของผู้มาใช้บริการก่อน เพราะจะเป็นตัวกำหนด ประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ของโรงแรม ซึ่งการออกแบบจะช่วยทำให้โรงแรมมีจุดขายที่ชัดเจน ช่วยดึงดูดกลุ่มแขกที่มาพักได้มากขึ้น ส่วนแนวคิดในการออกแบบว่าทำอย่างไรจะให้เกิดความโดดเด่น สวยงาม น่าประทับใจนั้น ต้องคำนึงถึงแนวคิดหลัก ความเหมาะสมกับข้อกำหนด และมาตรฐานของโรงแรมที่เป็นโจทย์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณการลงทุน ระยะเวลาการดำเนินงาน ราคาห้องพัก ฯลฯ 

ส่วนการร่วมจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2024 นั้น นับเป็นโอกาสดีของทางสมาคมฯ และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันในการร่วมพัฒนาผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็งและโดดเด่นในสายตาของนักท่องเที่ยว ซึ่งตลอดทุกครั้งของการร่วมจัดงานฯ นอกจากทางสมาคมฯ จะมีการให้คำปรึกษา แนะนำ ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจอย่างต่อเนื่องแล้ว ในการจัดงานฯ ปีนี้ ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ทางสมาคมฯ จัดขึ้นเป็นพิเศษ อาทิ การจัดแสดง Designer Selected Zone โดยเลือกสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาจัดแสดง การบรรยาย 3 หัวข้อพิเศษ ได้แก่ การออกแบบบาร์ การออกแบบร้านอาหารคาเฟ่ และการออกแบบโรงแรม โดยอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมการจัดงาน และขอรับคำปรึกษาด้านการออกแบบจากทางสมาคมได้ภายในงานฯ 

ด้านนางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) กล่าวถึง การออกแบบตกแต่งที่พัก โรงแรม และรีสอร์ท เพื่อสร้างเป็นจุดขาย 

และจุดแข็งในการดึงดูดนักท่องเที่ยวว่า ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าครึ่งปีแรกของปี 2567 ประเทศไทยคว้าระดับโลกมาแล้วถึง 21 รางวัล จากการจัดอันดับทั่วโลก เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว โดยประเทศไทยมีพร้อมทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรมประเพณีที่โดดเด่นน่าสนใจ นอกจากนั้นการออกแบบที่พักและบริการด้านการท่องเที่ยวยังเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่สร้างความพอใจแก่นักท่องเที่ยว โดยที่พัก  โรงแรม และรีสอร์ทในไทยหลายแห่งได้รับการยกย่องและคว้ารางวัลระดับโลกมาได้ทุกปี อาทิ รางวัล World’s 50 Best Hotels 2023 มีโรงแรมจากไทยติดอันดับถึง 4 โรงแรม ฯลฯ  ส่วนทิศทางการออกแบบที่เป็นเทรนด์ของโลกขณะนี้ เน้นที่การสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำแก่ผู้เข้าพัก การออกแบบเฉพาะบุคคลมีเอกลักษณ์และเรื่องราว การนำเทคโนโลยีมาผสมผสาน คำนึงถึงความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สาธารณะ เชื่อมต่อและนำธรรมชาติมาเป็นองค์ประกอบ  

ดังนั้นในงาน Food & Hospitality Thailand 2024 ปีนี้ จึงมีการขยายโซน Hospitality Style ให้มีความครอบคลุมในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ตกแต่งมากขึ้น โดยมีทั้งเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่ง เครื่องนอน เครื่องใช้ และของตกแต่งสำหรับธุรกิจที่พักโรงแรมจากบริษัทชั้นนำของไทยและระดับโลกหลากหลายแบรนด์กว่า 60 ราย อาทิ Hotel And Home Innovation, BrotherJ Co.,Ltd, GUANGZHOU HAOTIAN CLEANING EQUIPMENT TECHNOLOGY CO.,LTD, SONITE INNOVATIVE SURFACES CO.,LTD, MC Plus Company Limited, ITALY PRESENT-MORE SRL, Scent And Sense Laboratory Co., Ltd., Zhejiang MSD Group Share Co., Ltd. , Scientific Innovation Company Limited, Kusar International Co., Ltd., Top Class Design Co., Ltd., Table U Co., Ltd. and SETH Intertrade Co., Ltd เป็นต้น สิ่งเหล่านี้นอกจากเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาพักแล้ว ยังสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นจุดขายในความแตกต่างอีกด้วย ส่วนอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโซน Hospitality Style คือ การรวบรวมสินค้าประเภทเครื่องนอน ฟูก และเตียงทุกแบบทุกสไตล์สำหรับธุรกิจที่พักโรงแรมมาไว้ให้เลือกชม ทดสอบ และทดลองนอนมากที่สุดของประเทศไทยกว่า 20 แบรนด์ โดยแบรนด์ที่เข้าร่วมในการจัดแสดง อาทิ Darling Mattress Co., Ltd., Jaspal & Sons Co., Ltd., JESSICA , TULIP, Santa Mattress Co., Ltd., Serta (Thailand), Shanghai Zihui Textile Decoration Co.,Ltd, SIMMONS BEDDING & FURNITURE (THAILAND) CO., LTD., Sleepwell Industries Co., Ltd.,, Pornprapa International Co., Ltd,  Somphol Bedding and Mattress Industry Co., Ltd., AK&J TEXTILE and Aqua Hotel Supply Co., Ltd เป็นต้น พร้อมกันนั้นในปีนี้ยังมีงานแสดงสินค้าใหญ่ของเอเชียด้านผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่าง Hotel & Shop Plus Thailand มาร่วมจัดแสดงภายในงานฯ ครั้งนี้ด้วย จึงอยากเชิญชวนทั้งนักออกแบบ ผู้ประกอบการ และผู้สนใจให้เข้าเยี่ยมชมการจัดงานฯ และ โซน Hospitality Style เพื่ออัปเดตเทรนด์ล่าสุดของทุกองค์ประกอบการออกแบบและตกแต่งที่พักโรงแรมที่มาร่วมจัดแสดงในงาน 

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ฮอลล์ 1-4 ชั้น G  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com  Facebook : Food & Hospitality Thailand 

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ปัณฑรานุวงศ์ คณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธาน “งานประชุมวิชาการ ด้านสื่อและการสื่อสาร แห่งคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2567” โดยได้รับเกียรติจาก คุณวิทิต  หวังวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  

บริษัท ซีซันส์ เวิลด์ จำกัด องค์ปาฐกบรรยายพิเศษ , คุณนภาพรรณ  หวังวรวงศ์ กรรมการบริหาร บริษัท ซีซันส์ เวิลด์ จำกัด , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โมไนยพล  รณเวช ,  ดร.ฉัตรฉวี  คงดี  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม , คุณชลาลัย  พงษ์ศิริ , คุณวรทัต  กลั่นเกษร , คุณพจนีย์  ซิ้มสุวรรณ์  ร่วมจัดงาน ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดช่วงปิดเทอม วันหยุดยาว หรือวันหยุด สดสัปดาห์ กรุงเทพฯ น่าจะเป็นสถานที่เที่ยวใกล้บ้านสำหรับครอบครัวที่อยากจะหากิจกรรมให้เด็กๆ ทำในยามว่าง เพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ของครอบครัว และเปิดโลกทัศน์เพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิตให้ลูกที่กำลังจะเติบโต แม้ในยุคออนไลน์ที่ข้อมูลข่าวสารสามารถค้นหาได้ง่ายและรวดเร็ว แต่การออกไปสัมผัสเรียนรู้ด้วยตัวเอง คือกุญแจสำคัญในการพัฒนาทั้งทางร่างกาย ปัญญา อารมณ์และสังคม ซึ่งสวนสัตว์เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีของเด็กๆ ทุกยุคสมัย และปัจจุบัน “ซาฟารีเวิลด์” เป็นสวนสัตว์เปิดแห่งเดียว ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และเดินทางไปสะดวกและประหยัดเวลา” 

 

“เคทีซีจึงได้ร่วมมือกับซาฟารีเวิลด์ ชวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี พาบุตรหลานเปิดประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยมอบโปรโมชันบัตรสมาชิกรายปีซาฟารีเวิลด์ ราคา 1,300 บาท (ราคาปกติ 2,880 บาท) พิเศษ! เพียงใช้ 1 คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลด 100 บาท หรือใช้ 1,500 คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลด 300 บาท

โดยแลกรับโค้ดส่วนลด ผ่านแอปฯ KTC Mobile และนำโค้ดไปรับสิทธิ์ผ่านช่องทาง www.safariworld.com/365 หรือ ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรคนไทยซาฟารีเวิลด์ หรือรับสิทธิพิเศษ ผ่อนชำระ 0%  นาน 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพียงมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรคนไทยซาฟารีเวิลด์เท่านั้น สามารถซื้อและลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 -  18 สิงหาคม 2567” 

“ทั้งนี้ ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดแหล่งท่องเที่ยว (Attraction) ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 47% และมีจำนวนสมาชิกใช้จ่ายในหมวดนี้เพิ่มขึ้น 27% เราจึงอยากสนับสนุนให้คนไทยท่องเที่ยวไทยกันมากๆ เพราะในเมืองไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รอให้เราไปค้นหาและเคทีซีก็พร้อมจะมอบสิทธิพิเศษเพื่อเติมเต็มความสุขให้สมาชิกทุกช่วงชีวิต” 

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/travel/attractions หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี   

เหตุการณ์แบล็กมันเดย์ (Black Monday) กดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นและส่งผลกระทบบางส่วนต่อหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ แนะเบรกการลงทุนและรอจังหวะใหม่เข้าสะสมหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่อาจปรับฐาน พร้อมเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นเอเชีย “เกาหลี – ไต้หวัน – เวียดนาม” รับแรงหนุนหุ้นเอไอมาแรงและพื้นฐานแกร่ง ส่วนทองคำและบิทคอยน์ มีลุ้นปัจจัยบวกธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยในรอบถัดไป  

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า เหตุการณ์แบล็กมันเดย์ หรือ Black Monday เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 ส.ค.67) เกิดขึ้นจากความวิตกกังวลที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเกิดภาวะถดถอยอย่างรุนแรง จนอาจต้องปรับลดดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉิน ประกอบกับธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าต้นทุนในการกู้ยืมเงินเยนมาทำธุรกรรม หรือ Yen Carry Trade จะพุ่งสูงขึ้น จึงทำการเทขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อถอนเงินเยน (Unwind Yen Carry Trade) จนเกิดเป็นวันที่ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอย่างหนัก  

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลเพียงระยะสั้น และสถานการณ์ได้เริ่มคลี่คลายลงในบางสินทรัพย์แล้ว จึงมองเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับกระทบโดยตรงจากสองเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ 

“ล่าสุด ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อยับยั้งความผันผวนที่เกิดขึ้นจากการถอนเงินเยน ทำให้ความกังวลต่อสินทรัพย์อื่นลดลงและเงินเยนเริ่มกลับมาอ่อนค่า แต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะเกิดผลกระทบเชิงลบหลังจากนี้อีกหรือไม่ จึงควรชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นก่อน” 

ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นเอเชียอื่นยังมีความน่าสนใจต่อการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยสามารถทยอยลงทุนได้ในตลาดหุ้นเกาหลี จากการที่บริษัทซัมซุงประกาศผลประกอบการไตรมาส ล่าสุด มียอดขายชิปที่เกี่ยวกับเอไอเติบโตก้าวกระโดด เป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นเกาหลีที่ขับเคลื่อนด้วยบริษัทผลิตชิปเป็นหลัก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไต้หวัน ที่บริษัทไต้หวันเซมิคอนดักเตอร์รายงานงบไตรมาส ล่าสุด ออกมาดีกว่าด้วยโปรดักต์ด้านเอไอ ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ยังมีความน่าสนใจในการเป็นฐานการผลิตลำดับที่สองของผู้ผลิตชิป รวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศที่เติบโต  

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีน แม้จะมีความเสี่ยงจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากผลออกมาเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีนโยบายการค้าที่ส่งผลลบต่อภาคเศรษฐกิจจีน แต่อย่างไรก็ตามในแง่แวลูเอชั่นของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ถือว่าอยู่ในระดับต่ำในรอบหลายปี จึงสามารถทยอยเข้าสะสมลงทุนในระยะยาวได้ 

นายณพวีร์ กล่าวว่า สินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจหลังจากเหตุการณ์ Black Monday แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยที่คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ จะประชุมฉุกเฉิน เพื่อลดดอกเบี้ยลงทันที 0.5% แต่คาดว่าหลังจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะปรับลดดอกเบี้ยในอัตราต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์โดยตรง ทั้งทองคำและบิทคอยน์ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงในการลงทุนได้สูงสามารถพิจารณาเพิ่มสองสินทรัพย์นี้ในพอร์ตลงทุนได้ 

สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะมีการปรับฐานลงมาจากความกังวลที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือการที่ Berkshire Hathaway เพิ่มการถือครองเงินสดสูงเป็นประวัติการณ์ และมองการปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อาจยังไม่จบ เพราะมีความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจจะทยอยขายทำกำไรต่อ จากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงมองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะรอให้การปรับฐานจบลงและทยอยเข้าลงทุนระยะยาว เพราะในเชิงพื้นฐานการเติบโตของเอไอยังสามารถขยายตัวได้ในอีกหลายปีข้างหน้า แต่ช่วงสั้นราคาหุ้นขึ้นมาเร็วเกินไปเท่านั้น 

“นักลงทุนสามารถพิจารณาหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางที่เกี่ยวข้องกับเอไอได้ เพราะหุ้นในกลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเอไอและราคาหุ้นยังไม่ได้ขึ้นมาสูงมากนัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มบริการซอฟท์แวร์ หุ้นกลุ่ม Cloud Computing และ IT Security หุ้นกลุ่ม Data Center รวมถึงพลังงานทดแทนที่จะนำมาใช้ในการประมวลผลเอไอ หุ้นในกลุ่มนี้มีรายได้ที่มาจากทั่วโลกไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ จึงสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้” 

 วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024  

โดยวีซ่าเผยว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม  ซึ่งประกอบด้วย

  • ธุรกิจขนาดเล็ก และร้านค้ารายย่อยในกรุงปารีสมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 26% จากผู้ถือบัตรวีซ่าในช่วงสุดสัปดาห์แรกของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 
  • ยอดการใช้จ่ายในกรุงปารีสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงละคร และพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 159% ธุรกิจเครื่องอุปโภคบริโภค (อาหารและร้านขายของชำ) เพิ่มขึ้น 42%  ร้านอาหารเพิ่มขึ้น 36% ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 21% และธุรกิจความบันเทิงต่างๆ เพิ่มขึ้น 18%  
  • โดยชาวต่างชาติที่มีปริมาณการใช้จ่ายมากที่สุดมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา (29%) ในขณะที่สัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มมากสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 129%) และบราซิล (เพิ่มขึ้น 33%)   
  • 78% ของการชำระเงินดิจิทัลจากบัตรที่มาจากต่างประเทศในกรุงปารีสเป็นการแตะเพื่อจ่าย (คอนแทคเลส) โดยเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 
  • ยอดจองเที่ยวบินไปกรุงปารีสก่อนโอลิมปิกเริ่ม สูงขึ้น 39% เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 25662   
  • จำนวนนักเดินทางไปยังกรุงปารีสที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เพิ่มขึ้นถึง 120% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน3 
  • จำนวนนักเดินทางต่างชาติไปยังกรุงปารีสที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 64%) ตามด้วยนักเดินทางจากเยอรมนี (เพิ่มขึ้น 61%) และสเปน (เพิ่มขึ้น 27%)  
  • การใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเมืองต่างๆ ที่มีจัดการแข่งขันกีฬานอกกรุงปารีส ได้แก่ แซ็งเตเตียน (Saint-Etienne) เพิ่มขึ้น 214%, ลีล (Lille) เพิ่มขึ้น 100%, และมาร์เซย์ (Marseille) เพิ่มขึ้น 38%  

ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก  ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล  

ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง  

วีซ่า เปิดตัวแอป Visa Go เพื่อเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมการแข่งขันและนักท่องเที่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในช่วงการจัดการแข่งขัน โดยผู้มาเยือนสามารถดาวน์โหลดแอป Visa Go ได้ที่ https://go.paris.visa.com/home 

 

 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 กรุงเทพมหานคร​ ขอเชิญคลินิก สถานพยาบาลร้านยา เอกชน สมัครเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมให้บริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับโครงการ “30 บาท รักษาทุกที่ กรุงเทพมหานคร” ซึ่งจะคิกออฟอย่างเป็นทางการ ในวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2567 พร้อมเร่งปรับปรุงระบบรองรับ ลงทะเบียนง่าย จ่ายเงินคืนเร็ว หากข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์  

สปสช.มีความตั้งใจในการยกระดับการให้บริการระบบสาธารณสุขเพื่อประชาชน ให้เข้าถึงบริการสุขภาพภายใต้นโยบาย “ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ บัตรประชาชนใบเดียวรักษาที่หน่วยบริการนวัตกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งสามารถรักษาที่หน่วยบริการปฐมภูมิ สปสช. จึงขอเชิญชวนหน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย คลินิกเวชกรรม, คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์, คลินิกทันตกรรม, คลินิกเทคนิคการแพทย์,  คลินิกการแพทย์แผนไทย , คลินิกกายภาพบำบัด และ ร้านยา GPP+ ร้านยาคุณภาพ ร่วมสมัครเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  

สำหรับหน่วยบริการเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเตรียมเอกสารสมัครดังนี้ ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน (แบบ ข.ย.5) สำหรับร้านยา ส่วนสถานพยาบาลประเภทอื่นไม่ต้องใช้เนื่องจากเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพแล้ว, หนังสือมอบอำนาจและเอกสารผู้รับมอบอำนาจ (กรณีมีมอบอำนาจ), บัญชีธนาคารพร้อมสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (Book Bank) โดยชื่อบัญชีต้องตรงกับชื่อหน่วยบริการ หรือนิติบุคคล หรือชื่อผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล สพ.7 โดยไม่ต้องวางหลักประกันสัญญา และประกาศขึ้นทะเบียนและลงนามนิติกรรมภายใน 5 วันทำการ  

ทั้งนี้ สปสช. ได้เร่งทำการปรับปรุงระบบเพื่อรองรับทั้งในส่วนการขึ้นทะเบียนและการเบิกจ่าย  เพื่อให้สามารถลงทะเบียนง่าย จ่ายเงินคืนเร็ว  หากข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมกันนี้ยังได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อให้ข้อมูล เชิญชวน และอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนทันทีให้กับหน่วยบริการนวัตกรรมที่สนใจทั่วกรุงเทพฯ  

คลินิก สถานพยาบาล ร้านยา เอกชน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่สนใจ สามารถยื่นเอกสารสมัครขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้แล้ววันนี้! แบบ One Stop Service ผ่านทางเว็บไซต์ https://ossregister.nhso.go.th/#/public-portal หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร สายด่วน สปสช. 1330 กด 5 

 Jobsdb by SEEK ได้เปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานทั่วโลกและในประเทศไทยจากบทสรุปข้อมูลเชิงสำรวจเกี่ยวกับการทํางานและความสมัครใจในการโยกย้าย ซึ่งนําเสนอข้อมูลระดับโลกพร้อมข้อมูลเชิงลึกในระดับประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในผลสํารวจ ชุด Global Talent Survey 2024 จัดทำโดย JobStreet และ Jobsdb ภายใต้กลุ่มบริษัท SEEK ร่วมกับ Boston Consulting Group (BCG) (บริษัท เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป จำกัด) และ The Network (เดอะ เน็ตเวิร์ค) พันธมิตรระดับโลก จัดทำร่วมกัน

ซึ่งการสำรวจนี้ได้สํารวจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสถานที่ทํางานและวิธีการทํางานที่ผู้หางานทั่วโลกต้องการจากผู้ทำแบบสำรวจกว่า 150,000 คน จากกว่า 180 ประเทศ โดยผลการสํารวจระดับโลกนี้อ้างอิงตามกลุ่มตัวอย่างจํานวนมากที่มีความหลากหลายและครอบคลุมถึงตลาดผู้หางานหลักที่สําคัญ  

บทสรุปสำคัญ 

  • แนวโน้มการโยกย้าย: 63% ของผู้หางานทั่วโลกเปิดรับการย้ายถิ่นฐานเพื่อทำงาน โดยมีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับก่อนโควิดที่มีอัตราเปิดรับการย้ายถิ่นฐานที่ 71%   
  • ความกระตือรือร้นในการหางาน: 25% ของผู้หางาน กำลังมองหางานในต่างประเทศเพราะมีความคาดหวังโอกาสในการทำงาน คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และรายได้ที่มากขึ้น  
  • แนวโน้มการทำงานทางไกลระหว่างประเทศ: ภาพรวมผู้หางานจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กว่า 66% สนใจที่จะทำงานในต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องมีการย้ายถิ่นฐาน แสดงให้เห็นถึงการโยกย้ายแบบเสมือน หรือ Virtual Mobility ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามคนไทย ตอบรับการทำงานทางไกลระหว่างประเทศสูงถึง 76% เทียบกับปี 2563 ที่มีสัดส่วนเพียง 50%  
  • ผู้หางานชาวไทยสนใจในการทำงานต่างประเทศมากขึ้น: ผู้ตอบแบบสอบถามคนไทยกว่า 66% มีความสนใจในการโยกย้ายไปทำงานต่างประเทศ และ 79% ของกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่มีอายุน้อย ที่แสดงความสนใจในการไปทำงานต่างประเทศ ปัจจัยของความสนใจโยกย้ายถิ่นฐานนี้มาจาก ความมุ่งมั่นเกี่ยวกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ตลอดจนโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ในระดับนานาชาติ และถึงแม้ตัวเลขจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2561 แต่ความสนใจถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2566 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึง ปรากฏการณ์สมองไหล โดยเฉพาะคนทำงานในกลุ่มการศึกษาและการฝึกอบรม กฎหมาย การจัดการธุรกิจ และไอที 
  • การพัฒนากลยุทธ์สำหรับบริษัทจ้างงาน เพื่อดึงดูดผู้หางานระดับโลก: การสร้างมาตรฐานองค์กรสากลเพื่อดึงดูดผู้หางานระดับโลกด้วยข้อเสนอที่ตอบสนองกับความต้องการของชาวต่างชาติอย่างการสนับสนุนในการย้ายถิ่นฐานพร้อมกับการจัดการเรื่องวีซ่าเเละที่อยู่อาศัย และการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เปิดกว้าง ไม่แบ่งแยก เพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานคุณภาพระดับโลก 

ประเทศไทยได้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของผู้หางาน 

ประเทศไทยยังได้ถูกยกให้เป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นที่ต้องการของผู้หางานจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ขยับขึ้นมาลำดับที่ 31 จากลำดับที่ 39 ในการจัดอันดับโลกนับจากปี 2561 ประเทศไทยดึงดูดผู้ที่มีความสามารถหลากหลายจากทั่วโลกถึง 62% ให้เข้ามาทำงาน เนื่องจากชื่นชอบในคุณภาพชีวิต วัฒนธรรมที่เป็นมิตรและการไม่แบ่งแยก ควบคู่ไปกับการพิจารณาเรื่องค่าครองชีพที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย โดยผลสำรวจในเดือนมีนาคมปี 2566 ได้เปิดเผยว่าในประเทศไทยมีพนักงานต่างชาติกว่า 2.7 ล้านคน ซึ่งนับเป็น 7% ของแรงงานในประเทศ  

จุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวไทย 

79% ของผู้หางานชาวไทยเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มีความสนใจในการทำงานในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงความมุ่งมั่นในความก้าวหน้าในอาชีพ โดยเฉพาะในกลุ่มการศึกษาและการฝึกอบรม ขณะที่สาขาเช่นการบริการทางการเงินและธุรการมีความสนใจที่น้อยกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะมีโอกาสในประเทศมากกว่า  

จุดหมายปลายทางที่แรงงานไทยให้ความนิยมได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศจีน ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่นความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ศักยภาพทางการตลาด และการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม 60% ของผู้ที่ได้ไปทำงานในต่างประเทศมีความตั้งใจที่จะกลับมายังประเทศไทยในท้ายที่สุด เเละอีก 18% ที่ต้องการอยู่ต่ออย่างไม่มีกำหนด 

ตัวอย่างสาขาอาชีพที่มีความพร้อมในการโยกย้าย: 

การศึกษาและการฝึกอบรม: 85% ของอาจารย์เเละผู้สอนในประเทศไทยนั่นเชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายเเละเติบโตในหน้าที่จากการสอนระหว่างประเทศ 

กฏหมาย: 73% ของนักกฎหมายชาวไทยกำลังมองหาบทบาทระดับนานาชาติเพื่อขยายความเชี่ยวชาญทางกฎหมายและสร้างเครือข่ายระดับโลก 

การจัดการธุรกิจ: นักบริหารธุรกิจมีความต้องการที่จะมองหาโอกาสการทำงานในต่างประเทศอย่างสิงคโปร์และฮ่องกงเพื่อการเติบโตด้านการตลาด สื่อดิจิทัล และอุตสาหกรรม AI 

ไอที: ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมีความมุ่งมั่นที่จะไปทำงานในประเทศที่มีการพัฒนาในด้านเทค อย่าง สหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะเสริมสร้างความรู้ในแง่ของการพัฒนาซอฟต์แวร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการพัฒนาและปฏิบัติการร่วมกัน 

วิศวกรรมและเทคนิค: วิศวกรมีความต้องการที่จะทำงานในองค์กรขนาดใหญ่เเละครบวงจรโดย 69% ของวิศวกรมีความยินดีที่จะย้ายสถานที่ทำงาน 

แนวโน้มการทำงานทางไกลระหว่างประเทศ 

แนวโน้มการทำงานระยะไกลเพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยตั้งแต่ปี 2563 ผู้หางานชาวไทยมีความต้องการในการทำงานระยะไกลหรือการทำงานแบบไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึง 26% จาก 50%ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 76% ในปี 2566 แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้สอดคล้องกับความสนใจในการย้ายถิ่นฐานไปทำงานต่างประเทศที่ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะผู้หางานมองว่าตนเองสามารถทำงานทางไกลได้จากประเทศไทยโดยไม่จำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานได้เช่นกัน 

 

ข้อเสนอแนะสําหรับผู้ประกอบการชาวไทย 

การพัฒนากลยุทธ์เพื่อดึงดูดผู้หางานระดับโลก: 

  1. การวางแผนเกี่ยวกับความต้องการบุคลากรระดับโลก: เพื่อรับมือกับปัญหาขาดแคลนบุคลากรในอนาคต ผู้ประกอบการไทยควรวางแผนจำนวนบุคลากรล่วงหน้าโดยเฉพาะในสาขาที่มีทักษะสูง เนื่องจากประชากรสูงวัยและภาคดิจิทัลมีช่องว่างด้านบุคลากรจึงอาจพิจารณาดึงคนจากประเทศใกล้เคียง เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ที่สนใจย้ายมาทำงานในไทย 
  2. การดึงดูดเเละสรรหาบุคลากรจากทั่วโลก: เพื่อดึงดูดผู้หางานคุณภาพจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการในประเทศไทยควรปรับข้อเสนอขององค์กรให้เหมาะสมกับความต้องการของแรงงานทั่วโลกโดยการมุ่งเน้นไปที่คุณภาพชีวิต วัฒนธรรมองค์กร รายได้ ภาษี และค่าครองชีพ นอกจากนี้ การเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มสรรหาบุคลากรที่มีเครือข่ายทั่วภูมิภาค เช่น SEEK ก็ช่วยเปิดโอกาสในการค้นหาผู้หางานได้มากขึ้นเช่นกัน 
  3. การย้ายถิ่นฐานเเละการต้อนรับดูแลบุคลากรจากทั่วโลก: ผู้ประกอบการไทยควรให้การสนับสนุนดูแลบุคลากรจากทั่วโลกที่ย้ายมาทำงานในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการช่วยเหลือด้านวีซ่า ที่อยู่อาศัย และการย้ายถิ่นฐาน รวมถึงการปฐมนิเทศและโปรแกรมเพื่อนร่วมงานในช่วงแรก 
  4. การรักษาพนักงานคุณภาพระดับโลก: เพื่อปลดล็อกศักยภาพของวัฒนธรรมองค์กรควรที่จะสร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้างเเละไม่แบ่งแยกโดยการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการทำงานเเละยังมุ่งเน้นในการสร้างวัฒนธรรมที่ยอมรับความหลากหลายเช่น การจัดทีมงานระหว่างวัฒนธรรม การฝึกอบรมหัวหน้างานเกี่ยวกับการไม่ลำเอียง และการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม 

การสำรวจแรงงานทั่วโลก หรือ Global Talent Survey 2024 โดย Jobsdb by SEEK แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับบุคลากรระดับมืออาชีพทั้งจากโอกาสทางอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในขณะเดียวกันความสนใจของชาวไทยในการทำงานต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน การปรับกลยุทธ์ในการดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถจึงเป็นสิ่งสำคัญในการตอบรับกับแนวโน้มการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น  เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้เสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 4 ปี 4 วัน ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.05 – 3.75% ต่อปี โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งนี้ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัท ทั้งจากระดับกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ลดลง เตรียมเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 19 - 21 สิงหาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง รวมถึงขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet พร้อมเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน 

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” กำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.05% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.75% ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน โดย“ซีพี ออลล์” จะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมทั้งเสนอขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet 

หุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิต จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 มาอยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “คงที่” (Stable) จากระดับ “A+” สะท้อนถึงสถานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีระดับกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ลดลง และยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการมีสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ 

ด้านสถาบันการเงินผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ เชื่อมั่นว่าหุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากธุรกิจของ “ซีพี ออลล์” ซึ่งเป็นที่รู้จักในแบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” เป็นแบรนด์ที่ประชาชนทั่วไปคุ้นเคย เข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวกในทุกช่องทาง ขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนยังมั่นใจในโอกาสและศักยภาพการเติบโตของ“ซีพี ออลล์” ซึ่งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ มั่นใจว่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” ภายใต้อันดับความน่าเชื่อถือใหม่ที่ปรับเพิ่มมาอยู่ระดับ “AA-” แนวโน้มเป็น “คงที่” (Stable) จะเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกสำหรับผู้ลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ พร้อมขอเน้นย้ำเพิ่มเติมให้ผู้ลงทุนโปรดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อ “ซีพี ออลล์” หลอกลงทุน โดยนำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชั่น LINE เป็นต้น ทั้งนี้ ช่องทาง CP ALL ของจริง ต้องมีสัญลักษณ์ติ๊กถูกสีฟ้า (Verified Account) เท่านั้น  

ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” ที่ต้องการความมั่นใจว่าจะไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สามารถสอบถามผ่านสถาบันการเงินทั้ง 4 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้

X

Right Click

No right click