December 19, 2025

นายสุรพงษ์ สาเรชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ BPS พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ คุณภัทรมน พิธุพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสรรหาและพัฒนาบริษัทจดทะเบียน เอ็ม เอ ไอ พร้อมทีมงานฝ่ายผู้ออกหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในโอกาสมาแนะนำข้อปฏิบัติต่างๆและกิจกรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมของตลาด mai พร้อมเยี่ยมชมกิจการของบริษัท เมื่อเร็วๆนี้ 

บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด  ผุ้นำตลาดเกมออนไลน์และอีสปอร์ตในประเทศไทย ฉลองความสำเร็จของเกม MOBA อันดับ 1 ในประเทศไทย อย่างเกม Arena of Valor (RoV) ซึ่งมียอดผู้เล่นทั่วโลกกว่า 255 ล้านบัญชี และกำลังจะครบรอบ 8 ปีในประเทศไทยในเดือนตุลาคมที่กำลังจะถึงนี้ พร้อมเผยเบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ RoV เป็นเกมฮิตติดลมบนมาอย่างยาวนาน และประกาศศึก RoV Pro League 2024 Winter (RPL) หรือการแข่งขันอีสปอร์ตบนเกม RoV ระดับประเทศ ซึ่งจัดเป็นฤดูกาลที่ 14 แล้ว และมีกำหนดเปิดฉากการแข่งขันในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 

คุณภวิษย์พร เจียรประเสริฐ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2559 เกม RoV ได้สร้างปรากฏการณ์ในวงการเกมไทย ทั้งด้านการทำการตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล ส่งผลให้เกม RoV ครองใจผู้เล่นทั่วประเทศและได้รับการจัดอันดับจากรายงาน DIGITAL 2024: THAILAND ให้เป็นเกมมือถือที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศไทยในปี 2566 และการีนายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอประสบการณ์ที่ดีและน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เล่น โดยเฉพาะสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้เล่นของเราผ่านการนำเสนอคอนเทนต์คุณภาพที่มีความแปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกและการสร้างคอนเทนต์สำหรับผู้เล่นไทยโดยเฉพาะ”  

สำหรับด้านการจัดการแข่งขันอีสปอร์ตในประเทศไทยของเกม RoV นับว่ามีความโดดเด่น กล่าวได้ว่าเป็นเกมที่มีระบบนิเวศอีสปอร์ตที่เข้มแข็งมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งยังมีการแข่งขันทั้งระดับมือสมัครเล่น ระดับมืออาชีพ ไปจนถึงระดับนานาชาติ โดยการีนาพร้อมด้วยพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชน มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบนิเวศอีสปอร์ตไทยให้มีความเข้มแข็งต่อไปในระยะยาว” คุณภวิษย์พร กล่าวเสริม 

ความสำเร็จของ RoV เกมยอดฮิตที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 อย่างเข้มแข็ง 

การีนานำเกม Arena of Valor (RoV) มาให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 ในปัจจุบันมีจำนวนผู้เล่นทั่วโลกกว่า 255 ล้านบัญชี ส่วนในประเทศไทยมียอดดาวน์โหลดกว่า 58 ล้านครั้ง และในปี 2567 มียอดผู้เล่นต่อเดือนเฉลี่ยราว 12 ล้านบัญชี1 ทั้งยังครองตำแหน่งเกมมือถือที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศไทยในปี 25662  

การนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายและเข้าถึงผู้เล่นทุกเพศทุกวัยของ RoV ส่งผลให้มีผู้เล่นหลากหลายกลุ่ม โดยมีสัดส่วนผู้เล่นเพศชายร้อยละ 66 และผู้เล่นเพศหญิงมากถึงร้อยละ 34 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเกม Multiplayer Online Battle Arena (MOBA) ทั่วไป ซึ่งมีสัดส่วนผู้เล่นหญิงเฉลี่ยเพียงร้อยละ 10 ของผู้เล่นทั้งหมด3 กลุ่มผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Z และ Gen Y โดยมีผู้เล่นช่วงอายุ 15 - 20 ปี ร้อยละ 33 ช่วงอายุ 21 – 30 ปี ร้อยละ 36 และช่วงอายุ 31 - 60 ปี ร้อยละ 22 โดยมีผู้เล่นจากทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย แบ่งเป็นเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ร้อยละ 28 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ ร้อยละ 15 และจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ ร้อยละ 57 

นอกจากนี้ RoV ยังเป็นเกมอันดับ 1 ที่มีการแข่งขันอีสปอร์ตระดับมืออาชีพในประเทศไทย โดยการแข่งขัน RoV Pro League (RPL) ซึ่งเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันอีสปอร์ตระดับมืออาชีพในประเทศไทย ถูกจัดขึ้นแล้ว 13 ฤดูกาล โดยมีเงินรางวัลรวมทั้งหมดกว่า 120 ล้านบาท มียอดรับชมการแข่งขันรวม 13 ฤดูกาลกว่า 700 ล้านครั้ง มีสถิติยอดผู้ชมพร้อมกันสูงสุดถึง 313,0834 คน และมีสถิติผู้ร่วมงานแข่งขันออฟไลน์สูงสุดราว 40,000 คน5 สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่มีอย่างต่อเนื่อง  

คอมมูนิตี้หรือชุมชนคนเล่นเกม RoV ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาเป็นความบันเทิงที่แฟนเกมสามารถเข้ามาดื่มด่ำได้ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเล่นด้วยตนเอง การแคสต์เกม การรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงอื่น ๆ ของเกม RoV และการรับชมการแข่งขันอีสปอร์ต ซึ่งมีการแข่งขันหลายระดับ ตั้งแต่ระดับโรงเรียน ระดับมหาวิทยาลัย ระดับกึ่งอาชีพ ระดับมืออาชีพในเวทีระดับประเทศและนานาชาติ กล่าวได้ว่า RoV ได้เติบโตจากกิจกรรมสันทนาการเกมสู่ความบันเทิงที่ครบวงจรและกีฬาน้องใหม่ 

เบื้องหลังความสำเร็จของเกม RoV มี 3 องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ของผู้เล่นให้สนุกกับคอนเทนต์เกมได้อย่างต่อเนื่อง  

  1. การร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก (Global Title Collaboration) โดยในช่วงที่ผ่านมา RoV ร่วมมือกับค่ายคอมมิกส์และอนิเมะดังมากมาย อาทิ DC, Sailor Moon, Demon Slayer, Sword Art Online, Bleach, Hunter x Hunter, One Punch Man และ Ultraman ในการนำตัวละครดังเข้ามาอยู่ในเกม RoV ซึ่งเป็นการครอสโอเวอร์กับความบันเทิงรูปแบบอื่น ๆ ที่เติมเต็มความฝันและความฟินให้กับเหล่าแฟนเกมและแฟนอนิเมะได้แบบคูณสอง 2
  2. การสร้างสรรค์คอนเทนต์เกมบนความต้องการผู้เล่นไทย (Exciting Local Content) ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าฮีโร่ในเกมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้เล่น RoV ทุกระดับได้เป็นอย่างดี และชุดตกแต่งตัวละคร (สกิน) ตลอดจนไอเทมเกม ที่เชื่อมโยงกับผู้เล่นไทยได้ดีเป็นอย่างยิ่งก็คือสกินไทย ซึ่ง RoV มีการพัฒนาสกินไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ทั้งยังเปิดโอกาสให้คนไทยมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สกินตัวละครผ่านการประกวด เพื่อนำเสนอเสน่ห์ความเป็นไทยตามโจทย์ของแต่ละปี อาทิ เสือสมิง ลิเลียนา, พฤกษามาส เทลแอนนาส, ต้มยำกุ้ง สลิม, กระสือ มาจ้า, หมอผี จินนา และ ออเจ้า อิลูเมีย  3
  3. ผู้นำวงการอีสปอร์ตไทย (Leading Esports Landscape) ภูมิทัศน์วงการอีสปอร์ตที่แข่งแกร่งก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ RoV สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงตลอดเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา โดยการีนาผลักดันการแข่งขันอีสปอร์ตบนเกม RoV ตั้งแต่ระดับมือสมัครเล่นจนถึงระดับมืออาชีพ ดำเนินการจัดการแข่งขัน RoV Pro League ซึ่งเป็นการแข่งขันในรูปแบบลีกในระดับประเทศมาตั้งแต่ปี 2561 และดึงทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติเข้ามาจัดที่ประเทศไทย อาทิ Arena of Valor Premier League (APL) 2024 โดยได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากแฟนเกมและสโมสรอีสปอร์ตในปัจจุบัน โดยประเทศไทยมีการจัดตั้งสโมสรอีสปอร์ตอย่างเป็นทางการ พร้อมระบบการจัดสรรรายได้และการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ ทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาครัฐที่เห็นศักยภาพและเข้ามาร่วมกันพัฒนาวงการอีสปอร์ตไทยตลอดทั้งระบบนิเวศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้นักกีฬาอีสปอร์ตมีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและมั่นคงมากขึ้น 

RoV ยังเป็นเกมที่ได้รับการบรรจุเป็นกีฬาอาชีพในการแข่งขันระดับภูมิภาค ซึ่งตัวแทนประเทศไทยสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2019 และการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2021 สร้างแรงกระเพื่อมต่อความนิยมอีสปอร์ตในประเทศไทยอย่างมาก  

เตรียมระเบิดศึก RoV Pro League 2024 Winter ทัวร์นาเมนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี 

พร้อมกันนี้ บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) ประกาศจัดการแข่งขัน RoV Pro League  (RPL) 2024 Winter ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2567 โดยการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 20 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์การแข่งขันที่แฟน ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศรอคอย และจะช่วยสร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับวงการอีสปอร์ตต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง 

การแข่งขัน RoV Pro League 2024 Winter จะมีสโมสรเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 8 สโมสร ได้แก่ Talon (TLN), Bacon Time (BAC), Buriram United Esports (BRU), Hydra (HD), eArena (EA), King of Gamers Club (KOG), PSG Esports (PSG) และ Full Sense (FS) ซึ่งแต่ละทีมล้วนมีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม พร้อมที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ ตลอดทั้งฤดูกาล 

อีกทั้ง การแข่งขัน RoV Pro League 2024 Winter ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ M-150 Sparkling ธนาคารกรุงเทพ และ โก๋แก่ ทั้งยังมี Infinix ที่มาร่วมเป็น Official Device Partner ในการแข่งขันครั้งนี้ โดยจะมีการใช้สมาร์ทโฟนรุ่น ‘Infinix GT20 PRO 5G’ เป็นอุปกรณ์ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ (Official Gaming Device)  

ชมนิทรรศการย้อนรอยความสำเร็จ RoV Pro League (RPL) 

ภายในงานแถลงข่าวในครั้งนี้ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ โดยจะพาแฟนเกม RoV มาร่วมสนุกและย้อนรอยสู่ความสำเร็จในนิทรรศการ RoV Pro League (RPL) ที่จะเล่าถึงประวัติการแข่งขันตั้งแต่ซีซันแรกถึงปัจจุบัน พร้อมสถิติที่น่าสนใจสำหรับแฟนเกม อาทิ สโมสรที่คว้าแชมป์มากที่สุด (ฺBacon Time ได้แชมป์ถึง 5 ครั้ง ตั้งแต่ RPL Season 1) และผู้เล่นที่ได้ตำแหน่ง FMVP มากที่สุด (Difoxn เคยได้รับรางวัล FMVP 2 ครั้ง) ตลอดจนทำเนียบแชมป์ RPL 5 ปีย้อนหลัง ได้แก่ 

RPL 2020 Summer: Buriram United Esports 

RPL 2020 Winter: Talon 

RPL 2021 Summer: Bacon Time 

RPL 2021 Winter: Talon 

RPL 2022 Summer: Bacon Time 

RPL 2022 Winter: Bacon Time 

RPL 2023 Summer: Bacon Time 

RPL 2023 Winter: Talon 

RPL 2024 Summer: Talon 

นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขัน “โชว์แมตช์” จากเหล่าผู้เล่นโปรเพลเยอร์ และอินฟลูเอนเซอร์สายเกมมิ่งชื่อดังอย่าง “Jai Raw” และ “Jayop” ที่มาสร้างสีสันให้กับแฟนเกมที่มาร่วมงาน“เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเติบโตของชุมชนผู้เล่น RoV และการพัฒนาของวงการอีสปอร์ตไทยที่ก้าวหน้าไกลขึ้นอย่างต่อเนื่อง การก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 ของ RoV อย่างเข้มแข็งของ RoV ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของเกมที่ครองใจผู้เล่นชาวไทยมาอย่างยาวนาน แต่ยังเป็นการตอกย้ำว่าอีสปอร์ตไทยสามารถพัฒนาได้ เติบโตได้ และประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็น Esports Hub สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้” คุณภวิษย์พร กล่าวสรุป 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (เคทีซี)  ร่วมด้วย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว 55 จังหวัดทั่วประเทศ หวังยกระดับการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชนเพื่อเป็นแรงผลักดันให้รายได้การท่องเที่ยวในประเทศโตตามเป้าหมายที่ 1.2 ล้านล้านบาท พร้อมมอบสิทธิพิเศษผ่านแคมเปญ ‘ขับรถเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) กับบัตรเครดิตเคทีซี’ รับเครดิตเงินคืน4% เมื่อเติมน้ำมันที่ พีทีที สเตชั่น ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 

นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า ททท. ขานรับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว หรือ เมืองรอง 55 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) นำรายได้กระจายสู่ชุมชน และยังถือเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์  IGNITE THAILAND’S TOURISM ของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก จึงได้ร่วมมือกับร่วมมือกับ เคทีซี หรือ บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท  
ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และพันธมิตรอีกหลายรายออกแคมเปญ ‘ขับรถเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) กับบัตรเครดิตเคทีซี’ รับเครดิตเงินคืน 4% เมื่อเติมน้ำมันที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และได้รับเครดิตเงินคืนกับสถานีบริการน้ำมันอีกหลายราย รวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย โดยตั้งเป้าหมายการออกแคมเปญในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ไม่ต่ำกว่า 70,000,000 บาท  

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดการท่องเที่ยวทั้งประเทศเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 เติบโตที่ 12% โดยยอดการเติบโตส่วนใหญ่มาจากหัวเมืองใหญ่จังหวัดท่องเที่ยว สะท้อนได้ว่าการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ยังต้องการแรงผลักดันจากรัฐบาลและภาคเอกชนในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและนำรายได้สู่ชุมชนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เคทีซีพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยให้บรรลุตามเป้าหมายของรัฐบาลโดยมอบสิทธิพิเศษด้านการท่องเที่ยวครอบคลุมทั้งสถานีบริการน้ำมัน / ส่วนลดและแลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนร้านอาหารและร้านกาแฟ 136 ร้านค้า / ส่วนลดที่พัก 41 โรงแรม และส่วนลด 9 พันธมิตรรถเช่า ทั้ง 55 จังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/tat  

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า แคมเปญดังกล่าวถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต   เคทีซีที่วางแผนขับรถท่องเที่ยวไปยังเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) 55 จังหวัดใช้บริการที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และชำระค่าน้ำมันผ่านบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า และบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด รับเครดิตเงินคืน 4% โดยมีเงื่อนไขข้อมูลจังหวัดที่อยู่ตามที่ระบุในใบแจ้งยอดของสมาชิกฯ ต้องไม่ตรงกับจังหวัดที่ตั้งของสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ทำรายการ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวต่างถิ่น และกระจายรายได้สู่ชุมชน สมาชิกสามารถรับสิทธิ์ดังกล่าวได้ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567  นอกจากนี้ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซียังสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวน 169 คะแนน แลกรับเครดิตเงินคืน 20 บาท เมื่อมียอดการใช้จ่ายที่ร้าน คาเฟ่ อเมซอน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 

นายถนัดผล ดุละลัมพะ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท.น้ำมัน  และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า ปัจจุบันสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ภายใต้การกำกับดูแลของ OR ใน 55 จังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,093 สถานี ความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและเคทีซีในครั้งนี้จะเป็นส่วนช่วยให้คนไทยสนใจขับรถท่องเที่ยวเส้นทางเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) มากยิ่งขึ้นด้วยสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า พร้อมได้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพจาก พีทีที สเตชั่น ซึ่งครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น “Super Power” น้ำมันเกรดพรีเมียมคุณภาพสูง ที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแรง รู้สึกได้ทันทีที่เติม พร้อมทำความสะอาด ปกป้องเครื่องยนต์ สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการน้ำมันที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยมีทั้ง Super Power ดีเซล และ Super Power GSH95 และสำหรับผู้บริโภคที่เน้นเรื่องความประหยัดคุ้มค่า ขอแนะนำ “Xtra Save” น้ำมันเกรดมาตรฐานสูตรใหม่ที่ทำให้ขับไปได้ระยะทางไกลกว่าเดิม ด้วย “สารเพิ่มพลังเครื่องยนต์ มากขึ้น 1.5 เท่า” เพิ่มอัตราเร่งได้เต็มกำลัง ปกป้องเครื่องยนต์ และลดการสิ้นเปลืองน้ำมัน มอบความคุ้มค่าแก่ผู้บริโภคทุกคน โดยมีน้ำมันครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มดีเซล กลุ่มเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ น้ำมันทุกชนิดของ พีทีที สเตชั่น ได้รับรองมาตรฐาน EURO 5 ซึ่งมีปริมาณกำมะถันลดลงถึง 5 เท่า ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลง อากาศสะอาดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอย่างละเอียดเป็นประจำในทุกสาขา เพื่อควบคุมคุณภาพและส่งมอบน้ำมันที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคสอดคล้องกับพันธกิจหลักของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในมิติแห่งความยั่งยืน 

ศึกษาข้อมูลรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pttor.com/th/news/promotion และติดตามโปรโมชันและกิจกรรมอื่น ๆ ได้ที่ Facebook Fanpage: PTT Station หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center หรือ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ   

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2567 มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่  
1,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลจากความต้องการสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น   
การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมและการปรับราคา ทำให้ไอ-เทลมีอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและแรงกดดันจากการแข่งขันทั่วโลก 

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราได้เห็นการฟื้นตัวของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของไอ-เทล และภาคอุตสาหกรรม แต่เรายังคงคาดหวังการเติบโตของยอดขายที่สูงขึ้นจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของเราในช่วงเวลาหลังจากนี้  ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังเดินหน้าตามแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อบรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ 
ในระยะยาวด้วยยอดขาย 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573” 

สำหรับผลการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น มีรายได้จากยอดขายรวม 8,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ  
ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 66 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิของรอบครึ่งปีแรก ซึ่งจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 กันยายน 2567 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 โดยเตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 

ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีสัดส่วนของยอดขายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 49 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์  โดยสามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของ 
สินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 15 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 11 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นราว 2 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 700 รายการ เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญต่อการเจาะตลาดกลุ่มสินค้าตราห้าง (private label)  และกลุ่มธุรกิจ 
ค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศในยุโรป  

บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการตอบสนองต่อการเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัว 
แบรนด์พรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของไอ-เทล ได้แก่ ‘เบลลอตต้า’ อาหารแมวสูตรพรีเมียม และอาหารแมวและสุนัขสูตรเป็นมิตรต่อไต ‘เชนจ์เตอร์’ เพื่อตอกย้ำจุดยืนและความสามารถด้านการดำเนินธุรกิจในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีความโดดเด่นด้วยรสชาติที่อร่อยถูกปากและเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการด้วยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำจากเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานระดับโลก เพื่อรองรับความต้องการและครองใจบรรดา Pet Parents ในประเทศไทยอีกด้วย 

นอกจากนี้ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น มีผลงานที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก โดยหุ้น ITC ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้เป็นหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 รอบครึ่งปีหลังของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานที่ดีและศักยภาพในการบริหารองค์กรและนโยบายด้านการเงินที่เข้มแข็ง การได้รับเลือกครั้งนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อกลุ่มนักลงทุนทั้ง 
ในประเทศไทยและต่างประเทศ  

ท้ายที่สุดนี้ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยอาหารแมว i-Cattery ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทฯ  
ประสบความสำเร็จในการเป็นหน่วยงานเอกชนรายแรกในประเทศไทยและเป็นบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงเพียงรายเดียวของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล Association for Assessment and Accreditation of Laboratory Animal Care (AAALAC) International ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าระบบปฏิบัติการของศูนย์วิจัยฯ มีความสอดคล้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีการรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพที่ดีของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องตามจรรยาบรรณ ส่งผลให้ข้อมูลและงานวิจัยของศูนย์วิจัยฯ มีคุณภาพและมีความถูกต้อง แม่นยำ และน่าเชื่อถือ 

“ผมมั่นใจว่ากลยุทธ์ในการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกด้วยการจัดการองค์กรสู่ความเป็นเลิศควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจจะสามารถขับเคลื่อนไอ-เทลไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อรักษาผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับดีอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 และสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนนับจากนี้” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย

"สมาคมฟินเทคประเทศไทย" หรือ TFA องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม Fintech ของประเทศไทย ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระดับนานาชาติ นำโดย "คุณชลเดช เขมะรัตนา" นายกสมาคม ได้เปิดตัวหลักสูตร "Fintech Course: Unleashing Future of Finance" ที่จะทำให้การทำธุรกิจฟินเทคไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป 

พร้อมแล้วสำหรับหลักสูตรที่ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจและผู้ที่สนใจประกอบธุรกิจฟินเทค ที่จะเพิ่มทักษะและความรู้กับเหล่าวิทยากรด้านฟินเทคคุณภาพระดับประเทศ ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรง อาทิ "คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Founder & Group CEO, Bitkub Capital Group Holdings", "คุณพสุ ลิปตพัลลภ Director, Proud Real Estate", "คุณสุพันธ์วงศ์ วีรวรวิทย์ Director - Country Head of Global Payments Solutions, HSBC Thailand", "คุณปฐมชัย แตงน้อย  Assistant Managing Director, Kubix", "คุณ Derrick Loi General Manager for International Business, Digital Technologies, Ant Group", "คุณนัชชา เลิศหัตศิลป์ CEO, Carbonwize" เป็นต้น และยังได้แลกเปลี่ยน connection กับเหล่าคนที่สนใจฟินเทคไปด้วยกัน กับหลักสูตรคุณภาพ พร้อมปราบทุกปัญหาให้ธุรกิจฟินเทคได้เติบโตและยั่งยืน 

หลักสูตร "Fintech Course: Unleashing Future of Finance" มาพร้อมกับคอร์สฟินเทคสุดเข้มข้น ได้แก่

1.) Fintech Era,

2.) WealthTech,

3.) Cryptocurrency,

4.) Tokenization,

5.) Fintech in Real-estate,

6.) Global Cross Border Payments,

7.) Digital Banking,

8.) Startup Fundraising,

9.) Green Fintech,

10.) Fintech Regulations

และ 11.) AI in Fintech ครบจบทุกทักษะด้านฟินเทค ที่คนทำธุรกิจต้องรู้ 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครมาร่วมเรียนในหลักสูตร TFA Fintech Course รุ่นที่ 1 นี้กันได้ ในราคาพิเศษรอบ Early Bird เพียง 35,000 บาท จากราคาเต็ม 50,000 บาท ถึงวันที่ 9 ส.ค. 2567 นี้เท่านั้น!! และพิเศษยิ่งกว่านั้นสำหรับ TFA Member ลดเหลือเพียง 45,000 บาท เริ่มเรียนทุกวันพฤหัสบดี เวลา 18.00 - 21.00 น.ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. - 15 ธ.ค. 2567 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมัครลงทะเบียนเรียนได้ที่ https://forms.gle/aZYAZoLB15vmdFaD8 รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ โทร : 062-291-3599 และ 082-202-6577 หรือ Email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ... แล้วมาร่วมไขกุญแจสำคัญ ทำธุรกิจฟินเทคแบบมืออาชีพไปด้วยกัน 

ความผันผวนของตลาดการลงทุนที่เกิดขึ้นล่าสุดได้ส่งผลกระทบให้เห็นเป็นวงกว้างทั้งในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัลและตลาดหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากการประกาศรายงานการจ้างงานของสหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น สืบเนื่องต่อไปยังความผันผวนของวอลล์สตรีท (Wall Street) เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่นักลงทุนจำนวนมาก ต่างโยกย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่างสินทรัพย์ดิจิทัล  ซึ่งเมื่อมาผนวกกับการที่นักลงทุนได้รับผลตอบแทนลดลงจากการที่ปีนี้เป็นฤดูร้อนของคริปโต (Crypto Summer)  ที่ชะลอตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างพิจารณามองหาสินทรัพย์ประเภทอื่นมากยิ่งขึ้น 

 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนนี้ ยังมีแนวโน้มเชิงบวกเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดจะดิ่งลง เหล่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้มีการกล่าวถึงการสร้างคลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ ที่ชี้ให้เห็นถึงการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการเล็งเห็นศักยภาพของบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ลาร์รี ฟิงก์ (Larry Fink) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังได้ประกาศในรายการ CNBC ว่าเขามองบิทคอยน์เป็นตราสารทางการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดครั้งสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาย้ำให้สาธารณชนเห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในบิทคอยน์ที่เขามี 

ทั้งนี้ เทรนด์การเติบโตของการยอมรับบิทคอยน์ในระดับสถาบันและกลุ่มการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เพราะเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่ถือว่าเป็นประเทศแรกที่ยอมรับบิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถนำมาชำระหนี้ (Legal Tender) และใช้แทนเงินสดได้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ดำเนินการโยกย้ายบิทคอยน์ส่วนใหญ่ไปเก็บรักษาแบบออฟไลน์หรือ “Cold Storage” ที่สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณะ จากข้อมูล วันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา คลังของเอลซัลวาดอร์มีจำนวนบิทคอยน์ทั้งสิ้น 5,825 บิทคอยน์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 405 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างอันดีเยี่ยมที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในบิทคอยน์ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและเป็นปัจจัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางการเงินของประเทศ 

แต่อย่างไรก็ตาม สภาพตลาดในปัจจุบันก็ยังคงเผชิญหน้ากับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากความผันผวนของตลาดล่าสุด ซึ่งจะส่งผลให้แผนการจัดตั้งคลังสำรองยิ่งต้องทวีความซับซ้อนทั้งทางด้านกระบวนการทางกฎหมายและทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 

เมื่อไม่นานมานี้ ไบแนนซ์ ทีเอช (Binance TH) ได้เผยกรอบการทำงาน CPT Framework (Capital, People, Technology) ที่ได้กำหนดขึ้นเพื่อใช้วิเคราะห์ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่อาจส่งผลต่อพลวัตของตลาด ที่ชี้ให้เห็นว่าการจัดตั้งคลังสำรองบิทคอยน์เชิงกลยุทธ์จะส่งผลกระทบต่อทั้งสามปัจจัยของกรอบการทำงาน CPT (Capital, People, Technology) ที่จะส่งเสริมต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตในระยะยาว 

การที่คลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติถูกพูดถึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับสกุลเงินดิจิทัล เพราะยิ่งหน่วยงานรัฐบาลและสถาบันต่างๆ ตระหนักถึงศักยภาพของบิทคอยน์ ยิ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสที่เราจะได้เห็นการยอมรับและการผสานสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับระบบการเงินโลกให้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อปูทางสู่การเดินหน้าไปยังอนาคตทางการเงินที่มีความครอบคลุมและก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม 

สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าสภาพตลาดในปัจจุบันจะมีความผันผวน แต่แนวโน้มระยะยาวของบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ยังมีทิศทางที่ดีและน่าจับตามอง การผนึกกำลังระหว่างการสนับสนุนทางการเมือง การยอมรับระดับสถาบัน และปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยความสดใสและความหวังของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะผลิบานต่อไป 

Meta ประกาศอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดของ AI ของ Meta ได้แก่ ‘Llama 3.1’ (ลาม่า) ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้โมเดลประมวลผลด้วยภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) การเปิดตัวในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Meta ในการส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือภายในชุมชน AI โดยการมอบเครื่องมือ AI ที่ล้ำสมัยมากขึ้นให้แก่นักพัฒนา นักวิจัย และธุรกิจต่างๆ 

การเปิดตัวได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้ 

 มีอะไรใหม่ใน Llama 3.1 

Llama 3.1 มาพร้อมกับโมเดล 8B และ 70B ซึ่งมีการพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติม รวมถึงการเปิดตัว Llama 3 405B ซึ่งเป็นโมเดลแบบโอเพนซอร์สที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ นำเสนอประสิทธิภาพการทำงานที่มีความยืดหยุ่น ใช้งานได้ง่าย และมีความสามารถมากกว่าที่เคย 

  • ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น: เป็นเอไอระบบเปิดที่นำเสนอ ประสิทธิภาพของโมเดลไม่แพ้ระบบปิด (โคลสซอร์ส) ชั้นนำทั้งหมด 
  • เพิ่มภาษาที่รองรับ: เพิ่มภาษาที่ให้บริการถึง 9 ภาษา รวมถึงภาษาไทย 
  • ปรับปรุงความสามารถในการสนทนา: ขยายการรองรับความยาวเนื้อหามากถึง 128k ช่วยให้การโต้ตอบมีความหลากหลายมากขึ้น 
  • ให้เหตุผลได้น่าเชื่อถือมากขึ้น: จัดการกับงานที่ซับซ้อนด้วยความสามารถในการใช้เหตุผล (Reasoning) ที่ดีขึ้น 
  • การปรับปรุงระบบการทำงาน: รองรับการสร้างข้อมูลสังเคราะห์และการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างโมเดล (Model distillation) 
  • AI ที่มีความรับผิดชอบ: องค์ประกอบด้านความปลอดภัยในระบบแบบใหม่ ช่วยให้เกิดการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ 
  • อีโคซิสเต็มที่เติบโต: พันธมิตรมากกว่า 30 รายมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนา Llama 3.1 ตั้งแต่เริ่มต้น 

หลังจาก Meta ได้เปิดตัวโมเดล Llama รุ่นแรกเมื่อปีที่แล้ว มียอดดาวน์โหลดรวมกว่า 300 ล้านครั้ง และมีการพัฒนาโมเดลต่อยอดกว่า 20,000 โมเดลสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ปัจจุบัน Meta AI เป็นผู้นำทั้งในด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในภาพรวม ที่มีทั้งความคิดสร้างสรรค์ ความชาญฉลาด และเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย 

  • ความคิดสร้างสรรค์: ฟีเจอร์ “Imagine Yourself” จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ใช้ได้ปลดปล่อยจินตนาการของตนเอง ด้วยการสร้างรูปภาพตนเองขึ้นมาใหม่ได้ในทุกสถานการณ์ เครื่องมือแก้ไข AI ใหม่เหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งรูปภาพที่ Meta AI สร้างขึ้นได้อย่างละเอียด ทำให้ผู้ใช้สามารถเพิ่ม ลบ หรือเปลี่ยนองค์ประกอบในรูปได้ตามที่ต้องการ 
  • ความชาญฉลาดในการประมวลผล: Meta AI ช่วยให้ผู้ใช้รับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย โดยจะได้รับผลลัพธ์หรือคำตอบที่แม่นยำขึ้นสำหรับปัญหาที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ หรือการเขียนโค้ด รวมถึงจะได้รับประสบการณ์ AI ที่ดีขึ้น โดยมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่องจากความคิดเห็นของผู้ใช้งาน 
  • การเข้าถึง: ขณะนี้ Meta กำลังนำ Meta AI เข้าไปใช้ในผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มต่างๆ ของ Meta เช่น WhatsApp, Facebook และอีกมากมาย การเพิ่มภาษาที่ให้บริการนั้นยังช่วยให้ Meta AI เข้าถึงผู้ใช้ได้มากขึ้น โดยโมเดลแบบโอเพนซอร์สของLlama จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถปรับแต่งและฝึกฝนโมเดลของตนเอง รวมถึงรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และช่วยพัฒนาระบบให้แข็งแกร่งได้ ทั้งนี้ทีม Meta กำลังเร่งการทำงานขยายฟีเจอร์ให้ใช้ในหลากหลายภูมิภาคต่อไป 

การขยายการรองรับภาษาไทยของ Llama 3.1 

ภายในงาน คุณราฟาเอล แฟรงเคิล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Meta ได้กล่าวถึงแผนงานเกี่ยวกับ Llama 3.1 ในประเทศไทยไว้ว่า "Llama 3.1 อัปเดตล่าสุดของเรากำลังยกระดับมาตรฐานสำหรับโมเดล AI แบบโอเพนซอร์สอีกครั้ง โดยการเปิดตัว Llama 3 405B ครั้งนี้นับเป็นการเปิดตัวโมเดลโอเพนซอร์สที่ใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าที่สุดในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ Llama 3.1 ยังรวมถึงการอัปเดตโมเดล 8B และ 70B ซึ่งขณะนี้รองรับภาษาไทยแล้ว โมเดลโอเพนซอร์สนี้จะช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวไทยสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับประเทศไทยได้มากขึ้น เราเชื่อว่า AI มีศักยภาพมากกว่าเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์ให้แก่มนุษย์ รวมถึงยังช่วยเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมปลดล็อกความก้าวหน้าให้กับธุรกิจและชุมชนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" 

นักพัฒนาสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้เพื่อเข้าถึงการใช้งานโมเดล Llama ได้ที่ https://llama.meta.com/  

ปลดล็อกโอกาสด้าน AI สำหรับธุรกิจและชุมชนในประเทศไทย 

นอกจาก Llama AI จะเพิ่มการรองรับภาษาไทยแล้ว Meta ยังจะจัดการอบรมและโครงการต่างๆ เพิ่มเติมและให้ทุนสนับสนุนมูลค่ารวม 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับนักพัฒนาและองค์กรทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย 

  1)  ทุนสนับสนุน Llama 3.1 Impact Grants จาก Meta 
 
ทุนสนับสนุน Llama Impact Grants ของ Meta เป็นโปรแกรมระดับโลกที่เปิดรับข้อเสนอโครงการต่างๆ ที่ใช้ Llama AI และฟีเจอร์อื่นๆ ในโมเดล เพื่อเสริมสร้างผลกระทบทางสังคมและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาความท้าทายต่างๆ ทั่วโลก โดยมุ่งเน้นด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) 

Meta เปิดรับสมัครสำหรับทุนสนับสนุน Llama 3.1 Impact Grants ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป องค์กรที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์สามารถส่งข้อเสนอโครงการที่เล่าถึงการใช้ Llama 3.1 ในการแก้ไขปัญหาสังคมในชุมชนของตน โดยผู้ชนะที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับเงินทุนสนับสนุนโครงการสูงสุดถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ การประกาศผู้ชนะคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีพ.ศ. 2568 

ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมทุนสนับสนุน Llama 3.1 Impact Grants ได้ที่นี่ และสมัครเข้าร่วมได้แล้ววันนี้ 

  2)  โครงการ AI Accelerator Program สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 
Meta จะจัดโครงการในระดับภูมิภาคเพื่อให้ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และโอกาสในการสร้างเครือข่ายสำหรับนักพัฒนา AI ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

หนึ่งในกิจกรรมอีกมากมายที่จะจัดขึ้นคือโครงการ AI Accelerator Program สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับภูมิภาคที่นักพัฒนา Llama จะส่งข้อเสนอโครงการที่แสดงให้เห็นว่า Llama AI สามารถใช้แก้ไขปัญหาสังคมในประเทศของตนได้อย่างไร ผู้ชนะจะได้เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon ออนไลน์ในสิงคโปร์ เพื่อชิงทุนพิเศษสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนโครงการ โดยโครงการที่มีศักยภาพสูงสุดจะได้รับการพิจารณาให้ได้รับรางวัลพิเศษมูลค่าถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

ในประเทศไทย Meta ได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)AI Governance Clinic และสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย  (AIAT)  เพื่อจัดการแข่งขันและคัดเลือกผู้ชนะระดับประเทศจำนวนหนึ่งรายเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ 

  3)  หลักสูตร AI สำหรับ SMEs ในประเทศไทย

Meta ยังได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อเปิดหลักสูตรการตลาดด้วย AI สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย เพื่อเสริมสร้างทักษะและความรู้ในการใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อการเติบโตทางธุรกิจ 

นอกจากนี้ Meta จะจัดงานสัมมนาด้านการตลาด Meta Marketing Summit ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม โดยจะเชิญผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกว่า 800 รายเข้าร่วมงานเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือและบริการด้าน AI ของ Meta 

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาสที่สองของปี 2567 ที่ระดับ 1,219 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋องอาหารสัตว์เลี้ยง และสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ขณะที่อัตราส่วนกำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18.5 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นอัตราเติบโตสูงที่สุดอันดับสองในรอบ 3 ปี และทำยอดขายได้ถึง 35,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการเติบโตของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มียอดขายสูงถึง 40.6 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกันกับอัตราส่วนกำไรขั้นต้นที่ขยายตัวแตะ 31.3 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าจ่ายปันผลต่อเนื่อง ตอกย้ำสถานะทางการเงินแข็งแกร่งของบริษัท 

 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจไทยยูเนี่ยนในไตรมาสสองปี 2567 ยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถทำยอดขายได้ดีถึง 35,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราส่วนกำไรขั้นต้นของบริษัท ขึ้นมาแตะที่ระดับ 18.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขอัตราการเติบโตสูงสุดเป็นอันดับสองในรอบ 3 ปี ซึ่งปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวในไตรมาสนี้มาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่นำกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมและการปรับปรุงราคาสินค้า และการปรับปรุงประสิทธิภาพของกลุ่มธุรกิจสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ รวมถึง การปรับโครงสร้างทางกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งให้คงเฉพาะธุรกิจหลักที่สร้างรายได้และผลกำไร  

ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 0.82 เท่า ณ สิ้นไตรมาสสองปี 2567 ซึ่งดีกว่าเกณฑ์ของทั่วไปที่กำหนดไว้ 1.0 – 1.1 เท่า นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดครึ่งปีแรก 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 59 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทได้กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 4 กันยายน 2567 สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท 

ไทยยูเนี่ยนได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายตั้งแต่ปี 2566 ได้อย่างรวดเร็ว และการที่บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักมากขึ้นจึงทำให้กลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น จนสามารถขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจจากไตรมาสแรกได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง มั่นคง พร้อมก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในที่สุด นายธีรพงศ์ กล่าว  

สำหรับผลประกอบการตามกลุ่มธุรกิจในไตรมาสสอง พบว่า กลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง มียอดขายอยู่ที่ 17,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และตะวันออกกลาง ขณะที่อัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.9 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่มีอยู่ในสต็อกต่ำลง และราคาทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายอยู่ที่ 4,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 40.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สองของปีที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียม การปรับปรุงราคาสินค้า รวมถึง ปริมาณความต้องการสินค้าในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ในไตรมาสนี้กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 31.3 เปอร์เซ็นต์  

ขณะที่กลุ่มธุรกิจสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ สามารถขับเคลื่อนยอดขายในไตรมาสที่สองได้ 2,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 15.5 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นอัตราส่วนกำไรขั้นต้นถึง 26.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ยอดขายอยู่ที่ 10,842 ล้านบาท โดยปรับตัวลดลงราว 5.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการที่ลดลงในสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อพิจารณาอัตราส่วนกำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งพบว่ามีการฟื้นตัว 10.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและธุรกิจอาหารสัตว์น้ำอาหารสัตว์เศรษฐกิจมีการปรับปรุงโครงสร้างมุ่งสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้นต่อเนื่อง 

 

ทั้งนี้ สัดส่วนยอดขายของไทยยูเนี่ยนตามภูมิภาค มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา คิดเป็นอัตรา 40.0 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมทั้งหมด รองลงมาเป็น ยุโรป 32.3 เปอร์เซ็นต์ ไทย 10.3 เปอร์เซ็นต์ และ อื่นๆ อีก 17.3 เปอร์เซ็นต์ 

นอกจากนี้ ในครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทยังประสบความสำเร็จในโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน จำนวน 200 ล้านหุ้นเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งดำเนินการจดทะเบียนลดทุนจากการตัดหุ้นที่ซื้อคืนและจำหน่ายไม่ได้ในโครงการดังกล่าวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2566 ได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม 2567 ทั้งนี้ เพื่อแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้ดีขึ้น  

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังมีได้รับปัจจัยบวกจากการที่บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 50 บริษัทในดัชนี SET 50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนเมื่อเดือนธันวาคม 2565 และยังเป็นบริษัทใหม่เพียงรายเดียวจากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในดัชนีดังกล่าวอีกด้วย 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อเนื่อง เพราะเป็นกุญแจสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจ โดยในไตรมาสที่ผ่านมาแบรนด์ จอห์น เวสต์ (John West) ของไทยยูเนี่ยนประกาศเปิดตัว ECOTWIST® ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการออกแบบ เพื่อให้ใช้งานง่าย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และลดจำนวนขยะบรรจุภัณฑ์ให้มากที่สุด โดย ECOTWIST® เป็นการเดินหน้าสร้างนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ครั้งใหญ่สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องของ สหราชอาณาจักร ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา 

เพราะความยั่งยืนนับเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนมาโดยตลอด ทำให้บริษัทเดินหน้าทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในวันมหาสมุทรโลกที่ผ่านมา อาสาสมัครไทยยูเนี่ยนได้ร่วมกันเก็บขยะทะเลในชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และยุโรป นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน พร้อมออกรายงานความยั่งยืนประจำปี 2566 เพื่อรายงานถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยนอีกด้วย 

ผมมั่นใจว่าแผนยุทธศาสตร์องค์กรเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 จะช่วยเตรียมความพร้อม สร้างนวัตกรรม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ให้เราสามารถดูแลสุขภาพที่ดีของผู้คน สัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้ และสามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกด้านสุขภาพและโภชนาการเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลอย่างยั่งยืน” นายธีรพงศ์ กล่าว 

 

กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ไบแนนซ์ แคปปิตอล  แมเนจเมนท์ จำกัด บริษัทภายในเครือของไบแนนซ์ แพลตฟอร์มที่มีปริมาณการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากที่สุดในโลก และ บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ผนึกกำลัง โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม จัดเวิร์คช็อปมอบความรู้ให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อเตรียมรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมการใช้งานบล็อกเชนเทคโนโลยี ผ่านโปรแกรมการฝึกอบรมด้านการบังคับใช้กฎหมาย  โดยมี นายยาเร็ก ยาคุบเช็ค (Jarek Jakubcek) หัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของไบแนนซ์ และ ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy (ไบแนนซ์ ทีเอช อะแคดิมี) บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ร่วมเป็นวิทยากร 

ในปัจจุบัน โลกของเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ  ผู้คนทั่วโลกต่างสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสาร หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีด้านการลงทุน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเต็มไปด้วยข้อดีเนื่องจากสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนได้อย่างรอบด้าน แต่ก็ยังถือเป็นดาบสองคมที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้งานเทคโนโลยีได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการถูกนักต้มตุ๋นหรือสแกมเมอร์ (Scammers) หลอกล่อให้เหยื่อทำธุรกรรมทั้งจากการเงินแบบดั้งเดิม หรือว่าสินทรัพย์ดิจิทัลก็ตาม 

ด้วยความมุ่งมั่นของ กัลฟ์ ไบแนนซ์ ด้านการเสริมสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปลอดภัย เราจึงได้ร่วมมือกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อจัดกิจกรรมฝึกอบรมด้านการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ขึ้น โดยเนื้อหาโปรแกรมการฝึกอบรมแบบมาตรฐานในหนึ่งวัน ประกอบด้วย การช่วยเหลือเชิงปฏิบัติการด้านการบังคับใช้กฎหมาย (Practical Assistance to Law Enforcement) บรรยายโดย นายยาเร็ก ยาคุบเช็ค (Jarek Jakubcek) หัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของไบแนนซ์ และการอบรมในหัวข้อเทคโนโลยีบล็อกเชนขั้นพื้นฐาน โดย ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy (ไบแนนซ์ ทีเอช อะแคดิมี) บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ตลอดจนส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย รู้เท่าทันมิจฉาชีพ และสามารถรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฝึกอบรมในครั้งนี้ มีนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 1 ถึงชั้นปีที่ 4 ให้ความสนใจเข้าร่วมจำนวนกว่า 60 นาย 

ทั้งนี้ ในปี 2023 ไบแนนซ์ยังได้จัดเวิร์คช็อปและการฝึกอบรมกว่า 120 รายการ เพื่อมอบข่าวกรองที่สำคัญ มอบความรู้ และทักษะที่จำเป็นซึ่งเป็นรากฐานความสำเร็จของการสืบสวนและการบังคับใช้กฎหมายที่สำคัญให้กับนักต่อสู้กับอาชญากรรมทั่วโลก โดยการจัดฝึกอบรมในปีดังกล่าว เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนหน้าที่มีการจัดฝึกอบรม 50 รายการ หรือคิดเป็นอัตราที่สูงขึ้นกว่า 140% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ขยายวงกว้างมากขึ้น รวมถึงความตระหนักถึงความใส่ใจด้านความปลอดภัยของผู้บังคับใช้กฎหมายทั่วโลกด้วยเช่นกัน 

สมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (PUBAT) เผยคนไทยอ่านหนังสือมากขึ้นเฉลี่ย 113 นาทีต่อคนต่อวัน ล่าสุดในปี 2566 มูลค่ารวมของตลาดหนังสือมีความหวังฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 17,000 ล้านบาท จากปัจจัยราคาหนังสือต่อเล่มที่สูงขึ้นประมาณ 30% หลังวิกฤตโควิด ทางภาคเอกชน ‘เคทีซี’ เดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรร้านค้าหนังสือ สํานักพิมพ์ชั้นนําทั่วประเทศ จัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อแบ่งเบาภาระ และมอบโปรโมชันในมหกรรมงานหนังสือทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หวังสนับสนุนคนไทยรักการอ่านและขยายฐานกลุ่มสมาชิกบัตรฯ ให้อ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น 

นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ร่วมกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำรวจนักอ่าน 1,500 คน ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงวัย พบว่า ตอนนี้คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 113 นาทีต่อคนต่อวัน โดยกลุ่มผู้สูงวัยเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือมากที่สุดและนิยมอ่านในช่องทาง E – Book เพราะสามารถขยายตัวหนังสือสำหรับการอ่าน และมีระบบอ่านออกเสียงได้ ส่วนกลุ่มมนุษย์เงินเดือนวัยทำงานเป็นกลุ่มที่อ่านหนังสือน้อยที่สุดเนื่องจากมีภาระหน้าที่การงาน ทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ โดย 5 อันดับประเภทหนังสือยอดนิยมจะเป็น การ์ตูน นิยาย จิตวิทยา How to ให้กําลังใจ และธรรมะ ตามลำดับ  

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจหนังสือเคยมีมูลค่าตลาดสูงที่สุดประมาณ 25,000 ล้านบาทในปี 2557 ก่อนที่จะลดมูลค่าลงจนถึงจุดต่ำที่สุดประมาณ 12,000 ล้านบาทในปี 2563 จากการถดถอยและสูญหายไปของตลาดหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ล่าสุดในปี 2566 พบว่ามูลค่าตลาดรวมของหนังสือฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ ประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยอาจเกิดจากราคาหนังสือต่อเล่มที่สูงขึ้นประมาณ 30% หลังวิกฤตโควิด ขณะที่ยอดขายและจํานวนการผลิตหนังสือยังมีความเปราะบางต่อภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากหนังสือเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคอาจตัดสินใจตัดลดค่าใช้จ่ายหากประสบปัญหารายจ่ายในครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวงการหนังสืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้อำนวยการ การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัทบัตรกรุงไทย (จำกัด) มหาชน เปิดเผยว่า ในฐานะภาคเอกชนเคทีซีตระหนักถึงความสําคัญของการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นกุญแจสําคัญในการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมนักอ่านยุคใหม่นอกจากการอ่านหนังสือเป็นรูปเล่มแล้วยังนิยมอ่านในช่องทางออนไลน์ซึ่งมีรูปแบบที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น มีการทำการตลาดตาม "ความสนใจเฉพาะกลุ่ม" (Niche Market) มากขึ้น อาทิ นิยายวาย จิตวิทยา การตลาด และสร้างแรงบันดาลใจ ล่าสุดเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรร้านหนังสือ สํานักพิมพ์ชั้นนําทั่วประเทศ อาทิ เอเซียบุ๊คส / B2S / ศูนย์หนังสือจุฬาฯ  / สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี / นายอินทร์ / ซีเอ็ดบุ๊ค / สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์  และแจ่มใส จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีดังนี้ 1) รับส่วนลดสูงสุด 20% หรือ สูงสุด 450 บาท 2) แลกรับเครดิตเงินคืน 18% เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุก 500 บาท และใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 500 คะแนน  สามารถลงทะเบียนได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ พิมพ์ BNS เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรฯ 16 หลัก และส่งมาที่เบอร์โทรศัพท์ 06 1384 5000 / เว็ปไซต์ : ktc.promo.bns และ KTC PHONE 02 123 5000 3) รับสิทธิพิเศษ ผ่อน 0.69% ต่อเดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป (รวมรายการที่มียอดซื้อตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป) ขอรับบริการได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 ในวันที่ซื้อสินค้าเท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/book-hobby-entertainment/book-and-publishing/book-in-style  นอกจากนี้ เคทีซียังร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (PUBAT) มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หวังขยายผลด้านการสนับสนุนและให้สมาชิกบัตรฯ รักการอ่านมากขึ้น  

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตาม    โปรโมชันของเคทีซีได้ที่  https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

X

Right Click

No right click