

Degree Plus เปิดหลักสูตร “Essentials in Biosafety and Biosecurity for BSL-2” หลักสูตรด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ ในรูปแบบ Hybrid สนองความต้องการบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพรุ่นใหม่ เพื่อยกระดับการเรียนให้มีความสะดวกเข้าถึงง่ายในคุณภาพที่ได้มาตรฐาน พร้อมได้รับใบประกาศนียบัตรที่รับรองโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เลขที่ สธ 0621.06/7019) เป็นที่แรกและที่เดียวในไทย
Degree Plus แพลตฟอร์มอัปสกิลอาชีพ ในเครือ LEARN Corporation ร่วมมือกับ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดหลักสูตร “Essentials in Biosafety and Biosecurity for BSL-2” หรือ หลักสูตรอบรมความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ BSL-2 เพื่อสนับสนุนให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับเชื้อก่อโรคและพิษจากสัตว์ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น อาจารย์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่บริหารชีวนิรภัยของหน่วยงาน (BSO) ให้มีความรู้และทักษะการทำวิจัยในห้องปฏิบัติการทางชีวภาพอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดและแนวปฏิบัติสากล รายละเอียดหลักสูตรฯ ประกอบด้วย
![]()
โดยที่ผ่านมา หลักสูตร Essentials in Biosafety and Biosecurity for BSL-2 มีผู้เข้าร่วมอบรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ พร้อมทั้งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาการอบรม
นางสาวสุรีย์พร เอี่ยมศรี อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ผู้สำเร็จการอบรมหลักสูตรฯ กล่าวว่า “ด้วยอาชีพที่ต้องต่ออายุใบอนุญาต ทุก 3 ปี ก่อนหน้านี้เคยอบรมแบบออนไซต์ซึ่งรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับตนเอง เพราะต้องใช้เวลาเรียนภาคทฤษฎีถึง 2-3 วัน แต่สำหรับรูปแบบ Hybrid นั้น เวลาเรียนค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถจัดการเวลาเองได้ เนื้อหาตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็สามารถเรียนซ้ำได้ ส่วนการเรียนภาคปฏิบัติก็ใช้เวลาวันเสาร์เพียงครึ่งวัน ไม่ต้องรบกวนเวลางาน เมื่อจบการอบรมแล้วก็ยังสามารถทบทวนย้อนหลังได้ อีก 1 ปี ตอบโจทย์คนทำงานมาก ๆ”
นางสาวธัญญา รัตนโกวิท เจ้าหน้าที่วิจัย Mahidol Vivax Research Unit ผู้สำเร็จการอบรมหลักสูตรฯ เสริมว่า “ตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตร BSL-2 แบบ Hybrid เพราะคิดว่าเหมาะกับตัวเองที่งานยุ่ง มีเวลาน้อย หลักสูตรนี้ช่วยให้ตระหนักถึงขั้นตอนการป้องกันตัวเองและสิ่งแวดล้อมขณะอยู่ในแล็บ และยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ผ่าน Zoom กับเพื่อนร่วมอาชีพ ซึ่งจะคอยแชร์ปัญหาพร้อมแนวทางแก้ไขที่พบได้ในสถานการณ์จริง ส่วนตัวมองว่าความรู้ตรงนี้ไม่สามารถหาได้ในหลักสูตรทั่วไป นอกจากนี้ เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว ยังสามารถนำใบเซอร์ไปเขียน Proposal เพื่อยื่นทำโปรเจกต์ใหม่ได้อีกด้วย”
ด้าน นายวรพล รัตนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไปและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดีกรีพลัส จำกัด กล่าวว่า “โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยวันนี้ คือการยกระดับการสร้างมาตรฐานความรู้และพัฒนาความเชี่ยวชาญของบุคลากรในประเทศ สำหรับด้านความปลอดภัยทางชีวภาพที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคจากห้องปฏิบัติการสู่สิ่งแวดล้อมอย่างปลอดภัย เราจึงมุ่งเป้าที่จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบุคลากรปีละ 1,000 คน ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และการรับรองหลักสูตรจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้มาตรฐานที่สำคัญต่อไป”
ผู้ที่สนใจหลักสูตร Essentials in Biosafety and Biosecurity for BSL-2 แบบ Hybrid สามารถศึกษารายละเอียด และสมัครได้ที่ to.degree.plus/Biosafety-Biosecurity-BSL2
กระทรวงดีอี และ ดีป้า จัดกิจกรรม ‘Ignite Lanna Digital Hub’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND เร่งสร้างเมล็ดพันธุ์ดิจิทัลรุ่นใหม่ โดย รมว.ดีอี เผยแนวคิดการพัฒนา Digital Citizen ดึงดูด Digital Nomad ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ พร้อมสานต่อแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือในชื่อ Lanna Digital Valley และรับข้อเรียกร้องในการขยายเครือข่ายนักพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นและเป็นสากลโดยการดึงกลุ่มนักพัฒนาต่างชาติให้เข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่าย และกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
![]()
นายประเสริฐ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ อีกทั้งได้รับความนิยมอย่างมากจาก Digital Nomad ทั่วโลก ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำงานแบบ Remote Worker และต้องการอิสระในการใช้ชีวิต ดังนั้นรัฐบาลรับฟังแนวคิดจากผู้ประกอบการในพื้นที่เพื่อพัฒนา Digital Citizen ช่วยดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ซึ่งอาจมีเงื่อนไขบางประการ อาทิ Digital Nomad นั้นจะต้องทำงานร่วมกับบริษัทในไทย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการยกระดับชุมชนและท้องถิ่นของไทย เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะสานต่อแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือในชื่อ Lanna Digital Valley ระบบนิเวศดิจิทัลที่จะช่วยสร้างแต้มต่อและส่งเสริมภาคการลงทุน
“กระทรวงดีอี และ ดีป้า ยังได้รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Web3 และ Blockchain ที่ต้องการให้รัฐบาลเชื่อมโยงและขยายเครือข่ายกลุ่มนักพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นและเป็นสากลโดยการดึงกลุ่มนักพัฒนาต่างชาติให้เข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่าย กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่
การสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว
![]()
ด้าน ดร.ชินาวุธ กล่าวว่า กิจกรรม Ignite Lanna Digital Hub ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่และดิจิทัลสตาร์ทอัพได้มีโอกาสร่วมพูดคุยและหารือกันเช่นเดียวกับกิจกรรม Ignite Andaman Digital Hub ที่จังหวัดภูเก็ตสัปดาห์ก่อน
ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่และดิจิทัลสตาร์ทอัพในพื้นที่ โดยมีการระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ สะท้อนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สามารถหยิบยกไปใช้ต่อยอดการดำเนินธุรกิจและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลต่อไป
สำหรับโครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND จัดขึ้นครั้งแรกที่ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี
กับกิจกรรม Ignite Thailand Digital Valley ครั้งที่ 2 ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต กับกิจกรรม Ignite Andaman Digital Hub ครั้งที่ 3 ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ กับกิจกรรม Ignite Lanna Digital Hub และพร้อมเดินหน้า
ครั้งต่อไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น กับกิจกรรม Ignite E-SAN Digital Hub และครั้งสุดท้าย
ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร กับกิจกรรม Ignite Digital Thailand ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: depa Thailand
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำโดยนางสาววิสาขา จันทกิจ ผู้จัดการฝ่ายการพัฒนาความยั่งยืนและกิจกรรมเพื่อสังคม (คนซ้าย) และนางสาวพรภัสรา เอกกุล ผู้จัดการแผนกฝ่ายการพัฒนาความยั่งยืน (คนขวา) ร่วมงานเปิดตัว Thailand Mangrove Alliance ภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย โดยมี ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (กลาง) ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ไทยยูเนี่ยน เป็นหนึ่งสมาชิกภาคี ที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ป่าชายเลนเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่มีคุณค่าทางชีวภาพมากที่สุดในโลก เพื่อตอบโจทย์การเดินหน้าบรรลุเป้าหมายตามพันธกิจการฟื้นฟูระบบนิเวศภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน Seachange® 2030 ของไทยยูเนี่ยนผ่านการร่วมมือในครั้งนี้
การท่องเที่ยวไต้หวันเผยปี 67 คนไทยไปไต้หวันเพิ่มขึ้นเกือบ 18% เดินหน้าจับมือเคทีซีเปิดตัวแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ เที่ยวได้ในทุกฤดูกาล พร้อมเผยโฉมโลโก้ ‘Taiwan - Waves of Wonder’ สะท้อนกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดรับเทรนด์คนไทยนิยมเดินทางใกล้ วางรูปแบบการท่องเที่ยวตามปัจเจกนิยม และให้คุณค่ากับบริการรักษ์โลก หวังสิ้นปีดันยอดคนไทยเยือนไต้หวันเพิ่มไม่ต่ำกว่านักท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด
![]()
มิสซินดี้ เฉิน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ในปี 2566 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปไต้หวันทั้งสิ้นเกือบ 4 แสนคน และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2567 ยอดรวมนักท่องเที่ยวคนไทยแตะ 153,638 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 17.82% เป็นผลจากการขยายระยะเวลานโยบายฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย 14 วัน จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 รวมถึงจำนวนเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ - ไต้หวัน ก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สำหรับในปีนี้ การท่องเที่ยวไต้หวันได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่ภายใต้ธีม ‘Taiwan - Waves of Wonder’ เพื่อชูจุดยืนเรื่องกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้รูปแบบเส้นสายลอนคลื่นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขา ทะเล ถนนทรงคดเคี้ยว หรือทางรถไฟ บ่งบอกถึงความงดงามของภูมิทัศน์ธรรมชาติผสานกับมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของไต้หวัน การเลือกโทนสีส้มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ขึ้น สื่อถึงความหวังสำหรับการท่องเที่ยวยั่งยืนที่พร้อมส่งต่อไปยังประชากรรุ่นต่อไปในอนาคต
ถึงแม้ว่าไต้หวันต้องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้มากขึ้น แต่รัฐบาลก็ได้ออกนโยบายเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ด้วยการรณรงค์ให้ความรู้แก่หน่วยงานภาคการท่องเที่ยวในเรื่องการลดปริมาณขยะ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และเคารพวัฒนธรรมพื้นถิ่น นอกจากนี้รัฐบาลยังได้วางแผนงานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ดังนี้ 1) โครงการด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (Ecotourism Initiatives) การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ อุทยานธรณี และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมแผนการบริหารด้านการท่องเที่ยวใส่ใจสิ่งแวดล้อม 2) การคมนาคมคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Transportation) ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางด้วยรถไฟ เส้นทางจักรยาน หรือการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยปริมาณคาร์บอน 3) การรับรองมาตรฐานคุณภาพ (Certification and Standards) รัฐบาลสนับสนุนธุรกิจบริการท่องเที่ยวให้ได้รับใบรับรอง อาทิ Green Travel Mark และ Travelife เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นและรับผิดชอบต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวยั่งยืน อาทิ ที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบการกำจัดของเสีย รวมถึงศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและมรดกทางวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ปัจจุบันไต้หวันได้มีโครงการที่เป็นแบบอย่างของนโยบายท่องเที่ยวยั่งยืนเชิงรุก อาทิ ระบบยืมแก้วน้ำใช้ซ้ำที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา: เพื่อลดปริมาณแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว โดยอนุญาตให้ผู้เข้าชมยืมแก้วน้ำใช้ซ้ำ (Reuse) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะลดขยะตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม หรือโครงการติดป้าย Bicycle-Friendly: เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยจักรยาน โดยรับรองมาตรฐานที่พักว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักปั่นจักรยาน และส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากเรื่องของการท่องเที่ยวยั่งยืนแล้ว ไต้หวันยังมีสถานที่ท่องเที่ยวจากแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับนักท่องเที่ยวใน 4 ฤดูกาลดังนี้
![]()
นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดของเคทีซีที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอคือเรื่อง Partnership Marketing โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริม และขยายขอบเขตความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกภาคส่วน อาทิ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว สายการบิน บริษัทตัวแทน (ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์) โรงแรม รถไฟ รถเช่า หรือเรือสำราญ ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังได้ทำกิจกรรมการตลาดร่วมกันเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกผ่านงานด้านการท่องเที่ยวหรืองานแฟร์ การจัดเวิร์กชอป และกิจกรรมร่วมกับชุมชน รวมถึงพัฒนาช่องทางสื่อสารให้ตรงกลุ่มสมาชิกมากยิ่งขึ้น สำหรับความร่วมมือกับการท่องเที่ยวไต้หวันในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับที่ดี สะท้อนจากจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและยอดรวมการใช้จ่ายที่ไต้หวันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ไต้หวันยังคงเป็นเส้นทางยอดนิยมของสมาชิก โดยในครึ่งปีแรกของปี 2567สมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ไต้หวันเป็นอันดับที่ 5 เมื่อดูจากพอร์ตยอดรวมการใช้จ่ายในต่างประเทศเส้นทางเอเชีย รองจากญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และจีน และสมาชิกเลือกใช้บริการเพื่อเดินทางไปยังไต้หวันผ่าน KTC World Travel Service สูงเป็นอันดับที่ 4 รองจากฮ่องกง ญี่ปุ่น และ จีน โดยมียอดใช้จ่ายสำหรับการเดินทางต่อบุคคลอยู่ที่ 23,000 บาทต่อราย
ในปี 2567 เทรนด์การท่องเที่ยวมีการปรับเปลี่ยนไป สมาชิกนิยมเลือกใช้เวลาเดินทางสั้นลง และวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างมากขึ้น รวมถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกใช้บริการด้านการท่องเที่ยว KTC World Travel Service จึงได้รวมผลิตภัณฑ์บริการท่องเที่ยวที่แสดงความมุ่งมั่นด้านรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ในหมวดที่เรียกว่า ‘Green Products’ โดยเคทีซีได้ร่วมมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เพื่อแสดงจุดยืนในการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรทุกราย สำหรับแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ เคทีซีได้จับมือกับสายการบินหลักได้แก่ ไชน่าแอร์ไลน์ (China Airlines) อีวีเอ แอร์ (EVA Air) สตาร์ลักซ์ แอร์ไลน์ (STARLUX Airlines) และการบินไทย (THAI Airways) มอบส่วนลดพิเศษเฉพาะบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อสมาชิกจองตั๋วเครื่องบินผ่านเว็บไซต์สายการบินดังกล่าวรวมถึงผ่านช่องทางของเคเคเดย์ (KKday) นอกจากนี้ KTC World Travel Service ยังได้เสนอแพ็กเกจ ‘Taiwan Explorer’ รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และบัตรรถไฟเพื่อเน้นเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระยะเวลา 3 วัน 2 คืน โดยสามารถเลือกเมืองจุดหมายที่ต้องการ เช่น ไทเป เกาสง หรือเมืองทางตอนใต้อื่นๆ สำหรับรายละเอียดแพ็กเกจมีดังนี้
ระยะเวลาการจองตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2567 – วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ระยะเวลาเดินทางตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 - วันที่ 15 มกราคม 2568 สมาชิกสามารถเลือกใช้บริการแบ่งชำระ 0% นาน 6 เดือน และพิเศษ! เมื่อชำระค่าตั๋วเครื่องบินหรือแพ็กเกจด้วยบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่าทุกประเภท รับฟรี Dragon Pass ทันที ดูรายละเอียดสิทธิประโยชน์จากแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ ได้ที่ www.ktc.co.th/UNSEENTAIWAN
![]()
นายคณพศ สิทธิวงค์ บรรณาธิการนิตยสาร My World นิตยสารท่องเที่ยวราย 2 เดือนที่จัดพิมพ์สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่สนใจด้านการเดินทางและเป็นผู้มียอดใช้จ่ายสูงในหมวดท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า สมาชิกนิตยสาร My World มีไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวแบบ Frequent Travelers หรือวางแผนการท่องเที่ยวบ่อย ๆ ไต้หวันจึงเป็นเส้นทางที่ตอบโจทย์ เพราะมีองค์ประกอบครบครัน อาทิ วัฒนธรรมที่สะท้อนจากประวัติศาสตร์และประเพณีที่มีอายุยาวนาน นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมควบคู่ไปกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ ธรรมชาติและภูมิประเทศที่สวยงาม เช่น อุทยานแห่งชาติอาลีซาน เมืองทางใต้ที่ทันสมัยและสวยงามอย่างเกาสง หรือเกาะทางใต้ที่มีวิถีดั้งเดิมของชาวประมง เช่น เกาะเผิงหู อาหารไต้หวันเป็นที่รู้จักในเรื่องความอร่อยและหลากหลาย โดยเฉพาะ Street Food ใน Night Market ที่มีในทุกเมืองใหญ่ การเดินทางสะดวก มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถบัส หรือรถไฟความเร็วสูง ชาวไต้หวันมีชื่อเสียงในเรื่องความเป็นมิตรและการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านและสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด
![]()
นางสาวกิจชรัตน์ นทีธำรงสุทธิ์ จากเฟสบุ๊คเพจ Ratto Wanderlust เปิดเผยถึงเทรนด์การท่องเที่ยวไต้หวันมีการปรับเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว และยังมีสถานที่ Unseen ที่ไม่ควรพลาด เช่น ถนนแห่งของกินย่านหย่งคัง (Yongkang Food Street) ที่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมอาหารยอดนิยมโดยเฉพาะอาหารท้องถิ่นแท้ๆ ของไต้หวันแล้ว ยังมีร้านคาเฟ่น่ารักๆ ที่ทำให้ทุกคนเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพ รวมถึงสวนหรงจิ่น (Rongjin Gorgeous Time) แหล่งรวมสถานที่โดนใจวัยรุ่นแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไทเปเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและยังมีกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่น เดินทางสะดวกสบาย กิน ช้อป จบในที่เดียว
มิสซินดี้ เฉินกล่าวปิดท้ายว่า การท่องเที่ยวไต้หวันได้ร่วมมือกับเคทีซีมาเป็นปีที่ 2 แล้ว และรู้สึกพึงพอใจกับกิจกรรมต่างๆ ที่เคทีซีให้การสนับสนุนด้วยดีทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์และสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรฯ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปไต้หวันก็เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าสิ้นปี 2567 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปไต้หวันเพิ่มไม่ต่ำกว่านักท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด
ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 ตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 22.00 น. หรือทักแชทไลน์ได้ที่ @KTCWORLD สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับมือ ‘อีโวลท์’ (Evolt) ผู้นำในการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ยกระดับประสบการณ์การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เมื่อชำระเงินด้วยแอปทรูมันนี่ ณ จุดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของอีโวลท์ รับทันที! Welcome Points ถึง 100 คะแนนเมื่อสมัครสมาชิก พร้อมเลือกซื้อดีลสุดพิเศษและสะสมแต้มทุกครั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับอีโวลท์
นายสุทธิพัฒน์ จันทร์สว่าง ผู้อำนวยการฝ่ายโซลูชันทางธุรกิจ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่มุ่งมั่นในการช่วยยกระดับแพลตฟอร์มการให้บริการแก่ธุรกิจด้วยโซลูชันการตลาดแบบครบวงจรด้วยTrueMoney for Business ที่เน้นช่วยเหลือร้านค้า ผู้ให้บริการ และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการร่วมเป็นพันธมิตรกับทรูมันนี่ พร้อมช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าของทรูมันนี่ที่มีมากกว่า 30 ล้านรายทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ร้านค้าบนแพลตฟอร์ม ShopReward+ ของทรูมันนี่ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าในหมวดหมู่อาหารและเครื่องดื่ม แต่เริ่มจากในปีที่ผ่านมา ทรูมันนี่ได้ร่วมมือกับธุรกิจแบบบริการตนเอง หรือ Self Service ผ่านคู่ค้าที่เป็นผู้ให้บริการในกลุ่มธุรกิจซักรีดที่กำลังเป็นที่นิยมและได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งอีโวลท์ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ Self Service ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ การจับมือผ่าน ShopReward+ แพลตฟอร์มให้บริการระบบสมาชิกแบบครบวงจร (CRM) สามารถเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการทำการตลาด เพราะทำให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการระบบสมาชิกพร้อมกระตุ้นยอดขายด้วยการส่งโปรโมชัน ดีลพิเศษ และส่วนลดต่าง ๆ ให้กับลูกค้าโดยตรงผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม ไลฟ์สไตล์ สุขภาพและความงาม หรือ Self Service ก็สามารถเข้าร่วม ShopReward+ เพื่อส่งเสริมยอดขายได้เช่นเดียวกัน”
นายธนกร คติวิชชา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2567 - 2569 มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์และอุปทานภายในประเทศ โดยคาดว่าจะมียอดจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งไฟฟ้าโดยรวมเฉลี่ยปีละ 190,000 คัน และมีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมอย่างน้อยประมาณ 400,000– 500,000 คันต่อปี ส่งผลให้ธุรกิจที่สนับสนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเร่งขยายจุดให้บริการ พร้อมยกระดับประสบการณ์ให้เข้าถึงและตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน อีโวลท์ ได้มีการเปิดให้บริการระบบอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย ครอบคลุมสถานีให้บริการมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศเพื่อรองรับความต้องการของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึงและมีการวางแผนในการขยายจุดให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือกับ ทรูมันนี่ ในครั้งนี้จะสามารถเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้นด้วยฐานผู้ใช้บริการของทรูมันนี่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายไร้เงินสดของผู้บริโภคได้อย่างไร้รอยต่อ”
![]()
ผู้ที่สนใจสมัครสมาชิกหรือรับดีลสุดพิเศษจากอีโวลท์ใน ShopReward+ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
ทรูมันนี่ และเข้าไปที่เมนู ‘สมาชิกร้านค้า’ หรือ ShopReward+ และเลือกรับสิทธิ์จากอีโวลท์ได้ทันที โดยทุก ๆ การชาร์จ 10 บาทจะได้รับ 100 คะเเนน เเละรับ Welcome Point 100 คะแนนทันทีเมื่อสมัครสมาชิก อีโวลท์ ใน ShopReward+ พิเศษ! ซื้อคูปองเงินสดมูลค่า 200 บาทสำหรับใช้จ่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับ อีโวลท์ ผ่าน ShopReward+ ได้ในราคาเพียง 179 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 สิงหาคม 2567
ผู้ที่สนใจบริการ ShopReward+ และโซลูชัน TrueMoney for Business สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.truemoney.com/business-partner/shoprewardplus-crm/
โบลท์ (Bolt) บริษัทบริการเรียกรถข้ามชาติ ฉลองครบรอบ 4 ปี ในประเทศไทย นับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวบริการในปี 2563 โบลท์ ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเรียกรถเจ้าหลักในประเทศ ในขณะที่โบลท์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บริษัทวางแผนที่จะขยายการให้บริการไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้หลายล้านคน รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดยานพาหนะเคลื่อนที่
![]()
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 4 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โบลท์เปิดตัวแคมเปญพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการและผู้ขับขี่ทั้งหลาย โดยร่วมมือกับไอศกรีม Molly Ally สร้างสรรค์ไอศกรีมรสชาติพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ‘รสโบลท์’ ซึ่งสามารถร่วมสนุกและติดตามได้แล้ววันนี้ ที่ Molly Ally สาขา สยามเซ็นเตอร์ เอ็มควอเทียร์ เดอะเซอร์เคิลราชพฤกษ์, และแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่
โบลท์ มอบโค้ดส่วนลดมูลค่า 40 บาท ให้แก่ผู้ใช้บริการ 1,000 คน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในครั้งนี้ โดยผู้ใช้บริการสามารถร่วมแชร์เรื่องราวความประทับใจที่มีต่อโบลท์ พร้อมติดแฮชแท็ก #Bolt4thBirthdayTH #BoltThailand นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้แก่ผู้ขับขี่ได้ร่วมสนุกเพื่อรับสิทธิพิเศษ ค่าคอมมิชชัน 0% โดยสามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 30 สิงหาคม นี้
ความสำเร็จในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่การเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โบลท์ได้ขยายธุรกิจไปยังกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น นครราชสีมา และอุดรธานี บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่นๆ มากขึ้นในปีนี้ โบลท์มุ่งมั่นสร้างเมืองสำหรับผู้คน ไม่ใช่รถยนต์ จากข้อมูลสถิติของโบลท์แสดงให้เห็นว่าผู้คนในประเทศไทยหันมาใช้ระบบการเดินทางร่วมกันมากขึ้น โดยมีการขยายช่วงระยะทางในการวิ่งงานเพิ่มมากขึ้นกว่า 19% ในขณะที่การเรียกใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 600%
ณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทว่า “การดำเนินธุรกิจเป็นเวลา 4 ปีในประเทศไทย ส่งผลให้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญรวมถึงการร่วมมือที่แข็งแกร่งในเครือข่ายการขนส่ง เราภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการปรับปรุงการสัญจรในเมือง โดยมีผู้ใช้บริการหลายล้านคนและผู้ขับขี่หลายพันคนที่สร้างรายได้ผ่านโบลท์ของเรา เราขอขอบคุณผู้ขับขี่ทุกคนสำหรับความไว้วางใจและการสนับสนุนโบลท์ และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ เราจึงได้มีแคมเปญสุดพิเศษนี้ให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จไปพร้อมๆ กันเราตั้งตารอแผนการขยายธุรกิจในอนาคตและยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอทางเลือกการเดินทางด้วยนวัตกรรมที่หลากหลายและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย”
มนุษยชาติเผาผลาญทรัพยากรที่โลกผลิตได้ของปีนี้หมดแล้วในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 โดยเครือข่ายรอยเท้านิเวศโลก หรือ Global Footprint Network (GFN) กำหนดวัน Earth Overshoot Day เพื่อสร้างความตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดในแต่ละปี ซึ่งปีนี้ GFN คำนวณว่าต้องใช้โลกถึง 1.75 ใบ เพื่อรองรับความต้องการของประชากรทั่วโลก
![]()
ทรู คอร์ปอเรชั่น ชวนคืนสมดุลทรัพยากร เลื่อนวันหนี้นิเวศโลก คืนทรัพยากรในอนาคตที่หยิบยืมจากคนรุ่นหลัง กับ 3 ตัวอย่างใกล้ตัวที่ทำได้ทันที
![]()
ที่ผ่านมาทรู คอร์ปอเรชั่น ลดการใช้ถุงพลาสติกไปแล้วกว่า 356,650 ใบ จากการใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ในการให้บริการลูกค้าที่ทรูช้อป ทรูสเฟียร์ และศูนย์บริการดีแทค รวมถึงลดการใช้ขวดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use) ได้ 1,017,673 ขวด เพื่อรักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีและร่วมกันลดขยะพลาสติกสำหรับคนทรู
![]()
แคมเปญ ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ รวบรวมมือถือและอุปกรณ์ IT ขนาดเล็กมากกว่า 2 ล้านเครื่อง เพื่อนำเข้าสู่ระบบรีไซเคิลตามมาตรฐานสากล ไม่ฝังกลบ 100% นอกจากนี้ ยังรวบรวมมือถืออีก 30,000 เครื่อง จากแคมเปญการตลาดที่เชิญชวนให้ลูกค้านำโทรศัพท์มือถือเก่ามาแลกซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ เพื่อเพิ่มการใช้งานมือถือเครื่องเก่าด้วยการหมุนเวียนและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100%
![]()
ศูนย์บริการลูกค้าทรูและดีแทคเปลี่ยนเอกสารสู่ดิจิทัล “เลิกใช้กระดาษ 100%” และลดกระดาษได้มากกว่า 255 ล้านแผ่นจากการเปลี่ยนมาใช้ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bill, e-Tax) คิดเป็นน้ำหนักราว 1,278,754 กก. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 2,688 tonCO2e
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วตามราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นหลังสงครามอิสราเอลกลับมาปะทุ อีกทั้ง เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นหลัง BOJ ขึ้นดอกเบี้ยตามตลาดคาดก็เป็นปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท นอกจากนี้ ตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาดเป็นปัจจัยที่ทำให้บาทแข็งค่าขึ้นมาก่อนหน้านี้ด้วย ในระยะต่อไป ต้องจับตาผลการประชุม Fed คืนนี้ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น กดดันให้บาทกลับมาอ่อนได้ มองกรอบเงินบาทราว 35.50-36.00 ในช่วง 1 เดือนจากนี้
นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทในเดือนที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นเร็วเป็นผลจากหลายสาเหตุ คือ 1) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ที่ออกมาต่ำกว่าคาด 3 เดือนติดต่อกัน 2) เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหนุนให้เงินบาทแข็งค่าตาม โดยเงินเยนแข็งค่าจากที่ตลาดมองว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขึ้นดอกเบี้ยได้ ขณะที่ดอกเบี้ยในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง ซึ่งล่าสุด BOJ ก็ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไป 15 bps มาอยู่ที่ 0.25% ทำให้เงินเยนแข็งค่าต่อ และ 3) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กลับมาปะทุขึ้น หลังอิสราเอลโจมตีเบรุต ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น หนุนให้บาทแข็งค่าขึ้นในช่วงข้ามคืน

สำหรับมุมมองในระยะข้างหน้า มองว่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าได้ในระยะสั้นนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยดังที่ตลาดคาด ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) สูงขึ้น และกดดันให้บาทอ่อนค่าได้ นอกจากนี้ การเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อ และความไม่แน่นอนการเมืองไทยอาจส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจยังไม่ไหลกลับไทยได้เร็วนัก จึงมองเงินบาทราว 35.50-36.00 ในช่วง 1 เดือนนี้
ในระยะกลาง-ยาว การเลือกตั้งสหรัฐฯ มีแนวโน้มทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐและ Treasury yields สูงขึ้น โดยหากโอกาสที่ Trump จะชนะการเลือกตั้งมีสูงขึ้น อาจส่งผลให้สกุลเงินภูมิภาคและเงินบาทอ่อนค่า และเป็นความเสี่ยง Tail-risk ต่อเงินบาท โดย SCB FM พบว่า เงินบาทจะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้น Tariffs ทางอ้อม ผ่านแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่จะแย่ลง และ Correlation ระหว่างบาท-หยวนที่สูง ทำให้บาทอ่อนค่าตามเงินหยวน ทั้งนี้ ในวันที่มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ต่อสินค้าจีนในปี 2019 ที่ทำให้สกุลเงิน EM และเอเชียอ่อนค่าลง พบว่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าชัดเจนนัก (Direct impact ต่ำ) นายแพททริกประเมินว่า หาก Trump ชนะการเลือกตั้งและขึ้น Tariffs ดังที่ประกาศไว้ เงินบาทจะมีความเสี่ยง (Tail-risk) ที่อาจอ่อนค่าไปสู่ระดับ 38.10 บาทได้ (โดยให้ปัจจัยอื่นคงที่ และให้เงินหยวนอ่อนค่าไปที่ 8 หยวนต่อดอลลาร์)
สำหรับมุมมองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ที่ผ่านมาปรับลดลงเร็วจากเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอลง ทำให้ตลาดคาดการณ์ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และให้โอกาสการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ราว 70% โดยนายวชิรวัฒน์ มองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ส่วนการประชุม Fed ในคืนวันพุธนี้ คาดว่าน่าจะยังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. ชัดเจนนัก จึงเป็นความเสี่ยงให้ Treasury yields อาจมี Correction และปรับสูงขึ้นได้เล็กน้อย นอกจากนี้ มองว่าการ price-in ลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 มีมากเกินไป สะท้อนจาก GDP ไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าตลาดคาด และล่าสุดมีการปรับเลข PCE เดือนก่อนขึ้น จึงมีสัญญาณว่าเงินเฟ้ออาจไม่ลดลงเร็วดังที่ตลาดบางส่วนกังวล ทำให้โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเร็วและแรงมีน้อยลง ดังนั้น Yields จึงอาจปรับสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันเล็กน้อยได้ อีกประเด็นที่ต้องจับตาคือ ประกาศของกระทรวงคลังสหรัฐฯ ที่จะออกแผนการออกพันธบัตรในระยะต่อไป ซึ่งนายวชิรวัฒน์ คาดว่าจะคงการออกพันธบัตรในไตรมาส 3 เท่าเดิม แต่มีโอกาสที่จะออกพันธบัตรมากขึ้นในไตรมาสสุดท้าย
สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทยนั้น ยังมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ย 1 ครั้งปลายปีนี้ เนื่องจากความเปราะบางในภาคครัวเรือนอาจเริ่มส่งผลมายังอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งจะทำให้ความจำเป็นในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี หากมาตรการ Digital wallet ดำเนินได้ในปีนี้ ก็อาจทำให้ กนง. เลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไปได้ สำหรับมุมมองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาว มองว่ามีโอกาสปรับสูงขึ้นได้ จากแนวโน้มเงินทุนไหลออกตามการปรับน้ำหนัก Bond index ของ JP Morgan และความเสี่ยงที่อุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจมีออกมามากขึ้นได้ในระยะต่อไป
กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance ) ผู้นำแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย มอบเซสชั่น อัปเดทเทรนด์การลงทุน และการจัดบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพในครึ่งปีหลัง โดยเหล่าผู้บริหารจากแพลตฟอร์มการลงทุนชั้นนำและนักลงทุนมืออาชีพ ผ่านงาน Binance TH Super Meetup: BULLiever ที่จัดขึ้น ณ Q Stadium ชั้น M ศูนย์การค้า EmQuartier เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ Spot Bitcoin ETFs โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ (BTC) พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หรือการเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นในรอบ 4 ปี ที่ทำให้ราคาบิทคอยน์ลดลงมาเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
![]()
ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy (ไบแนนซ์ ทีเอช อะแคดิมี) บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด อธิบายถึงวงจรของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลว่า เมื่ออ้างอิงจากประวัติศาสตร์ของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในอดีต สภาพคล่องของราคาการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงราคาบิทคอยน์จะเป็นไปตามวัฏจักร โดยช่วงเวลาที่เกิดปรากฎการณ์ Bitcoin Halving มักจะเป็นช่วงเวลาที่เงินในตลาดสะพัดและขึ้นสู่จุดสูงสุดซึ่งเป็นวงจรที่เกิดขึ้นในทุกๆ 4 ปี โดย ดร.กร มองว่าการเกิด Halving ในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์อยู่ในระดับที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของนักลงทุนที่กำลังมองหาสินทรัพย์ทางเลือก
ในขณะที่ คุณบุริศร์ จีระมะกร จาก Enter to Start กล่าวว่า การที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับโลกเข้ามามีบทบาทในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เกิดจากการอนุมัติ Spot Bitcoin ETFs ซึ่งส่งผลให้เกิดการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นวงกว้าง เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือและมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์โลก อย่างเช่น ภูมิศาสตร์การเมือง ยังส่งผลให้ผู้คนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงจากการถือครองสินทรัพย์แบบดั้งเดิม สู่การถือครองสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งจากปัจจัยในด้านการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัล การอนุมัติ Spot Ethereum ETFs โดย ก.ล.ต.สหรัฐ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้
การเติบโตของ Memecoin
![]()
นอกจากเหรียญยอดนิยมอย่างบิทคอยน์แล้ว คุณพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว จาก Cryptomind Advisory ยังได้แบ่งปันความคิดเห็นที่มีต่อการเติบโตของเหรียญมีม หรือ Memecoin ว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ดีที่สุดในวงการ คริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากเป็นการนำเอาความรู้สึกของผู้คนในคอมมูนิตี้สินทรัพย์ดิจิทัลมาแปลงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าและสามารถจับต้องได้ในชีวิตจริง
“อย่างไรก็ตามหากจะเลือกลงทุนใน Memecoin การศึกษาคอมมูนิตี้ของเหรียญเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน นอกเหนือจากความเข้าใจในตลาดและการจัดการการเงินที่ดี เนื่องจากมูลค่าและความผันผวนของราคาเหรียญจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของชุมชน” คุณพีรพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากเหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin และ Memecoin แล้ว สินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่นๆ อย่าง Real Word Asset (RWA) ที่ถึงแม้ว่าในแง่ของการพัฒนาจะยังอยู่ในช่วง Left Curve แต่มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเภทนี้กลับเติบโตจนเกือบจะก้าวเข้าสู่ระยะ Mid Curve แล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้ SocialFi และ GameFi ก็ยังถือเป็นกลุ่มโทเค็นที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นประเภทเหรียญที่สามารถจับต้องได้ ทำให้มีโอกาสที่จะกลายมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ได้รับความนิยมในอนาคต
คริปโตเคอร์เรนซีและการจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีหลากหลายปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการยอมรับการใช้งานในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สินทรัพย์ดิจิทัลก็ยังเป็นเรื่องใหม่ของนักลงทุนหลายท่าน โดยเฉพาะนักลงทุนที่เคยถือครองสินทรัพย์ดั้งเดิมและไม่เคยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมาก่อน ด้วยเหตุนี้ การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอเพื่อจัดการกับความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่นักลงทุนทุกท่านควรตระหนักถึง
![]()
คุณกวิน สุวรรณตระกูล เจ้าของเพจ TarKawin และคุณยศสรัล พิเชียรสุนทร เจ้าของเพจเด็กการเงิน DekFinance ได้แบ่งปันทริคด้านการลงทุนในแบบฉบับของตนเองว่า การ DCA หรือ Dollar-Cost Averaging เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถทำให้พอร์ตการลงทุนสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง หากนักลงทุนมองว่าเหรียญที่ตนเองต้องการลงทุนมีศักยภาพมากพอที่จะเติบโตขึ้นได้ในอนาคต การทยอยซื้อเก็บเป็นประจำก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีเพื่อสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในระยะยาว
ในขณะที่คุณจิรภัทร โบสุวรรณ เจ้าของเพจ Fun Manager มองว่า สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมีสถาบันการเงินขนาดใหญ่ร่วมลงเล่นในตลาดจากการอนุมัติ Spot Bitcoin ETFs และ Spot Ethereum ETFs ยิ่งทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จัดเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง คือ จำนวน 3-5% ของพอร์ตโฟลิโอ
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการการเงินที่ดี และการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนในการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
ฟีเจอร์ใหม่บน Binance TH
ภายในงาน นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ยังได้ทำการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่านักลงทุนที่ใช้งานแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) ถึง 4 ฟีเจอร์ด้วยกัน ประกอบด้วยฟีเจอร์ Easy Buy/Sell ที่จะมาช่วยให้นักลงทุนชาวไทยสามารถซื้อเหรียญได้ง่ายภายใน 4 ขั้นตอน ซึ่งมาพร้อมแคมเปญพิเศษ ค่าธรรมเนียม 0% ฟีเจอร์ Small Convert ที่จะทำให้นักลงทุนสามารถเปลี่ยนเศษเหรียญต่างๆ เป็นเหรียญ BNB ได้อย่างง่ายดาย ฟีเจอร์ Graph with Transaction History ที่ทำให้นักลงทุนทราบราคาการซื้อขายสินทรัพย์ของตนเองได้ทันทีผ่านหน้ากราฟการซื้อขาย และฟีเจอร์ KYC Foreigner ที่ช่วยมอบการเข้าถึงทางการเงินและการลงทุนให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติในประเทศไทย ให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กัลฟ์ ไบแนนซ์ จะยังคงสานต่อความมุ่งมั่นด้านการเสริมสร้างคริปโตคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง โดยการมอบโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและการลงทุน ผ่านเซสชั่นมอบความรู้ในงาน Binance TH Super Meetup ตลอดจนโครงการริเริ่มด้านการศึกษาอย่าง Binance Academy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยต่อไป
บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ระดับมืออาชีพ ให้บริการครบวงจร ครอบคลุมทั่วไทย และเซาท์ อีส เอเชีย ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนไทยให้มีความสามารถทางภาษา
จึงสานต่อความร่วมมือสถาบันขงจื่อในประเทศไทย และสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล จัดโครงการแข่งขันทักษะการแปลและการล่ามจีนไทย – ไทยจีน ระดับสถาบันอุดมศึกษา ปีที่ 2 ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 340,000 บาท โดยแบ่งเป็นการแข่งขัน “ระดับภูมิภาค” ชิงเงินรางวัล 200,000 บาท มีการแข่งขัน 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 รางวัลด้านการแปลเอกสาร และประเภทที่ 2 รางวัลด้านการล่าม ซึ่งทั้ง 2 ประเภทแบ่งรางวัลออกเป็น 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ 10,000 บาท , รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง 7,000 บาท ,รองชนะเลิศอันดับสอง 4,000 บาท และชมเชยจำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และเกียรติบัตร
นอกจากนี้ ผู้ชนะในระดับภูมิภาคที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และรองชนะเลิศอันดับสอง ทั้ง 2 ประเภทจะมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมการแข่งขัน “ระดับประเทศ” เพื่อชิงเงินรางวัล 140,000 บาท โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 2 ประเภทคือประเภทที่ 1 รางวัลด้านการแปลเอกสาร และประเภทที่ 2 รางวัลด้านการล่าม ซึ่งทั้ง 2 ประเภท จะแบ่งเป็นจำนวน 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ 30,000 บาท ,รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง 20,000 บาท ,รองชนะเลิศอันดับสอง 10,000 บาท และชมเชยจำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท พร้อมทั้งถ้วยรางวัล และเกียรติบัตร
ทั้งนี้ นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการแข่งขันทักษะการแปลและการล่าม จีนไทย – ไทยจีน ระดับอุดมศึกษา ปีที่ 2 ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับประเทศ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Page Facebook : Flash Education (https://bit.ly/4fkDRam) หรือสอบถามได้ที่ Line OA : @942wtfyo โดยเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2567