December 19, 2025

นายเติมพงษ์  เหมาะสุวรรณ  รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ บริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง [5.25-5.50]% ต่อปี โดยจะประกาศอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง คาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2567 ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด  บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด  

หุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ที่ระดับ BBB- ซึ่งเป็น “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ BBB โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในการรับงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่และมีมูลค่างานในมือ (Backlog) จำนวนมาก โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้ประมาณ 2.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้ง ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 ดีกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งด้วย EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย) จำนวน 590 ล้านบาท หรือ EBITDA Margin ที่ 23% สะท้อนถึงการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้นและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ลดลง  สอดคล้องกับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก (มกราคมถึงมีนาคม) ปี 2567 ของบริษัทฯ ซึ่งมีกำไรสุทธิ 34.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 133.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีโครงการที่มีลักษณะการทำงานคล้ายๆ กัน ทำให้การบริหารรวมถึงการใช้เครื่องจักรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการซื้อวัสดุก่อสร้างในปริมาณมากๆ ทำให้บริษัทฯ มีขีดความสามารถในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างในราคาที่ลดลงได้ 

UNIQ เป็นผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย ที่มุ่งเน้นงานสาธารณูปโภคขนาดกลางและขนาดใหญ่ เช่น สถานีกลางบางซื่อ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในด้านบริหารการจัดการและการเลือกใช้เทคโนโลยีระดับสูงให้เหมาะสม และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างสะพานโครงสร้างเหล็กและสะพานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก งานก่อสร้างอุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ทางแยก งานก่อสร้างทางพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กและแอลฟัลท์ติกคอนกรีต งานระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ทั้งไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์ รวมถึงงานในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มูลค่าโครงการสูง หรือเป็นโครงการที่ต้องอาศัยความชำนาญหรือเทคโนโลยีเฉพาะด้าน   

ลูกค้าของบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น กรมทางหลวง การไฟฟ้านครหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บมจ.ท่าอากาศยานไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น ทำให้ความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากงานของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางถึงคุณภาพและการบริหารโครงการที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้มีโอกาสรับงานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาครัฐจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯ 

ล่าสุด กิจการร่วมค้ายูเอ็น-ซีซี ซึ่งประกอบด้วย บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น เซอร์วิสเซส แอนด์ โปรดักส์ จำกัด ได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้าง กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สำหรับการจ้างงานก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน พร้อมโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญา 1 ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย มูลค่า 383.916 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าสัดส่วนงานของ UNIQ จำนวน  322.489 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84% ของมูลค่ารวม ส่งผลให้งานในมือ (Backlog) ของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 อยู่ที่ 49,574.45  ล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2571   

“เราเชื่อว่า หุ้นกู้ UNIQ จะยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ลงทุน และจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของบริษัทฯ ที่สามารถรับงานโครงการใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นโอกาสในการขยายงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของยูนิค ในฐานะบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศ” นายเติมพงษ์กล่าว 

ผู้ลงทุนที่สนใจหุ้นกู้ UNIQ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อสถาบันการเงินที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้ 

 การ์ทเนอร์คาดการณ์ ภายในสิ้นปี 2568 โปรเจกต์ต่าง ๆ จาก Generative AI (GenAI) อย่างน้อย 30% จะยกเลิกหลังการพิสูจน์เชิงแนวคิด หรือ Proof of Concept (PoC) อันเนื่องมาจากข้อมูลคุณภาพต่ำ มีการควบคุมความเสี่ยงไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น หรือมูลค่าทางธุรกิจไม่ชัดเจน 

ริต้า ซาลลัม รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “หลังจาก GenAI เป็นกระแสฮือฮาเมื่อปีก่อน ผู้บริหารต่างจดจ้องที่จะได้เห็นผลตอบแทนจากการลงทุนใน GenAI แต่ว่าองค์กรต่าง ๆ กลับต้องฝ่าฟันเพื่อพิสูจน์และรับรู้ถึงคุณค่าของมัน ตามที่ขอบเขตของแผนงานด้าน GenAI ขยายออกไป ประกอบกับภาระทางการเงินในการพัฒนาและการนำโมเดล GenAI ไปใช้งานก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ 

โดยการ์ทเนอร์ยังระบุว่าความท้าทายสำคัญที่องค์กรเผชิญนั้น คือ การพิสูจน์ให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นจำนวนมหาศาลกับ GenAI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะแปลงเป็นผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรงได้ยาก ทั้งนี้องค์กรมากมายกำลังใช้ประโยชน์จาก GenAI เพื่อเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้มาพร้อมกับต้นทุนมหาศาลตั้งแต่ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ดูรูปที่ 1) 

 

“น่าเสียดายที่ GenAI ไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ และต้นทุนก็ไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ดังนั้นสิ่งที่องค์กรจ่าย อาทิ ยูสเคสที่ลงทุนและวิธีการนำไปใช้ที่เลือก ล้วนเป็นตัวกำหนดต้นทุนทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เข้ามาดิสรัปตลาดและต้องการฝัง AI เข้าไปในทุกที่ หรือต้องการมุ่งเน้นที่การเพิ่มผลผลิตหรือการขยายกระบวนการเดิมที่มีอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีต้นทุน ความเสี่ยง ความผันแปร และส่งผลกระทบเชิงกลยุทธ์ในระดับที่ต่างกัน” ซาลลัม กล่าว 

ผลการวิจัยการ์ทเนอร์ยังชี้ว่าการพัฒนา GenAI ไม่ว่าเพื่อเป้าหมายใด ต้องอาศัยความอดทนที่สูงกว่ากับผลลัพธ์ทางอ้อม สำหรับวางหลักเกณฑ์การลงทุนด้านการเงินในอนาคตเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนทันที (ROI) ในอดีตผู้บริหารระดับสูงด้านการเงิน หรือ CFO หลายรายไม่สะดวกใจลงทุนวันนี้เพื่อมูลค่าทางอ้อมในอนาคต ซึ่งความลังเลใจนี้อาจทำให้การจัดสรรเม็ดเงินลงทุนถูกเบี่ยงเบนไปในทางยุทธวิธีมากกว่าผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์ 

 

การตระหนักถึงมูลค่าทางธุรกิจ 

ผู้ที่นำ AI มาใช้ก่อนใคร หรือที่เรียกว่า Earlier Adopter ทั้งในอุตสาหกรรมและกระบวนการทางธุรกิจต่างรายงานถึงพัฒนาการและการปรับปรุงด้านธุรกิจที่หลากหลาย แตกต่างกันไปตามยูสเคสใช้งาน ประเภทงาน และระดับทักษะของคนทำงาน ผลการสำรวจผู้นำทางธุรกิจของการ์ทเนอร์ล่าสุด จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 822 ราย ที่จัดทำช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปี 2566 พบว่าองค์กรที่นำ AI มาใช้มีรายได้เพิ่มขึ้น 15.8% ประหยัดต้นทุนขึ้น 15.2% และช่วยปรับปรุงประสิทธิผลการผลิตโดยเฉลี่ย 22.6% 

“ดาต้านี้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำคัญสำหรับการประเมินมูลค่าทางธุรกิจที่ได้มาจากนวัตกรรมโมเดลธุรกิจ GenAI แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องยอมรับความท้าทายในการประเมินมูลค่าดังกล่าว เนื่องจากผลประโยชน์ต่าง ๆ นั้นจะขึ้นกับบริษัทเป็นหลัก รวมถึง ยูสเคส บทบาท และแรงงานอย่างเฉพาะ บ่อยครั้งที่ผลกระทบอาจไม่เผยชัดเจนในทันทีและอาจเกิดขึ้นภายหลัง อย่างไรก็ตาม ความล่าช้านี้ไม่ได้ลดผลประโยชน์ที่อาจได้รับลงแต่อย่างใด” ซาลลัม กล่าวเสริม 

การคำนวณผลกระทบต่อธุรกิจ 

จากการวิเคราะห์มูลค่าทางธุรกิจและต้นทุนรวมของนวัตกรรมโมเดลธุรกิจ GenAI องค์กรต่าง ๆ สามารถกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนโดยตรง (ROI) และผลกระทบต่อมูลค่าธุรกิจในอนาคตได้ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบเกี่ยวกับนวัตกรรมโมเดลธุรกิจ GenAI 

“หากผลลัพธ์ทางธุรกิจเป็นไปตามเป้าหรือเกินความคาดหวัง ถือเป็นโอกาสการขยายการลงทุน โดยเพิ่มขอบเขตนวัตกรรมและการใช้งาน GenAI ให้ครอบคลุมฐานผู้ใช้ที่กว้างขึ้น หรือนำไปใช้ในแผนกธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาด อาจจำเป็นต้องพิจารณานวัตกรรมทางเลือก โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้องค์กรจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีกลยุทธ์พร้อมกำหนดแผนดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต” ซาลลัม กล่าวสรุป  

เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดตัวคู่มืออีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน 2 ฉบับ เพื่อส่งเสริมลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (SMEs) ในประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

ในปัจจุบัน ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก1 ด้วยการนำเข้าและส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่แข็งแกร่ง มอบโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขวางให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดจีนและญี่ปุ่น จำเป็นต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมผู้บริโภคในโลกดิจิทัล ความนิยมของผู้บริโภค และการขนส่งของตลาดแต่ละประเทศ เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจของตนอย่างยั่งยืน 

FedEx มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง พร้อมนำความรู้และประสบการณ์มาพัฒนาคู่มืออันเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทางเว็บไซต์ FedEx โดยภายในคู่มือประกอบด้วย: 

  • ภาพรวมภูมิทัศน์ของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อชี้แนะผู้ค้าปลีกออนไลน์ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและมีศักยภาพให้กับธุรกิจของตน 
  • หมวดหมู่สินค้าอีคอมเมิร์ซที่สำคัญที่สุด เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าใจถึงการแข่งขันในแต่ละตลาด โดยระบุหมวดหมู่สินค้าที่มีการแข่งขันสูง และหมวดหมู่สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต 
  • โปรไฟล์ธุรกิจและเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในแต่ละประเทศ ที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากที่สุด 
  • พฤติกรรมและความนิยมของผู้บริโภคเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านการตลาด เช่น การถ่ายทอดสด (Livestreaming) วิดีโอสั้น (Short Video) และการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) 
  • เทศกาลที่เป็นที่นิยมในแต่ละประเทศ เช่น วันวาเลนไทน์ (Valentines Day) วันคนโสด (Single Day) และวันคนมีคู่ (Couples Day) ในประเทศจีน รวมถึง วันปีใหม่ (Oshougatsu New Year Holidays) และสัปดาห์ทอง (Golden Week) ในประเทศญี่ปุ่น  
  • การชำระเงินและการขนส่งที่ผู้บริโภคแต่ละประเทศเลือกใช้ 

“การค้นหาและเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ในตลาดระดับนานาชาติถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ดึงดูดผู้บริโภคและสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน สื่อดิจิทัลช่วยลดอุปสรรคและเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าใจข้อมูลเชิงลึกและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดและขาดไม่ได้ในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางบทบาทของอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” คาวาล พรีท ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเฟดเอ็กซ์ กล่าว “ประเทศจีนและญี่ปุ่นนับเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทางบริษัทฯ ได้ต่อยอดประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการดำเนินกิจการภายในประเทศเหล่านี้มาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งนับเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญสำหรับอีคอมเมิร์ซ ไม่เพียงเท่านี้ เรายังเชื่อมต่อแพลตฟอร์มและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ผลักดันการส่งมอบแนวความรู้และช้อมูลเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์ สนับสนุนให้ร้านค้าปลีกสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” 

“กลุ่มธุรกิจ SMEs ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศไทย เรามุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการผลักดันกลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศให้เข้าใจและสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ คู่มืออีคอมเมิร์ซ 2 ฉบับนี้ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์เชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันและลักษณะเฉพาะที่สำคัญภายในตลาดประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างครอบคลุม เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs ในประเทศสามารถดำเนินธุรกิจในตลาดอีคอมเมิร์ซระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เจตนารมณ์ในการผลักดันผู้ประกอบการ SMEs นี้ สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลไทยในการขยายตลาดสู่ประเทศจีน ส่งเสริมการค้าไร้พรมแดน พร้อมเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง” 

“ในปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตและประสบความสำเร็จภายในตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างมาก” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เราเชื่อมั่นว่ากลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศจะสามารถเติบโตภายในตลาดเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืนด้วยคู่มืออีคอมเมิร์ซที่เป็นประโยชน์ โดยคู่มือนี้รวบรวมข้อมูลและการบริการจากความรู้ความชำนาญ รวมถึงเครือข่ายทั่วโลก สะท้อนบทบาทของเฟดเอ็กซ์ในฐานะหนึ่งในพาร์ทเนอร์สำหรับกลุ่มธุรกิจในการขยายตลาดสู่ระดับสากล” 

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียและระดับสากล โดยผู้ประกอบการ SMEs ชาวไทยซึ่งคิดเป็น 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศไทย2  ต่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดสินค้าส่งออก อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมการเกษตร รถยนต์ และเครื่องจักรกล ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกหลัก 3 อันดับแรกของประเทศที่สำคัญและน่าจับตามอง ส่งเสริมโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจ SME ในไทย ให้สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีการค้าระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์ 

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทาง: คู่มือการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซไร้พรมแดนสู่ประเทศจีนและญี่ปุ่น 

แกร็บฟู้ด (GrabFood) แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรียอดนิยม เผยอินไซต์คนไทยนิยมสั่งอาหารผ่านแอปฯ เพื่อบริโภคเป็นกลุ่ม ระบุ 93% ของผู้ใช้บริการแกร็บฟู้ดสั่งอาหารมากินด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

แต่กว่า 75% พบปัญหาในการแบ่งจ่ายหรือโอนเงินคืนกัน สบช่องผุดไอเดียอัปเกรดฟีเจอร์ “คำสั่งซื้อกลุ่ม” (Group Order) เพื่อแก้ปัญหาให้ผู้ใช้บริการสั่งอาหารร่วมกันได้สะดวกขึ้น สามารถเลือกเมนูโปรดได้ตามใจ   และเพิ่ม 3 ออปชันการจ่ายเงินได้ตามต้องการ พร้อมส่งแคมเปญ “รักนะกรุ๊ปๆ กินกับกรุ๊ป สั่งกับ Grab”     เจาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ครอบครัวและเพื่อน มาพร้อมโปรโมชันรูปแบบใหม่  ยิ่งสั่งกรุ๊ปใหญ่ ยิ่งลดเยอะ ด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 15% เมื่อสั่งอาหารเป็นกลุ่มตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป พร้อมส่วนลด 30% สำหรับผู้ใช้ใหม่เพียงใส่โค้ด “NEWGROUP” 

นายจิรกิตต์ กว้างสุขสถิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “จากการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้ใช้บริการ หนึ่งในอินไซต์ที่น่าสนใจคือคนไทยนิยมรับประทานอาหารด้วยกันหรือใช้เวลาร่วมกันในมื้ออาหาร โดย 93% ของผู้ใช้บริการแกร็บฟู้ดในประเทศไทยจะสั่งอาหารมารับประทานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป[1] ทั้งนี้ แกร็บได้พัฒนาและเปิดตัวฟีเจอร์ ‘คำสั่งซื้อกลุ่ม’ (หรือ Group Order) มาตั้งแต่ปี 2563 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการที่ต้องการสั่งอาหารร่วมกันภายในออเดอร์เดียว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ โดยกว่า 85% ของผู้ใช้บริการฟีเจอร์ Group Order เลือกสั่งอาหารเพื่อมารับประทานร่วมกันในมื้อหลัก[2] โดยเฉพาะมื้อเที่ยงและมื้อเย็น รองลงมาคือสั่งอาหารร่วมกันเพื่อฉลองในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ และรับประทานระหว่างการประชุม” 

 

“หนึ่งในปัญหา (Pain Point) หลักของผู้ใช้บริการเมื่อสั่งอาหารร่วมกันคือ คนไทยเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่กล้าทวงเงิน โดย 75% ของผู้ใช้บริการระบุว่า มักมีปัญหากับการแบ่งจ่ายเงิน[3] ไม่ว่าจะเป็น การคำนวณยอดสั่งและการหารค่าอาหาร หรือความวุ่นวายในการโอนเงินคืนกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าบ่อยครั้งที่การสั่งอาหารร่วมกันในออเดอร์เดียวใช้เวลานาน บางครั้งเกิดความยืดเยื้อเพราะต้องรอให้แต่ละคนใส่รายละเอียดที่ต้องการโดยไม่มีการกำหนดเวลาปิดรับออเดอร์ ล่าสุดเราจึงได้พัฒนาและอัปเกรดฟีเจอร์ Group Order ให้ตอบโจทย์มากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการแบ่งจ่ายและลดเวลาในการสั่ง”            นายจิรกิตต์ กล่าวเสริม 

ฟีเจอร์คำสั่งซื้อกลุ่ม (Group Order) รูปแบบใหม่มาพร้อม 3 ไฮไลท์สำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาของผู้ใช้บริการได้แบบตรงจุด คือ 

  • สั่ง(เป็นกลุ่ม)ง่าย ไม่ยืดเยื้อ: ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถสั่งอาหารแบบกลุ่มได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยสามารถสั่งร่วมกันได้มากสุดถึง 10 คน ทั้งนี้ผู้ใช้บริการที่เริ่มสั่ง (Host) สามารถสร้างลิงก์เพื่อสั่งอาหารและแชร์ไปยังกลุ่มเพื่อให้สมาชิกสามารถเลือกเมนูอาหารและใส่รายละเอียดที่ตัวเองต้องการได้โดยตรง ทั้งยังสามารถตรวจสอบรายการอาหาร รวมไปถึงติดตามสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์จากเครื่องของตนเอง        ที่สำคัญคือสามารถกำหนดเวลาปิดรับออเดอร์เพื่อควบคุมเวลาในการสั่งอาหารไม่ให้ยืดเยื้อได้ด้วย 
  • จ่ายตามใจ ไร้กังวล: ผู้ใช้บริการจะมีตัวเลือกในการแบ่งจ่ายเงินระหว่างกันได้ตามความต้องการถึง 3 ออปชัน ไม่ว่าจะเป็น การเลือกจ่ายเฉพาะออเดอร์ที่ตัวเองสั่ง การจ่ายแบบเฉลี่ยเท่ากันทุกคน หรือแม้แต่จะเลือกจ่ายแทนทุกคนก็ได้ ซึ่งเมื่อเลือกรูปแบบที่ต้องการแล้ว ยอดเงินเรียกเก็บจะส่งตรงไปยังเครื่องของแต่ละคน ขจัดปัญหากวนใจเรื่องการตามทวงค่าอาหาร 
  • ยิ่งกลุ่มใหญ่ ยิ่งลดเยอะ: ฟีเจอร์ใหม่นี้มาพร้อมการให้ส่วนลดรูปแบบใหม่เพื่อนำเสนอความคุ้มค่าที่มากขึ้น คือ ยิ่งมีจำนวนสมาชิกที่สั่งอาหารร่วมกันมากขึ้น ก็ยิ่งได้รับส่วนลดมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ แกร็บฟู้ดได้เปิดตัวแคมเปญ รักนะกรุ๊ปๆ กินกับกรุ๊ป สั่งกับ Grab” ภายใต้คอนเซปต์             “MEALATIONSHIP SAVER” เพื่อตอกย้ำจุดแข็งของฟีเจอร์คำสั่งซื้อกลุ่มในฐานะตัวช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และเพิ่มความสุขให้กับการรับประทานอาหารร่วมกัน จัดเต็มด้วยกิจกรรมการตลาด 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์            เพื่อเจาะ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนทำงานออฟฟิศ กลุ่มครอบครัว และกลุ่มเพื่อน พร้อมให้ส่วนลดพิเศษสูงสุด   ถึง 15% เมื่อสั่งอาหารร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป (สูงสุด 10 คน) พิเศษ! สำหรับผู้ใช้บริการใหม่ รับส่วนลดเพิ่ม 30%   (สูงสุด 100 บาท เมื่อสั่งอาหารขั้นต่ำ 200 บาท) เพียงใส่โค้ด ‘NEWGROUP’ ตั้งแต่วันนี้ถึง 18 สิงหาคม 2567 เท่านั้น 

ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับฟีเจอร์คำสั่งซื้อกลุ่ม (Group Order) และแคมเปญ รักนะกรุ๊ปๆ กินกับกรุ๊ป สั่งกับ Grab”

นางสาวเกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมาส่วนแบ่งการตลาดของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบ Centralize Exchange ของ Bitget อยู่ในอันดับสูงสุดที่อัตราเติบโต 38.4% จากการเปิดเผยของ CCData ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมข้อมูลของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด โดยผู้เล่นรายอื่นอย่าง Crypto.com และ Bybit มีอัตราการเติบโตที่ 24.6% และ 22.2% ตามลำดับ ส่วนผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Coinbase, OKX และ KuCoin มีการลดลงเมื่อเทียบกับ CEX  

"การเติบโตของ Bitget มาจากชุมชนผู้สนับสนุนและผู้ใช้งานที่มั่นใจในความเข้มแข็งของแพลตฟอร์มและความมุ่งมั่นในการให้บริการผู้ใช้ของเรา การวิเคราะห์ภายในล่าสุดของเรายังบ่งบอกถึงอัตราการเติบโตที่เร็วขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่คนทั่วไปเริ่มเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้น" นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว 

CCData ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่าหลังจากที่ ก.ล.ต.สหรัฐฯได้อนุมัติกองทุน ETF ของ Bitcoin และ Ethereum ในครึ่งปีแรก ทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นเห็นได้จากอัตราการเปิดสถานะของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 30.5% รวมถึงการซื้อขายในตลาด Spot และอัตราการระดมทุนที่มีทิศทางเชิงบวกเนื่องจากเทรดเดอร์มองหาโอกาสในการทำกำไรจากการอนุมัติ Ethereum Spot ETF อย่างกะทันหันในสหรัฐฯ 

โดย Bitget มีการเติบโตสูงกว่าการเติบโตของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดซื้อขายอนุพันธ์ทั้งหมด โดยมีการเพิ่มขึ้นของการเปิดสถานะตราสารอนุพันธ์  39.2% ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่อื่น เช่น Binance และ OKX มีการเพิ่มขึ้น 33.2% และ 22.1% ตามลำดับ 

นอกจากนี้ตามข้อมูลของ Similarweb แพลตฟอร์ม Bitget มีอัตราการเข้าชมเพิ่มขึ้น 50% โดยตลาดหลักมาจากภูมิภาค CIS (กลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต) ตามด้วยตลาดลาตินอเมริกาและเอเชียใต้ 

รายงานความโปร่งใสไตรมาสที่ 2/2567 ของ Bitget ยังได้เปิดเผยทุนสำรองของ Bitget อย่างโปร่งใสแสดงให้เห็นว่าในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา จำนวนการถือครองของผู้ใช้ใน BTC, USDT, ETH เพิ่มขึ้น 73%, 80% และ 153% ตามลำดับ ซึ่งบ่งชี้ถึงเงินทุนไหลเข้าเกือบ 700 ล้านดอลลาร์  

ตามข้อมูลบน DeFiLama ในเดือนมิถุนายน Bitget บันทึกเงินทุนไหลเข้าสูงสุดที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ แซงหน้าการไหลเข้าของ Binance, OKX, Bybit และตลาดซื้อขายรายใหญ่รายอื่น ๆ  CCData ไม่ใช่ผู้ให้บริการข้อมูลรายเดียวที่เน้นย้ำถึงการเติบโตและศักยภาพของ Bitget เมื่อเร็ว ๆ นี้ Forbes ได้จัดอันดับโทเค็น Bitget (BGB) เป็นหนึ่งใน 10 โทเค็นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในปี 2024 โดยเพิ่มขึ้น 100% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024  

“ผลงานที่เติบโตขึ้นนี้มาจากความพยายามของเราที่จะให้บริการกับลูกค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลกรวมถึงมาตราการทำงานที่ได้มาตราฐานเพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปีนี้มีแนวโน้มเชิงบวก”  นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว 

เวียตเจ็ทไทยแลนด์เปิดตัวระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biometric validation) สำหรับการเช็คอินเที่ยวบินขาออกบนทุกเส้นทางบินภายในประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เชิญชวนผู้โดยสารเดินทางแบบครอบครัวด้วยโปรโมชั่น “โปรดีฯ ทริปนี้แฮปปี้ยกบ้าน (Family Fun Month)” เสนอบัตรโดยสารราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 88 บาท (ราคาไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียม)  สำหรับเดินทางบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศและระหว่างประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ สามารถสำรองบัตรโดยสารได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ใช้เดินทางได้ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม 2567 – 31 มีนาคม 2568 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่ th.vietjetair.com 

 

พร้อมกันนี้ เวียตเจ็ทไทยแลนด์เริ่มใช้งานระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biometric validation) สำหรับการเช็คอินเที่ยวบินขาออกบนทุกเส้นทางบินภายในประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ผู้โดยสารสามารถยืนยันตัวตนด้วยระบบจดจำใบหน้าเพื่อทำการเช็คอินและขึ้นเครื่องได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใบหน้าของตนเองได้โดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด หรือ หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ณ เคาน์เตอร์เช็คอิน แถว C หรือ ตู้คีออสบริเวณแถว B และ E ล่วงหน้าอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง ผู้โดยสารที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปและไม่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษหรือบริการเสริมอื่น ๆ สามารถใช้งานระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพได้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกลบภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากออกเดินทางเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวสูงสุดของผู้โดยสาร นอกจากนี้ ผู้โดยสารสามารถผ่านประตูขึ้นเครื่องด้วยเครื่องสแกนใบหน้า ณ ประตูขึ้นเครื่องโดยไม่ต้องตรวจสอบเอกสารการเดินทาง ระบบดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาในการเช็คอินและอำนวยความสะดวกขณะผ่านประตูทางออกขึ้นเครื่อง สายการบินฯ พร้อมมอบความสะดวกสบายเหนือระดับแก่ผู้โดยสาร รวมทั้งยกระดับประสบการณ์การเดินทางด้วยบริการที่เป็นนวัตกรรม เน้นย้ำความตรงต่อเวลาและความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพของบริการภาคพื้นดินอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้โดยสารสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  th.vietjetair.com 

บัตรโดยสารราคาโปรโมชั่นนี้สามารถใช้เดินทางได้กับทุกเส้นทางบินบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี อุดรธานี ขอนแก่น และอุบลราชธานี รวมถึงเส้นทางบินข้ามภูมิภาคจาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ และเชียงราย และทุกเส้นทางบินบนเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เวียดนาม พนมเปญ สิงคโปร์ ฟูกุโอกะ ไทเป เซี่ยงไฮ้ และหางโจว รวมถึงเส้นทางบินตรงจาก เชียงใหม่ สู่ โอซาก้า ผู้โดยสารสามารถสำรองบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้ได้ที่เว็บไซต์ th.vietjetair.com แอปพลิเคชัน “Vietjet Air” หรือผ่านช่องทางเฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/VietJetThailand (คลิกที่แถบ “จองเลย”) รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายหรือสำนักงานจำหน่ายบัตรโดยสาร พร้อมกันนี้ผู้โดยสารสามารถชำระเงินด้วย “ทรูมันนี่ วอลเล็ท” และบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต 

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ให้บริการครอบคลุม 11 เส้นทางบินภายในประเทศ ได้แก่ เส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวมถึงเที่ยวบินข้ามภูมิภาค จาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ และเชียงราย พร้อมกันนี้ สายการบินฯ ได้ขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เชื่อมต่อประเทศไทยกับเวียดนาม จีน สิงคโปร์ กัมพูชา ญี่ปุ่น ไทเป และอีกหลายจุดหมายปลายทางทั่วทั้งภูมิภาค 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินค่าเงินบาทในช่วงสิ้นปี 2567 มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น โดยจะอยู่ในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศยังคงเปราะบางกว่าในอดีต หลังเศรษฐกิจไทยเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งส่งผลให้ดุลการชำระเงินไม่แข็งแกร่งเหมือนในอดีต ประกอบกับความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายตัว ทำให้ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าและผันผวนอยู่ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในช่วงปลายปีนี้ แนะธุรกิจเตรียมรับมือกับความเสี่ยงจากสถานการณ์ตลาดการเงินที่ยังมีความไม่แน่นอน 

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทโดยรวมปรับอ่อนค่า 7% มากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย เป็นรองเพียงเงินเยนของญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนปัจจัยภายในประเทศ เช่น ฤดูการจ่ายเงินปันผล และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่กดดันการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ เป็นต้น  แต่สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง หากพิจารณาจากสถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ทิศทางค่าเงินบาทมักจะปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้าย ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาส 4 โดยเฉลี่ยถึง 4.9%  ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยวของไทยที่มีความต้องการเงินบาทจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น รวมถึงความต้องการค่าเงินบาทของกลุ่มบริษัทในการปิดงบประมาณสิ้นปี อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในเชิงการเมืองและการค้า ดังนั้น ttb analytics ได้ประเมินแนวโน้มทิศทางค่าเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้นในครึ่งหลังของปี ณ สิ้นปี 2567 ค่าเงินบาทจะอยู่ในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากมุมมองปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย และการเปลี่ยนแปลงทางการเงินและเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบ โดยมีรายละเอียดดังนี้  

 1) ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ยังไม่สามารถสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเหมือนในอดีต 

ตัวที่สะท้อนภาพได้ชัดเจน คือ ดุลบัญชีเดินสะพัด ที่บอกถึงรายรับและรายจ่ายเงินตราต่างประเทศจากการขายสินค้าและบริการ ปัจจุบันไทยมีแนวโน้มเกินดุลบัญชีเดินสะพัดไม่มากเหมือนในอดีต ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการส่งออกสินค้าของไทยโตได้ช้าลง เนื่องจากเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างจากกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีเก่าที่มีความต้องการในตลาดโลกน้อยลง และผลจากนโยบายการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น จากการระบายสินค้าของจีน (De-Stocking) เข้ามาในไทยและราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งหากดูตัวเลขดุลการค้า (Trade Balance) ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ไทยเกินดุลเพียง 7.1 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าเกินดุลเฉลี่ยปี 2558-2562 ที่ 14.4 พันล้านดอลลาร์ ในส่วนดุลบริการของไทยครึ่งแรกของปีของปี 2567 การท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวน 0.83 ล้านล้านบาท น้อยลงจากช่วงปี 2562 ที่สูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท ผลจากโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เปลี่ยนไป  ในขณะที่ดุลบริการในส่วนของค่าขนส่งที่ปกติขาดดุลอยู่เดิมมีแนวโน้มติดลบมากขึ้นจากการปรับขึ้นค่าระวางเรือตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจากปัญหาความขัดแยังในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ  

2) ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital & Financial Account) ยังขาดดุลเพิ่มขึ้น กดดันค่าเงินบาทต่อเนื่อง   
ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายที่สะท้อนการลงทุนโดยตรง และสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังมีแนวโน้มไหลออกจากปัจจัยโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังมีอยู่ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนภายในประเทศ และทิศทางของเงินทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงกว้างกว่าในอดีต ยังไม่เอื้อต่อการแข็งค่าของเงินบาท หนึ่งในนั้นคือการที่นักลงทุนภายในประเทศมีความสนใจสินทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตราสารหนี้ (Bonds) ที่มีเงินทุนไหลออกกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสที่ 1 จากผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น ตามวัฏจักรดอกเบี้ยโลกที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การไปลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนในประเทศ ประกอบกับดอกเบี้ยต่างประเทศที่สูงกว่าทำให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะกลุ่มส่งออกมีการฝากเงินสกุลต่างชาติมากขึ้น แทนการแลกเงินสกุลบาททันที เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศยังคงกว้างกว่าในอดีตมาก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวลดแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น  

3) แนวโน้มวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก อาจช่วยสนับสนุนการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ แต่ต้องติดตามปัญหาภูมิรัฐศาสตร์    ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศ แม้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะคาดว่า Fed จะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในช่วงปลายปีนี้ หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น ซึ่งบางส่วนอาจช่วยลดแรงกดดันเงินทุนไหลออกจากประเทศไทยได้บ้าง เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินตลอดทั้งปีนี้  

อย่างไรก็ตาม การดึงดูดเงินทุนต่างชาติเข้าสู่สินทรัพย์ของไทยยังคงจำกัดจากการที่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีหุ้นกลุ่ม Growth และดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงต่ำ เมื่อเทียบกับภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลก และเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้ ตลอดจนความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ที่ยังคงมีอยู่ 

จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยถึงสิ้นปีนี้อาจไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการค้าโลก ขณะที่ปัจจัยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังกดดันราคาพลังงานและขนส่งสินค้าให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น วัฏจักรนโยบายการเงินโลกที่ผ่อนคลายมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการเมืองของสหรัฐฯ จะสร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนมากขึ้นให้กับตลาดการเงินโลก ทำให้ ttb analytics มองประเด็นเหล่านี้จะสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินบาทผันผวนและอ่อนค่าได้ ทำให้ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับค่าเงินไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือผู้ที่มีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ ควรติดตามข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังควรศึกษาและใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม เพื่อลดความผันผวนและความเสี่ยงของค่าเงินบาท เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในช่วงเวลาต่อไป 

บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำตลาดเกมออนไลน์และอีสปอร์ตในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเฉลิมฉลองความสำเร็จครบรอบ 8 ปี Arena of Valor (RoV) และทัวร์นาเมนต์อีสปอร์ตของ RoV พร้อมนำเสนอนิทรรศการพิเศษที่จะพาย้อนรอยประวัติศาสตร์การแข่งขัน RoV Pro League ตั้งแต่ซีซั่นรกจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งยังประกาศการแข่งขัน RoV Pro League 2024 Winter อย่างเป็นทางการ และเปิดตัวพันธมิตรผู้สนับสนุนและ 8 สโมสรอีสปอร์ตชั้นนำของประเทศไทย ในวันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2567 เวลา 13.30 – 15.00 น. ณ Lido Connect กรุงเทพมหานคร 

Alibaba.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B)  ประกาศในงานเปิดตัวในกรุงปารีสว่า Alibaba.com เป็นพันธมิตรอีคอมเมิร์ซสำหรับงานโอลิมปิกและพาราลิมปิกรายแรกของโลก ที่ได้เข้าร่วมโครงการ Athlete365 Business Accelerator รุ่นที่สี่ (“Business Accelerator”) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่นำโดย คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee: IOC) เพื่อสนับสนุนนักกีฬาในการสร้างอาชีพเสริมและการสานต่องานอาชีพ ผ่านการสนับสนุนและผลักดันศักยภาพนักกีฬาสู่การเป็นผู้ประกอบการในอนาคต 

Alibaba.com เชื่อมโยงผู้ซื้อและซัพพลายเออร์จากกว่า 200 ประเทศและหลากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน โดยนำเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมและเครื่องมือทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้ SMEs เริ่มต้นและสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ ด้วยการลดความยุ่งยากในการค้าขายทั่วโลกสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย มอบโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการที่มีความมุ่งมั่น รวมถึงนักกีฬาทุกประเภท  

ข้อมูลใหม่จาก Alibaba.com* พบว่า เกือบสองในสาม (63%) ของอดีตนักกีฬาต้องดิ้นรนเพื่อหาอาชีพใหม่หลังจากการเป็นนักกีฬา และถึงแม้ว่าอดีตนักกีฬากว่า 76% คิดว่าตนเองมีทักษะในเชิงธุรกิจที่สามารถต่อยอดได้ แต่ปัจจุบันมีนักกีฬาเพียงครึ่งหนึ่ง (52%) เท่านั้นที่กำลังมีธุรกิจส่วนตัว 

โครงการ Athlete365 Business Accelerator เป็นศูนย์บ่มเพาะธุรกิจที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักกีฬามืออาชีพทั้งอดีตและปัจจุบันมีทักษะที่จำเป็นในการสร้างและบริหารธุรกิจของตนเอง โดยในฐานะพันธมิตรรายแรกที่เข้าร่วมโครงการนี้ Alibaba.com จะสร้าโครงการฝึกอบรมหลายช่วงที่เน้นด้านอีคอมเมิร์ซและการค้าระดับโลก ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างความรู้ของผู้เข้าร่วมในด้านที่สำคัญทางธุรกิจ เช่น การใช้เครื่องมือ AI การจัดหาสินค้าจากทั่วโลก และการส่งออก B2B ผ่านตลาดดิจิทัล 

Alibaba.com ตั้งเป้าในการเพิ่มศักยภาพให้กับนักกีฬาและอดีตนักกีฬาทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย ตลอดการฝึกอบรมในโปรแกรมดังกล่าว นอกจากนี้ Alibaba.com ยังจะเสนอแพ็คเกจ Business Accelerator สำหรับผู้สมัครที่น่าจับตามองจำนวน 50 ราย มูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ** ต่อแพ็คเกจ ซึ่งจะผสมผสานการฝึกอบรมด้านการขนส่ง การปฏิบัติงานและการจัดหาสินค้า และเครดิต เพื่อช่วยให้ผู้สมัครปลดล็อกโอกาสการเติบโตในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน 

 

Kuo Zhang ประธานบริษัท Alibaba.com และ Tony Parker อดีตนักกีฬาโอลิมปิกและแอมบาสเดอร์ของ Alibaba.com 

Kuo Zhang ประธานบริษัท Alibaba.com กล่าวว่า "ที่ Alibaba.com เราได้เห็นผู้ค้าจำนวนมากที่ไม่มีพื้นฐานทางธุรกิจกลายเป็นผู้ประกอบการ SME ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงผ่านการใช้บริการและเครื่องมือบนแพลตฟอร์มของเรา สำหรับเหล่านักกีฬานั้น พวกเขามีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญ มุ่งมั่น และทัศนคติเชิงบวกในการเล่นกีฬา และด้วยการนำคุณลักษณะที่สำคัญแบบเดียวกันเหล่านี้มาสู่โลกธุรกิจ ความตั้งใจและความไม่ย่อท้อของพวกเขาจะทำให้พวกเขาได้เปรียบในฐานะผู้ประกอบการ พวกเราที่ Alibaba.com ยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนนักกีฬาในการเสริมสร้างทักษะการขาย เพื่อช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในฐานะผู้ประกอบการ” 

Kaveh Mehrabi ผู้อำนวยการฝ่ายนักกีฬาของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ Alibaba.com มาร่วมงานในฐานะพันธมิตรสำหรับโครงการ Athlete365 Business Accelerator ของ IOC ด้วยการเตรียมพร้อมนักกีฬาผ่านการฝึกอบรมและบ่มเพาะทักษะที่เหมาะสม ที่ประกอบด้วยโครงการการให้คำปรึกษาและเครื่องมือดิจิทัลของ Alibaba.com โดยเราจะร่วมกันส่งเสริมนักกีฬาโอลิมปิกที่มีความมุ่งมั่นในการเริ่มต้นธุรกิจของตนเองให้ได้เริ่มลงมือทำจริง  โครงการนี้ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจร่วมกันของเรา เพื่อช่วยให้นักกีฬาสามารถสร้างเส้นทางอาชีพถัดไปให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยความเชี่ยวชาญจากพันธมิตรชั้นนำของเรา” 

เพื่อช่วยเชื่อมโยงระหว่างโลกของการกีฬาและการค้า Alibaba.com เสนอโอกาสในการให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ Business Accelerator ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงและทีมงานระดับโลกจาก Alibaba.com รวมถึง Global Ambassadors โดยทุกคนนั้นได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักกีฬาสู่การเป็นผู้ประกอบการ อาทิ Tony Parker นักกีฬาโอลิมปิกสองสมัย, Elias Schwärzler นักปั่นจักรยานเสือภูเขามืออาชีพ และ Simona Galik Moore อดีตนักเทนนิสมืออาชีพชื่อดัง  Tony, Elias และ Simona ต่างใช้ Alibaba.com ในการขับเคลื่อนธุรกิจของตน โดยธุรกิจ SME ทั่วโลกก็สามารถได้รับประโยชน์จากข้อเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของ Alibaba.com ได้เช่นกัน 

จากความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น เทคโนโลยีที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการผลิตพลังงานที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ภายใต้การนำของ นายอิศรา นิโรภาส ซีอีโอ BPP ผู้มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานกว่า 30 ปี จึงมองหาโอกาสที่จะเดินหน้าเติบโตท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ โดยประกาศแนวทางการดำเนินธุรกิจ “Beyond Megawatts Portfolio” เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจโดยเพิ่มการลงทุนในโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ การต่อยอดธุรกิจไฟฟ้าที่มีอยู่ รวมทั้งการผลิตพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ  

 

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพ ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา BPP มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานไฟฟ้าที่มีความสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ สามารถเข้าถึงได้ด้วยราคาที่เหมาะสม (Affordable) สามารถส่งมอบได้อย่างต่อเนื่อง (Reliable) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly) จากนี้ต่อไป นอกจากจะรักษาจุดยืนนี้แล้ว BPP ยังพร้อมขยายขอบเขตของธุรกิจให้กว้างขวางขึ้นไปกว่าการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า ตามแนวทาง ‘Beyond Megawatts Portfolio’ เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสเติบโตจากธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะมีส่วนพัฒนาโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อมั่นในจุดแข็งที่จะทำให้ BPP เดินทางตามแนวทางใหม่นี้ได้” 

จุดแข็งเพื่อขับเคลื่อนให้ BPP ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตพลังงานตามแนวทาง Beyond Megawatts Portfolio 

  • ความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก BPP มีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้ากว่า 41 แห่ง/โครงการ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ใน 8 ประเทศ จึงมีความเข้าใจในกฎระเบียบภาครัฐและบริบทเศรษฐกิจที่หลากหลาย รวมถึงมีความชำนาญในการบริหารธุรกิจไฟฟ้าภายใต้รูปแบบสัญญาซื้อขายระยะยาว (Power Purchase Agreement: PPA) และแบบตลาดแข่งขันเสรี (Merchant Market) ทำให้สามารถนำข้อได้เปรียบของรูปแบบการซื้อขายไฟฟ้าแต่ละประเภทมาก่อให้เกิดโอกาสในการสร้างรายได้สูงสุดจากการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา 
  • ความสามารถในการผสานพลังร่วมกับกลุ่มบ้านปู (Synergy within the Banpu Ecosystem) BPP ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานของบ้านปู สามารถเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจโดยอาศัยพลังร่วมจากกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน เช่น 1) การต่อยอดธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I & II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา หลังจากที่บ้านปูได้ดำเนินธุรกิจแหล่งก๊าซธรรมชาติ 
    บาร์เนตต์ที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส ผ่านบริษัท BKV ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบ้านปู 2) การที่ BPP ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar ที่ตั้งอยู่ในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ นับเป็นการเริ่มต้นธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ของ BPP เป็นครั้งแรก 3) การร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Sequestration: CCUS) “Cotton Cove” ในสหรัฐฯ ร่วมกับ BKV ทำให้ BPP เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) และ 4) การแบ่งปันองค์ความรู้กับบ้านปูซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานเพื่อพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด เช่น การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System: BESS) ในพื้นที่โรงไฟฟ้า Temple I & II และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานอื่น ๆ ในอนาคต 
  • สถานะการเงินที่แข็งแกร่งรองรับการขยายการลงทุน เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถสร้างพอร์ต Beyond Megawatts Portfolio ที่มีคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวได้อย่างมั่นคง สะท้อนผ่านตัวเลขต่าง ๆ อาทิ สินทรัพย์รวมมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีคุณภาพให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน (อัตราส่วนสภาพคล่อง) มากกว่า 1 เท่า แสดงถึงสภาพคล่องที่ดีและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net debt to equity) ในระดับต่ำ (0.48 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567) แสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินต่ำ รวมถึงการปรับปรุงและพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ BPP สามารถลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับกับความ 
    ท้าทายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 
  • ทีมงานที่ไม่หยุดพัฒนาและพร้อมปรับตัวสู่โลกอนาคต (Innovative & Resilient) ทีมงาน BPP ผสมผสานคนมากประสบการณ์ในธุรกิจพลังงานและคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมขับเคลื่อนความคิดเชิงนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าด้วยกัน โดยให้โอกาสและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคน และมีพื้นที่สำหรับการนำเสนอไอเดียสร้างสรรค์ตลอดเวลา ทีมงานของ BPP จึงมีความโดดเด่นด้วยทัศนคติที่เป็นสากล (Global mindset) พร้อมเรียนรู้ มีความยืดหยุ่นพร้อมปรับตัว มีความเป็นเจ้าของงานร่วมกัน (Sense of ownership) ตลอดจนมีความสามารถในการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต 

“การดำเนินธุรกิจตามแนวทาง Beyond Megawatts Portfolio จะทำให้ BPP เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยตั้งเป้าว่าในปี 2030 (พ.ศ. 2573) เราจะได้เห็นพอร์ตธุรกิจของ BPP ที่ยังคงความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า และมีความคืบหน้าในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานอื่น ๆ ที่สอดรับกับเทรนด์ของพลังงานแห่งอนาคต ในฐานะบริษัทผู้ผลิตพลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy Generation Company) เหนือสิ่งอื่นใด BPP ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG ที่คำนึงถึงทั้งการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาสังคมและชุมชน รวมถึงการกำกับดูแลกิจการให้มี 
ความเป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ เช่น การได้รับการต่ออายุเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption: CAC) และการสื่อสารนโยบายการกำกับดูแลกิจการไปยังพนักงานในองค์กรทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ” นายอิศรา กล่าวสรุป 

X

Right Click

No right click