

ในปัจจุบันงาน HR ถือเป็นกลไกเบื้องหลังการขับเคลื่อนธุรกิจที่จะขาดไปไม่ได้ เนื่องจากบุคลากรคือทรัพยากรสำคัญขององค์กร เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น งาน HR จึงต้องพัฒนาให้ทันตามการขยายตัวของธุรกิจ ทำให้ฟังก์ชันงาน HR บางส่วนต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการให้รวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถรองรับกลยุทธ์ด้านบุคลากรของธุรกิจได้ในระยะยาว
สำหรับการขับเคลื่อนงาน HR นั้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในกระบวนการทำงานได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น Generative AI (Gen AI) และ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง โดยใช้กระบวนการเรียนรู้จากข้อมูล (Machine Learning) เพื่อสร้างโมเดลที่สามารถทำนายผลลัพธ์จากข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
แม้ว่า Gen AI จะได้รับการพัฒนาจนนำไปใช้งานได้หลากหลายด้าน และใช้ช่วยในการทำงาน HR ได้แบบ ครบจบทุกกระบวนการ อย่างไรก็ตาม ในการสร้างประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาวไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่ต้องมีการเตรียมความพร้อมและวางกลยุทธ์เพื่อให้ AI สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง
นายพิพัฒน์ ประภาพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่าย Advanced Insights บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันเทคโนโลยี Gen AI ได้รับการพัฒนาจนสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ แต่สำหรับการนำไปใช้งานภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ควรมีการเตรียมความพร้อมใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. บุคลากรที่ควรมีทักษะในการถามคำถามเพื่อป้อนคำสั่งที่เหมาะสมสำหรับให้ AI สร้างผลลัพธ์ 2. กระบวนการที่ต้องมีแนวทางการเก็บข้อมูล หรือมีนโยบายด้าน Data Governance ในการควบคุมดูแลด้านข้อมูลโดยเฉพาะในการเอา AI ไปใช้สำหรับการทำงานในส่วนต่าง ๆ และ 3. เทคโนโลยีที่ระบบภายในองค์กรควรเป็น Private System ที่มีการปกป้องดูแลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน
สำหรับงาน HR นั้น หากมองในภาพรวมแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ด้วยกัน ประกอบด้วย การสรรหาบุคลากร (Talent Acquisition) การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) และ การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (Resource Management) ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนั้น Gen AI สามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกกระบวนการ 
Use Case Prioritization วางกลยุทธ์ปรับใช้ Gen AI
บลูบิค มองว่า ก่อนนำ Gen AI ไปใช้จริงสำหรับงาน HR องค์กรควรทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมเรื่องข้อมูลก่อน ซึ่งโดยปกติแล้วข้อมูลในงาน HR แบ่งเป็นข้อมูลภายในองค์กรที่ครอบคลุมตั้งแต่ข้อมูลผู้สมัครงาน ข้อมูลบริษัท นโยบายบริษัท ข้อมูลสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และระบบการบริหารจัดการด้าน HR อีกส่วนคือข้อมูลภายนอก เช่น เทรนด์ตลาดแรงงาน นโยบายและการรับสมัครงานของบริษัทคู่แข่ง ค่าเฉลี่ยเงินเดือนและทักษะของพนักงานในตำแหน่งต่าง ๆ
เมื่อเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลแล้ว องค์กรควรเลือกกรณีการใช้งาน หรือ Use Case ที่เหมาะสมกับธุรกิจ โดยเลือกตามการจัดลำดับความสำคัญ (Use Case Prioritization) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพิจารณาตาม 2 แกนหลัก คือ Business Impact ซึ่งเป็นผลลัพธ์และคุณค่าที่จะเกิดขึ้นต่อธุรกิจในแง่ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment) รวมถึงความสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร และ Feasibility ที่เป็นความพร้อมในการพัฒนาและใช้งานจริง โดยแนวทางการทำ Use Case Prioritization นั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
สำหรับแนวทางที่ บลูบิค เข้าไปช่วยแนะนำองค์กรธุรกิจในการเลือก Use Case ที่เหมาะสม ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1) สร้าง Use Case โดยพิจารณาจากปัญหาของธุรกิจ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร และตัวขับเคลื่อนหลักที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายนั้น ๆ (Key Driver)
2) รวบรวม Use Case จากการทำ Value Stream Mapping แผนผังที่จะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างคุณค่าให้ธุรกิจ แล้ววิเคราะห์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นต่อธุรกิจและความพร้อมในการดำเนินการ
3) วางแผนการปรับใช้ Use Case ตามการจัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด
4) เลือก Use Case ที่เป็น Quick-win ซึ่งสามารถทำได้เร็วและสร้างผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเริ่มดำเนินการก่อน
![]()
15 Gen AI & AI Use Cases แนะนำสำหรับงาน HR
ในมุมมองของ บลูบิค แล้ว จากประสบการณ์ในการเข้าไปช่วยวางกลยุทธ์ Gen AI Use Cases ที่น่าสนใจสำหรับงาน HR ทั้งการสรรหาบุคลากร การบริหารผลการปฏิบัติงาน และการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล สามารถ แบ่งออกเป็น 15 Use case ได้แก่
1) Automated Job Description Generation - วิเคราะห์คำอธิบายตำแหน่งงาน ข้อมูลบริษัท และเทรนด์ในภาคธุรกิจ และสร้างคำอธิบายตำแหน่งงานที่เหมาะสมที่สุด
2) Targeted Ad Placement - วิเคราะห์ตลาดแรงงานและความสนใจของผู้สมัครงาน จากนั้นให้คำแนะนำในการทำโฆษณารับสมัครงานบนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย
3) Resume Screening - ระบุผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดจากทักษะและประสบการณ์ทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อหาบุคลากรที่เหมาะกับความต้องการขององค์กร
4) Skills Matching - จับคู่ผู้สมัครงานที่ตรงกับความต้องการของตำแหน่งงาน โดยอิงจากทักษะและประสบการณ์ทำงาน
5) Predictive Personality Assessment – ระบุแนวโน้มลักษณะผู้สมัครงานที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กร
6) Skills Gap Analysis - วิเคราะห์ทักษะพนักงานและให้คำแนะนำในการเสริมทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต
7) Attrition Prediction - วิเคราะห์ข้อมูลและผลการปฏิบัติงานเพื่อหาความเสี่ยงการลาออก
8) Succession Planning - ระบุตัวพนักงานที่มีศักยภาพได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
9) Personalized Learning Paths - แนะนำโปรแกรมฝึกอบรมพนักงานที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน ทักษะ และประสบการณ์ทำงาน
10) Knowledge Management - จัดระบบเอกสาร ระเบียบปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาสำหรับพนักงาน
11) Career Pathing - ช่วยพนักงานในการสร้าง Career Path ที่เหมาะสมกับตัวเอง
12) Personalized Benefits – สร้างแพคเกจสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน
13) Payroll Automation - เพิ่มประสิทธิภาพของระบบบัญชีเงินเดือน เช่น การคำนวณค่า OT หรือการเข้ากะของพนักงาน
14) Compliance Monitoring - ติดตามและแจ้งเตือนความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ
15) Chatbots for HR Helpdesk - แชทบอทตอบคำถามเกี่ยวกับ HR ตลอด 24 ชั่วโมง
สุดท้ายแล้ว การสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจจาก AI ไม่ใช่แค่การทำเทคโนโลยีมาใช้งาน แต่ต้องมาจากการวางกลยุทธ์และการจัดลำดับความสำคัญว่าจะนำ AI ไปใช้สร้างคุณค่าให้องค์กรที่จุดไหน และต้องมีความพร้อมเรื่องข้อมูลสำหรับพัฒนาโมเดล AI ให้สร้างผลลัพธ์ได้ตามความต้องการ สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้าน AI เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร
Bluebik มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data & Advanced Analytics ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจรและการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ติดต่อเราสอบถามหรือปรึกษาเราได้ที่ ✉ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. , ☎ 02-636-7011
การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจล่าสุดของผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,800 ราย พบว่า 55% ขององค์กรมีคณะกรรมการที่ดูแลด้านการใช้งาน AI หรือ AI Board และ 54% ระบุว่ามีหัวหน้าด้าน AI หรือ AI Leader ที่ประสานงานและดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กร
ฟราสซิส คารามูซิส รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “จากผลการวิจัยพบว่าองค์กรทั่วโลกมีความเห็นต่างกันในเรื่องความจำเป็นของการมีคณะกรรมการด้าน AI หรือ AI Board ซึ่งคำตอบของประเด็นนี้คือองค์กรจำเป็นต้องมี AI Board เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ AI ให้บรรลุเป้าหมาย โดยเปรียบเสมือนคณะกรรมการกลางที่คอยกำหนดทิศทาง ดูแล และควบคุมการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมลดความเสี่ยง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร อย่างไรก็ตาม รูปแบบ ขอบเขต ทรัพยากร และกรอบระยะเวลาของการจัดตั้ง AI Board นั้นขึ้นอยู่กับบริบทของยูสเคส และความพร้อมของแต่ละองค์กร โดยองค์กรบางแห่งอาจดำเนินการด้วยมาตรการระยะสั้น แต่บางแห่งอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในระยะยาว”
จากการสำรวจผู้บริหารระดับสูง 1,808 ราย ที่เข้าร่วมเว็บบินาร์ของการ์ทเนอร์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในมุมมองต่อการประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และมูลค่าของโครงการ AI และ GenAI ใหม่ ๆ โดยผลสำรวจนี้ไม่ได้สะท้อนถึงภาพรวมตลาดโลก แต่ให้ข้อมูลเชิงลึกของมุมมองผู้บริหารที่มีต่อเทคโนโลยี AI และ GenAI
AI Board ต้องชัดเจนเรื่องกฎเกณฑ์ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ
ความรับผิดชอบต่อ AI นั้นกระจายออกไป พนักงานจากหลายแผนกมักมีส่วนร่วมในการริเริ่มโครงการด้าน AI ขณะที่บางองค์กรดำเนินงานแบบกระจายอำนาจ บางแห่งทำงานแยกส่วนกัน หรือบางองค์กรยังไม่ชัดเจนว่าจะนำ AI ไปใช้ในแง่ใด สิ่งนี้ทำให้เกิดความท้าทายในการระบุผู้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน AI ทั้งแง่บวกและลบ โดยผลสำรวจนี้ยังชี้ให้เห็นว่า มีเพียง 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่สามารถระบุผู้รับผิดชอบต่อโครงการริเริ่มด้าน AI ได้อย่างชัดเจน
![]()
“AI Board ต้องประกอบด้วยสมาชิกจากหลายสาขาวิชาและหน่วยธุรกิจ ซึ่งความหลากหลายนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าบอร์ดจะมีมุมมองครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ AI ในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้บอร์ดยังต้องมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยแต่ละองค์กรต้องหาแนวทางที่ดีที่สุดในการจัดตั้งคณะกรรมการที่ดูแลด้านการใช้ AI ของตน สิ่งสำคัญคือต้องทำให้แน่ใจว่าบอร์ดจะมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปจนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งต้องระบุกลไกชัดเจนด้านอำนาจการตัดสินใจและการขับเคลื่อนฉันทามติ” คารามูซิส กล่าวเพิ่มเติม
เมื่อสอบถามว่าอะไรคือหัวข้อหลักสามอันดับแรกของบอร์ดที่ต้องมุ่งเน้น ผู้บริหาร 26% ระบุว่าเป็นเรื่องของ “การกำกับดูแล” หรือ ธรรมาภิบาล และอีก 21% ระบุว่า “กลยุทธ์” ควรเป็นหนึ่งในหัวข้อหลัก
คารามูซิส อธิบายเพิ่มว่า "สมาชิกใน AI Board ควรมีความเชี่ยวชาญที่เชื่อมโยงกับขอบเขตงาน ควรเป็นผู้บริหารระดับสูงและมีประสบการณ์ มีทักษะที่แข็งแกร่งทั้งในด้านกลยุทธ์และการดำเนินงาน และอย่างยิ่งโดยเฉพาะคือมีเป้าหมายด้าน GenAI"
![]()
หัวหน้าด้าน AI มีอยู่ทั่วไปในองค์กรมากกว่า CAIO
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า แม้องค์กรจำนวนมากจะมีหัวหน้าหรือผู้นำที่ดูแลด้าน AI แต่ตำแหน่งของพวกเขาเหล่านี้อาจจะไม่ได้เรียกว่า "Chief AI Officer" (CAIO) เสมอไป โดยผู้นำระดับสูง 54% ระบุว่าองค์กรของตนมีหัวหน้าฝ่าย AI หรือผู้นำ AI ขณะที่ 88% บอกว่าผู้บริหาร AI ของตนนั้นไม่ได้มีตำแหน่งเป็น Chief AI Officer (CAIO)
แม้ว่าคณะกรรมการบริษัทจะเป็นผู้กำหนดทิศทางให้กับผู้นำระดับสูง (C-suite) แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่ก็ไม่อยากเพิ่มตำแหน่งผู้นำระดับสูงนี้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการยังคงต้องการให้มีผู้นำด้าน AI เพื่อรับผิดชอบภาพรวมในการบริหารจัดการเทคโนโลยี AI ภายในองค์กร
“แม้ว่าเทคโนโลยี AI และ GenAI จะมีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของงาน กิจกรรม และกลยุทธ์องค์กร แต่บุคคลหรือทีมที่รับผิดชอบการประสานงาน AI ในองค์กร ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับ C-Level” คารามูซิส กล่าวทิ้งท้าย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “อว. แฟร์ : Science Power for Future Thailand” ระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดย สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ร่วมจัดนิทรรศการภายในงานดังกล่าว ภายใต้ธีม “Synchrotron: Science, Wisdom and Future” บริเวณโซน F โดยแบ่งนิทรรศการเป็น 4 ส่วน คือ 1. XCT Demonstration นำเสนองานวิจัยด้านการแพทย์ อาหารและการเกษตร โดยใช้เทคนิคเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติ 2. Product for Synchrotron Tech นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ร่วมวิจัยและพัฒนากับภาคเอกชนโดยใช้เทคนิคแสงซินโครตรอน 3. Technology Demonstration จัดแสดงเทคโนโลยีล้ำยุค อาทิ เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มคาร์บอนเสมือนเพชรสำหรับชิ้นส่วนทางวิศวกรรมของการสำรวจปิโตรเลียม เครื่องต้นแบบการผลิตกราฟีน และแบบจำลองเครื่องเร่งอนุภาคโปรตอนสำหรับรักษามะเร็ง 4. Prototype Display จัดแสดงต้นแบบแม่เหล็กไฟฟ้าฝีมือคนไทยสำหรับเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนเครื่องใหม่ระดับพลังงาน 3 GeV และปั๊มสุญญากาศสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ด้านการเก็บรักษาโบราณวัตถุ
อีกทั้งยังมีการเสวนา ณ MINI STAGE ระหว่างวันที่ 23-26 ก.ค. 67 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปลดล็อกงานวิจัยภาคอุตสาหกรรมสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง รวมถึงการนำเสนอโครงการเครื่องกำเนิดแสงซินโคร
ตรอนเครื่องใหม่ระดับพลังงาน 3 GeV รากฐานสำคัญในการพัฒนางานวิจัยสำหรับประเทศไทย และเทคโนโลยีเปลี่ยนขยะเป็นกราฟีนมูลค่าสูง พร้อมทั้งการอบรมซินโครตรอน เทคโนโลยีขั้นสูงมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรม ครั้งที่ 16 (SATI 16) วันที่ 25 ก.ค. 2567 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ ห้องประชุม 206 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
SC Asset จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี เปิด “SC ASSET MART” พบบ้านหรู และคอนโดมิเนียมกว่า 70 โครงการ ในทำเลศักยภาพทั่วประเทศให้เลือกช้อปใจกลางเมืองครั้งแรก ที่สยามพารากอน ลดสุดๆ แล้วจริง ๆ กับโปรพิเศษ “Best Price Ever” เพียง 6 วันเท่านั้น พร้อมเปิดตัวโมเดลบ้านหรูแบรนด์ใหม่ “Connoisseur” และเชิญร่วมฟินอินกับบ้านในฝันของ “เจมีไนน์” 19-24 ก.ค.67 นี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน
นายณัฎฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
กลับมาอีกครั้งกับการจัดงานบ้านและคอนโด “SC ASSET MART” ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม กวาดยอดจองไปกว่า 900 ล้านบาท โดยเฉพาะโปรโมชั่นพิเศษสุด ที่มอบให้ ทั้งส่วนลดและอัตราดอกเบี้ยพิเศษ มาครั้งนี้ “SC ASSET MART” เปิดตลาดอีกครั้ง จัดใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยยกขบวน บ้านหรู แบรนด์ยอดนิยม อาทิ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด, บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์, บางกอก บูเลอวาร์ด, เดอะเจนทริ, เวนิว ไอดี, เพฟ และ คอนโด แบรนด์ เดอะเครส, เรฟเฟอเรนซ์ และ โคบบ์ ในทำเลดี หลากหลายโซนทั่วกรุงเทพ เริ่มตั้งแต่ราคา 2.59 – 100 ล้านบาท มาจัดโปรโมชั่นพิเศษ “ลดสุดๆ แล้วจริง ๆ กับโปรพิเศษ SC Asset MART Best Price Ever!” ประเดิม แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ใจกลาง สยามพารากอน เจ้าแรก ระหว่างวันที่ 19 - 24 ก.ค. นี้ เพียง 6 วันเท่านั้น!
การจัดงานครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ขนทัพสินค้ามากกว่า 70 โครงการคุณภาพของ SC ทั้งบ้านแบรนด์หรู และคอนโดมิเนียมในทำเลที่มีศักยภาพหลากหลายโซนทั่วกรุงเทพฯ มาให้ลูกค้าได้ช้อปใจกลางกรุง ที่สยามพารากอน กับ 7 โปรโมชั่นพิเศษ ดีที่สุดแห่งปี ได้แก่
- Cash Back สูงสุด 10 ล้านบาท*
- ฟรี! ค่าส่วนกลางสูงสุดนาน 10 ปี*
- จองต่ำสุด 999 บาท*
- Voucher PARAGON มูลค่าสูงสุด 500,000 บาท*
- บัตรน้ำมัน มูลค่า 10,000 บาท*
- รางวัลใหญ่ LUCKY DRAW 1 รางวัล/วัน*
- รับของพรีเมียมทันทีที่จอง*
![]()
นายณัฎฐกิตติ์ กล่าวว่า “ช่วงครึ่งปีหลัง SC มีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 10,250 ล้านบาท และ ไตรมาส 3 พร้อมเปิด
3 โครงการใหม่แนวราบระดับลักชัวรี ได้แก่ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ณ อุทยาน , แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บรมราชชนนี
และ คฤหาสน์หรูแบรนด์ใหม่ “Connoisseur” (คอนนาเซอร์) ซึ่งเป็นโครงการใหม่ล่าสุด THE NEWEST URBAN LUXURY COLLECTION by SC ASSET โครงการ One of a Kind บนสุดยอดทำเลเมืองพัฒนาการ มีที่ดินขนาดเริ่มต้นที่ 114 ตารางวาขึ้นไป
เอกสิทธิ์เพียงแค่ 20 หลัง ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท โดยมีฟังก์ชันที่โดดเด่น อาทิ Duplex Super Car Garage & Man Cave, Strong Room, Private Swimming Pool โดยจะเปิดตัวโมเดล Connoisseur ครั้งแรก ภายในงานนี้ ที่มาพร้อมนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัย ด้วยเทคโนโลยีติดตามดูแลความปลอดภัยด้วยระบบ PlotphAI Centre (ปลอดภัยเซนเตอร์) และเทคโนโลยีอัจฉริยะผ่าน RueJai Intelligence พร้อมเทคโนโลยี Standard อื่นๆ”
พิเศษสุด! กับกิจกรรมร่วมฟินอินไปกับบ้านในฝันของ “เจมีไนน์” นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ ไอดอลและนักแสดงสุดฮอต ที่จะมาร่วมเปิดมุมมอง เจาะลึกทุกมุมกับแบบบ้านที่ชอบ มุมโปรดที่ใช่ และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ ภายในงานนี้โดยเฉพาะ
“การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นความพิเศษสุดที่ SC นำมามอบให้สำหรับลูกค้าที่กำลังพิจารณาตัดสินใจซื้อบ้าน ด้วยเงื่อนไข
ที่ดีที่สุดแห่งปี และ ในทำเลศักยภาพที่หลากหลาย สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนซื้อบ้าน ที่เราได้มีการ Research มาเป็นอย่างดี รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าท็อปอัพไปกับมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง” นายณัฎฐกิตติ์ กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงาน ยังจะได้พบกับ "เมนูสุดพิเศษ" จากการร่วม Collab ครั้งแรกของ SC Asset X ร้านน้ำและร้านขนมชื่อดังหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Chabar, Thank you Cup, Kintaam, DROP BY DOUGH และ Oldschool Brownies ที่ SC Asset ตั้งใจคัดสรรมาอย่างดี เพื่อลูกค้าคนสำคัญในโอกาสสุดพิเศษที่ไม่ได้มีบ่อยๆ รวมทั้ง มินิคอนเสิร์ตจากวง Serious Bacon และ ฟังเพลง
ในบรรยากาศสนุกๆ จาก DJ P-U และ DJ Slip On Soul แล้วพบกันในงาน “SC ASSET MART Best Price Ever!” ลดสุด ๆ แล้วจริง ๆ ตั้งแต่ 19-24 ก.ค. นี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://m.scasset.com/NgQV
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) จัดงานสัมมนา 2024 Mid Year Outlook Seminar: Surfing a Sea of Opportunities Amid Geopolitical Tides วิเคราะห์ทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ยังคงผันผวนจากปัจจัยด้านการเมืองและนโยบายที่ไม่แน่นอน แนะนักลงทุนมองหาโอกาสและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก โรงแรม อาหาร และสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
ภายในงานสัมมนา ภายใต้หัว Thai Equity Strategy and Thai Stock Highlight นายแดเนียล ไฟน์แมน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักวางแผนกลยุทธ์ บล.เกียรตินาคินภัทร เผยถึงมุมมองที่บล.เกียรตินาคินภัทรมีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากจุดต่ำสุดของตลาดในไตรมาสก่อน โดยคาดว่าผลตอบแทนจะเริ่มค่อนข้างคงที่หรือไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งปัจจัยหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่จะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้บางส่วน สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.เกียรตินาคินภัทรแนะนำให้เพิ่มสัดส่วน (Overweight) หุ้นในกลุ่มค้าปลีก โรงแรม อาหาร และสื่อสารโทรคมนาคม เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตดีจากปัจจัยหนุนข้างต้น ในขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มที่ควรลดสัดส่วน (Underweight) คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ สื่อ เคมี และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังเผชิญสภาวะสินเชื่อชะลอตัวและการลดลงของสัดส่วนหนี้สิน (deleveraging cycle) ปัญหาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม และปัญหาการผลิตสินค้าเกินกำลังการผลิตในจีน
ด้านนายศิริชัย โฉลกพันธ์รัตน์ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มค้าปลีก บล.เกียรตินาคินภัทร และ นายชาตรี แพรวพรายกุล นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและท่องเที่ยว บล.เกียรตินาคินภัทร ให้ข้อมูลว่าหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่
หนึ่ง กลุ่มค้าปลีก โดยราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งบล.เกียรตินาคินภัทรมองว่า ถึงแม้ระดับราคาปัจจุบันมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า (valuation) แต่ยังต้องเลือกหุ้นลงทุน ซึ่งหุ้นค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง DOHOME (ราคาเป้าหมาย 13 บาท) และ GLOBAL (ราคาเป้าหมาย 18.4 บาท) น่าจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีหลังได้สูงที่สุดในกลุ่ม ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในขณะที่ CPALL (ราคาเป้าหมาย 72 บาท) ได้อานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและธุรกิจดิจิทัลวอลเล็ต
สอง หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โดยเฉพาะหุ้น MINT (ราคาเป้าหมาย 40 บาท) ถือว่าน่าสนใจมากสำหรับกลุ่มโรงแรม เนื่องจากมีรายได้หลักจากยุโรปซึ่งกำลังเข้าสู่ไฮซีซั่นทางการท่องเที่ยว หนุนให้ผลประกอบการเติบโตดีในไตรมาส 2-3 นี้ และ valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันโดยเฉลี่ยถึง 10% นอกจากนี้คือ BH (ราคาเป้าหมาย 295 บาท) ที่บล.เกียรตินาคินภัทรมองว่าจะได้รับอานิสงส์สูงจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) โดยคาดว่าจำนวนผู้ป่วยต่างชาติจะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศตะวันออกกลาง อีกทั้งความซับซ้อนของการรักษาที่สูงขึ้นจะส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นด้วย
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือซึ่งพิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา อย่างไรก็ตามบริษัทไม่สามารถยืนยันหรือรับรองข้อมูลความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่าประการใด ๆ บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนความเห็นหรือประมาณการต่าง ๆ ที่ปรากฏโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ ไม่ว่าจะมาจากการอ่านเอกสารหรือบทความนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการพิจารณาและใช้วิจารณญาณของผู้อ่านแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับบริษัท
รายงานใหม่จากดีลอยท์ “Rebalancing your portfolio to fuel growth” ชี้ชัด บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำเป็นต้องเร่งพิจารณาพอร์ตการลงทุนอย่างละเอียด เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสการเติบโต และจำหน่ายเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ที่ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจออกไป
รายงานนี้เป็นการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กรที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงและปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการทบทวนพอร์ตการลงทุน โดยได้สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูง 250 คน จากบริษัทเอกชนและบริษัทมหาชน ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีรายได้เกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนภายนอก 5 ประการสำคัญ ที่ผลักดันให้เกิดความจำเป็นในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน ได้แก่
ผลการสำรวจพบว่า การบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุก กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัท เพื่อปรับให้เข้ากับแรงขับเคลื่อนภายนอก 5 ประการสำคัญข้างต้น รายงานผลการสำรวจดังกล่าวสนับสนุนแนวคิดการบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างความยืดหยุ่นและการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยโอกาสการเติบโตและการผนึกกำลังเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม
เจียก ซี อึ้ง ลีดเดอร์ ฝ่ายกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ (Strategy, Risk and Transactions) ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก ให้ความเห็นต่อรายงานดังกล่าวว่า "แรงขับเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยด้านความยั่งยืน หรือแรงกดดันจากนักลงทุน ซึ่งบริษัทต่างๆ ควรต้องดำเนินการเชิงรุกในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการจำหน่ายสินทรัพย์หรือธุรกิจ รายงานของดีลอยท์เน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับกระบวนการทบทวนพอร์ตการลงทุนให้มีพลวัตมากขึ้นและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของธุรกิจเพื่อการเติบโตและสร้างมูลค่าในระยะยาว"
ESG เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมูลค่าธุรกิจ
จากผลการวิจัย ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 52 มีความเห็นว่า ประเด็นด้าน ESG มีการนำมาพูดคุยกันบ่อยครั้งขึ้นในระหว่างการเจรจาซื้อขายกิจการในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบัน ปัจจัยด้าน ESG มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัท รวมถึงการกำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินพอร์ตการลงทุนและกิจกรรมในการปรับสมดุลการลงทุน
ผลกระทบของ ESG ต่อบริษัทแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและสถานะของบริษัทในตลาด บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องตระหนักถึงทั้งความเสี่ยง (แรงหน่วง) และโอกาสด้านการเติบโตและการสร้างมูลค่า (แรงหนุน) ที่มาจากการให้ความสำคัญกับ ESG ที่เพิ่มมากขึ้น โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า บริษัทที่สามารถเชื่อมโยงแผนธุรกิจและปัจจัยด้าน ESG ได้อย่างชัดเจน มีโอกาสสร้างมูลค่าธุรกิจได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงหกเท่า
การหาทางออกนอกเหนือจากการขายกิจการแบบเดิมได้รับความนิยมมากขึ้น เกือบทุกบริษัทที่ตอบแบบสอบกล่าวว่าบริษัทกำลังพิจารณาใช้กลยุทธ์การหาทางออกนอกเหนือจากการขายกิจการแบบเดิม ควบคู่ไปกับการขายให้กับกองทุนเอกชน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (กองทุน Private Equity) ซึ่งมีรายงานว่ายังมีเงินทุนมหาศาลที่ยังไม่ได้ลงทุน ที่มีความต้องการสูงในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ต้องการขายธุรกิจหรือสินทรัพย์จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ โดยการติดต่อกับผู้ซื้อที่มีศักยภาพตั้งแต่เนิ่นๆ และเปิดกว้างต่อโครงสร้างข้อตกลงที่หลากหลายมากขึ้น
5 แนวทางสำคัญที่ธุรกิจควรนำไปปฏิบัติ
จากการสำรวจกลุ่มผู้นำธุรกิจ พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 79 คาดการณ์ว่าจะมีการจำหน่ายเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยในช่วงภายใน 18 เดือนข้างหน้า ที่น่าสนใจคือร้อยละ 95 เคยยกเลิกการเจรจาขายกิจการในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่า บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการขายกิจการมากขึ้น
“ในยุคของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและการให้ความสำคัญกับ ESG ที่เพิ่มมากขึ้น การบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุกจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร เราจะเห็นการควบรวมกิจการและการขายกิจการที่เกิดขึ้นจากความต้องการเร่งการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิ และ/หรือ การเข้าซื้อกิจการเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น ทำให้การควบรวมกิจการกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยทั้งในเรื่องของวัตถุประสงค์และเป้าหมายด้านผลกำไร” เดวิด ฮิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริม
จากการวิเคราะห์ผลการวิจัย บริษัทต่างๆ ควรดำเนินการดังต่อไปนี้:
มูราลีดาร์ เอ็ม เอส เค กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ (Strategy, Risk and Transactions) ของ ดีลอยท์ เซาท์อีสต์เอเชีย กล่าวว่า “นอกเหนือจากการเป็นแนวปฏิบัติที่ดีขององค์กรแล้ว การบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุก ยังเป็นกลยุทธ์ที่มีค่าสำหรับบริษัทต่างๆ ในการรับมือกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบใหม่ๆและ แรงกดดันจากนักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสิงคโปร์ บริษัทจดทะเบียนที่ได้ปรับสมดุลโครงสร้างทุนในช่วงปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานดีกว่าบริษัททั่วไปในตลาด ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรมีการปรับตัวเพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของตนมีความสอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยรวมขององค์กร หากไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทอาจจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อขายกิจการหรือร่วมมือกับพันธมิตรที่สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนให้กับผู้ถือหุ้นและบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ”
ทรูมันนี่ หนึ่งในผู้ให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถสแกนจ่ายด้วยแอปทรูมันนี่ที่ฮ่องกงได้แล้ว ผ่านอาลีเพย์พลัส (Alipay+) แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยดิจิทัลโซลูชันที่พัฒนาโดย แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล
โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถสแกนจ่ายที่ร้านค้ากว่า 90% ทั่วฮ่องกง ที่มีสัญลักษณ์ Alipay+ หรือ AlipayHK ซึ่งครอบคลุมทั้งร้านอาหาร ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ หมดกังวลเรื่องการหาที่แลกเงิน เพียงแค่เปิดแอปทรูมันนี่เลือกประเทศและสแกนจ่ายได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแลกเงินค้างไว้ในบัญชี เพราะระบบจะแปลงเงินบาทในบัญชีตามสกุลและอัตราแลกเปลี่ยนคงที่รายวันตามประเทศที่เลือกให้ใช้จ่ายได้ทันที ไม่มีค่าธรรมเนียมใด ๆ เพิ่มเติม และคุ้มยิ่งกว่าด้วยสิทธิพิเศษจาก อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด (Alipay+ Rewards)
นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ฮ่องกงถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยม ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกเดินทางท่องเที่ยว ด้วยกิจกรรมที่มีให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่งดงามและสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการช้อปปิ้ง การรับประทานอาหาร และการไหว้พระขอพร โดยปีนี้คาดว่าฮ่องกงจะมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปไม่น้อยกว่า 5 แสนคน ซึ่งจะมากเป็นอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปิดบริการให้คนไทยสามารถใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชันทรูมันนี่ที่ฮ่องกงผ่าน Alipay+ ถือเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่สะดวก ปลอดภัย และคล่องตัวผ่านการสแกนจ่าย แถมยังได้สิทธิพิเศษ”
![]()
ความร่วมมือระหว่าง ทรูมันนี่ และ อาลีเพย์พลัส ในครั้งนี้ ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าถึงผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในฮ่องกงบนเครือข่ายของ AlipayHK ได้อย่างสะดวกสบาย ผ่านร้านค้าที่สามารถรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ ได้ทันที โดยที่ร้านค้าเดิมไม่ต้องลงทุนติดตั้งระบบใหม่เพิ่มเติม นับเป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ให้กับบรรดาร้านค้ารายย่อยอีกด้วย
![]()
ในปัจจุบัน ทรูมันนี่ ได้ขยายบริการใช้จ่ายในต่างประเทศครอบคลุมมากกว่า 40 กว่าประเทศทั่วโลก อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม เยอรมนี และฝรั่งเศส ฯลฯ เพื่อมอบความสะดวกสบาย และปลอดภัยในการใช้จ่ายให้นักเดินทางในต่างแดนได้โดยไม่ต้องแลกเงิน เพียงดาวน์โหลด สมัครและเติมเงินได้ง่าย ๆ และเมื่อจะจ่ายก็เพียงเปิดคิวอาร์โค้ดบนแอป ทรูมันนี่ กดเลือกประเทศ และสแกนจ่ายได้ทุกร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ Alipay+ (อาลีเพย์พลัส)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริการใช้จ่ายในต่างประเทศผ่าน ทรูมันนี่ และ Alipay+ รวมถึงโปรโมชันต่าง ๆ ได้ที่ https://www.truemoney.com/global-network-offline-payment/
บริการ Data center ไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในทิศทางเดียวกับเทรนด์โลก ทั้งจากการให้บริการ Public cloud และบริการ Colocation
ความต้องการบริการ Data center เติบโตตามปริมาณการใช้งานข้อมูลที่เติบโตด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคดิจิทัล โดยมูลค่าตลาดให้บริการ Data center ของโลกมีแนวโน้มขยายตัวราว 22%YOY ซึ่งเป็นการขยายตัวของบริการ Public cloud เป็นหลัก เช่นเดียวกับตลาด Data center ของไทย โดย SCB EIC คาดว่า มูลค่าตลาด Data center ของไทยมีแนวโน้มเติบโตราว 24%YOY ในปี 2024 โดยบริการ Public cloud ขยายตัวที่ราว 29%YOY จากปริมาณการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคที่ยังสูงขึ้นและการใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้นขององค์กรขนาดใหญ่ SMEs และ Startups ขณะที่การให้บริการ Colocation ซึ่งเป็นบริการรับฝาก Server ที่ผู้ให้บริการจะจัดเตรียมพื้นที่สำหรับจัดวางอุปกรณ์พร้อมโครงข่ายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยผู้เช่าจะจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เองนั้น คาดว่าจะเติบโตราว 14%YOY จากการปรับแผนการจัดเก็บข้อมูลขององค์กรหลายแห่งที่หันมาใช้ระบบ Private cloud มากขึ้น และการขยาย Cloud region ของผู้ให้บริการต่างประเทศในไทย แม้ปัจจุบันการลงทุน Data center ในไทยจะเพิ่มขึ้นมาก แต่การพิจารณานโยบายสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของอาเซียน
ปัจจุบันสิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลาง Data center ของอาเซียน แต่ด้วยนโยบายจำกัดการก่อสร้างศูนย์ Data center แห่งใหม่ของภาครัฐทำให้การขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไม่ทันต่อความต้องการใช้งาน ผู้ให้บริการ Data center ในสิงคโปร์จึงเริ่มมองหาประเทศใกล้เคียง ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เพื่อลงทุน Data center แห่งใหม่ ทั้งนี้แม้ไทยเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าสนใจในการลงทุน ทำให้มีการลงทุน Data center ของผู้ให้บริการต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่การพิจารณาสิทธิประโยชน์และนโยบายเพิ่มเติมของภาครัฐ อาทิ การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ Data center ที่ตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และการพัฒนาทักษะบุคลากร จะช่วยเพิ่มโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของอาเซียนได้
Build-to-Suit data center เป็นอีกเทรนด์ของบริการ Colocation ที่ได้รับความสนใจจากองค์กรขนาดใหญ่ที่มีปริมาณข้อมูลเติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้ให้บริการ Cloud service ที่ต้องการตั้ง Cloud region
Build-to-Suit data center เป็นอีกหนึ่งรูปแบบบริการ Colocation ที่ผู้เช่าสามารถกำหนดและออกแบบพื้นที่ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะได้ แต่ใช้เม็ดเงินลงทุนที่น้อยกว่าและยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายภายใต้สัญญาเช่า บริการรูปแบบนี้มีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการ Data center ที่ได้มาตรฐานเทียบเท่ากับการตั้ง Data center ภายในองค์กร รวมถึงผู้ให้บริการ Cloud service ที่ต้องการขยาย Cloud region ในหลายประเทศ เพื่อให้ทันต่อการรองรับความต้องการใช้งาน Cloud และให้การขยายตลาดทำได้รวดเร็ว อีกทั้ง บริการรูปแบบ Buit-to-Suit data center จะสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มั่นคงให้แก่ผู้ให้บริการ Data center จากการทำสัญญาเช่าระยะยาวราว 5-10 ปี ซึ่ง ผู้ให้บริการต้องมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะทักษะและความเชี่ยวชาญของบุคลากรที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการ
การเติบโตของ Data center ยังส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น จึงทำให้ Sustainability เป็นประเด็นที่ผู้ให้บริการต้องให้ความสำคัญ
Data center เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทำให้การบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าพร้อมกับการรักษาเสถียรภาพไฟฟ้าเพื่อรองรับช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุด (Peak traffic) เป็นความท้าทายสำคัญของผู้ให้บริการ Data center ควบคู่กับการมุ่งสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า การลดการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด อย่างไรก็ดี การผลักดันผู้ให้บริการ Data center ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยการกำหนดนโยบายรัฐควบคู่ด้วย อาทิ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การสร้างความร่วมมือจากผู้ให้บริการ Data center และการกำหนดมาตรฐานการใช้พลังงาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ Data center ของไทยเข้าใกล้ความยั่งยืนได้มากขึ้น
![]()
ทิศทางการเติบโตของ Data center จากเทรนด์โลกสู่ไทย
ในช่วงที่ผ่านมา มูลค่าตลาดให้บริการ Data center ของโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มขยายตัวราว 22%YOY ในปี 2024 ทั้งจากการให้บริการ Public cloud และบริการ Colocation ตามปริมาณการใช้งานข้อมูลที่เติบโตทั้งจากผู้บริโภค องค์กรต่าง ๆ และภาคธุรกิจ ด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคดิจิทัล จึงทำให้เกิดข้อมูลจำนวนมหาศาลและส่วนใหญ่ล้วนถูกจัดเก็บและประมวลผลบน Data center ที่มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่พร้อมทั้งมีระบบการเชื่อมต่อที่สามารถดึงข้อมูลออกมาใช้งานได้ตลอดเวลา โดย International Data Corporation (IDC) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยข้อมูลการตลาดด้านโทรคมนาคมชั้นนำระดับโลกได้คาดการณ์ปริมาณพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั่วโลกทั้งภายในอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอย่างโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และภายในศูนย์ Data center จะเพิ่มขึ้นจาก 10.1 เซตตะไบต์ (ZB) ในปี 2023 เป็น 21.0 ZB ในปี 2027 หรือราว 18.5% CAGR อีกทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้า
มูลค่าตลาดการให้บริการ Public cloud ของโลกคาดว่าจะเติบโตที่ราว 23%YOY จากการใช้งานข้อมูลที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระแสการใช้งานด้าน AI ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภค ทั้งการเก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างรูปภาพและเอกสารต่าง ๆ และการใช้งาน Social Media, Video/Music Streaming และแอปพลิเคชัน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตราว 21%CAGR ในช่วงปี 2024-2029 ตามรายงานปริมาณการใช้งานข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคทั่วโลกของ Ericsson รวมถึงการใช้งานในภาคธุรกิจและองค์กรที่ปรับใช้เทคโนโลยีมากขึ้น อย่างเช่น Internet of Things (IoT), Robotic, Smart devices และการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) โดยเฉพาะ Generative AI ซึ่งเป็นกระแสที่พูดถึงอย่างมากในปี 2023 และมีแนวโน้มใช้งานเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้าสะท้อนจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,360 รายในช่วง 22 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2024 เกี่ยวกับการใช้งาน AI ในองค์กรของ McKinsey พบว่า บริษัทที่มีการใช้งาน AI มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 72% จากการสำรวจในปีก่อนที่ 55% โดยการใช้งาน Generative AI เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 33% เป็น 65% อีกทั้ง นักพัฒนาซอฟต์แวร์ยังหันมาพัฒนาแอปพลิเคชันบน Cloud platform มากขึ้น เนื่องจากผู้ให้บริการ Cloud ได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยในการตรวจเช็กโค้ดและทดสอบการใช้งานบน Platform ออกมาอย่างสม่ำเสมอ
ในส่วนของการให้บริการ Colocation จะเติบโตราว 14%YOY จากการปรับกลยุทธ์ขององค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งที่หันมาเช่าพื้นที่ฝาก Server ใน Data center ผ่านระบบ Private cloud แทนการเก็บข้อมูลในระบบ Server ภายในองค์กร (On-premise) เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าอินเทอร์เน็ต และลดค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ชำนาญการคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงลดความเสี่ยงจากระบบเชื่อมต่อที่ไม่เสถียรและอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้ง ยังสามารถปรับขนาดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลตามการใช้งานได้ง่าย
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัททั่วโลกนิยมจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ Hybrid cloud ที่แบ่งการเก็บข้อมูลทั้งในระบบ Public cloud และ Private cloud ในรูปแบบ Colocation และ On-premise มากขึ้นสะท้อนจากรายงาน The Flexera 2024 State of the Cloud ของบริษัทซอฟต์แวร์ Flexera ในสหรัฐอเมริกาที่ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 750 ราย ในช่วงปลายปี 2023 พบว่า 65% ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจจัดเก็บข้อมูลขององค์กรในรูปแบบ Hybrid cloud โดยใช้ Private cloud สำหรับจัดเก็บข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ต้องการความปลอดภัยสูง และมีการใช้งานในความหน่วงที่ต่ำ เช่น ธุรกรรมทางการเงิน ข้อมูลการติดต่อและใช้บริการของลูกค้า และจะเลือกใช้ Public cloud สำหรับจัดเก็บข้อมูลทั่วไป
Data center ไทยกับการก้าวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน
ปัจจุบันสิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของอาเซียน ซึ่งรวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้าน Data center ด้วย แต่การเติบโตมีข้อจำกัดจากนโยบายภาครัฐ โดยในช่วงปี 2016-2019 มูลค่าตลาด Data center ของสิงคโปร์เติบโตสูงต่อเนื่องราว 29%CAGR จากการขยายพื้นที่ของผู้ให้บริการในสิงคโปร์และการเข้ามา
ของผู้ให้บริการระดับโลกอย่าง Microsoft, AWS และ Apple อย่างไรก็ดี ด้วยพื้นที่ของสิงคโปร์ที่มีจำกัดยากต่อการตั้ง Data center ขนาดใหญ่, ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าใน Data center ที่สูง ซึ่งมีโอกาสกระทบต่อเสถียรภาพด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศในอนาคต และอัตราการปล่อย CO2 ต่อตารางเมตรของประเทศที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศใช้นโยบายจำกัดการก่อสร้างศูนย์ Data center แห่งใหม่บนเกาะสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2019 และผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวในช่วงปลายปี 2022 โดยอนุญาตให้ก่อสร้างเฉพาะ Data center ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานจากหน่วยงานภาครัฐ ทำให้การขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราพื้นที่ว่างของ Data center ในสิงคโปร์ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือต่ำกว่า 1% ในปี 2024 ตามรายงานของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีสาขามากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
ผู้ให้บริการ Data center ในสิงคโปร์เริ่มมองหาประเทศใกล้เคียง เพื่อขยายศูนย์ Data center รองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ขยายตัวในสิงคโปร์ ซึ่งการเลือกพื้นที่ตั้งศูนย์ Data center นอกจาก
จะพิจารณาด้านต้นทุนและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแล้ว ความสะดวกในการเดินทาง ความปลอดภัย ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐก็ถือเป็นปัจจัยที่ผู้ให้บริการให้ความสำคัญ โดยพื้นที่ที่ผู้ให้บริการสนใจพิจารณา ได้แก่
ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้เสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 4 ปี 4 วัน ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [3.05 – 3.98]% ต่อปี
โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งนี้ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัท ทั้งจากระดับกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ลดลง คาดว่าเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 19 - 21 สิงหาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง รวมถึงขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet พร้อมเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย
|
หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 วัน อัตราดอกเบี้ย [3.05 – 3.25]% ต่อปี |
หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.20 – 3.45]% ต่อปี |
|
หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.55 – 3.75]% ต่อปี |
หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.75 – 3.98]% ต่อปี |
อัตราดอกเบี้ยสุดท้ายจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 19 - 21 สิงหาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมทั้งเสนอขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร รวมถึงหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้ มาอยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “คงที่” (Stable) จากระดับ “A+” สะท้อนถึงสถานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีระดับกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ลดลง นอกจากนั้น ยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการมีสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ
“ซีพี ออลล์” เป็นที่รู้จักของประชาชนในวงกว้างด้วยแบรนด์ร้าน “เซเว่น อีเลฟเว่น” ผู้ให้บริการความสะดวกกับทุกชุมชน โดยบริษัทฯ ยังคงกลยุทธ์การเป็นจุดหมายปลายทางของอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drink Destination) เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้สโลแกน “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” และ “หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย” โดยมีแผนงานที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ แบบ O2O เชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อ ผ่านบริการ 7-Delivery ส่งตรงถึงบ้าน นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการขยายสาขาและสร้าง “เสน่ห์ร้าน” ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า (Beyond Customer Experience) โดยมุ่งกระจายตัวให้เข้าถึงทุกชุมชน ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 มีจำนวนร้านสาขารวม 14,730 สาขาทั่วประเทศ และยังคงมีการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยวและทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยบริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดสาขาในประเทศไทยอีกประมาณปีละ 700 สาขา นอกจากนี้ การขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในต่างประเทศ โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มเติมตามศักยภาพของแต่ละประเทศ
![]()
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 241,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 6,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในกลยุทธ์ด้านสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ขณะที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ภายใต้สโลแกน “สะดวกครบ จบที่เดียว (All Convenience)” ทั้งในเรื่องของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการเป็นศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงามของชุมชน ซึ่งสอดรับกับการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับมา และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น กลไกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตลอดทั้งเศรษฐกิจของประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยหลักการ ของการเป็น “เพื่อนที่รู้ใจ” ใกล้ทุกชุมชน และ เป็น “เพื่อนบ้าน” ที่พึ่งพาได้
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ติดต่อกันเป็นปีที่ 6, เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7, กลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 อีกทั้งได้รับการจัดอันดับด้านการกำกับดูแลกิจการจาก IOD ในระดับดีเลิศ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนถึงศักยภาพของ “ซีพี ออลล์” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน เป็นธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และเป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนองค์กร “2ลด 4สร้าง 1DNA” เพื่อยึดมั่นเป็นองค์กรที่อยู่เคียงคู่ชุมชน สร้างสรรค์สังคมยั่งยืน ผ่านแนวคิด ESG ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) โดย “2 ลด” จะเน้นลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และ ลดการใช้พลังงาน เป็นแกนขับเคลื่อนด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม, “4 สร้าง” เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสังคม (Social) ได้แก่ สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชุมชนอุ่นใจ และ “1 DNA” เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านธรรมาภิบาล (Governance) โดยรวมพลังพนักงานกว่า 250,000 คน ขับเคลื่อน “DNA ความดี 24 ชั่วโมง”
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเริ่มถูกพูดถึงอีกครั้งในวงกว้าง หลังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังการระบาดของโควิด-19 ยังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ จนเริ่มมีคำถามว่า ‘หรือเศรษฐกิจไทยไม่ใช่กำลังโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้ลดต่ำลงไปแล้ว?
แรงงาน-ทุน-เทคโนโลยี
แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดศักยภาพเศรษฐกิจไทย ตามหลักการเศรษฐศาสตร์ ปัจจัยที่กำหนดว่าเศรษฐกิจของแต่ละประเทศควรจะเติบโตได้เท่าไร แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามปัจจัยการผลิต ได้แก่ 1) จำนวนแรงงาน 2) การสะสมทุน และ 3) เทคโนโลยี ที่จะช่วยให้แรงงานและทุนสามารถผลิตได้มากขึ้น หรือเพิ่มผลิตภาพของปัจจัยการผลิตนั้นเอง
KKP Research ประเมินว่า ‘ศักยภาพ’ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจจะลดลงมาอยู่ที่เพียงต่ำกว่า 2% หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยปัจจัยการผลิตที่เป็นแรงฉุดสำคัญ คือ ‘แรงงาน’ ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้ศักยภาพการเติบโต (GDP Potential) ลดลงประมาณ 0.5 จุดต่อปีจนถึงปี 2030 และลดลง 0.8 จุดต่อปีในทศวรรษที่ 2040 ซึ่งจะทำให้ศักยภาพ GDP ไทยเหลือต่ำเพียงราว 2% ต่อปี โดยที่คงสมมติฐานให้การสะสมทุนและผลิตภาพเท่าเดิม ซ้ำร้ายกว่านั้น หากการสะสมทุนหรือผลิตภาพหดตัวลงด้วย (ซึ่ง KKP Research มองว่าจะทยอยลดลงเช่นกัน) จะทำให้ศักยภาพ GDP ไทยจะต่ำลงไปได้ถึง 1.3% ต่อปีในปลายทศวรรษหน้า
แรงงานหดหายฉุดเศรษฐกิจ
ปัจจัยด้านแรงงาน สำหรับประเทศไทยนอกจากจะเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged society) ซึ่งหมายถึงการที่มีประชากรอายุมากกว่า 65 ปีเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% แล้ว กำลังแรงงานในวัยทำงาน (15-60 ปี) ก็ได้ลดลงแล้วด้วย จากประมาณการของสหประชาชาติคาดว่าประชากรไทยจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 โดยประชากรวัยทำงานได้ผ่านจุดสูงสุดไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ปี 2012 และจะหดตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 0.7% จนลดลงเหลือสัดส่วนเพียง 60% ของประชาการทั้งหมดในปี 2030 จาก 70% ในปี 2012 ขณะที่ประชากรวัยเด็กมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ยปีละ 1.8% ต่อปีจนถึง 2030 ทั้งหมดนี้สวนทางกับประชากรผู้สูงอายุกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2012 เป็น 20% ในปี 2023
ประชากรวัยทำงานและวัยเด็กที่ลดลง ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น สร้างความท้าทายกับเศรษฐกิจไทยอย่างน้อยใน 2 ด้านหลัก
ประเด็นแรก คือ กำลังซื้อในประเทศจะลดลง และจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อไทยเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังซื้อสินค้าคงทนอย่างรถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือยต่าง ๆ คาดว่าจะหดตัวลง แต่สินค้าอย่างสินค้าหรือบริการด้านสุขภาพและสินค้าจำเป็นจะเติบโตมากขึ้น
ประเด็นที่สอง คือ นอกจากกำลังแรงงานลดลงแล้ว ผลิตภาพแรงงานก็ลดลงด้วย โดยกำลังแรงงานผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2012 และจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ขณะที่ผลิตภาพแรงงานที่สะท้อนความสามารถในการทำงานของแรงงานไทยก็ชะงักงันหรือเติบโตได้เล็กน้อยมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกัน
การลงทุนหายไปตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง
เมื่อกำลังงานแรงงานกำลังหดตัว การสะสมทุนหรือเทคโนโลยีควรจะเพิ่มขึ้นมาชดเชยความสามารถในการผลิตที่จะหายไป แต่ระดับการลงทุนในเศรษฐกิจไทยกลับหายไปนับตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จากที่มีการสะสมทุนเฉลี่ยปีละ 6.6% ต่อปี ลดลงเหลือ 2.1% ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
KKP Research มองว่าฐานผู้บริโภคที่หดตัวลง การค้าโลกที่ผ่านยุคทองไปแล้ว ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมที่ลดลง และการขาดการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน มีส่วนทำให้การสะสมทุนในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งลดลง ขณะที่แนวโน้มในอนาคต ความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนไปจะสร้างความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคเอกชนโดยรวมที่สูงขึ้น คุณภาพของหนี้ที่ลดลง นโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในระยะหลัง ทำให้โอกาสที่จะขยายการลงทุนในเศรษฐกิจไทยโดยรวมลดลงไปด้วย
ผลิตภาพอยู่ในช่วงขาลง
นอกจากการสะสมทุนเพื่อการผลิตแล้ว อีกทางหนึ่งที่สามารถชดเชยกำลังแรงงานได้คือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อทำให้แรงงาน 1 คน หรือ ทุน 1 หน่วยสามารถผลิตสินค้าและบริการได้มากขึ้น หรือคือมี ‘ผลิตภาพ’ หรือ ‘productivity’ มากขึ้น แม้ว่าผลิตภาพของไทยส่วนหนึ่งจะได้รับผลกระทบจาก “วัฏจักรเศรษฐกิจ” ในระยะสั้น แต่ภาพในระยะยาวจากข้อมูลของ Penn World Table พบว่าผลิตภาพในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
KKP Research มองว่ามี 3 ปัจจัยที่ทำให้ผลิตภาพของไทยลดลง 1) การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มหรือผลิตภาพต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม 2) คุณภาพของการศึกษาที่นำไปสู่ปัญหาคุณภาพแรงงาน และ 3) การขาดการลงทุน ทั้งจากธุรกิจภายในประเทศและจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และขาดนโยบายสนับสนุนนวัตกรรมและการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
หากไม่มีการลงทุนที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่สำคัญต่อเศรษฐกิจในอนาคตและทุนมนุษย์ คงเป็นไปได้ยากที่ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้นจนสามารถชดเชยจำนวนแรงงานหรือทุนที่ลดลงไป
ปฏิรูป 4 ด้านยกระดับ GDP
KKP Research เสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปใน 4 ด้าน เพื่อยกระดับศักยภาพ GDP อีกครั้ง ได้แก่
บทความ : "KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินา คินภัทร" หรือ " เกียรตินาคินภัทร ( KKP)"