December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

Behavioral Finance

November 30, 2017

ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์ CFA (Chartered Financial Analyst) คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงศาสตร์เรื่อง Behavioral Finance หรือ “การเงินเชิงพฤติกรรม” ว่า เป็นการเงินที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมจริง ซึ่งมักถูกโน้มนำได้ด้วยอารมณ์และจิตวิทยา 

พร้อมยกทฤษฎีประกอบว่า ในช่วงเวลา 30 - 40 ปีที่ผ่านมา การตัดสินใจลงทุนมักถูกชี้นำจากทฤษฎีทางการเงินแบบมาตรฐาน เช่น ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis) และทฤษฎีการกำหนดราคาสินทรัพย์ (Capital Asset Pricing Model) ซึ่งตั้งบนสมมุติฐานว่าคนจะตัดสินใจทางการเงิน ในลักษณะแบบ “Rational Man” มีพฤติกรรมแบบสมเหตุสมผล เลือกทำอะไรที่ก่อให้เกิด“อรรถประโยชน์” สูงที่สุด เทียบเคียงกับหุ่นยนต์ที่โปรแกรมมาเพื่อตัดสินใจโดยไม่มีอคติหรือเอนเอียงจากอิทธิพลของอารมณ์หรือจิตวิทยา 

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยจำนวนมาก กลับแสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นนั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพ ในแง่ของกลยุทธ์การซื้อขายหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น กลยุทธ์การลงทุนใน “หุ้น Value” กลับสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนใน “หุ้น Growth” รวมทั้งนักลงทุนเองก็ไม่ได้มีเหตุผลเสมอไป 

การตัดสินใจทางการเงินของนักลงทุนมักมีอคติและเอนเอียงจากอารมณ์และจิตวิทยาอยู่บ่อยครั้ง Behavioral Finance จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นทางเลือกในการอธิบายผลการศึกษาเหล่านี้ โดยใช้จิตวิทยาของนักลงทุนเข้ามาช่วย  

อคติหรือความเอนเอียงของการตัดสินใจอันเกิดจากอารมณ์และจิตวิทยานั้นมีอยู่จำนวนมาก ตัวอย่างแรก คือ อคติของการตัดสินใจที่เกิดจากการใช้ความเป็นตัวแทน (Representativeness Bias) จะเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนต้องการประเมินความน่าจะเป็นของหุ้นตัวหนึ่งว่า มาจากกลุ่มหุ้นที่ดี โดยใช้การดูว่า หุ้นนั้นสะท้อนคุณลักษณะเด่นของกลุ่มหุ้นที่ดี แต่ไม่คำนึงถึงขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (Sample-Size Neglect) หรือไม่คำนึงถึงอัตราฐาน (Base-Rate Neglect) ประเมินอัตราฐานหรือความน่าจะเป็นของการอยู่ในกลุ่มไม่ดีพอ เช่น การค้นหาหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนดี อาจใช้วิธีการแบ่งประเภทหุ้นที่นิยม เช่น กำหนดว่าหุ้น XYZ เป็น “หุ้นเติบโต” โดยดูจากประวัติการเติบโตต่อเนื่อง 3 - 5 ปีเท่านั้น โดยหุ้นจะถูกคาดหวังการเติบโตสูงต่อเนื่องไปในอนาคต ทำให้เกิดแรงผลักดันราคาหุ้นในวันนี้ จนทำให้ราคาแพงเกินไป เพราะตั้งบนพื้นฐานการเติบโตที่สูงใน 3 - 5 ปีที่ผ่านมา แต่มองข้ามขนาดของกลุ่มตัวอย่างหรืออัตราฐาน เมื่อเวลาผ่านไป หุ้นไม่สามารถเติบโตสูงอย่างที่คาดหวังได้ ราคาเกิดการปรับตัวลง หรือไม่สามารถปรับขึ้นตามภาวะตลาดรวม ทำให้กลายเป็นการลงทุนที่ไม่ดี เพราะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ กล่าวเสริม ถึงการศึกษาโดย Lakonishok, Shleifer & Vishny (1994)  ว่าได้สรุปถึงการลงทุนในหุ้นเติบโตได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นคุณค่า ซึ่งสนับสนุนความคิดเรื่องอคติของการตัดสินใจที่เกิดจากการใช้ความเป็นตัวแทนประเภทไม่คำนึงถึงขนาดของกลุ่มหรือไม่คำนึงถึงอัตราฐานของนักลงทุน

อนึ่ง จากผลการศึกษาโดย ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ เองเกี่ยวกับความต่อเนื่องของผลการดำเนินงานกองทุนรวมหุ้นไทยในช่วงปี ค.ศ. 1995-2014 จำนวน 179 กองทุน เพื่อทดสอบปรากฏการณ์ “Hot Hand” อันเกิดจากอคติของการตัดสินใจที่ใช้ความเป็นตัวแทน พบว่าในช่วง 19 ปีที่ศึกษา มีถึง 11 ปีที่กองทุนทำผลงานชนะผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถทำผลงานเหนือกว่าได้ในปีถัดไป 

นอกจากนี้ ยังทดสอบด้วยว่าการลงทุนโดยซื้อกองทุนที่ติดอันดับ 5, 10, 15 และ 20 อันดับแรกทุกๆ ปี ไม่สามารถชนะผลตอบแทนของ SET index ได้

อคติที่สำคัญต่อมาคือ Overconfidence Bias เป็นอคติทางการตัดสินใจในการลงทุน เกิดจากนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะมีความเชื่อมั่นเกินเหตุ จากความเชื่อในข้อมูล ความรู้ที่มีมากเกินไป หรือประเมินความสามารถในการตัดสินใจของตนเองสูงเกินไป ผลที่ตามมามีหลายประการคือ 1. มีแนวโน้มที่จะประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป หรือประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับสูงเกินไป  2. มีแนวโน้มที่จะลงทุนแบบกระจุกตัวในหุ้นจำนวนน้อย ทำให้พอร์ตการลงทุนกระจายความเสี่ยงไม่เพียงพอ และ 3. มีแนวโน้มที่จะซื้อขายบ่อยเกินไป ทำให้เสียค่าคอมมิชชั่นสูง และได้รับผลตอบแทนสุทธิต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดโดยรวม

Barber and Odean (2000) ได้ทำการศึกษาบัญชีการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาจำนวนทั้งสิ้น 66,465 บัญชีในช่วงปีค.ศ. 1991-1996 พบว่า กลุ่มบัญชีที่มีการซื้อขายบ่อยสุด (Turnover 250% /ปี) ได้ผลตอบแทนหลังหักคอมมิชชั่นที่ประมาณ 11.4% ต่อปีเท่านั้น เทียบกับผลตอบแทนของตลาดที่ 17.9% ต่อปี ในขณะที่กลุ่มที่มีการซื้อขายน้อยสุด (Turnover 8.8%/ปี) ได้ผลตอบแทน 18.5% ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การซื้อขายที่บ่อยครั้งเกินไปเกิดจากความเชื่อมั่นเกินเหตุ และไม่ได้เกิดบนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร ทำให้ไม่เพิ่มมูลค่ากับการลงทุนเลย

กล่าวโดยสรุปแล้ว Behavioral Finance เข้ามามีบทบาทอย่างมากในเรื่องการเงินการลงทุน ถือเป็นทฤษฎีทางเลือกที่ท้าทายทฤษฎีการเงินมาตรฐาน  โดยเฉพาะเมื่อเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีมาตรฐาน ที่เรียกว่า Anomalies ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก เช่น Size Effect – ปรากฏการณ์ที่หุ้นขนาดเล็กให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่  January Effect –ปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนดีในเดือน ม.ค. Sell-in-May Effect – ปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนไม่ดีในช่วงเดือน พ.ค.- ต.ค. แต่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงเดือน พ.ย. – เม.ย.)  Value Effect - ปรากฏการณ์ที่หุ้น Value ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น Growth และ Momentum Effect - ปรากฏการณ์ที่หุ้นที่มีผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านมามักจะเป็นหุ้นที่ยังคงทำผลตอบแทนดีต่อเนื่องไปในอนาคต เป็นต้น หลายปรากฏการณ์สามารถอธิบายได้ดีด้วย Behavioral Finance ที่ยอมรับในบทบาทของอารมณ์และจิตวิทยาของผู้คน เมื่อเทียบกับทฤษฎีทางการเงินแบบมาตรฐาน ที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานของความสมเหตุสมผลตลอดเวลา 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าในอนาคต Behavioral Finance จะเข้ามามีบทบาทความสำคัญเพิ่มขึ้นในการเรียนรู้การเงินการลงทุน และเพิ่มความเข้าใจของเราต่อปรากฏการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงในโลกการเงินนี้ 


เรื่อง ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์         

เมื่อกล่าวถึงอาชีพในอนาคต (Future Career) สิ่งที่เป็นกระแสยอดฮิตคงหนีไม่พ้นความกังวลเรื่องการถูกแย่งงานจากปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) และหุ่นยนต์ Robotic วันนี้ เอ็มจึงพาทุกท่านมาไขข้อข้องใจ กับผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และผู้ที่ทำอาชีพแห่งอนาคต หรือ Future Careerist อย่าง Data Scientist และ Venture Capitalist แต่ละท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง

 

 

 

จากภาพใหญ่ ในมุมมองของ ดร.สมบูรณ์ กุลวิเศษชนะ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ขององค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจในอนาคต หรืออาชีพในอนาคตก็ตามความเปลี่ยนแปลงจะเกิดจากความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น ตราบใดก็ตามที่คนยังให้คุณค่ากับฝีมือคน AI จะยังไม่มาแทนที่มนุษย์ในสายอาชีพนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมใดก็ตามที่ เช่น อาหารจากพ่อครัวชื่อดัง AI ก็จะไม่มาแทนที่ แต่ AI จะมีบทบาทในรูปแบบของการเพิ่มคุณภาพชีวิตคน ทำงานที่คนไม่ได้อยากทำ หรืองานที่ต้องทำซ้ำๆ เช่น การทำความสะอาด หรืองานธุรการง่ายๆ เป็นต้น ในส่วนของประเทศไทย ในบริบทของค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า หุ่นยนต์ก็จะยังไม่เป็นที่แพร่หลายในการทดแทนแรงงานที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ดี หากแต่แรงงานที่ต้องใช้ทักษะพื้นฐานที่มีค่าจ้างสูงใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายในการนำหุ่นยนต์มาใช้ อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกแย่งงาน ตามกฎของชาลส์ ดาร์วิน เผ่าพันธุ์ที่อยู่รอด ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวเก่งที่สุดต่างหาก ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอยู่รอด คือ การปรับตัวโดยการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ให้มีทั้งด้าน Cognitive Skill และ Human Skill อย่างสมดุล 

 

 

มามองบริบทในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกากันบ้าง ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล (ต้า) ผู้ซึ่งจบปริญญาเอกจาก MIT เคยเป็น Data Scientist ที่ Facebook ใน ซิลิคอน แวลลีย์ มาก่อนมองว่า AI ยังมีข้อจำกัดอีกมากถึงแม้ AI จะสามารถเล่นเกมออนไลน์ชนะนักเล่นเกมมืออาชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่า AI จะสามารถทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้ดีเทียบเท่ากับคนที่มีประสบการณ์ในงานนั้นมาแล้ว 10 ปี หากแต่ AI จะมาเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น คนที่จะเป็นที่ต้องการในอนาคตคือคนที่คุยกับ AI รู้เรื่อง พูดง่ายๆ ก็คือเขียนโปรแกรมเป็น 

 

เมื่อฟังพี่ต้าพูดแบบนี้แล้ว เอ็มก็นึกไปถึงยุคก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ว่า คนสมัยก่อนก็ทำบัญชีบนแผ่นกระดาษ คำนวณด้วยมือ ต่อมาเมื่อคอมพิวเตอร์แพร่หลาย แรงงานที่เป็นที่ต้องการ ก็กลายเป็นแรงงานที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ใช้ MS Office ได้ พี่ต้ายังให้ความเห็นอีกว่าปัจจุบันคนไทย ส่วนใหญ่ไม่มี Tech Literacy กล่าวคือ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นขั้นพื้นฐาน ยังขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่รู้แม้กระทั่งเวบไซต์ทำงานอย่างไร ซึ่งไม่เพียงพอแล้วในอนาคตอันใกล้ ซึ่งทำให้พี่ต้า และเพื่อนๆ ก่อตั้ง Skooldio ซึ่งเป็น Startup สอน Coding Online ขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้

 

ไม่ว่าคำที่พูดจะเป็นยุค AEC, 4.0 หรือ Artificial Intelligence ทางรอดเดียวของคนก็คือการพัฒนาตัวเองให้มี Competitive Advantage เหนือสิ่งที่จะมาแทนที่ ถ้าเป็นยุคของ AEC ที่แรงงานต่างชาติจะเข้ามาทำงานได้อย่างเสรี คนไทยก็ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มากกว่าแรงงานต่างชาติเหล่านั้น ในอนาคตอันใกล้ ที่ระบบ Automation, Artificial Intelligence และหุ่นยนต์จะเข้ามาทำงานแทนที่คน ทางรอดเดียวก็ยังคงเป็นการพัฒนาศักยภาพเฉกเช่นเดียวกัน แต่การพัฒนาศักยภาพให้ถึงขีดสุด เอ็มเชื่อว่าเราจะต้องรู้ก่อนว่า Purpose หรือจุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของเราคืออะไร เพราะนั่นจะทำให้เรามีแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเอง

 

 

ปุณยธร สุทธิพงษ์ชัย (แชมป์) เกิดมาพร้อมฉลากติดตัวว่าเป็นทายาทบริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ตัวแทนในการจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “ชาร์ป (SHARP)” ที่กลายมาเป็นผู้ก่อตั้ง Creative Ventures บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ที่ลงทุนใน Deep Tech Startup ค้นพบ Purpose ของชีวิต
จากเหตุการณ์สำคัญ 3 ครั้งด้วยกัน พี่แชมป์วางแผนชีวิตตามเป้าหมายในการสืบทอดกิจการของครอบครัวตั้งแต่อายุ 15 และเขาก็บรรลุเป้าหมายแล้วเป้าหมายเล่า แต่ขณะเรียนปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีอาจารย์ท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า ถ้าไม่ได้เป็นทายาทกรุงไทยการไฟฟ้า แชมป์จะเป็นใครและทำอะไร ซึ่งเขาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งที่ 1 ที่ทำให้พี่แชมป์ฉุกคิดถึงชีวิตนอกเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ แต่เขาก็ไม่ได้กลับมาตั้งคำถามนี้กับตัวเองอีกครั้ง จนกระทั่งวันแรกที่ไปเรียน MBA ที่ University of California Berkeley และนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ 2 ซึ่งก็คือ การปกปิดการเป็นทายาทธุรกิจครอบครัวจากเพื่อนใหม่ ผลคือ ไม่รู้จะแนะนำตัวเองว่าอะไร และไม่มีเพื่อน ทำให้พี่แชมป์รู้ชัดว่าเขาไม่รู้จักตัวเองในบทบาทอื่นเลย และกระตุ้นให้เขาค้นหาตัวเองอย่างหนักหน่วงด้วยการสัมภาษณ์คนที่ทำอาชีพต่างๆ ถึง 120 คน ลองทำสิ่งใหม่หลายสิ่ง สังเกตและทบทวนความรู้สึกของตัวเอง จากวิศวกรไฟฟ้าและอุตสาหการ ไปทำงานในบริษัทดีไซน์ เป็น Angel Investor ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัปเกิดใหม่ จนกระทั่งกลับมาทบทวนทั้งในเรื่องที่ได้เรียนรู้มาจากผู้อื่น และพื้นฐานเดิมของตัวเอง และเกิดเหตุการณ์ที่ 3 นั่นก็คือ การยอมรับพื้นฐานเดิมของตนเอง นำสิ่งที่ตัวเองชอบซึ่งก็คือ Design Thinking และค่านิยมในการช่วยเหลือผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ มาประกอบกันเป็น Purpose ของชีวิต ซึ่งก็คือ
การก่อตั้ง Creative Ventures ที่เป็น Venture Capital หรือบริษัทที่ลงทุนในสตาร์ทอัพ ที่ไม่ได้เกิดจากโอกาสทางธุรกิจ แต่เกิดจากความต้องการช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ ซึ่ง Creative Ventures ไม่เพียงแต่ลงทุนเท่านั้นแต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย นี่เป็นวิธีสร้างอาชีพของตัวเอง
ซึ่งในไทย ยังเป็นธุรกิจที่ไม่แพร่หลาย และมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หากกระแสสตาร์ทอัปยังดำเนินต่อไปในภูมิภาคนี้

 

การเตรียมตัวสำหรับอาชีพในอนาคตเริ่มก่อนย่อมพร้อมกว่า หากยังไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไรมาหาคำตอบได้ในการเสวนาโดยเหล่า Future Careerist ผู้ทำอาชีพแห่งอนาคต โดยคุณชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ผู้ก่อตั้ง FireOneOne และ Wecosystem ชุมชนผู้ประกอบการแห่งอนาคต, ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง Skooldio และ Ex-data Scientist ของ Facebook และคุณปุณยธร สุทธิพงษ์ชัย ผู้ร่วมก่อตั้ง Creative Ventures ในสหรัฐอเมริกา ดำเนินการเสวนาโดยคุณธีรยา ธีรนาคนาท ผู้ร่วมก่อตั้งกิจการเพื่อสังคมแคเรียร์วีซ่า ใน Thailand MBA Forum ที่โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน วันที่ 21 – 22 พฤศจิกายน 2560 นี้  

 

เรื่อง ธีรยา ธีรนาคนาท

ภาพ ฐิติวุฒิ บางขาม, นฤนาท ปิยะปัญญานนท์

ผศ.ดร.วิพุธ อ่องสกุล คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า บนโลกใบนี้ที่ถูก Disrupt ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต้องมีการปรับตัวอย่างไร

ข่าวฮือฮาเกี่ยวกับมูลค่าของ Bitcoin เงินตราอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำนิวไฮให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในโลกการเงิน ที่มีทั้งมองเงินตราดิจิทัลในแง่บวกและลบ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งความร้อนแรงของกระแส Cryptocurrency บนโลกใบนี้ไปได้

 

และในโลก Cryptocurrency นอกจาก Bitcoin ที่ครองตลาดอยู่กว่าครึ่งแล้ว ยังมีเหรียญดิจิทัลอีกกว่า 1,200 เหรียญในตลาดที่มีมูลค่ารวมกว่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2560) เป็นเรื่องที่น่าดีใจเมื่อพบว่า หนึ่งในเหรียญที่อยู่ในตลาดนี้ มีเหรียญหนึ่งที่เกิดจากมันสมองของคนไทย ผู้มีความมุ่งมั่นกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency

 

Zcoin คือเหรียญที่เรากำลังจะพูดถึง แม้จะยังไม่โด่งดังเท่ากับ Bitcoin แต่ Zcoin ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า คนไทยมีความสามารถที่หลากหลาย ไม่เว้นในสายเทคโนโลยีเข้มข้นอย่างเช่นในวงการ Crytocurrency และเมื่อได้รับโอกาสก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจออกมาได้

 

ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและร่วมพัฒนา ZCoin ปัจจุบันยังเป็นซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง บ.สตางค์ คอร์ปอเรชัน จำกัด มาเล่าเรื่องราวของ Zcoin และความเป็นไปของโลก Cryptocurrency ที่น่าสนใจนี้

ปรมินทร์เล่าเรื่อง Zcoin ว่า จุดเริ่มต้นมาจากขณะที่ไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งโดยส่วนใหญ่นักศึกษาที่ไปเรียนต่อมักจะหางานพิเศษทำ โดยมีงานพิเศษในร้านอาหารเป็นที่นิยมของกลุ่มนักศึกษา แต่เขามองว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะใช้สิ่งที่เรียนเกี่ยวกับ Information Security หรือการรักษาความปลอดภัยบนระบบสารสนเทศมาหารายได้ 

 

“ตอนนั้น Crytocurrency เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผมเหมือนกัน Bitcoin เพิ่งเพิ่มมูลค่าจาก 300 เหรียญไปที่ 1,300 เหรียญ เป็นปรากฏการณ์ที่ออกข่าวทุกช่อง และทุกเว็บไซต์ คนในฝั่งผมที่เปิดเว็บไซต์ออนไลน์อยู่แล้วก็ได้ดูข่าว ผมก็เริ่มสนใจ Bitcoin และเริ่มศึกษาว่าทำอย่างไรที่จะหาเงินจาก Bitcoin ได้ด้วยความรู้ที่ผมมีเกี่ยวกับ Information Security นั่นคือจุดเริ่มต้น ซึ่งพอเข้าไปศึกษา ผมก็มองว่า Bitcoin จะมีการขุด แก้โจทย์คณิตศาสตร์แข่งกันแล้วได้ Bitcoin ไป ผมก็เข้าไปคลุกคลีในช่วงเวลาหนึ่ง และมองว่าผมยังมีศักยภาพหรือมีความรู้ที่มากกว่าการทำแบบนั้น และมองว่า เป็นไปได้ไหมที่จะสร้างเหรียญของตัวเองขึ้นมา จากการที่มีความรู้อยู่แล้ว และไปดูตัวซอร์สโค้ดของ Bitcoin ที่เขาโอเพ่นซอร์สอยู่แล้ว ก็เริ่มศึกษามาตั้งแต่ตอนนั้นและใช้หัวข้อนี้ในการจบปริญญาโทด้วย ประกอบกับอาจารย์ที่ปรึกษา ก็ทำวิจัยทางด้านนี้ด้วย” 

 

หัวข้องานวิจัยสำหรับจบปริญญาโทของเขาจึงเป็นการทำธุรกรรมให้เป็นส่วนตัวบนบล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังของ Bitcoin และ Crytocurrency อื่น ซึ่งเขาก็สามารถทำได้เข้าตานักลงทุนจนมีผู้มาสนับสนุนด้านเงินทุนและทำเป็นโปรเจ็กต์ที่ใช้เวลาทำประมาณ 1 ปี ในชื่อ Zcoin

 

ปรมินทร์ ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นให้ฟังว่า “สมัยก่อนคนที่จะสร้างเหรียญใหม่พยายามที่จะสร้างบล็อกเชนของตัวเอง Zcoin ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้มีคนต้องการสร้างเหรียญเยอะโดยเอาบิสเนสโมเดลต่างๆ มาจับ ซึ่งการสร้างเหรียญใหม่แล้วต้องมีความรู้ในด้านเทคนิคอลเยอะๆ ก็ค่อนข้างยาก ทาง Ethereum จึงมองว่า จะทำอย่างไรให้คนสร้างเหรียญสร้างได้ง่ายขึ้น เลยทำเป็นแพลตฟอร์มออกมา อำนวยความสะดวกโดยที่ขี่บน Ethereum อีกที ผมทำตัว Zcoin มาก่อน Ethereum จะปล่อยแพลตฟอร์มออกมา เป็นเหตุที่ทำไมผมใช้บล็อกเชนของตัวเอง แทนที่จะขี่บน Ethereum จริงๆ แล้วปัจจุบัน ในทีมงานของผมเองก็ยังมีการเขียนซีคอยน์อยู่บน Ethereum เหมือนกัน โดยใช้เทคโนโลยี Zcoin ที่ชื่อว่า Zero Coin ไปรันบน Ethereum ทำให้คนที่ใช้งาน Ethereum สามารถใช้งานเทคโนโลยีเดียวกันที่อยู่ใน Zcoin ได้” 

 

จุดเด่นของ Zcoin คือความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้คนอื่นได้รู้ว่าเป็นใคร ที่ทำการโอนเงินไปให้ผู้อื่น เช่น นักธุรกิจที่กำลังอยู่ระหว่างเริ่มต้นการร่วมธุรกิจที่ยังไม่อยากให้คู่แข่งทราบ เป็นจุดเด่นที่ Zcoin มาตอบโจทย์เรื่องนี้ซึ่งหากใช้ Bitcoin จะไม่สามารถทำได้ 

 

ปรมินทร์อธิบายว่า “Zcoin ทุกคนเห็นเหมือนกัน แค่ระบุไม่ได้ ยังมีทรานเซกชันเกิดขึ้นอยู่ แต่จากที่เคยระบุได้ก็จะระบุไม่ได้ แต่ทรานเซกชันก็ยังอยู่ในบล็อกเชนอยู่ ระบุที่มาไม่ได้ ใน Bitcoin ถ้าผมสามารถผูกบัญชีกับคนคนหนึ่งได้ นั่นหมายความว่าผมจะรู้แล้วว่าเขามีเงินเท่าไร ทำทรานเซกชันอะไรบ้าง เมื่อไร ผมจะรู้เลยว่าเขาได้เงินมาจากที่ไหนบ้าง และส่งไปที่ไหนบ้าง ซึ่ง Zcoin มีเรื่องของการไม่โชว์ที่มา คือผมสามารถส่งเงินไปที่ปลายทางได้โดยที่ปลายทางได้รับ แต่ไม่ได้ระบุที่มาว่ามาจากไหน” 

 

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Crytocurrency คือมูลค่าของเหรียญซึ่งเกิดจากการนำราคาของเหรียญคูณด้วยจำนวนเหรียญในระบบ โดยราคาเกิดจากการนำราคาซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนทั่วโลกมาเฉลี่ยกัน เช่น Zcoin มีตลาดที่อินโดนีเซีย อเมริกา จีน และยุโรป ก็นำทั้งหมดมาเฉลี่ยว่ามีมูลค่าต่อเหรียญเท่าไร แล้วคูณกับจำนวนเหรียญที่มี

ปรมินทร์ เล่าว่า “ตอนที่ทำไม่ได้มองว่าจะโตขนาดนี้ ก่อนหน้านี้มองว่าเกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็ถือว่ามากแล้ว เพราะด้วยเงินทุนที่เราได้มาเรามองว่า 10-20 เท่าก็เยอะแล้ว แต่ปัจจุบันมูลค่า  มาอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้ แต่เราก็ยังมองว่ามันยังสามารถโตไปได้อีกไกล”

 

จากราคาเริ่มต้นที่เหรียญละ 6 เซนต์ ปัจจุบัน Zcoin มีมูลค่าต่อเหรียญอยู่ที่ประมาณ 12 ดอลลาร์สหรัฐ และมีปริมาณเหรียญในระบบประมาณ 3 ล้านเหรียญ ติดอยู่ 1 ใน 100 เหรียญของโลก เห็นได้ว่ามีการเติบโตอย่างมาก ปรมินทร์อธิบายเรื่องนี้ว่า “พวกผมเองก็ได้อานิสงส์จาก Bitcoin ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนซึ่งไม่ใช่นักลงทุนมือสมัครเล่น เงินถูกใส่มาในตลาด Crytocurrency มากขึ้นทำให้ Zcoin ได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะการที่นักลงทุนอาชีพมาลงทุนในตลาด Crytocurrency เขาจะไม่ได้ลงแค่เหรียญเดียว แต่เขาจะจัดพอร์ตของเขาไป เพื่อลดความเสี่ยง” ในด้านการใช้งานเงินตราดิจิทัล ผู้ก่อตั้ง Zcoin บอกว่ายังมีคนนำเงินเหล่านี้ไปใช้ไม่มากนัก เพราะการนำไปใช้ต้องมีความเข้าใจในระดับหนึ่ง ร้านค้าต้องเข้าใจกลไกการชำระเงินที่แตกต่างจากระบบที่มีอยู่ เช่น เมื่อจ่าย Bitcoin จะต้องรอเวลาเพื่อให้ระบบทำงานประมาณ 10 นาที ร้านค้าแต่ละร้านต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ และต้องมีแรงกระตุ้นให้เข้ามาใช้งาน เช่น เมื่อเพิ่มการชำระเงินด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์แล้วจะทำให้มีผู้ใช้บริการมากขึ้น สำหรับในประเทศไทยเขามองว่า เขาเข้ามาได้ถูกจังหวะในช่วงที่ตลาดกำลังมีความสนใจ Crytocurrency รวมถึงผู้กำกับดูแลทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ 

 

สำหรับการเลือกลงทุนในเหรียญดิจิทัลเหล่านี้ ปรมินทร์บอกว่า “ถ้าให้เซฟที่สุด คือแบ่งเป็น 3 ชั้น เสี่ยงน้อย เสี่ยงกลาง เสี่ยงสูง เป็นเรื่องการลงทุน เลือกท็อป ตรงกลางและท้ายๆ ไว้ อาจจะเอาลิสต์มาดู 1-10 เลือกสัก 1-2 เหรียญ 20-50 เลือกสัก 1 เหรียญ 50-100 อีกเหรียญ แค่นี้ก็พอแล้ว ผมมองว่าตั้งแต่ 150 ไปเริ่มเสี่ยงไป บางทีเขาทำขึ้นมาไม่ได้ซีเรียสกับเหรียญที่ทำ จะลงเหรียญอะไร ถ้าไม่อยู่ใน 1-10 ต้องศึกษาดีๆ เหมือนหุ้นบลูชิป ที่มีความมั่นคงกว่า 

 

ในแง่การใช้งาน ผมก็ยังแนะนำ Bitcoin เพราะเกิดมาก่อนเขา วอลุ่มในการเทรดค่อนข้างเยอะเกินครึ่ง เราสามารถเอาไปใช้ที่ประเทศไหนก็ได้ มีตลาดทั่วโลก เป็นตลาดใหญ่ที่สุดแล้ว ถือ Bitcoin ความเสี่ยงที่จะไปที่ประเทศนั้นแล้วเอาออกไม่ได้มีน้อยกว่า อารมณ์เหมือนถือยูเอสดอลลาร์กับเงินประเทศเล็กๆ”  

 

บล็อกเชนสังคมแห่งการตรวจสอบ

ปริมินทร์กล่าวถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนว่า มีความน่าสนใจแตกต่างจากซอฟต์แวร์ทั่วไป โดยยกตัวอย่างเช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ทั่วไปจะมีการทำกันอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับบล็อกเชนการทำเช่นนั้นทำได้ยาก “ในส่วนของบล็อกเชนเราจะอัปเกรดแบบนั้นไม่ได้ การอัปเดตหนึ่งทีอาจจะใช้เวลาเป็นปี เพราะว่าผู้ใช้งานกระจายอยู่ทั่วโลก และการที่เราขออัปเดต ก็จะเกิดกรณีที่ว่าคุณเป็นใครมาสั่งให้เราอัปเดตซอฟต์แวร์ และซอฟต์แวร์ที่คุณให้เราอัปเดตมีความปลอดภัยมากแค่ไหน มีแบ็กดอว์ฝังไปบ้างหรือเปล่า คนอื่นก็ต้องการตรวจสอบด้วย และการเอาซอฟต์แวร์พวกนี้ไปรันบนฮาร์ดแวร์ขนาดเล็ก ตู้เอทีเอ็มต่างๆ นั่นคืออุปกรณ์เหล่านั้นก็ต้องอัปเดต ด้วย ซึ่งไม่สามารถสั่งให้อัปเดตทีเดียวได้ เพราะเขาเองก็ไม่ได้เชื่อใจผม เขาก็ต้องใช้เวลาตรวจสอบ ในบล็อกเชน ไม่มีใครเชื่อใจกันทั้งสิ้น เช่น Zcoin ประกาศว่าจะมีการอัปเกรดใน 3 อาทิตย์ข้างหน้า ซอร์สโค้ดเราปล่อยออกแล้ว ตัวซอฟต์แวร์เราปล่อยเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถนำไปรันได้เลย เพราะอีก 3 อาทิตย์ข้างหน้าอันเก่าใช้งานไม่ได้แล้ว มันไม่สามารถวันนี้เอาไปเลย”

 

เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ 

“หน้าที่สถาบันการศึกษาคือ ให้ความรู้กับเพื่อให้คนมีความพร้อมออกไปใช้ชีวิตไปทำงานในโลกภายนอกได้ ในเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปถ้าสถาบันการศึกษาไม่เปลี่ยนแปลงหลักสูตร วิธีการสอนเราจะไม่สามารถผลิตคนออกไปทำงานได้ในอนาคต

การปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ Industrial Revolution คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการและรูปแบบการผลิต โดยโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมไปทั้งหมดสี่ยุคด้วยกัน

ผมเคยเป็นมาแล้ว ทั้ง Investment Banker และ เจ้าของกิจการ เคยทั้งระดมทุนให้กิจการของคนอื่น และหาเงินก่อตั้ง ปลุกปั้น ประกอบการกิจการของตัวเอง ผมจึงเข้าใจและเห็นใจหัวอกของบรรดา Start Up ทั้งหลาย ไม่ใช่ความเข้าใจที่เกิดจากการอ่าน การพูดคุย หรือเก็งความจริง แต่เป็นความเข้าใจจากการลงมือปฏิบัติ ตรึกตรอง และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ตลอดจนหวนคิดตรึกตรองถึงบทเรียนเหล่านั้นอยู่เสมอผมรู้และเข้าใจดีว่า เจ้าของกิจการไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านหลายมุม ไหนจะเรื่องเงิน เรื่องคน เรื่องการจัดการ และเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งดินฟ้าอากาศ สารพัดสารพัน

 ที่สำคัญคือ องค์ความรู้ในสังคมไทย โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการผลิตนั้น เป็นความรู้ที่ไปไม่ถึงแก่นแท้ เรายังขาดความรู้ในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือและเครื่องจักรที่จำเป็น ความรู้ทางด้านวัสดุสมัยใหม่และองค์ประกอบในการผลิตทั้งในเชิง Hardware และ Software ทำให้เมื่อจะลงมือ “สร้าง” อะไรเป็นของตัวเอง ที่คิดว่าจะไปแข่งขันกับใครเขาได้ในโลกนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือถ้าได้ก็จะมีต้นทุนสูง เพราะต้องพึ่งพาความรู้ (หรือที่เรียกในภาษาสมัยใหม่ว่า “เทคโนโลยี”) ของฝรั่ง ของญี่ปุ่น (และตอนนี้ก็ของจีนเพิ่มเข้าไปอีกราย) ทำให้ผู้ประกอบการของเรา ต้องมีสถานะเป็นเพียงนายหน้าหรือลูกไล่หรือผู้รับจ้าง และถูกกิจการที่เป็นเจ้าขององค์ความรู้เหล่านี้ บังคับให้ต้องวิ่งไล่กวด เพื่อหาซื้อหรือเช่าความรู้ใหม่ๆ ของเขา อยู่ตลอดเวลา เสมือนต้องกินน้ำใต้ศอกของกิจการเหล่านั้นอีกทอดหนึ่ง ซึ่งบางทีก็เหลือให้เรากินแต่เพียงเศษเนื้อเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ผลตอบแทนในเชิงการลงทุนและการเงินต่ำ เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่พวกเขา ในฐานะเจ้าของความรู้เหล่านั้น ได้รับไปในช่วงเวลาเดียวกัน

 ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งใจประกอบการ ลงทุน ลงแรง และลงเวลา ไม่น้อยกว่าพวกเขา และเราก็มีมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่พร่ำสอนความรู้ในการผลิตเหล่านี้มาเป็นเวลานานแสนนาน แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถผลิตบุคคลากรที่เข้าถึงความรู้ในระดับ “แก่นแท้” ซึ่งจะช่วยให้ “สร้าง” อะไรได้ด้วยตัวเอง ในจำนวนมากพอสักที

 

 

แต่วันนี้ผมจะขอพูดแต่เพียงความท้าทายเดียว คือเรื่องเงิน

 เรื่องเงินมักเป็นเรื่องใหญ่ของผู้ริเริ่มทำกิจการ โดยเฉพาะในช่วงแรกของธุรกิจ ร้อยทั้งร้อย ต้อง “ทำกันไป ระดมทุนกันไป”  Start-Ups ที่ต้องกลายเป็น Finish-Down ไปเสียกลางคัน ก็เพราะปัญหาเรื่องเงินนี้แหละ  แน่นอน ในตอนแรกสุด พวกเราส่วนใหญ่ต้องใช้เงินเก็บ และระดมเอาจากพี่น้องเพื่อนฝูง หรือกู้ยืมมา ดีหน่อย ก็ได้โอกาสจากนักลงทุนมืออาชีพที่เขาถนัดและหากินทางนี้ เช่นพวกผู้ใหญ่ที่ชอบสนับสนุนเด็กรุ่นใหม่ หรือ Venture Capital หรือ Angel Fund ทั้งหลาย ภาษาทางการเงินสมัยใหม่มักเรียกการ Financing ช่วงนี้ว่า “Angel” หรือ “Pre-seed” Round

 โดยสถิติของสหรัฐอเมริกานั้น บรรดา Start-Up ที่สามารถรอดมาจนตั้งตัวได้ ทั้ง Free Cash Flow เป็นบวก หรือไม่ก็สามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นขายคนทั่วไป (IPO = Initial Public Offering) ได้ หรือไม่ก็ถูกกิจการขนาดใหญ่ที่ตั้งตัวได้แล้วซื้อหรือ Takeover ไปอยู่ในเครือข่าย ฯลฯ เหล่านี้จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี 

ใครผ่านช่วงนั้นได้ ถือว่ารอด ! ผมลอง Double Check บรรดา Venture Capital และ Investment Banker หลายคนดู ส่วนใหญ่จะให้ค่าเฉลี่ยราวๆ นี้ เช่นกัน ในระยะแรกของชีวิตกิจการนี้แหละ ที่ผู้ประกอบการจะต้องหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับการระดมทุนไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ กว่าจะตั้งตัวได้ท่านผู้อ่านต้องเคยผ่านตากับคำว่า “First Round” “Second Round” หรือศัพท์แสงทางด้านการเงินสมัยใหม่อย่างแน่นอน ไม่ต้องงงครับ คำเหล่านี้มันเพียงแต่ใช้เรียกการระดมทุนแต่ละรอบ จากบรรดา Venture Capital หรือนักลงทุนที่เห็นดีเห็นงามกับธุรกิจของบรรดา Start-Ups เหล่านั้นในช่วงแรก ที่ยังไม่สามารถระดมทุนในตลาดทุนขนาดใหญ่ได้เท่านั้นเอง คิดดูเอาเถอะ ว่าผู้ประกอบการต้องหนักหนาสาหัสเพียงใด และต้องยอมสละหุ้นของตัวเอง ตัดขายที่ละก้อนๆ จนกว่าจะตั้งตัได้ อาจเหลือไม่มากพอที่จะมีสิทธิมีเสียงแบบ “สิทธิขาด” ได้อีกต่อไป 

 ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะในเรื่องนี้ สตีฟ จอบส์ เองก็เคยถูกไล่ออกจาก Apple Inc. กิจการที่ตัวเองก่อตั้งกับมือมาแล้ว และรายล่าสุดคือ ทราวิส คาลานิก แห่ง UBER ที่ก็เพิ่งถูกริดรอนอำนาจในกิจการที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือด้วยเช่นเดียวกัน เหตุผลคือ จำนวนหุ้นของเขาที่เคยสามารถโหวตได้อย่างตามใจชอบ ถูก Dilute ลง เนื่องเพราะต้องตัดแบ่งให้กับ ผู้ลงทุนในการระดมทุนแต่ละรอบที่ผ่านมาปัญหานี้ เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องประสบพบเจอเหมือนกันหมด คือต้องชั่งใจ ระหว่างการถูก Dilute และการเติบโตขององค์กร เพราะเมื่อองค์กรเติบโต มันต้องใช้เงินในการจ้างคน จ้างวิศวกร ซื้อ Hardware เช่าสถานที่ และขยายไปในพื้นที่อื่น ฯลฯ

 

 

ภาษาทางการเงิน เรียกปัญหานี้ว่า “Bootstrap Problem” นั่นเอง

ที่ผมพูดมานี้ เป็นวัฒนธรรมการ-ดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ ที่บรรดา Start-Up ในระดับโลกต้องเผชิญ และวัฒนธรรมแบบนี้เริ่มถูกนำมาเผยแพร่ในเมืองไทยแล้ว แต่คนรุ่นผมมันกลางเก่ากลางใหม่ จึงอยากจะขอพูดปัญหาเฉพาะของไทย ที่เคยประสบพบมาให้ฟังด้วยว่า เมื่อไม่นานมานี้เอง วัฒนธรรมแบบ Venture Capital ยังคงล้มเหลวในเมืองไทยอยู่ สถาบันการเงินที่รัฐบาลก่อนๆ จงใจตั้งขึ้นมาสนับสนุนผู้ประกอบการหรือ Start-Ups ล้วนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร  การนำเอา Commercial Banker มาบริหารกิจการเหล่านี้ ตลอดถึงกฎหมายต่างๆ ที่ยังเป็นอุปสรรค ทำให้พวกเขาไม่กล้าสนับสนุนทางการเงินกับผู้ประกอบการใหม่ๆ ในมาตรฐานที่ต้องใช้กระแสเงินสดเป็นเกณฑ์ หรือ “Cash Flow Financing” พวกเขายังอาศัยมาตรฐานเดิมคือ ต้องการสินทรัพย์ถาวรมาวางค้ำประกัน “Asset-Based Financing”  (หรือจดจำนอง) ซึ่งยากที่บรรดา Start-Up จะมีได้

 Cash Flow Financing อาจมีบ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอกับการก่อร่างสร้างตัวให้เป็นปึกแผ่นได้จริงจัง มีแบบเล็กๆ น้อยๆ เช่น ที่ สสว. ทำสำเร็จอยู่บ้าง ทำให้กิจการธุรกิจสมัยใหม่ ที่อาศัยหรือครอบครองสินทรัพย์ถาวร (ซึ่งจับต้องได้) น้อย ทว่าพึ่งพิงหรือดำเนินไปสู่การครอบครองความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมหรือสิทธิบัตร (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้) ไม่สามารถตั้งตัวได้เท่าที่ควร ยิ่งกว่านั้น มันยังมีปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมองค์กร หรือ Norm ของครอบครัว เป็นปัญหาซ้อนอยู่ อีกชั้นหนึ่งด้วย 

ผมเคยคุยกับคุณเฉลียว สุวรรณกิตติ หลายครั้งถึงเรื่องนี้ ก่อนท่านเสียชีวิต คนส่วนใหญ่อาจรู้จักคุณเฉลียวในฐานะผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) แต่จริงๆ แล้วคุณเฉลียวเป็น Venture Capitalist ยุคแรกของไทย คือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทธนสถาปนา ที่ลงขันถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์เกือบทุกธนาคารในประเทศไทยสมัยโน้น ซึ่งต้องการที่จะสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (คือ Start-Up ในความหมายปัจจุบันนั่นเอง...ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองศึกษากรณี “ไข่ผง” ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ดูก็ได้) ผมถามคุณเฉลียวว่าทำไม “ธนสถาปนา” ถึงล้มเหลว และเราไม่สามารถลงหลักปักฐานวัฒนธรรมแบบ Venture Capital Financing ในสังคมไทยได้ คุณเฉลียวสรุปบทเรียนให้ผมฟังทุกครั้งเหมือนกันคือ “เพราะนักธุรกิจส่วนใหญ่ในเมืองไทย เป็นครอบครัวคนจีน และพวกเขาไม่ชอบที่จะให้คนอื่นเข้ามาถือหุ้นร่วมกันในกิจการ แม้รุ่นลูกจะเข้าใจว่า Venture Capital Funding เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น แต่พอไปถึงรุ่นพ่อ ก็มักจะมีปัญหาเสมอ” ผมไม่รู้ว่า Start-Up รุ่นปัจจุบัน สลัดความคิดแบบนี้ได้หรือยัง

 เราคงต้อง Observe กันต่อไป

 

 

 

ICO จะแก้ปัญหาที่ว่ามานี้ได้ในทันที

ผมเพิ่งมาเห็นนวัตกรรมล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ที่จะสามารถแก้ปัญหาของผู้ประกอบการที่พูดมาทั้งหมดนี้ได้ นั่นคือ “ICO” (“Initial Coin Offering”) ซึ่งเกิดขึ้นมาคู่กับกิจการที่มีส่วนพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย และกิจการที่ตั้งใจจะนำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้ในการให้บริการของตน มันคือกระบวนการระดมทุนโดยออก “เหรียญ” ขาย มันตั้งชื่อล้อกับ “IPO” แต่มันช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องตัดหุ้นของตัวเองออกขายเลย ทว่าก็ยังสามารถระดมทุนได้ โดยการออกเหรียญ (Token หรือ Utility Coin) ขายให้กับคนทั่วไปแทน “ICO” ก็คือ “IPO แนวใหม่” นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่า “ICO” นี้ จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางการเงินในช่วงต้น (หรือ “Bootstrap Problem”) ให้กับ Start-Up และผู้ประกอบการได้เลย โดยกิจการผู้ออกเหรียญขายนี้ ต้องนำเหรียญไปขอจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง (ที่ทำการซื้อขาย Crypto Currencies) เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับเหรียญ และเป็นหนทางที่ผู้ลงทุนหรือผู้จับจองเหรียญ สามารถนำเหรียญไปซื้อขายอีกทอดหนึ่งได้เหมือนกับหุ้นทุกประการ 

 ผมว่ามันเป็นพัฒนาการขั้นสูงของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ที่พวกเรานอกจากต้องจับตาอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังต้องหาทางเอามันมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจและภาครัฐในบ้านเราด้วยคือภาครัฐเอง ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก ICO ได้เช่นเดียวกัน ในการระดมทุนโครงการต่างๆ ของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น เราสามารถดีไซน์ให้เหรียญ ที่จะออกขายโดยรัฐบาลไทย ให้กับนักลงทุนนั้น สามารถนำไปแลกใช้บริการต่างๆ ในประเทศไทยได้ นอกไปจากการนำเหรียญนั้นไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง อีกทางหนึ่ง เพื่อให้นักลงทุนที่จับจองเหรียญไปในเบื้องต้น สามารถนำไปขายต่อได้เหมือนหุ้นหรือพันธบัตร โดยการระดมทุนแนวนี้จะมีความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนน้อยกว่าการกู้เงินตราต่างประเทศหรือการออกพันธบัตรขายในตลาดต่างประเทศตลาด ICO ในตอนนี้ไม่เล็กเลยเฉพาะในสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านจนถึงสิ้นเดือนตุลาที่ผ่านมา มีการระดมทุนแบบ “ICO” ไปแล้วถึง 175 ราย โดยมูลค่าทุนที่ระดมไปทั้งหมดประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

 แถมกิจการที่ออก “ICO” ขายนั้น ยังกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างน่าสนใจ เช่น Iconomi (เหรียญที่ออกขายชื่อ ICN) เป็นธุรกิจที่นำ Blockchain ไปใช้ในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management), Blockchain Capital (เหรียญชื่อ BCAP) เป็นกิจการ Venture Capital, Brave (เหรียญชื่อ BAT) เป็นเอเจนซี่โฆษณา, SALT (เหรียญชื่อเดียวกัน) เป็นธุรกิจให้กู้ยืมเงิน, Patientory (เหรียญชื่อ PTOY) เป็นธุรกิจ Healthcare เป็นต้นในเมืองไทยเอง ก็มีผู้ทำ ICO ประสบผลสำเร็จไปแล้ว คือ OMESE GO และได้ข่าวว่าจะมีรายอื่นตามมาในไม่ช้า

 กระบวนการทำ ICO นั้นยุ่งยากน้อยกว่า IPO แยะ เพราะยังไม่มีกฎหมายมาควบคุม จึงไม่จำเป็นต้องยื่น Filing ต่างๆ กับสำนักงาน กลต. และยังสามารถระดมทุนในตลาดโลก คือเปิดให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าจองซื้อกับเราได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านผู้รับประกันการจัดจำหน่าย หรือโบรกเกอร์ ให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมได้ยินว่า มี Investment Bank บูติกบางราย เริ่มเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับการทำ ICO ใหญ่ๆ ในต่างประเทศบ้างแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการง่ายเข้าไปอีกสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มธุรกิจ หรือแม้แต่พวกที่คิดจะเริ่มธุรกิจ และคิดจะระดมทุนโดยการออกเหรียญฯ ขาย (ICO) ก็สามารถแต่งตั้งให้ Investment Bank เหล่านั้น วางแผนการระดมทุนให้ ตั้งแต่การดีไซน์ลักษณะใช้งานของเหรียญฯ ให้มันสมเหตุสมผลและน่าสนใจ การจัดเตรียมซอฟต์แวร์ต่างๆ ในเครือข่าย และการนำเหรียญฯ ไปขอจดทะเบียนในตลาดสำคัญๆ ของโลก

ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน สำนักงาน กลต. คงต้องเข้ามากำกับดูแล ICO อย่างแน่นอน เพราะเหรียญเหล่านี้ มันเข้าข่ายเป็น “หลักทรัพย์”

แต่ก็เป็นการยากที่จะห้ามกระบวนการนี้โดยเด็ดขาด เพราะมันเป็นตลาดโลก ดูอย่างรัฐบาลจีนที่ห้ามทำ ICO และยังสั่งแบนตลาดซื้อขาย Crypto Currencies ด้วยนั้น ก็ทำให้นักลงทุนจีน หันไปซื้อขายในตลาดนอกประเทศจีน หรือ Start-Up ที่ต้องการระดมทุน ก็ยังสามารถขายเหรียญให้กับนักลงทุนต่างชาติได้ การจะแบน Crypto Currencies (เช่น BITCOIN) เป็นเรื่องยากเสียแล้ว ยกเว้นว่า รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องร่วมมือกัน และจะต้องปิดระบบอินเทอร์เน็ต (เพราะ บล็อกทุกบล็อกใน Blockchain มันถูกเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ของสมาชิกเครือข่ายที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก) ซึ่งต้องกระทบกับธุรกิจอื่นอย่างมโหฬาร การเข้ามาของกลต. หรือ SEC อาจจะดีก็ได้ เพราะจะช่วยยับยั้งไม่ให้พวกโกง หรือพวกแชร์ลูกโซ่ หรือพวกตีหัวเข้าบ้าน และพวกชอบลอกคราบ เข้ามาหากินในตลาด ICO นี้ หรือเข้ามาหากินได้ยากขึ้น ถึงกระนั้น ปัจจุบันก็มีตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญ Crypto Currencies และเหรียญ Utility Coins ที่ได้รับการรับรองหรือได้รับใบอนุญาตจาก SEC แล้ว ในอนาคตเชื่อว่า ตลาดในระดับนี้คงเกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ด้วยความจำกัดของหน้ากระดาษ ผมจึงขอจบเรื่อง ICO ไว้เพียงเท่านี้ก่อน

 เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา 

จุดพลิกผัน: มีจำนวนเซนเซอร์ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตครบ 1 ล้านล้านตัว

ภายในปี 2025: 89 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น

  

เมื่อความสามารถของการประมวลผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ลดลง (สอดคล้องกับ Moore’ s Law หรือกฎของมัวร์ กฎที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว กล่าวคือจํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆ สองปี Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง Intel ได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 กฎนี้ได้ถูกพิสูจน์อย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ และคาดว่าจะใช้ได้จนถึงปี 2015 หรือ 2020 หรืออาจมากกว่านั้น) และมีความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจที่จะเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ กับอินเทอร์เน็ตได้จริง เซนเซอร์อัจฉริยะ (Intelligent Sensors) เป็นสิ่งที่สามารถซื้อหาได้ในราคาที่ถูกมากๆ สรรพสิ่งจะกลายเป็นสิ่งอัจฉริยะ (Smart) และถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถสื่อสารได้มากขึ้นและเกิดบริการใหม่ๆ ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลบนฐานของขีดความสามารถทางการวิเคราะห์ที่เพิ่มขึ้น

 

มีการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้อยู่ชิ้นหนึ่ง ที่มุ่งศึกษาว่า จะสามารถใช้เซนเซอร์เพื่อมอนิเตอร์ (ติดตามดู) สุขภาพและพฤติกรรมของสัตว์อย่างไร ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเซนเซอร์แต่ละตัวที่ถูกเชื่อมต่อเข้ากับโคกระบือ มีความสามารถสื่อสารถึงกันผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างไร และสามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสภาพของโคกระบือจากที่ใดก็ได้

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ในอนาคตผลิตภัณฑ์ (ที่จับต้องได้) ทุกอย่างจะสามารถเชื่อมต่อกับอินฟราสตรักเจอร์ทางด้านสื่อสารแบบยูบิควิตัส (มีอยู่ทุกหนแห่งหรือพบเห็นได้ทุกที่) ส่วนเซนเซอร์จะทำให้ผู้คนรับรู้เกี่ยวกับข้อมูลสภาพแวดล้อมของตัวได้อย่างเต็มที่

 

ผลกระทบเชิงบวก

- เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร

- สร้างผลิตภาพเพิ่มขึ้น

- คุณภาพชีวิตดีขึ้น

- ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม

- ต้นทุนของการให้บริการลดลง

- การใช้ประโยชน์และสภาพของทรัพยากรมีความโปร่งใสมากขึ้น

- ความปลอดภัย (เช่น เครื่องบิน อาหาร) 

- ประสิทธิภาพ (ด้านโลจิสติกส์) 

- มีความต้องการด้านการจัดเก็บข้อมูลและแบนด์วิธ (ความกว้างแถบความถี่) มากขึ้น

- เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดและทักษะด้านแรงงาน

- การสร้างธุรกิจใหม่

- แอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ที่แสนยุ่งยาก ก็ยังสามารถทำได้ในเครือข่ายการสื่อสารแบบมาตรฐาน

- การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ “สามารถเชื่อมต่อกันทางดิจิทัล” 

- เพิ่มบริการแบบดิจิทัลแก่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ 

ดิจิทัลทวิน (Digital Twin หรือการบันทึกข้อมูลของสิ่งของในโลกจริงในรูปแบบ Digital ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก Sensor เพื่อวัดสถานะปัจจุบัน, ความเปลี่ยนแปลง และอื่นๆ ในรูปแบบของ Metadata, Condition/ State, Event และ Analytics) จะมีส่วนร่วมในกระบวนการธุรกิจ สารสนเทศ และสังคมอย่างจริงจัง

- สรรพสิ่งจะสามารถรับรู้สภาพแวดล้อมได้อย่างครอบคลุม สามารถตอบโต้และกระทำการได้เองโดยอัตโนมัติ

- การสร้างความรู้และมูลค่าเพิ่มบนฐานของสิ่งของ “อัจฉริยะ” ที่เชื่อมต่อกัน

 

ผลกระทบเชิงลบ

- ความเป็นส่วนตัว

- การสูญเสียงานของแรงงานไร้ฝีมือ

- การแฮกข้อมูล ภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของข้อมูล (เช่น utility grid หรือระบบคอมพิวเตอร์กลาง) 

- มีความซับซ้อนมากขึ้นและสูญเสียการควบคุม

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง

- การเปลี่ยนแปลงวิธีทำธุรกิจ (Business Model) : การเช่า/ การใช้ทรัพย์สิน ไม่ใช่การเป็นเจ้าของ (“Appliances as a service” เป็นโมเดลธุรกิจซึ่งไม่ได้เน้นการทำธุรกรรมซื้อขาย แต่เน้นเรื่องการให้บริการผ่านซอฟต์แวร์ การอัพเกรดคุณสมบัติ การดูแลรักษาอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ในระยะยาว เช่น การเช่าพรินเตอร์แทนการซื้อขาด
เป็นต้น) 

- โมเดลการทำธุรกิจได้รับผลกระทบจากมูลค่าของข้อมูล

- ทุกบริษัทมีศักยภาพที่จะเป็นบริษัทซอฟต์แวร์

- ธุรกิจใหม่ คือการขายข้อมูล

- กรอบในการคิดเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวเปลี่ยนไป

- โครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศแบบกระจายตัวและมีขนาดใหญ่

- ระบบการทำงานโดยอัตโนมัติของงานที่ใช้ความรู้ (เช่น การวิเคราะห์ การประเมินผล การวินิจฉัย) 

- ผลลัพธ์ที่เกิดจาก “Digital Pearl Harbor” การโจมตีบนโลกไซเบอร์ (เช่น พวกดิจิทัลแฮกเกอร์ หรือการก่อการร้ายที่ทำให้สาธารณูปโภคหยุดชะงัก ทำให้ไม่มีอาหาร เชื้อเพลิง และพลังงานนานนับสัปดาห์) 

- อัตราการใช้ประโยชน์สูงขึ้น (เช่น รถยนต์ เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ สาธารณูปโภค) เพราะมีการนำมาแชร์กันใช้ในขณะที่สิ่งเหล่านั้นว่างเว้นจากการใช้งานในเวลาปกติ

 

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์

รถยนต์ Ford GT มีซอฟต์แวร์ชุดคำสั่ง (หรือรหัสคอมพิวเตอร์) ความยาวถึง 10 ล้านบรรทัด บรรจุอยู่ในตัวรถด้วย

 

ที่มา: HYPERLINK “http://rewrite.ca.com/us/articles/security/iot-is-bringing-lots-of-code-to-your-car-hackers-too.html?%20intcmp=searchresultclick&resultmum=2” http://rewrite.ca.com/us/articles/security/iot-is-bringing-lots-of-code-to-your-car-hackers-too.html? intcmp=searchresultclick&resultmum=2) 

โมเดลใหม่ของรถยนต์ VW Golf ยอดนิยม
มีหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ถึง 54 หน่วย และมีจุดข้อมูลที่ถูกประมวลผลในรถยนต์มากถึง 700 จุด ทำให้เกิดเป็นข้อมูลที่กินพื้นที่จัดเก็บถึง 6 GB ต่อรถยนต์หนึ่งคัน

ที่มา: “IT-Enabled Products and Services and IoT” Roundtable on Digital Strategies Overview, Center for Digital Strategies at the Tuck School of Business at Dartmouth, 2014

คาดกันว่าจะมีอุปกรณ์ที่ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตกว่า 50,000 ล้านชิ้น ภายในปี 2020  ในขณะที่ทางช้างเผือก ซึ่งเป็นกาแล็กซี่ที่โลกเป็นสมาชิกอยู่ ยังมีดวงอาทิตย์อยู่แค่ 200,000 ล้านดวงเท่านั้น

Eaton Corporation ใส่เซนเซอร์ไว้ในสายยางแรงดันสูงซึ่งสามารถรับรู้ได้ว่าสายยางกำลังจะหลุด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเป็นอันตราย และช่วยประหยัดต้นทุนที่ค่อนข้างสูงของเครื่องจักรที่มีสายยางเป็นส่วนประกอบสำคัญในช่วงเวลาที่เครื่องไม่ทำงาน

ที่มา: “The Internet of Things: The Opportunities and Challenges of Interconnectedness,” Roundtable on Digital Strategies Overview, Center for Digital Strategies at the Tuck School of Business at Dartmouth, 2014

ปีที่แล้ว BMW เผยว่ามีรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ซึ่งเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ทางใดทางหนึ่ง อยู่ประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์หรือ 84 ล้านคัน และคาดว่าตัวเลขดังกล่าว
จะเพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณ 290 ล้านคันภายในปี 2020

ที่มา:  HYPERLINK “http://www.politico.en/article/google-vs-german-car-engineer-industry-american-competition/” http://www.politico.en/article/google-vs-german-car-engineer-industry-american-competition/

บริษัทประกันภัยอย่าง Aetna กำลังพิจารณาว่าเซนเซอร์ในพรมจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง กรณีที่คุณเกิดเส้นโลหิตในสมองแตกเฉียบพลัน โดยเซนเซอร์ดังกล่าวจะตรวจหาว่ามีการเปลี่ยนแปลงท่าเดินเป็นแบบเปะปะไหม เพื่อแจ้งให้นักกายภาพ
บำบัดเดินทางไปเยี่ยมดูอาการได้ทันท่วงที

ที่มา: “The Internet of Things: The Opportunities and Challenges of Interconnectedness,” Roundtable on Digital Strategies Overview, Center for Digital Strategies at the Tuck School of Business at Dartmouth, 2014

 

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา 

 

จุดพลิกผัน: มีคนที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างไม่จำกัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ได้รับการสนับสนุนจากโฆษณา) เป็นจำนวนถึง 90 เปอร์เซ็นต์

ภายในปี 2025: 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น

  

ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลมีวิวัฒนาการอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ให้บริการดังกล่าวแบบแทบจะให้ฟรีแก่ผู้ใช้ของตนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์ ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องการลบมันเพื่อให้มีที่ว่างในการจัดเก็บมากขึ้น เหตุผลข้อหนึ่งก็คือราคาของการจัดเก็บข้อมูล (รูปที่ 4) ลดลงในอัตราคงที่ (ด้วยปัจจัย/ตัวคูณประมาณ 10 ทุกๆ สิบปี) 

  

ประมาณกันว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลของโลกถูกสร้างขึ้นในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา และปริมาณของสารสนเทศที่สร้างขึ้นโดยธุรกิจมียอดเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าทุกๆ 1.2 ปี ตอนนี้ “การจัดเก็บข้อมูล” ถูกทำให้กลายเป็นโภคภัณฑ์หรือสินค้าอย่างหนึ่งไปแล้ว โดยมีบริษัทอย่าง Amazon Web Services และ Dropbox เป็นผู้นำแนวโน้มดังกล่าว

 

โลกเรากำลังมุ่งหน้าสู่การทำให้การจัดเก็บข้อมูลกลายเป็นโภคภัณฑ์อย่างเต็มตัว ผ่านการเปิดช่องทางเข้าถึงแบบฟรีโดยไม่จำกัดแก่ผู้ใช้ ภาพจำลองรายได้ของบริษัทที่ดีที่สุด น่าจะได้แก่รายได้ที่มาจากการโฆษณา และการส่งข้อมูลทางไกล (telemetry) 

 

ผลกระทบเชิงบวก

- ระบบกฎหมายทั้งหมดได้รับการจัดเก็บฟรี และใครก็เข้าถึงได้

- ผลดีทางด้านวิชาการ และการศึกษาด้านประวัติศาสตร์

- ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ

- เป็นการขยายขีดจำกัดเรื่องความจำของบุคคล

 

ผลกระทบเชิงลบ

- การสอดส่องดูความเป็นส่วนตัว

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง

- ความทรงจำนิรันดร (ไม่มีสิ่งใดถูกลบ) 

- การสร้าง การแบ่งปัน และ การบริโภคคอนเทนต์ (เนื้อหา) เพิ่มขึ้น

 

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์

บริษัทหลายแห่งต่างก็เสนอบริการการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ฟรีกันถ้วนหน้า โดยมีพื้นที่จัดเก็บแตกต่างกันไปตั้งแต่ 2GB ถึง 50GB

 

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา 

 

กับการพาไปกระทบไหล่นักฟุตบอลในดวงใจ สโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

 

จากการแสข่าวในโลกโซเชียล วอนช่วยเด็กชายพิการกระดูกสันหลังคด เมื่อปีที่แล้ว มาวันนี้ เด็กชายวันชัย ฤทธิเกษร (น้องแม็ก) อายุ 15 ปี ได้มีชีวิตใหม่ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาณ ผ่านกองทุนสมิติเวช เพื่อชีวิตใหม่แก้ไขกระดูกหลังคด 

 

นพ. ศรันย์ อินทกุล รองผู้อำนวยการ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์  กล่าวว่า เด็กไทยมีกระดูกสันหลังคดในอัตรา 1 ต่อ 10,000  คน ซึ่งถ้าเป็นไม่มากจะไม่มีอาการ และประมาณ 80% เป็นชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ และระยะหลังพบเด็กเป็นโรคนี้มากขึ้น  ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง ด้วยเหตุในปี 2559  สมิติเวช จึงตั้งกองทุนสมิติเวช เพื่อชีวิตใหม่แก้ไขกระดูกสันหลังคด เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคดที่ขาดแคลนทุนทรัพย์  ให้เด็กๆเหล่านั้น มีโอกาสเติบโตอย่างแข็งแรง เป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในอนาคต  ปัจจุบันได้ทำการผ่าตัดช่วยเหลือเด็กที่มีกระดูกสันหลังคดไปแล้วทั้งหมด  3  ราย   

สำหรับกรณีของน้องแม็กนั้น สมิติเวชรู้สึกดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือน้องแม็ก โดยสมิติเวช ได้ทราบเรื่องราวผ่านรายการ ปันฝันปันยิ้ม จึงประสานรับน้องแม็กเข้าผ่าตัดรักษาโดยผ่านกองทุน เพื่อชีวิตใหม่แก้ไขกระดูกหลังคด (โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) ณ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดรักษาโรคกระดูกสันหลัง และทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นำโดย ศ.เกียรติคุณ นพ. เจริญ โชติกวณิชย์ และ นพ.ประวิทย์ สุขเจริญชัยกุล รวมถึงจิตใจอันเข้มแข็งของน้องแม็ก ทำให้ผลการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี พร้อมกันนี้สมิติเวชได้รับความกรุณาจากผู้สนับสนุนใจบุญ  คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และคุณกรุณา ชิดชอบ (ภรรยา)  ในการจัด แมตซ์ฟุตบอลครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อหาเงินเข้ากองทุนนี้  โดยได้รับเงินกว่า  300,000  บาท และเราได้นำเงินนั้นมาช่วยเหลือน้องแม็กและเด็กอื่นๆ   และวันนี้เราได้สานฝันน้องแม็ก ในการมากระทบไหล่นักฟุตบอลในดวงใจ 

 

เด็กชาย วันชัย ฤทธิเกษร (น้องแม็ก) กล่าวว่า ขอบคุณคุณหมอและทุกคนมากครับเพราะกระดูกสันหลังคดมันทรมาณมากๆ  ขนาดหายใจยังเจ็บเลย ตอนนี้ผมเหมือนได้มีชิวิตใหม่ ทำให้ผมมีความภูมิใจที่ได้ดูแลคุณยาย และได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ เป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครชวนผม เล่นหรอกครับ  หมอบอกผมว่า ผมจะได้ใช้ชีวิตที่เป็นปกติ เพราะชีวิตที่เป็นปกติคือชีวิตที่มีความสุข  วันนี้ผมเข้าใจความหมายที่คุณหมอพูดแล้วครับ  ชีวิตของผมมีความฝันที่จะได้เตะฟุตบอลและชมการแข่งขันฟุตบอลกับนักกีฬาระดับประเทศครับ  วันนี้ผมมีความสุขมากครับเพราะสมิติเวชได้ช่วยทำความฝันของผมให้เป็นจริงครับ  ขอบคุณทุกท่านมากครับ

 

X

Right Click

No right click