December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

ก่อนปีสหัสวรรษ คำว่า ”ความเหลื่อมล้ำ” หรือ ”ความไม่เท่าเทียม” ที่เรามักพบเจอจะเป็นเนื้อหาในสาขาด้านสังคมวิทยาที่ขบวนของเนื้อหาโน้มไปในเรื่องทางภาคสังคมและพัฒนาการที่ต่อเนื่องมาจากประวัติศาสตร์นับพันปี

 

โดยประเด็นในเรื่องนี้มีระบุไว้ว่ามนุษย์เราดำรงอยู่ภายใต้ภาวะความเหลื่อมล้ำกันมาโดยตลอดนับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ทารกน้อยจากครรภ์มารดาผู้หนึ่ง กับทารกน้อยจากครรภ์มารดาอีกผู้หนึ่ง ได้รับการตัดสินนับแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลกแล้วว่า หาได้มีความเท่าเทียมกันได้ไม่ โดยปัจจัยที่เป็นตัวชี้ชะตาและกำหนดว่า เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้มีวาสนาใช้เหตุผลที่ว่าถือกำเนิดเกิดมาในครรภ์มารดาผู้ใด เป็นบุคคลในชนชั้นไหน ถ้าผู้ให้กำเนิดเกิดเด็กน้อยเป็นคนในตระกูลและชนชั้นสูง หนูน้อยผู้นั้นก็จะได้รับการจัดลำดับนับชั้นเป็นบุคคลในชั้นสูงเช่นกัน ส่วนหนูน้อยที่ด้อยวาสนาก็เพราะกำเนิดเกิดมาในท้องแม่สามัญชน ตัวชี้วัดและการกำหนดชนชั้นได้แบ่งแยกความเท่ากันของมนุษย์เราในหลายแห่งหนเป็นเวลาช้านาน  

 

ความเหลื่อมล้ำที่เลือนราง

ในการดำรงอยู่ภายใต้การไม่รู้ในอดีต เพราะวิทยาการและความรู้ของมนุษย์นั้นยังด้อยและจำกัด เพียงฝนฟ้าถล่ม ดินทลาย น้ำป่าไหลหลาก เกิดโรคระบาดผู้คนล้มตาย ผีพุ่งไต้ สุริยุปราคา จันทรุปราคา ภูเขาไฟระเบิดและอีกหลายสาเหตุที่มนุษย์เห็นเป็นอาเภทและไม่รู้ที่มา แต่ได้สร้างความหวั่นกลัวอันสั่นไหวและสิ่งที่ช่วยสงบใจมนุษย์ลงได้คือ ศาสนาและความเชื่อที่มีต่อสิ่งที่เหนือธรรมชาติ การสยบยอมและมอบความศรัทธาไว้กับภูติผีปีศาจและเทวดา จนพัฒนามาเป็นความเชื่อในสมมุติเทพ เทพจุติและผู้มีบุญญาธิการ ได้พัฒนาและสร้างความแตกต่างในรูปแบบของชนชั้นผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองนับแต่โบราณ โดยสิ่งนั้นได้รับการอรรถาธิบายภายใต้ทฤษฎีการหน้าที่ (functionalism) อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการของความเหลื่อมล้ำนับแต่อดีตได้ทำหน้าที่สร้างและส่งต่ออาณาจักรอันรุ่งโรจน์และเรืองรองจนสุดท้ายมักพบกาลล่มสลายลงไป เสมือนบทพิสูจน์ถึงความยั่งยืนที่คงยากหากปัจจัยของความไม่เท่าเทียมยังคงอยู่และได้รับการอธิบายในบริบทในแบบใหม่ ความรู้ที่มากขึ้นของมนุษย์และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ได้ทำหน้าที่อรรถาธิบายและปลดภาระหน้าที่ของเหล่าภูติผีและปีศาจ กระทั่งเหล่าเทพเทวดาให้คืนกลับสู่สวรรค์ชั้นฟ้า และมอบความเท่าเทียมแห่งมนุษยชาติผ่านสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน”

 

ความเหลื่อมล้ำแห่งยุคสมัย

ล่าสุดนิตยสาร Forbes ได้ออกรายงานผลของการสำรวจและจัดอันดับเศรษฐีผู้มั่งคั่งของโลกแห่งปี 2016 โดยข้อมูลล่าสุดพบว่าเศรษฐีผู้มีสินทรัพย์นับรวมถึงระดับหลักพันล้านเหรียญขึ้นไปของโลกมีอยู่ 1,810 คนลดน้อยถอยลงจากปี 2015 แต่โดยสะระตะ สินทรัพย์เมื่อนับรวมกันของผู้ติดอันดับเหล่านี้มีมูลค่าความมั่งคั่งรวมกันอยู่ที่ 6.5 ล้านล้านเหรียญ หากจะมองตัวเลขที่หยาบๆ แต่มโนภาพให้แจ่มชัด ก็ให้นึกว่าสินทรัพย์และความมั่งคั่งของเศรษฐีเพียงพันกว่าคนเป็นผู้ถือครองความมั่งคั่งของสินทรัพย์ร่วมกันได้เกือบครึ่งหนึ่งของคนทั้งโลกรวมกัน 6,000 ล้านคน

 

ส่วนภายในของประเทศไทยเราเองก็ไม่ได้ แตกต่างจากโครงสร้างของสากล เพียงหดและลดขนาด ย่อสเกลลงมาเพราะเมื่อพิจารณาจะพบว่าเจ้าสัว 10 คนที่รวยที่สุดของไทยเรา ถือครองสินทรัพย์นับรวมกันได้ถึง 37.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตัวเลขสินทรัพย์รวมกันที่หลักล้านล้านบาทไม่น้อยไปกว่านั้น 

 

ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาความเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกด้วยเงื่อนไขและกติกาของระบบทุนนิยมได้ช่วยสร้างความเติบโตและยิ่งใหญ่ให้กับโลกและประเทศนานับ แต่กลับสร้างได้เพียงความมั่งคั่งให้กับบางเสี้ยวส่วน ในจำนวนผู้คนอันน้อยนิดภายใต้กลไกการใช้ทรัพยากรแลกมาด้วยทั้งกำลังคน กำลังสติปัญญาและทรัพยากรจากธรรมชาติอย่างหลากหลายจนกลายเป็นวิกฤติปัญหาไปทั่วโลก ทั้งบนแผ่นดิน ในผืนน้ำ บนฟากฟ้าและอากาศ แต่ใช้สร้างความร่ำรวยให้กับคนเพียงหยิบมือ 

 

คำถามคือเงื่อนไขและกติกาที่สากลและประเทศได้กำหนดใช้ มีบริบทและโครงสร้างของการจัดสรรและแบ่งปันผลตอบแทนเช่นไร ที่ได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งได้บังเกิดขึ้นกับคนเป็นเพียงส่วนน้อย ของทั้งโลก

 

อย่างไรก็ดี หากเราจะใช้เพียงตัวเลขแสดงสินทรัพย์และดัชนีในทางเศรษฐกิจในการชี้ชัดความรวยความจน ความมีความไร้ อาจไม่ได้แสดงความหมายที่แท้จริงเสียทีเดียว เพราะผู้ที่มีดัชนีชี้วัดว่าเป็นคนจนที่สุดในทางตัวเลขก็คือผู้ที่มีตัวเลขติดลบ ก็คือคนที่มีหนี้ เมื่อเทียบกับคนจนผู้ยากไร้และไม่มีแม้แต่ที่อยู่อาศัยและข้าวปลาอาหารประทังชีวิต แปลว่ามีสินทรัพย์เท่ากับศูนย์ แต่ไม่มีหนี้ (เพราะไม่มีแม้โอกาสที่จะสร้างหนี้ได้) แล้วดัชนีที่ใช้ตัวเลขในการชี้วัดจะมีความหมายอย่างไร เพราะคนจนผู้ยากไร้คือไม่มีอะไรเลย แต่ผู้เป็นหนี้นับร้อยล้านอาจดำเนินชีวิตแบบผู้มีอันจะกินทั่วไปและใช้ชีวิตสุขสบายหรูหราเพียงแต่ว่ามีตัวเลขติดลบในทางบัญชี แล้วตัวเลขเหล่านี้จะเป็นดัชนีชี้วัดความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับเราได้อย่างไร

 

การกำหนดกฎเกณฑ์ กติกา และนโยบายเพื่อความเสมอกันอันจะนำไปสู่ความยั่งยืนนั้นมีความสำคัญเป็นยิ่งยวด แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการนำข้อกำหนดและกฎเกณฑ์เหล่านั้นไปสู่การปฏิบัติให้ได้ตามที่บัญญัติไว้ เพราะหากว่ากฎและกติกาได้รับการสร้างขึ้นเพียงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้แลดูดี หรือเป็นเครืองมือในทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการเมืองระหว่างประเทศหรือภายในประเทศเองก็ตาม การจะขจัดหรือลดความไม่เท่าเทียมแม้ไม่ต้องหมดไป แค่ให้ลดน้อยถอยลง คงเป็นเพียงคำนิยามอันหรูหราที่แต่งขึ้นมาและบรรจุเนื้อหาเพื่อสร้างจินตนาการและความคาดหวัง ต่อสิ่งที่ไม่มีวันจะเป็นความจริง

 

เป้าหมายโลก เป้าหมายเรา ธ.ก.ส. เปลี่ยนผู้ด้อยเป็นผู้ได้ 

อุปสรรคสำคัญหนึ่งอันนำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำของผู้ด้อยในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมคือการด้อยใน “โอกาส” โดยโอกาสที่ว่าคือโอกาสในการเข้าถึงซึ่งแหล่งทุน โดยทุนที่ว่าคือ “ทุนทางความรู้และทุนเพื่อใช้ในการผลิตและประกอบการ” ความด้อยต่อสิ่งเหล่านี้ สามารถมีผลชีวิตผู้ด้อยที่อาจคงความเป็น “ผู้ด้อย” อย่างยั่งยืนหากปราศจากการแตะถึงซึ่งโอกาสเยี่ยง “ผู้ได้”

 

ฉายภาพง่ายๆ ไปที่ตลาดเงิน สถานที่ที่คนนำเงินไปฝากและมีคนไปขอกู้ เงินเหล่านี้มีที่มาจากการเก็บหอมรอมริบของคนเล็กคนน้อย หรือคนทั่วไปในประเทศ ไปจนถึงคนที่เหลือกินเหลือใช้ นำไปฝากกองรวมกันในสถาบันรับฝากเพื่อทำการจัดสรร “ความมั่งคั่งที่รับฝากมา” ไปสร้างผลกำไรเพื่อนำกลับมาตอบแทนเจ้าของเงินฝากและเป็นผลตอบแทนการดำเนินการของตัวกลางหรือธนาคาร ผ่านข้อตกลงการจ่ายผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ตัวกลางผู้รับฝาก ถือเป็นผู้ได้รับสิทธิในการจัดสรรเงินเหล่านั้นเพื่อไป สร้างผลตอบแทนในฝั่งของการปล่อยกู้ หรือการลงทุนที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่มากกว่า แต่ไหนแต่ไรมาในอดีต เงินกู้เหล่านั้นมีทิศทางและเป้าหมายอยู่ที่การทำกำไรของการปล่อยสินเชื่อ และนั่นคือตรรกะที่ยอมรับกันว่าสมเหตุสมผล เพราะคือการแสดงความรับชอบต่อเจ้าของเงินที่เอามาฝากที่ธนาคารต้องดูแลทั้งเงินต้นและดอกผลเพื่อตอบแทน ผลสะท้อนต่อมาจึงวกมาที่การปล่อยกู้ ที่ต้องมองทั้งความเสี่ยงและยังมีเรื่องของโอกาส การทำกำไร เช่นนั้นแล้ว เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อโดยทั่วไปจึงมักเอื้อและอนุมัติเงินกู้ให้กับผู้ที่แลดูมีเครดิตน่าเชื่อถือ ซึ่งมักเป็นผู้ที่มีความมั่งคั่งเป็นทุนเดิม (หรือไม่มี) เพราะทุนเดิมนั้นมักเป็นสินทรัพย์ที่มาค้ำประกัน 

 

ตรรกะเหล่านี้มิใช่สิ่งผิด เพียงแต่ว่าตรรกะเหล่านี้มีผลต่อโครงสร้างทางโอกาสของผู้ด้อยนอกจากยากจะแตะถึงโอกาสของแหล่งทุน แล้วที่ยากไปกว่านั้นคือ ต้นทุนที่มักสูงกว่าแม้จะได้เงินกู้ หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ดอกเบี้ยตอบแทนเงินฝากมักสูงกว่าสำหรับเงินฝากยอดสูง ในทางกลับกัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อก้อนใหญ่กลับได้ข้อเสนอการเสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ลูกค้ารายย่อยที่มักจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่า และที่เหนือไปกว่านั้นคือสถาบันการเงินมักพยายามไม่ให้ลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารล้มหายตายจาก หากเพียงประสบปัญหาสภาพคล่อง หรือเงินสะดุด การอนุมัติสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือหรือส่งเสริมการขยายการลงทุน นั้นยิ่งถือเป็นโอกาสร่วมกันในการทำกำไรสำหรับลูกค้าสถาบัน แต่สำหรับลูกค้ารายย่อยนั้นเป็นเรื่องยากที่จะได้รับการต่อยอดและยืดโอกาส สภาพที่เห็นไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเล็กคนน้อย จะฝ่าทะลุด่านไปสู่การตั้งตัวขึ้นมาได้ ภายใต้ตรรกะของความน่าจะเป็นของการเอื้อโอกาสของผู้ได้ ยังคงเป็นผู้ได้อยู่เยี่ยงนั้น

 

 

การมีธนาคารอย่าง ธ.ก.ส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาและมีเป้าหมายสำคัญในการมุ่งช่วยเหลือและสนับสนุนชาวนาและเกษตรกรไทยให้มีโอกาสได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ ด้วยเงื่อนไขที่มุ่งหมายในการช่วยเหลือและอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม มีส่วนในการช่วยขจัดปัญหาหนี้นอกระบบอันนำมาซึ่งปัญหาการสูญเสียที่ดินทำกินของชาวนาและเกษตรกร และหนี้สินที่เป็นเหตุตามมาของ ความยากจน หนี้ท่วมท้น และนำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำ และอีกหลายปัญหา จากการตระหนักเห็นถึงความสำคัญของเกษตรกรว่าเป็นหน่วยผู้สร้างและผลิตอาหารที่ช่วยเลี้ยงดูคนทั้งประเทศ และผลผลิตเหล่านี้ยังเป็นสินค้าส่งออกสร้างรายได้ให้กับประเทศมาโดยตลอดหลายสิบปี แต่กลับกลายว่า ความช่วยเหลือและเอื้อโอกาสสำหรับฝ่ายผลิตสำคัญแห่งชาติช่างมีน้อยมาโดยตลอด คงเป็นภาพที่ยากจะพบเห็นได้ในปัจจุบันและอนาคต ในภาพของพนักงานธนาคารที่ปั่นจักรยาน นั่งเกวียน และเดินไต่ไปตามคันนา และร่องสวนเพื่อไปบริการรับฝากเงิน และหยิบยื่นเงินกู้ให้กับชาวบ้าน เพื่อฉุดยื้อและแย่งชิงการรักษาสมดุลแห่งนิเวศทางการเกษตรที่แข็งแกร่งเท่าที่กำลังจะทำได้ เพื่อมิให้ที่ดินและที่นาอันเป็นสินทรัพย์ทำกินของชาวบ้านต้องสูญเสียและหลุดมือไปเพียงเพราะรูปแบบการผลิตและทำกินยังต้องพึ่งพาดินฟ้าและอากาศ ธรรมชาติและความเสี่ยง อีกทั้งบ่อยครั้งที่ราคาของพืชผลไม่เป็นไปดั่งที่ตั้งใจ กลไกการตลาดที่ยังขาดความเข้มแข็ง ส่งผลให้เกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาต้องต่อสู้และฟันฝ่าอย่างไม่ง่าย 

 

ธ.ก.ส. นอกจากการเป็นธนาคารเพื่อการให้สินเชื่อและรับฝากเงินเพื่อสุขภาวะทางสังคมและการเงินของเกษตรกรแล้ว ที่สำคัญธนาคารแห่งนี้ยังสนับสนุนแหล่งทุนทางความรู้เพื่อเป้าหมายในการยกระดับความสามารถของเกษตรกรอันเป็นฐานรากที่สำคัญของสังคมไทยไปสู่ความเข้มแข็ง ซึ่งหากพันธกิจที่มุ่งมั่นนั้นเป็นจริงได้ ช่วงความต่างของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยแม้ไม่หมดไปและหายไปแต่คงได้ขยับชิดเข้าใกล้ได้อีกเล็กน้อย

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 

 

เทคโนโลยีที่สามารถฝังลงไป ในร่างกายมนุษย์ (Implantable Technologies)

จุดพลิกผัน: ถือเอาปีที่มีการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือซึ่งสามารถปลูกถ่ายเข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

คิดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2025: 82 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นในปีนั้น

คนเริ่มมีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ และอุปกรณ์ดังกล่าวเริ่มเชื่อมต่อโดยตรงกับร่างกายของคนมากขึ้น อุปกรณ์ไม่ใช่สิ่งที่แค่สวมใส่พกพาเท่านั้น แต่ยังสามารถฝังเข้าไปในร่างกาย ทำหน้าที่ในการสื่อสาร ติดตามดูตำแหน่งและพฤติกรรม และทำหน้าที่ในการดูแลสุขภาพได้ด้วย


การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าและประสาทหูเทียม (Pacemakers and Cochlear Implants) เป็นแค่จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เพราะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพออกมาอีกหลายอย่าง อุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถรับรู้พารามิเตอร์ของโรค และจะช่วยคนให้สามารถดำเนินการ ส่งข้อมูลเข้าศูนย์ติดตามผลและเฝ้าระวัง หรือปล่อยตัวยาเพื่อการเยียวยารักษาโรคออกมาโดยอัตโนมัติ


รอยสักอัจฉริยะ (Smart Tattoo) และชิปพิเศษอื่นๆ ก็สามารถช่วยเรื่องการระบุตัวตนและตำแหน่ง นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ถูกฝังอยู่ในร่างกายยังช่วยสื่อสารความคิดซึ่งปกติต้องมีการแสดงออกด้วยวาจา ผ่านทางสมาร์ตโฟนแบบ “Built-in” (ที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง) และสามารถอ่านความคิดหรืออารมณ์ที่ฝังอยู่ลึกๆ ทว่าไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นภายนอก ด้วยการอ่านคลื่นสมองหรือสัญญาณอื่นๆ ได้ด้วย

ผลกระทบเชิงบวก
• ลดปัญหาเด็กหาย
• เพิ่มผลลัพธ์ของการดูแลสุขภาพ
• เพิ่มความพึ่งพาตัวเอง
• สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
• การจดจำรูปภาพและความแพร่หลายของข้อมูลส่วนตัว (เครือข่ายนิรนามซึ่งจะคอย “ร้องเตือน” คน)

 

ผลกระทบเชิงลบ
• มีโอกาสถูกสอดส่องความเป็นส่วนตัว
• ความปลอดภัยของข้อมูลลดลง
• การหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง (Escapism) จนกลายเป็นโรคติดเว็บ
• ภาวะจิตว้าวุ่น (เช่น โรคสมาธิสั้น)

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
• มีชีวิตยืนยาวขึ้น
• ทำให้ลักษณะความสัมพันธ์ของมนุษย์เปลี่ยนไป
• การเปลี่ยนแปลงในปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ของมนุษย์
• การระบุตัวตนได้แบบเรียลไทม์
• การพลิกผันทางวัฒนธรรม (อันเนื่องมาแต่การมีความทรงจำนิรันดร) การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติการณ์ของมนุษย์ (The Shift in Action)
• ลายสักดิจิทัลไม่เพียงแต่ดูเท่เท่านั้น แต่ยังสามารถปฏิบัติภารกิจที่เป็นประโยชน์สำคัญได้ด้วย เช่น การปลดล็อกรถยนต์ การป้อนรหัสโทรศัพท์มือถือด้วยการชี้นิ้วหรือการติดตามดูกระบวนการภายในร่างกาย


ที่มา: HYPERLINK “https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearable-soon-body/” https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearable-soon-body/

 

• จากบทความของ WT VOX: “Smart Dust” หรือละอองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นชุดของคอมพิวเตอร์จิ๋วมีเสาอากาศจับสัญญาณ แต่ละตัวมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดธัญพืช สามารถจัดการตัวเองภายในร่างกายให้อยู่ในรูปของเครือข่ายตามความต้องการ เพื่อเปิดการทำงานของกระบวนการภายในที่ซับซ้อน คุณลองจินตนาการกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวเข้าโจมตีเซลล์มะเร็งแต่เนิ่นๆ นำตัวยาบรรเทาความเจ็บปวดเข้าสู่บาดแผล หรือแม้แต่การจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญในลักษณะซึ่งมีการเข้ารหัสแบบลึกมากยากจะแฮกเข้าสู่ระบบได้ แพทย์สามารถปฏิบัติการภายในร่างกายของคุณโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ด้วยการใช้ละอองอัจฉริยะนี้เป็นเครื่องมือ และสามารถจัดเก็บข้อมูลไว้ภายในตัวคุณ มีการเข้ารหัสเอาไว้จนกว่าคุณจะปลดล็อกมันจากเครือข่ายข้อมูลขนาดจิ๋วที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ ดังกล่าว

ที่มา: HYPERLINK “https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearables-soon-body/” https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearables-soon-body/

 

• ยาเม็ดขนาดจิ๋ว (Smart Pill) ซึ่งพัฒนาโดย โพรทีอุส ไบโอเคมิคอล แอนด์ โนวาร์ติส (Proteus Biomedical and Novartis) มีอุปกรณ์ดิจิทัลที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติติดอยู่ด้วย สำหรับส่งข้อมูลเข้าโทรศัพท์มือถือของคุณ เพื่อแสดงให้เห็นว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่อตัวยาที่ใช้รักษาอย่างไร

ที่มา: HYPERLINK “https://cen.acs.org/articles/90/i7/Odd-Couplings.html” https://cen.acs.org/articles/90/i7/Odd-Couplings.html)

รื่อง : วิริญบิดร วัฒนา

ทุกๆ วัน มีหนังสือออกใหม่จำนวนมาก ทว่า หนังสือที่คู่ควรมีไว้เพื่ออ่านจริงจัง อ่านแล้วอ่านอีก อ่านแล้วคิดตามและคิดแย้ง อ่านแล้วยั่วให้อยากรู้ต่อ แล้วก็เก็บไว้บนหิ้งเพื่ออ้างอิง หวนกลับไปหาอีกเมื่อคิดถึงหรือต้องการในอนาคตนั้น นานๆ ถึงจะออกมาให้พวกเรา มีโอกาสได้เป็นเจ้าของกันสักคราหนึ่ง

 

The Fourth Industrial Revolution ของ Klaus Schwab จัดเป็นหนังสือประเภทนั้น

คุณต้องอ่าน หากต้องการหยั่งรู้อนาคต


มันจะช่วยให้คุณ Identify เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญ (Megatrends) ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะมีผลกระทบต่อวิธีการดำเนินชีวิตของเราอย่างลึกซึ้ง


มันจะช่วยให้คุณ Form ความคิด ว่าจะดีลกับมันอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เป็นผู้นำ ผู้ตาม เป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักการเมือง ข้าราชการ นักบริหารราชการแผ่นดิน นักวางแผนกลยุทธ์ นักวิชาชีพ นักเรียนนักศึกษา หรือตำรวจทหาร


Klaus Schwab บอกว่าวิถีชีวิตมนุษย์เปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งยิ่งใหญ่ครั้งแรก เมื่อราว 10,000 ปีมาแล้ว ตอนที่เราเลิกจากการเร่ร่อนล่าสัตว์มาลงหลักปักฐานเพื่อทำเกษตรกรรมและนำสัตว์มาเลี้ยงแทนการล่า


การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เป็นการนำเอาแรงงานสัตว์มาใช้ประโยชน์ในการผลิต ต่อยอดเพิ่มพลังให้กับแรงงานคน จนสังคมมนุษย์สามารถผลิตอาหารได้มากขึ้น รองรับกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร จนเกิดเป็นสังคมเมือง และพัฒนาก้าวหน้าต่อมา


จนมาถึงจุดพลิกผันครั้งใหญ่อีกรอบ คือตอนที่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ซึ่งเริ่มขึ้นในอังกฤษ เมื่อปลายสมัยอยุธยาต่อธนบุรีต่อรัตนโกสินทร์ตอนต้น และพัฒนาด้วยอัตราเร่งแบบทีละเล็กทีละน้อย จนมาก้าวกระโดดในรอบไม่กี่ปีมานี้


Klause Schwab แบ่งยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มขึ้นในยุคอยุธยาตอนปลาย และดำเนินมาจนกระทั่งทุกวันนี้ (และกำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้) ออกเป็น 4 ยุค


The First Industrial Revolution/ The Second Industrial Revolution/ The Third Industrial Revolution/ และ The Fourth Industrial Revolution ซึ่งเป็นเรื่องราวที่หนังสือเล่มนี้ “ว่าด้วย” นั่นเอง

 

 

 

ยุคแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามการแบ่งของ Schwab เริ่มจากช่วงประมาณ พ.ศ. 2303 จนถึงประมาณ พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1760-1840 คือช่วงปลายอยุธยาจนถึงกลางรัชกาลที่ 3) โดยพลังผลักดันของจุดพลิกผันเชิงเทคโนโลยี คือการก่อกำเนิดเครื่องจักรไอน้ำและการสร้างเครือข่ายเส้นทางรถไฟนั่นเอง


ยุคสองของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในราวปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 หรือช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ที่เริ่มมีการผลิตแบบ Mass Production โดยพลังผลักดันจากพัฒนาการของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดการผลิตแบบ Assembly Line


ยุคที่สามก่อเกิดในช่วงทศวรรษ 1960s หรือช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นมาจนถึงช่วงทศวรรษ 1990s (ประมาณ พ.ศ. 2533-2543) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอันเนื่องมาแต่การก่อกำเนิดของ Semiconductor และ Mainframe Computer (ในยุคทศวรรษ 1960s) และ Personal Computer (ระหว่างทศวรรษ 1970s-1980s) และสุดท้ายคือการอุบัติขึ้นของ Internet (ในยุค 1990s)


จากพื้นฐานการพัฒนาของยุคที่สาม ทำให้เกิดการต่อยอดสู่ยุคที่สี่คือยุคที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงแห่งยุคนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยี Digital ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทุกวงการ พร้อมทั้งเครื่องมือสื่อสารที่พัฒนาขีดความสามารถอย่างก้าวกระโดดภายในเวลาไม่กี่ปี และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลารวดเร็ว

 

ขีดความสามารถที่เพิ่งขึ้นอย่างมหาศาลของเซนเซอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ชิป ตลอดจน Hardware/ Software ต่างๆ ที่ล้วนราคาถูกลง เป็นพื้นฐานให้มีการต่อยอดในเชิงเทคโนโลยีที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็น Artificial Intelligence และ Machine Learning รถยนต์และหุ่นยนต์ช่วยผลิตแบบอัตโนมัติ (Industrial 4.0) นาโนเทคโนโลยี ตลอดถึงการค้นพบและสังเคราะห์วัสดุใหม่ๆ และ Quantum Computer และ Gene Sequencing หรือเทคนิคใหม่ๆอย่าง Crispr/ Cas9 ซึ่งจะส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการกิน การอยู่และอุตสาหกรรมการแพทย์ อาหารและยา หรือแม้กระทั่งการเกษตร


แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม นับวันยิ่งจะจับต้องได้ ดังนั้นเราควรต้องตระหนักและร่วมกันคิดว่าจะดีลกับมันอย่างไร ต้องหาความร่วมมือในระดับโลก


Klaus Schwab ยังได้วิเคราะห์แยกแยะให้เห็นอย่างละเอียดว่า เทคโนโลยีที่เป็นตัวผลักดันการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คืออะไร ทั้งในเชิง Physical, Digital, และ Biology


อีกทั้งยังวิเคราะห์และเสนอความเห็นว่า Megatrends เหล่านี้จะกระทบและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเมืองการปกครองในระดับประเทศและระดับโลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในระดับสังคมและปัจเจกชน อย่างไรบ้าง


ครอบคลุมผลกระทบทั้งในเชิงของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และลักษณะของงานบางประเภทที่จะเปลี่ยนไป ความคาดหวังของผู้บริโภค สินค้าแบบใหม่ที่อาศัยข้อมูลมาเพิ่มขีดความสามารถ เครือข่ายนวัตกรรม และแบบแผนการทำธุรกิจอย่างใหม่ ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดกับรัฐบาล กฎหมาย ประเทศต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งระบบความสัมพันธ์และประเด็นความมั่นคงในระดับโลก ความเหลื่อมล้ำในสังคมและการเปลี่ยนแปลงของชนชั้นกลาง ชุมชน และตัวตนในระดับปัจเจก


อีกทั้งยังโยงไปถึงประเด็นเชิงจริยธรรม การเชื่อมโยงระหว่างปัจเจก และการจัดการกับข้อมูลเชิงปัจเจกและข้อมูลสาธารณะ


ในความเห็นของเรา หนังสือเล่มนี้ต่อยอดมาจาก The Second Machine Age: Work, Progress, and Prosperity in a Time of Brilliant Technologies ที่เขียนโดย Erik Brynjolfsson และ Andrew McAfee เมื่อหลายปีก่อน


ทว่า ได้ลงลึกไปถึงรายละเอียดที่มีประโยชน์มากคือ การนำเอารายงานที่ปรับปรุงเพิ่มเติมให้สมสมัยแล้ว เรื่อง Deep Shift-Technology Tipping Points and Societal Impact มาตีพิมพ์เป็นภาคผนวก ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับหนังสือเล่มนี้อย่างอเนก เพราะมันคาดการณ์จุดพลิกผันของเทคโนโลยีแต่ละชนิดที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญอยู่นั้น ว่าน่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อใด ปีไหน ในความเห็นของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญที่ตอบแบบสอบถามทั้ง 800 กว่าคนนั้น อีกทั้งยังได้เขียนถึงผลกระทบเชิงลบเชิงบวกและเชิงที่ยังตอบไม่ได้ว่าจะลบหรือบวก แบบเข้าใจง่ายๆ พร้อมแหล่งข้อมูลอ้างอิงอย่างละเอียดยิบโดยการเปลี่ยนแปลงที่เก็งว่าจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้ง ซึ่งภาคผนวกของหนังสือเล่มนี้เลือกมาวิเคราะห์ จะมุ่งเจาะจงลงไปยังพื้นที่ของ 23 เทคโนโลยี ต่อไปนี้

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา

เทคโนโลยีที่สามารถฝังลงไป ในร่างกายมนุษย์ (Implantable Technologies)

จุดพลิกผัน: ถือเอาปีที่มีการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือซึ่งสามารถปลูกถ่ายเข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

คิดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2025: 82 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นในปีนั้น

คนเริ่มมีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ และอุปกรณ์ดังกล่าวเริ่มเชื่อมต่อโดยตรงกับร่างกายของคนมากขึ้น อุปกรณ์ไม่ใช่สิ่งที่แค่สวมใส่พกพาเท่านั้น แต่ยังสามารถฝังเข้าไปในร่างกาย ทำหน้าที่ในการสื่อสาร ติดตามดูตำแหน่งและพฤติกรรม และทำหน้าที่ในการดูแลสุขภาพได้ด้วย


การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าและประสาทหูเทียม (Pacemakers and Cochlear Implants) เป็นแค่จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เพราะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพออกมาอีกหลายอย่าง อุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถรับรู้พารามิเตอร์ของโรค และจะช่วยคนให้สามารถดำเนินการ ส่งข้อมูลเข้าศูนย์ติดตามผลและเฝ้าระวัง หรือปล่อยตัวยาเพื่อการเยียวยารักษาโรคออกมาโดยอัตโนมัติ


รอยสักอัจฉริยะ (Smart Tattoo) และชิปพิเศษอื่นๆ ก็สามารถช่วยเรื่องการระบุตัวตนและตำแหน่ง นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ถูกฝังอยู่ในร่างกายยังช่วยสื่อสารความคิดซึ่งปกติต้องมีการแสดงออกด้วยวาจา ผ่านทางสมาร์ตโฟนแบบ “Built-in” (ที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง) และสามารถอ่านความคิดหรืออารมณ์ที่ฝังอยู่ลึกๆ ทว่าไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นภายนอก ด้วยการอ่านคลื่นสมองหรือสัญญาณอื่นๆ ได้ด้วย

ผลกระทบเชิงบวก
• ลดปัญหาเด็กหาย
• เพิ่มผลลัพธ์ของการดูแลสุขภาพ
• เพิ่มความพึ่งพาตัวเอง
• สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
• การจดจำรูปภาพและความแพร่หลายของข้อมูลส่วนตัว (เครือข่ายนิรนามซึ่งจะคอย “ร้องเตือน” คน)

 

ผลกระทบเชิงลบ
• มีโอกาสถูกสอดส่องความเป็นส่วนตัว
• ความปลอดภัยของข้อมูลลดลง
• การหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง (Escapism) จนกลายเป็นโรคติดเว็บ
• ภาวะจิตว้าวุ่น (เช่น โรคสมาธิสั้น)

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
• มีชีวิตยืนยาวขึ้น
• ทำให้ลักษณะความสัมพันธ์ของมนุษย์เปลี่ยนไป
• การเปลี่ยนแปลงในปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ของมนุษย์
• การระบุตัวตนได้แบบเรียลไทม์
• การพลิกผันทางวัฒนธรรม (อันเนื่องมาแต่การมีความทรงจำนิรันดร) การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติการณ์ของมนุษย์ (The Shift in Action)
• ลายสักดิจิทัลไม่เพียงแต่ดูเท่เท่านั้น แต่ยังสามารถปฏิบัติภารกิจที่เป็นประโยชน์สำคัญได้ด้วย เช่น การปลดล็อกรถยนต์ การป้อนรหัสโทรศัพท์มือถือด้วยการชี้นิ้วหรือการติดตามดูกระบวนการภายในร่างกาย


ที่มา: HYPERLINK “https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearable-soon-body/” https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearable-soon-body/

 

• จากบทความของ WT VOX: “Smart Dust” หรือละอองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นชุดของคอมพิวเตอร์จิ๋วมีเสาอากาศจับสัญญาณ แต่ละตัวมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดธัญพืช สามารถจัดการตัวเองภายในร่างกายให้อยู่ในรูปของเครือข่ายตามความต้องการ เพื่อเปิดการทำงานของกระบวนการภายในที่ซับซ้อน คุณลองจินตนาการกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวเข้าโจมตีเซลล์มะเร็งแต่เนิ่นๆ นำตัวยาบรรเทาความเจ็บปวดเข้าสู่บาดแผล หรือแม้แต่การจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญในลักษณะซึ่งมีการเข้ารหัสแบบลึกมากยากจะแฮกเข้าสู่ระบบได้ แพทย์สามารถปฏิบัติการภายในร่างกายของคุณโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ด้วยการใช้ละอองอัจฉริยะนี้เป็นเครื่องมือ และสามารถจัดเก็บข้อมูลไว้ภายในตัวคุณ มีการเข้ารหัสเอาไว้จนกว่าคุณจะปลดล็อกมันจากเครือข่ายข้อมูลขนาดจิ๋วที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ ดังกล่าว

ที่มา: HYPERLINK “https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearables-soon-body/” https://wtvox.com/3d-printing-in-wearable-tech/top-10-implantable-wearables-soon-body/

 

• ยาเม็ดขนาดจิ๋ว (Smart Pill) ซึ่งพัฒนาโดย โพรทีอุส ไบโอเคมิคอล แอนด์ โนวาร์ติส (Proteus Biomedical and Novartis) มีอุปกรณ์ดิจิทัลที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติติดอยู่ด้วย สำหรับส่งข้อมูลเข้าโทรศัพท์มือถือของคุณ เพื่อแสดงให้เห็นว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่อตัวยาที่ใช้รักษาอย่างไร

ที่มา: HYPERLINK “https://cen.acs.org/articles/90/i7/Odd-Couplings.html” https://cen.acs.org/articles/90/i7/Odd-Couplings.html)

รื่อง : วิริญบิดร วัฒนา

เทคโนโลยีที่สั่งสม และบ่มเพาะจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในหลายสิบปี จวบถึงทศวรรษ 2010 นี้ ที่เริ่มเผยผลสำเร็จของความก้าวหน้า ภายใต้การเล็งเห็นของเหล่าผู้นำในสังคมโลก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเน้นยำและทรงให้ความสำคัญมาโดยตลอดว่าประเทศไทย เป็นประเทศกสิกรรม ดังพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะกรรมการสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง และสมาชิกผู้รับนมสดเข้าเฝ้าฯ ณ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 ว่า

 

“...เมืองไทยนี้ต้องพึ่งเกษตรกรเป็นสำคัญ เพราะว่าเกษตรกรเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและต้องยึดอาชีพนี้มาและไม่ใช่เพราะเหตุนั่นเท่านั้นเอง แต่ว่าประเทศหนึ่งประเทศใดจะอยู่ได้ก็เพราะว่ามีกสิกรรม การประกอบอาชีพ ในด้านผลิตผลที่ได้จากธรรมชาติ ทั้งในด้านที่จะเป็นการปลูกข้าว ปลูกพืชไร่ ปลูกผลไม้ หรือทำมาหากินในด้านปศุสัตว์หรือประมง...”

 

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้า-อยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริบนหลักการสำคัญ คือ การทำเกษตรแบบยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และทรงพยายามเน้นมิให้เกษตรกรพึ่งพาพืชเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว ทว่า เน้นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างประหยัดที่สุด เพื่อลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการทำการเกษตรของเกษตรกรให้เหลือน้อยที่สุด และต่อจากนี้คือหลากหลายโครงการในพระราชดำริของพระองค์ที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนชาวไทยอย่างได้ผล

 

 

 

การพัฒนาแหล่งน้ำ หัวใจเกษตรกรรมยั่งยืน

พระองค์ตรัสอยู่เสมอๆ กับคณะทำงานว่า “น้ำนั้นคือชีวิต และโดยเฉพาะชีวิตของเกษตรกรนั้นก็คือปัญหาเรื่องน้ำ” พร้อมทั้งพระองค์ยังได้พระราชทานแนวทางสำคัญในการพัฒนาแหล่งน้ำไว้ด้วยว่า

“...การพัฒนาแหล่งน้ำนั้น ในหลักใหญ่ ก็คือ การควบคุมน้ำให้ได้ดังประสงค์ทั้งปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ เมื่อน้ำมีปริมาณมากเกินไป ก็ต้องหาทางระบายออกให้ทันการณ์ ไม่ปล่อยให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายได้ และในขณะที่เกิดภาวะขาดแคลน ก็จะต้องมีน้ำกักเก็บไว้ใช้อย่างเพียงพอ ทั้งมีคุณภาพเหมาะสมแก่การเกษตร การอุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภค ปัญหาอยู่ที่ว่าการพัฒนาแหล่งน้ำอาจจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบ้าง แต่ถ้าไม่มีการควบคุมน้ำที่ดีพอแล้ว เมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นก็จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนสูญเสีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจและในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งส่งผลกระทบกระเทือนแก่สิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง...”

 

และจากการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ยังทำให้พระองค์ทรงทราบถึงสาเหตุแห่งความยากจนของราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทำมาหากินในท้องถิ่นทุรกันดาร หรือตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญว่า ราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนามักประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำ ทั้งน้ำกิน และน้ำใช้ เพื่อการเกษตร จึงไม่สามารถประกอบอาชีพทางการเกษตรให้ได้ประสิทธิผลตามมุ่งหมาย 

 

ด้วยเหตุนี้ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จึงเป็นงานส่วนใหญ่ของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามพระราชดำริ โดยมีกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานสนองพระราชดำริ และมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา หรือบรรเทาความเดือดร้อน จนสามารถสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของราษฎร ในการจัดหาน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูก ในท้องที่ซึ่งขาดแคลนน้ำ ให้มีน้ำใช้ทำการเพาะปลูกพืช สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนจัดหาน้ำให้แก่ราษฎรในเขตโครงการ ใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอีกด้วย

 

 

 

ทั้งนี้ งานพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ที่นิยมก่อสร้างกันทั่วไปมีหลายประเภท ซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ อย่างงานอ่างเก็บน้ำ เป็นแหล่งเก็บน้ำที่ไหลมาตามร่องน้ำหรือลำน้ำธรรมชาติ โดยการสร้างเขื่อนปิดกั้นระหว่างหุบเขา หรือเนินสูง เพื่อเก็บกักน้ำรวมไว้ในระหว่างหุบเขา หรือเนินสูงนั้น จนเกิดเป็นแหล่งเก็บน้ำที่มีขนาดต่างๆ กัน โดยเรียกเขื่อนกั้นน้ำนี้ว่า “เขื่อนเก็บกักน้ำ” หรือ งานฝายทดน้ำ เป็นงานก่อสร้างฝาย ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างปิดขวางทางน้ำไหล เพื่อทดน้ำที่ไหลมาให้มีระดับสูง จนสามารถผันเข้าไปตามคลองหรือคูส่งน้ำ ให้พื้นที่เพาะปลูกตามบริเวณสองฝั่งลำน้ำ ส่วนน้ำที่เหลือจะไหลล้นข้ามสันฝายไปเอง

 

ต่อมาการวางโครงการ และก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ตามพระราชดำริ ได้ขยายออกไปตามภาคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น แห่งแรกในภาคเหนือเริ่มก่อสร้างโครงการแรกเมื่อ พ.ศ. 2516 และกระจายไปเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ปีละหลายสิบโครงการ จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2529 กรมชล-ประทาน ได้ทำการก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ตามพระราชดำริขนาดต่างๆ รวมทั้งหมดมากกว่า 700 โครงการ เช่น ภาคเหนือ ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่งัดสมบูรณ์ชล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 188,000 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้แก่ โครงการเขื่อนระบายน้ำน้ำเชิน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พื้นที่ได้รับประโยชน์ ประมาณ 25,000 ไร่ และ ภาคใต้ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำใกล้บ้าน อำเภอ เมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 1,800 ไร่ เป็นต้น



แนวพระราชดำริ อนุรักษ์และพัฒนาดิน 

ในส่วนของงานอนุรักษ์และฟื้นฟูที่ดิน ซึ่งประสบปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค แนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาที่ดินจึงต้องใช้วิธีที่แตกต่างกันไปตามสภาพดินในแต่ละพื้นที่ เช่น การศึกษาวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินทราย ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาดินพรุ ในภาคใต้ และที่ดินชายฝั่งทะเล รวมถึงงานในการแก้ไขปรับปรุงและฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมพังทลายจากการชะล้างหน้าดิน ตลอดจนการทำแปลงสาธิตการพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมในบางพื้นที่ที่มีปัญหาในเรื่องดินเสื่อมโทรมด้วยสาเหตุต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้พื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องดินทั้งหลาย สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อีก โดยมีหนึ่งในพระราชดำริด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ดินที่ชาวไทยรู้จักกันดีนั่นคือ การแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวด้วยวิธี “แกล้งดิน”

 

แนวพระราชดำริ “แกล้งดิน” เกิดขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงรับทราบความเดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในจังหวัดนราธิวาส ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยวทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ศึกษาวิจัยและพัฒนาดินพรุเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส ปรับดินเปรี้ยวให้เป็นดินที่มีคุณภาพ ทำการเพาะปลูกได้ โดยพระองค์ทรงแนะนำให้ใช้วิธี “แกล้งดิน” เริ่มจากการแกล้งดินให้เปรี้ยวถึงขีดสุด จากนั้นทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุที่มีสารประกอบของกำมะถัน เพื่อทำให้ดินเปลี่ยนสภาพเป็นกรดจัดเมื่อดินแห้ง แล้วจึงปรับปรุงดินที่เป็นกรดจัดนั้นด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาให้อยู่ในระดับที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวได้

 

นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงริเริ่มนำ “หญ้าแฝก” มาเป็นวิธีอนุรักษ์ดินและฟื้นฟูพื้นดินที่เสื่อมสภาพ โดยเฉพาะสภาพดินในพื้นที่เชิงเขาที่มีสภาพเสื่อมโทรมเนื่องมาจากการชะล้างพังทลายของดิน ทำให้ดินสูญเสียธาตุอาหารและความอุดมสมบูรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2534 ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝกเป็นครั้งแรกแก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการสำนักงาน กปร. ในขณะนั้น ว่า ให้ศึกษาทดลองปลูกหญ้าแฝก เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และอนุรักษ์ความชุ่มชื้นไว้ในดิน นับเป็นวิธีที่ง่ายๆ ประหยัด และที่สำคัญคือเกษตรกรสามารถดำเนินการเองได้ ยกตัวอย่าง ที่โครงการฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จังหวัดเพชรบุรี ได้นำวิธีนี้ไปศึกษาวิจัย และสาธิตในท้องที่ต่างๆ เมื่อเกษตรกรได้รับทราบและนำไปปฏิบัติก็บังเกิดผลที่น่าพอใจดังที่คาดหมายไว้



กังหันชัยพัฒนา ปรับน้ำเสียให้เป็นน้ำดี

ปัญหามลพิษทางน้ำที่เกิดจากสภาพน้ำเสียในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะในเขตเกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล หรือต่างจังหวัด เป็นปัญหาที่อยู่ในสายพระเนตรมาโดยตลอด เนื่องด้วยพระองค์ทรงตระหนักถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยาก ของราษฎรที่ต้องประสบกับปัญหานี้ เป็นที่มาให้ทรงคิดค้นนวัตกรรมบำบัดน้ำเสีย ชื่อว่า “กังหันชัยพัฒนา” ขึ้น เพื่อบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการหมุนปั่นเติมอากาศให้น้ำเสียกลายเป็นน้ำดี ซึ่งบังเกิดผลดีต่อการพัฒนาและบำบัดแหล่งน้ำต่างๆ ทั้งจากการอุปโภคของประชาชน น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเพิ่มออกซิเจนให้บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางการเกษตร

 

กังหันน้ำชัยพัฒนา เป็นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย (Chaipattana Low Speed Surface Aerator) Model RX-2 หมายถึง Royal Experiment แบบที่ 2 มีคุณสมบัติในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงถึง 1.2 กิโลกรัมของออกซิเจน/แรงม้า/ชั่วโมง สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพน้ำได้แบบอเนกประสงค์ ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับใช้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ สระน้ำ หนองน้ำ คลอง บึง ลำห้วย ฯลฯ ที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมากกว่า 3.00 เมตร โดยนวัตกรรมของพระองค์ชิ้นนี้ ได้สร้างขึ้นเป็นต้นแบบในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยได้นำไปติดไว้ในพื้นที่ทดลองซึ่งก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ผลในระดับหนึ่ง

 

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 กังหันชัยพัฒนา ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระบรมราชวงศ์ จึงนับได้ว่าเป็น สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก และยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติมากมาย เช่น ถ้วยรางวัล MINISTER J. CHABERT เป็นรางวัลผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์ดีเด่น มอบโดย Minister of Economy of Brussels Capital Region และถ้วยรางวัล Grand Prix International เป็นรางวัลผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์ดีเด่น มอบโดย International Council of the World Organization of Periodical Press เป็นต้น

 

กังหันน้ำชัยพัฒนา จึงได้รับการยอมรับในประสิทธิภาพด้านบำบัดน้ำเสียทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องด้วยผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ไขและปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้นได้จริง ด้วยเทคโนโลยีที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิผลมาก 

 

  

 

ฝนหลวง น้ำพระทัยฉ่ำเย็นสู่ปวงประชา

เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จพระราช-ดำเนินไปทรงเยี่ยมพสกนิกรภาคอีสานในปี พ.ศ. 2498 ได้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค และสำหรับทำการเกษตร จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานโครงการในพระราชดำริ “ฝนหลวง” (Artificial Rain) เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพ-มหานคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรและนักประดิษฐ์ควายเหล็กที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯ แล้วพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ 

 

โดยการทำ “ฝนหลวง” นี้มีทฤษฎีต้นกำเนิด หลักการแรก คือ ให้โปรยสารดูดซับความชื้น (เกลือทะเล) จากเครื่องบิน เพื่อดูดซับความชื้นในอากาศ แล้วใช้สารเย็นจัด (น้ำแข็งแห้ง) เพื่อให้ความชื้นกลั่นตัวและรวมตัวเป็นเมฆ จากทฤษฎีนี้ พระองค์ทรงใช้เวลาอีก 14 ปี ในการวิเคราะห์วิจัย ทบทวนเอกสาร รายงานผลการศึกษาและข้อมูลต่างๆ พระราชทานให้แก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล เพื่อประกอบการค้นคว้าทดลองมาโดยตลอด

 

จนกระทั่งเกิดการทดลองในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบินปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะปฏิบัติงานสนองพระราชประสงค์  หม่อม-ราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นำความขึ้น กราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อให้ทรงทราบว่า พร้อมที่จะดำเนินการตามพระ-ราชประสงค์แล้ว ดังนั้น ในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม พ.ศ.2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลอง และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองเป็นแห่งแรก หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว ได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากประชาชนในพื้นที่ว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าการบังคับเมฆให้ เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

 

ที่ผ่านมา ฝนหลวงนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์สำหรับการกักเก็บน้ำที่จำเป็นต้องใช้ในการเพาะปลูกสำหรับเกษตรกรในสภาวะแห้งแล้งเท่านั้น หากรวมถึงการเพิ่มปริมาณน้ำในแหล่งกักเก็บขนาดใหญ่ ให้มีสภาพสมบูรณ์เก็บไว้ใช้ตลอดปีอีกด้วย

 

 

เรื่อง :  กองบรรณาธิการ

 

“พัฒนมหาราชา” มหาราชาผู้พัฒนา ที่มาของพระราชสมัญญานามนี้ มาจากพระราชกรณียกิจมากมายที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงริเริ่ม ล้วนมีเป้าประสงค์หลัก เพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทยให้ดีขึ้น

 

ก่อกำเนิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริน้อยใหญ่ มากกว่า 4,350 โครงการ ที่พระองค์ทรงเริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 จวบจนปัจจุบัน ครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ที่พระบาทสมเด็จ-พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไป โดยทุกโครงการล้วนนำมาซึ่งความมั่นคง ความเข้มแข็งของชุมชน สภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างยั่งยืน

 

โครงการในพระราชดำริหลากหลาย พัฒนาคุณภาพชีวิตชาวไทย

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ปีที่ 6 แห่งรัชกาลที่ 9 หลังจากที่พระองค์เสด็จนิวัติประเทศไทยแล้ว หลากหลายโครงการในพระราชดำริได้เริ่มก่อกำเนิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรก ตั้งแต่ปีพ.ศ.2493-2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทร-มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติพระราช-กรณียกิจด้านงานพัฒนาสังคม ในรูปแบบของงานด้านสังคมสงเคราะห์หรือประชาสงเคราะห์ อาทิ กิจกรรมการรณรงค์หาทุนเพื่อก่อสร้างอาคารพยาบาลตามสถานพยาบาลหลายแห่ง การหาทุนดำเนินการในลักษณะของโครงการ จัดทำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อต่อสู้โรคเรื้อนของสถาบันราชประชาสมาสัย กิจกรรมเกี่ยวกับ การป้องกันรักษาโรคโปลิโอ อหิวาตกโรค ไปจนถึงโครงการจัดตั้งโรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน 

 

ต่อมา พระองค์ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีอยู่หลายประเภท โดยมีหลักในการดำเนินงานแตกต่างกัน ดังนี้

 

 

หากเป็น โครงการตามพระราชประสงค์ คือ โครงการซึ่งทรงศึกษาและทดลองปฏิบัติ ทรงพัฒนาและส่งเสริม แก้ไขดัดแปลงวิธีการเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อดูแลผลผลิตทั้งในเขตพระราชฐานและเขตนอกพระราชฐาน โดยทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการดำเนินงานทดลองจนกว่าจะเกิดผลดี เมื่อไว้วางพระราชหฤทัยว่าโครงการนั้นๆ จะได้ผลดี เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริงแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเข้ามาร่วมสนับสนุนงานในภายหลัง  

 

ขณะที่ โครงการหลวง เป็นโครงการที่ทรงเจาะจงดำเนินการและพัฒนาบำรุงรักษาต้นน้ำลำธารในบริเวณป่าเขาทางภาคเหนือ เพื่อบรรเทาอุทกภัยในที่ลุ่ม ทั้งภาคเหนือตอนใต้และภาคกลางเพื่อถนอมน้ำไว้เลี้ยงแม่น้ำลำธารของที่ลุ่มในฤดูแล้ง และด้วยพื้นที่เหล่านี้เป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าต่างๆ พระองค์จึงทรงพัฒนาให้ชาวเขาชาวดอยอยู่ดีกินดี ให้เลิกการปลูกฝิ่น เลิกการตัดไม้ทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย และเลิกการค้าของเถื่อนผิดกฎหมาย ทรงพัฒนาช่วยเหลือให้ปลูกพืชหมุนเวียนที่มีคุณค่าสูง ปลูกข้าวไร่และเลี้ยงสัตว์ เพื่อบริโภค รวมคุณค่าแล้วให้ได้คุ้มค่าแทนการปลูกฝิ่น เพราะฉะนั้น โครงการหลวงก็คือ โครงการตามพระ-ราชดำริที่ร่วมปฏิบัติผสมผสาน กับหน่วยงานของรัฐบาลในบริเวณดอยต่างๆ ในภาคเหนือเพื่อพัฒนาอาชีพและความเป็นอยู่ของชาวเขา ชาวดอย นั่นเอง 

 

ส่วน โครงการตามพระราชดำริ เป็นโครงการที่ทรงวางแผนการพัฒนา ทรงเสนอแนะให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามพระราชดำริ หน่วยงานร่วมของรัฐบาลนั้นมีทั้งฝ่ายพลเรือนเฉพาะ ทั้งฝ่ายทหารเฉพาะ กระทั่งฝ่ายทหารและพลเรือนร่วมกันก็มี โครงการ ประเภทนี้ ในปัจจุบันมีอยู่ทั่วทุกภาคในประเทศ แต่ถ้าเป็นโครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ พระองค์จะพระราชทานข้อแนะนำและแนวพระราชดำริให้เอกชนรับไปดำเนินการด้วยกำลังเงิน กำลังปัญญา และกำลังแรงงาน พร้อมทั้งติดตามผลงานต่อเนื่องโดยภาคเอกชนเอง

 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีจำนวนมากถึง 2,700 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยโครงการหลายประเภทด้วยกัน อาทิ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านการเกษตร สิ่งแวดล้อม พัฒนาแหล่งน้ำ การคมนาคม สื่อสาร การส่งเสริมอาชีพ สวัสดิการ และการสาธารณสุข โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระ-ราชดำริ ในด้านการสาธารณสุข จากการเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทรงพบว่า ราษฎรจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถเข้าถึงการแพทย์ และขาดความรู้ในการดูแลสุขอนามัยอย่างถูกวิธี เป็นที่มาของโครงการแพทย์พระราชทานที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2510 ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อมีการเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรมเพื่อทรงเยี่ยมราษฎรใน
ท้องถิ่นต่างๆ ก็จะมีคณะแพทย์พระราชทานเดินทางติดตามพระองค์ไปด้วย เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน

 

นอกจากนั้นพระองค์ยังสนพระราช-หฤทัยในการจัดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยมากที่สุด ดังพระราชดำรัสที่ว่า “...ต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำสำหรับทำการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น...เมื่อมีน้ำเสียอย่าง ราษฎรก็จะไม่ละทิ้งถิ่นที่อยู่...”   

 

“ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” บูรณาการการพัฒนาสู่ทุกท้องถิ่นแดนไทย

สำหรับแนวพระราชดำริในการสร้าง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” เริ่มต้นขึ้นเป็นแห่งแรก ณ ศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2522 เมื่อครั้งที่ พระองค์เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในงานเปิดศาลบวรราชานุสาวรีย์ ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และราษฎรได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินหมู่ที่ 2 ตำบลเขาหินซ้อน เนื้อที่ 264 ไร่ จึงมีพระราชดำริที่จะใช้ผืนดินนี้เพื่อก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรต่อไป โดยให้ส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมพัฒนา ที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกันพัฒนาพื้นที่นี้โดยจัดทำเป็นศูนย์การศึกษาด้านเกษตรกรรมและงานศิลปาชีพ 

 

ในเวลาต่อมา ได้เกิดศูนย์ศึกษาการพัฒนาขึ้นอีกหลายแห่ง โดยแต่ละแห่งล้วนมีจุดประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อพัฒนาท้องถิ่นแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยพระองค์พระราชทานแนวทางในการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา แต่ละแห่ง ว่า 

“...เป็นการสาธิตการพัฒนาเบ็ดเสร็จ หมายถึง ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกด้านของชีวิตประชาชนที่จะหาเลี้ยงชีพในท้องที่จะทำ อย่างไร และได้เห็นวิทยาการแผนใหม่ จะสามารถที่จะหาดูวิธีการจะทำมาหากินให้มีประสิทธิภาพ...”

“...ด้านหนึ่งก็เป็นจุดประสงค์ของศูนย์ศึกษาฯ ก็เป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าวิจัยในท้องที่ เพราะว่าแต่ละท้องที่สภาพฝนฟ้า อากาศ และประชาชนในท้องที่ต่างๆ กันก็มีลักษณะแตกต่างกันมากเหมือนกัน…”

 

ยกตัวอย่าง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระ-ราชดำริ ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในงานพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้า-ตากสินมหาราช ที่จังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 และทรงเล็งเห็นว่า อ่าวคุ้งกระเบนเป็นแหล่งการประมงแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของ จังหวัดจันทบุรี บริเวณชายฝั่งก็เป็นเขตสงวนของ ป่าไม้ชายเลนที่สำคัญ แต่ทรัพยากรเหล่านี้ได้เสื่อมโทรมลงทุกด้าน ปริมาณสัตว์น้ำในธรรมชาติลดลงและป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลาย พระองค์มีพระราชดำริแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีในขณะนั้น ให้พิจารณาหาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ ชายฝั่งตะวันออกของจังหวัดจันทบุรี เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนา เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการศึกษาสาธิต และการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล ซึ่ง ณ ตอนนี้ ศูนย์ศึกษาพัฒนาแห่งนี้ เป็นแม่แบบให้กับศูนย์ศึกษาพัฒนาชายฝั่งทะเลอีกหลายแห่งทั่วประเทศ

 

 

 

โครงการพัฒนากรุงเทพฯ ตามแนวพระราชดำริ

ไม่ใช่แค่พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทเท่านั้น หากแต่ทุกข์คนเมืองจากการจราจรอันติดขัดและน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ พระองค์ก็ทรงเล็งเห็นถึงความทุกข์ยากของประชาชนชาวกรุงเทพ-มหานคร จึงทรงคิดหาวิถีทางในการบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดและป้องกันน้ำท่วม เป็นที่มาของหลากหลายโครงการในพระราชดำริ 

 

เริ่มจากความเดือดร้อนเมื่อปี พ.ศ. 2523 และปี พ.ศ. 2525 ที่ได้เกิดภาวะน้ำท่วม บริเวณพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และครั้งนั้น พระองค์ทรงพระ-กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกระแสพระราชดำริแก้ไขสถานการณ์อันมีผลให้เกิดการเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล โดยผ่านแนวคลองต่างๆ ฝั่งตะวันออกต่อมาในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2526 เกิดน้ำท่วมขังยาวนานถึง 5 เดือน พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงตรวจพื้นที่ด้วยพระองค์เองหลายครั้ง เพื่อพระราชทานคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนัก ยังทรงเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ต่อจนดึกดื่น เพื่อกำหนดมาตรการดำเนินงานแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎรให้พ้นไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย พระองค์พระราชทานพระราชดำริเพื่อป้องกันน้ำท่วม อย่าง มาตรการป้องกันการขยายตัวของเมืองอย่างไร้ทิศทาง สร้างระบบป้องกันน้ำในเขตชุมชน ปรับปรุงบึงขนาดใหญ่เป็นที่กักน้ำ และขยายทางน้ำในจุดที่ผ่านทางหลวงหรือทางรถไฟ เป็นต้น

 

ส่วนโครงการในพระราชดำริเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรของกรุงเทพ-มหานคร ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้เคยบอกเล่าไว้ว่า 

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก ทรงเคยเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติจะมาถวายของขวัญเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์ทรงขอให้ถวายถนนวงแหวน (Ring Road) ซึ่งก็ได้มาเพียงเส้นทางเดียว คือ ถนนวงแหวนรัชดาภิเษก เพราะพระองค์ทรงคาดเดาได้ว่าจะมีปัญหาจราจรเกิดขึ้นแน่นอน หากมีถนนวงแหวนจะช่วยระบายรถได้มาก ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลานั้นยังมีรถไม่มาก ยังไม่จำเป็นต้องมีถนนวงแหวน”

 

นอกจากนั้น พระองค์ยังมีพระ-ราชดำริในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดด้วยการพระราชทานแนวทางให้มีการปรับปรุงถนน ตรอก ซอย ก่อสร้างสะพานข้ามทางแยก ทั้งนี้ หลายโครงการได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อดำเนินโครงการจำนวนมาก เช่น โครงการก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟ สายธนบุรี โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมถนนเพชรบุรีกับถนนพระรามที่ 9 และโครงการก่อสร้างทางยกระดับถนนปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี เป็นต้น

 

ทั้งนี้แนวทางที่ได้พระราชทานเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละจุดนั้นทรงมุ่งเน้นวิถีทางที่ใช้เงินน้อย แต่สามารถแก้ไขได้ในวงกว้าง กระจายไปแต่ละส่วนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีปัญหาการจราจร จากจุดเล็กๆ หลายจุดที่รัฐบาล กรุงเทพมหานคร กรมตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน้อมนำพระราชดำริไปแก้ไขนั้น ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ของกรุงเทพ-มหานครและปริมณฑลทั้งหมดได้ในที่สุด 

 

จากพระราชกรณียกิจที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ในใจของปวงชนชาวไทยทุกคนเป็นแน่แท้แล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มิได้วางพระองค์อยู่ในฐานะพระมหากษัตริย์ และทรงปฏิบัติพระราช-กรณียกิจในฐานะประมุขเท่านั้น ทว่า พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทุกอย่าง เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ดังพระปฐมบรมราชโองการในวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 มีพระราชดำรัสว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

 

เรื่อง :  กองบรรณาธิการ

นับจากวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2559 ถึงวันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2559 เป็นห้วงเวลาหนึ่งเดือนแห่งความสูญเสียและโศกเศร้าที่แสนยาวนาน

 

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงงานอย่างหนักและตรากตรำพระวรกาย มุ่งพัฒนาและวางรากฐานประเทศเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนคนไทย ทั้งในด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การศึกษา การเกษตร สาธารณสุข การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ พระองค์ทรง เข้าถึง ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร และ เข้าใจ วิทยาการความรู้ในหลายแขนง จึงคัดสรรสิ่งที่ดีมาปรับใช้ สร้างสรรค์สิ่งใหม่เป็นประโยชน์แก่ชนในชาติอย่างยิ่ง จึงมีการน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานาม อาทิ พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ พระบิดาแห่งฝนหลวง พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย

 

 

ปี 2549 สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ โดย โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award)

ปี 2551 สมาพันธ์นักประดิษฐ์นานาชาติ (IFIA) และสมาคมส่งเสริมการประดิษฐ์ เกาหลีใต้ (คิปา : KIPA) พร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์โลก” เพื่อน้อมรำลึกในพระราชกรณียกิจด้านการวิจัยและพัฒนาดิน สหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็น วันดินโลก (World Soil Day) ตั้งแต่ปี 2556 
ฯลฯ

ผลงานอันเป็นที่ประจักษ์และการยกย่องเชิดชูเกียรติจากนานาชาติสะท้อนให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็น “พัฒนมหาราชา” พระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่สร้างคุณูปการใหญ่หลวงแก่ปวงชนชาวไทย ในการนี้นิตยสารเอ็มบีเอขอร่วมน้อมแสดงความอาลัยถวายแด่พระองค์ โดยจัดทำนิตยสารฉบับพิเศษนี้ขึ้น 

 

 

ลำดับเหตุการณ์ 

13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทร-มหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช 

14 ตุลาคม 2559 ประชาชนเฝ้าฯ รับเสด็จขบวนเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในงานพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

14 ตุลาคม 2559 - 21 มกราคม 2560 สำนักพระราชวังมีหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

14 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวังให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระบรมศพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง

15-28 ตุลาคม 2559 เปิดให้ประชาชนถวายสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์และให้ลงนามแสดงความอาลัยที่ศาลาสหทัย-สมาคม

19 ตุลาคม 2559 พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร (7 วัน) 

22 ตุลาคม 2559 คนไทยร่วมใจร้องเพลง ‘สรรเสริญพระ-บารมี’ กึกก้องท้องสนามหลวง ตามคำเชิญชวนร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ โดย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เพื่อผลิตเป็นมิวสิกวิดีโอ บรรเลงดนตรีโดย Siam Philharmonic Orchestra และมี อ.สมเถา สุจริตกุล เป็นวาทยกร 

27 ตุลาคม 2559 พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร (15 วัน)

29 ตุลาคม 2559 เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท 

8 พฤศจิกายน 2559 เวลา 9.09 น. มูลนิธิพระคชบาลและวังช้างอยุธยาแลเพนียด จ.พระนครศรีอยุธยา นำช้างมงคลงางาม 11 เชือก ร่วมขบวนกับควาญช้างและตัวแทนจากปางช้างทั่วประเทศรวมกว่า 200 ชีวิต น้อมแสดงความอาลัยและถวายสักการะพระบรมศพหน้าพระบรมมหาราชวัง 

13 พฤศจิกายน 2559 ครบหนึ่งเดือนที่พระบาทสมเด็จ-พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต คณะแพทยศาสตร์ศิริราช และกองทัพเรือ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ จัดวงดุริยางค์ราชนาวี บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ ณ โรงพยาบาลศิริราช

 

 

 

จากความกังวลใจของชาวไทยที่มีต่อพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ตามที่สำนักพระราชวังแถลงให้ทราบเป็นระยะ นับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2557 ประชาชนชาวไทย ต่างไปร่วมลงนามถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรไม่ขาดสาย

 

แต่แล้วในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 การทราบข่าว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย เสด็จสวรรคต ณ​ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษา ปีที่ 89 

 

ทำให้คนไทยทั้งประเทศรำไห้ หัวใจสลาย…

X

Right Click

No right click