December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

โลกที่ปราศจากความอดอยากหิวโหยหมายถึงโลกที่ทุกคนสามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านอาหารได้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ในโลกแบบนี้จะไม่มีผู้คนที่อดอยากหิวโหยหรือต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหาร และนี่คือโลกที่เป็นเป้าหมายที่ผู้นำทุกประเทศเรียกร้องให้เกิดขึ้น แต่ไม่เคยมีคำตอบที่ชัดเจนและสามารถก้าวไปสู่ภาวะที่ปราศจากความอดอยาก หรือ Zero Hunger ได้เลย

 

ทุกวันมีเด็กทั่วโลกตายจากสาเหตุความหิวโหย และเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน เกือบ 800 ล้านคนบนโลกไม่ได้รับอาหารเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ดูเหมือนว่าความอดอยากหิวโหยจะยิ่งเพิ่มขึ้นพร้อมกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ บางประเทศอย่างบราซิล รัฐบาลมีความพยายามอย่างหนักในการลดความอดอยากในประเทศ ประสบผลสำเร็จได้ไม่มาก แต่ก็ยังคงเดินหน้าลดภาวะทุพโภชนาการให้ลดลงเรื่อยๆ โดยตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำทุกวัน 

 

นายพัน กี-มุน เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ทุกชาติร่วมแก้ไขปัญหาความอดอยาก จึงได้เริ่มต้นโครงการ Zero Hunger Challenge หรือ ZHC ขึ้นในปี 2555 โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดความ อดอยากให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง แผน ZHC นำไปสู่การวางแผนเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร โภชนาการ และความยั่งยืนทางการเกษตร ทั้งหมดจะเกิดขึ้นและสำเร็จไม่ได้หากผู้มีส่วนได้เสียทั้งระบบ

ไม่ลงมือและร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมีภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนและเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจที่ไม่มุ่งแสวงหาผลกำไร หรือใช้ช่องว่างในระบบทุนนิยมเป็นตัวเร่งให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน หากธุรกิจมุ่งแข่งขันและแสวงหากำไรอย่างบ้าคลั่ง เราก็จะได้เห็นแต่กลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มยึดครองอุตสาหกรรมที่ครั้งหนึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักขององค์กร และเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลและอาณาเขตไปสู่การเปิดตัวทำอุตสาหกรรมใหม่เรื่อยไป เนื่องจากความได้เปรียบในเรื่องเงินทุนที่ไม่มีวันหมดสิ้น ท้ายสุดยึดครองทุกอุตสาหกรรม 

 

ระบบทุนนิยม เป็นตัวชักพาให้เกิดภาวะอดอยากเพิ่มขึ้น แม้บางประเทศได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุด แต่คนในประเทศบางส่วนกลับอดอยากและรอความช่วยเหลือ ขณะที่บางประเทศยากจนอยู่แล้ว กลับยิ่งจนหนัก เพราะการแบ่งสรรปันส่วนผลผลิตที่ไม่เท่าเทียม อำนาจ การกระจายรายได้ที่มีแต่ห่างชั้นมากขึ้น 

 

การ “เข้าถึง” ตลาดที่เป็นเครื่องกีดขวางและมาตรการคุ้มครองตลาดโลกที่ไม่ได้ช่วยคนตัวเล็กตัวน้อยได้เงยหน้าอ้าปากและเอาตัวรอดจากระบบทุนนิยมนี้ได้ง่ายนัก บางประเทศอ้างว่าต้องใช้มาตรการคุ้มครองตลาดเพื่อประโยชน์ต่อคนยากจนและผู้คนหิวโหย แต่คนที่ได้รับประโยชน์จริงๆ กลับเป็นประเภท “คนรวย” และ “คนฉลาด” ที่รู้วิธีฉกฉวยโอกาสในระบบ ความเป็นจริงคนจนมีโอกาสในตลาดเปิดขนาดใหญ่ มากกว่าตลาดปิดขนาดเล็ก เพื่อที่ทุกคนจะได้รับประโยชน์และแข่งขันได้อย่างเสรีในผลผลิตของตัวเอง แต่ไม่เป็นเช่นนั้น 

 

ตัวอย่างใกล้ตัวคือ ไทยได้ชื่อว่าเป็น “ครัวของโลก” ติดอันดับ 5 ของประเทศที่ส่งออกด้านอุตสาหกรรมอาหารมากที่สุด แต่เหตุใดคนไทยอีกหลายล้านคนยังอยู่ในภาวะอดอยากและหิวโหย เพราะกลุ่มทุนที่ผลิตอุตสาหกรรมอาหารมีเพียงไม่กี่กลุ่มเข้ามายึดครองพื้นที่การเกษตรและอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ คนตัวเล็กตัวน้อยแข่งขันกับบริษัทใหญ่ที่เข้ามาตั้งโรงงาน และทำฟาร์มไม่ได้ ต้องล้มเลิกแผนการ เกษตรกรเลี้ยงสุกรรายย่อยมีสุกรมากมายในฟาร์ม แต่อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ของบริษัทใหญ่เข้ามาแทนที่เล้าเป็ดเล้าไก่และฟาร์มสุกรแบบดั้งเดิม กลุ่มทุนมีแผนการที่ฉลาดและแยบคายมากในการเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ จัดการเรื่องอาหาร เรื่องสุขอนามัยของสุกร เรื่องโรคร้ายต้องฉีดยาป้องกันโดยมีสัตวแพทย์ประจำโรงงานเข้ามาดูแลและจัดสรรอย่างเป็นระบบ และรับซื้อเนื้อสุกรทั้งฟาร์ม ท้ายสุดแล้ว เกษตรกรรายย่อยกลับไม่ได้เป็นเจ้าของฟาร์มอย่างแท้จริง มีบริษัทอาหารเป็นเจ้าของ ครัวไทยจึงตกไปอยู่ในมือบริษัทผลิตอาหารใหญ่แทบทั้งสิ้น 

 

การค้าเสรีและการค้าระหว่างประเทศ เป็นคำตอบที่รัฐบาลพยายามจะช่วยแก้ไขปัญหาความอดอยาก เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง แต่กลับเป็นเพียงแค่ทฤษฎี เพราะเชื่อเรื่องความได้เปรียบทางการแข่งขัน การส่งออกสามารถผลิตได้มากขึ้นและในราคาถูก ดังนั้น ประเทศที่หิวโหยและยากจนจะสามารถเพิ่มการส่งออกสินค้าได้มากเช่นกัน แต่ในทางกลับกัน ถ้าเพิ่มการส่งออก หลายประเทศก็ยิ่งเพิ่มการส่งออก ขณะที่ผู้หิวโหยและยากจนยังคงดำเนินอยู่ กำไรที่มาจากการส่งออกทำให้ผู้ส่งออกต้องเพิ่มการส่งออกมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อส่งออกด้วยธัญพืชแทนอาหาร เกษตรกรเล็กๆ จะเป็นคนส่วนใหญ่ที่ยังหิวโหย จะมีคนเพียงหยิบมือเดียวที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมอาหาร

 

สภาพอากาศ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะความอดอยาก เอลนีโญ ลานีญา อากาศเปลี่ยนมีผลต่อการเพาะปลูก แนวโน้มหายนะทางธรรมชาติรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะความอดอยากที่เพิ่มขึ้น 20% มีการคาดการณ์ว่า ปี 2050 หายนะทางธรรมชาติจะทวีความรุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นในแอฟริกา 30% และในเอเชีย 20% ขณะที่ผ่านมา ภัยธรรมชาติได้กวาดพืชผลทางการเกษตร นาข้าวที่กำลังตั้งรวงหายไปในพริบตา ซ้ำเติมให้ผู้คนอดอยากหิวโหยมากขึ้น ตัวอย่างประเทศที่ไม่อาจทำการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องเพราะประสบภัยธรรมชาติตลอดทั้งปี อย่าง บังกลาเทศประสบภัยธรรมชาติเสียจนบริเวณใดบริเวณหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งอาจเจอภัยธรรมชาติหลายชนิดในปีเดียวกัน หมู่บ้าน รัฐ หรือภูมิภาคทั้งภูมิภาคหลายแห่งประสบปัญหาน้ำท่วมถึง 4 ครั้ง ใน 1 ปี ซึ่งให้ครอบครัวต้องเสียเงินออมและสินทรัพย์ไปหมด เพื่อนำมาซ่อมแซมบ้าน หาซื้ออุปกรณ์ดำรงชีพ และไม่อาจทำการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน 

 

อุตสาหกรรมเกษตรพืช GMO ที่คิดว่าสามารถเลี้ยงประชากรทั้งโลกได้ด้วยเครื่องจักรกลที่เพิ่มผลผลิต โมเดลการทำฟาร์มที่ไม่ยั่งยืนแผ่ขยายส่งผลไปทั่ว แต่ยังไม่สามารถช่วยให้ลดปริมาณคนอดอยากได้มากขึ้น เพราะรูปแบบอุสาหกรรมติดอยู่กับการควบคุมเหนือพื้นดิน และการแสวงหาแหล่งทรัพยากรอื่น รวมทั้งการทำฟาร์มออร์แกนิกที่ไม่อาจตอบสนองได้อย่างเพียงพอ การเข้าควบคุมพื้นดินเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น อุตสาหกรรมเกษตร 1 ใน 6 ของสหรัฐฯมีการควบคุมพื้นดิน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงด้านอาหาร 

 

อาหารเหลือทิ้ง ปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะความอดอยากเพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนจากประเทศมีอันจะกิน กินอาหารทิ้งขว้างและเหลือทิ้ง ลองคิดดูเล่นๆ อาหารเหลือทิ้ง 1 จาน สามารถทำให้คนหิวโหยอิ่มไปได้หนึ่งมื้อ และเมื่อรวมอาหารเหลือทิ้งอีกหลายเท่ารวมกันก็จะสามารถเลี้ยงผู้ที่อดอยากได้ไม่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น พลังงานที่สูญเสียไประหว่างทางกว่าที่อาหารรสเลิศจะเสิร์ฟถึงโต๊ะอาหารในภัตตาคารหรูหรา หรือห้องอาหารที่แพงระยับ ต้องสูญเสียเมล็ดธัญพืช เครื่องปรุงแต่ง บรรจุภัณฑ์ ค่าโลจิสติกส์ ค่าแรงงานของพนักงาน ค่าเก็บขยะ แต่ความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องสูญเสียไปในระหว่างทางของกระบวนการผลิตอาหารทั้งสิ้น 

 

สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลหลักที่รัฐสภาฝรั่งเศส สนับสนุนให้ห้างสรรพสินค้าที่เหลืออาหารเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน บริจาคเข้า “ธนาคารอาหาร” ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนอดอยากหิวโหยเป็นล้านคนได้มีอาหารหลายมื้อ แค่บริจาค 15% ก็เพิ่มปริมาณอาหารในระบบได้มากขึ้น หมายถึงคน 10 ล้านคน ต่ออาหารมากกว่า 1 มื้อต่อปี และอาหารจะไม่ถูกทิ้งลงถังขยะเป็นจำนวนมาก อย่างพวกขนมปัง 350,000 ตันต่อปี มะเขือเทศสด 320,000 ตันต่อปี นม 290,000 ตันต่อปี อาหารแต่ละมื้อ 270,000 ตันต่อปี น้ำอัดลม 230,000 ตันต่อปี 

 

โมเดล “ธนาคารอาหาร” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและทำขึ้นได้อย่างจริงจัง ในการร่วมมือสร้างเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ห้างสรรพสินค้าที่บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านั้นกลับเข้าคลังอาหารสดที่สามารถแบ่งปันให้กับผู้คนอดอยากได้ทันที ส่วนอาหารแห้งก็สามารถเก็บได้ และพร้อมที่จะนำออกมาช่วยเหลือประชากรที่อดอยากในพื้นที่ห่างไกลเมื่อประสบภัยหรือต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อย่างน้อยการมีอาหารอยู่ในมือก็ยังช่วยบรรเทาทุกข์ได้ในกรณีเกิดวิกฤต 

 

ปัญหาอาจไม่ได้หยุดอยู่ที่ว่า โลกผลิตอาหารได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้นมากจนต้องทำอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปลูกพืช GMO หรือ เพิ่มปริมาณอาหารเข้าในระบบให้มากขึ้น แม้กระทั่งการเกิดภัยธรรมชาติที่จ้องทำลายและเล่นงานพืชผลการเกษตรเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ ในเมื่อทุกวันนี้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดยังคงดำเนินอยู่ แต่ผู้คนก็ยังอดอยากหิวโหย แม้แต่ในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดก็ตาม การปกป้องให้เกิดความยุติธรรมของคนที่จะสามารถ “เข้าถึง” และ การได้ “ครอบครอง” อาหารได้มากน้อยแค่ไหน พร้อมกับการสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาเพื่อให้เห็นคุณค่าของห่วงโซ่อาหารทั้งระบบต่างหาก ที่น่าจะเป็นเครื่องมือช่วยให้ลดจำนวนคนอดอยากได้ 

 

Case 

ตัวอย่างที่ MBA จะยกขึ้นมา เป็นตัวอย่างของประเทศบราซิลที่พยายามจะลดผู้อดอยากหิวโหย โดยมีความน่าสนใจตรงที่การพยายามปลูกฝังและสร้างการรับรู้ให้กับเยาวชนในท้องถิ่นได้เข้าใจถึงความสำคัญของอาหาร ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้อย่างยั่งยืนมากกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ 

 

ความพยายามในการลดความอดอยากเริ่มเห็นผลในประเทศบราซิล โรงเรียนในบราซิลสร้างโปรแกรมที่ชื่อว่า “Zero Hunger Program” เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องอาหาร ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศใหญ่ต้องเลี้ยงเด็กในโรงเรียน 42 ล้านคน โครงการอาหารกลางวันไม่เพียงแต่ช่วยลดจำนวนเด็กอดอยากและทุพโภชนาการเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดที่เชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจเรื่องอาหารของเด็กและครอบครัว พร้อมสนับสนุน ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรในพื้นที่อีกด้วย 

 

บราซิลต้องการส่วนประกอบของอาหารที่มาจากพื้นที่ทางการเกษตร 30% ในการทำเกษตรกรรมในครัวเรือน การทำเช่นนี้ ประเทศได้ช่วยให้เกษตรกร 4 ล้านคน ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาชนบทมากขึ้น ก่อนหน้านี้บราซิลเผชิญปัญหาหนักเกี่ยวกับเรื่องภาวะทุพโภชนาการและประชากรอ้วนเพิ่มขึ้น เด็กยากจนเข้าไม่ถึงอาหาร อาหารประเภทจังก์ฟู้ดได้รับความนิยม ทำให้ประชากรในประเทศอ้วนขึ้นมาก ส่งผลต่อสุขภาพอนามัย โรงเรียนรัฐจึงได้พยายามแก้ปัญหา โดยสร้างแปลงเพาะปลูกพืชผักขึ้นในโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ ได้ปลูกพืชและนำมาใช้ประกอบอาหารในโรงเรียน การทำเช่นนี้ทำให้โรงเรียนมีผลผลิตทางการเกษตรเพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนได้ทุกวัน ผลพลอยได้คือ การรับรู้ และปลูกฝังเด็กๆ ให้เข้าใจถึงความสำคัญของอาหารและประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เด็กได้เรียนรู้วิธีทำการเกษตรและสามารถนำไปเพาะปลูกที่บ้านได้ เท่ากับว่ามีวิชาเกษตรกรรมติดตัว

 

บทสรุปของการไปให้ถึง Zero Hunger คงไม่ใช่แค่การพยายามรับรู้ว่ามีปัญหานี้อยู่ แต่ต้องพยายามอย่างมากที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องตระหนักและปรับทัศนคติ วิถีการดำเนินชีวิต วิถีการทำธุรกิจที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนของตนเอง พร้อมกับเผื่อแผ่เพื่อให้ผู้อื่นสามารถ “เข้าถึง” ทรัพยากรและแหล่งอาหารที่สามารถสร้างขึ้นเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจทั้งหมด เพื่อให้โลกขจัดผู้อดอยากหิวโหยให้หมดไปและเป็นสังคมแห่งการปราศจากความอดอยากหิวโหย 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 

ที่ประชุมสหประชาชาติกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นมา ด้วยความหวังว่าโลกใน พ.ศ 2573 จะเป็นโลกที่สงบสุข ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีเสรีภาพ มีความเข้มแข็ง มีความสุขสบายตามอัตภาพ มนุษย์ไม่ทำร้ายทำลายธรรมชาติซึ่งเป็นทั้งถิ่นที่อยู่อาศัยและแหล่งทรัพยากรอันสำคัญของตัวเองจนลูกหลานต้องมารับผลกระทบ เป้าหมายเหล่านี้สามารถนำมาใช้กำหนดนโยบายแห่งรัฐ แนวคิดขององค์กรธุรกิจในการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในวิธีคิดของประชาชนทั่วไปในการเลือกใช้นโยบายของนักการเมือง เลือกซื้อหาสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้มนุษย์และดาวเคราะห์โลกอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป

 

ความจริงของความจน

สมัยยังเป็นนักศึกษาหนังเรื่องหนึ่งที่อาจารย์วิชาสังคมศึกษา Man and Modern World หยิบยกมาสอนเพื่อให้เห็นภาพยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในตะวันตกและการทำงานของลูกจ้างที่ถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ “Modern Times” ตัวแสดงเอกตลกหน้าตาย ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) กำลังขันน็อต และเดินเครื่องสายพานการผลิต แทบไม่มีเวลามีพักกินข้าวหรือสูบบุหรี่ การแข่งขันของคนในสังคมเมืองใหญ่เปิดฉากด้วยฝูงแกะขาว และ มีแกะดำ โผล่มา โดยระบบสายพานการผลิตยังคงเดินหน้าและทำหน้าที่ของมันต่อไป

 

หนังเรื่องดังกล่าวอาจารย์ได้ให้นักศึกษาวิเคราะห์สภาพสังคมตะวันตกว่าเป็นอย่างไร มีอะไรที่น่าสนใจในหนังบ้าง สิ่งที่นึกได้คือ ภาพทุนนิยม การปฏิวัติอุตสาหกรรม สายพานการผลิต การแบ่งงานกันทำ นอกจากจะเป็นภาพที่สื่อให้เห็นการเริ่มต้นผลิตสินค้าจำนวนมากแล้ว (Mass Production) ยังเป็นภาพที่เสียดสีนายทุนที่ให้ลูกน้องใช้แรงงานให้มากที่สุดเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุดอีกด้วย   

 

“แกะขาว” และ “แกะดำ” จึงอาจไม่ใช่เป็นแค่ภาพของนายจ้าง (แกะขาว) และ ลูกจ้าง (แกะดำ) แต่ยังเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของ คนรวย และ คนจน ในโลกสมัยใหม่ สิ่งที่ตามมาในใจเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้วสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่แกะขาวต้องการคือผลผลิตและกำไรที่มากพอที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ พร้อมกับการอยู่ดีกินดีของตัวเอง โดยใช้ฐานการผลิต กำลังแรงงานของแกะดำเข้าแลกด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย บทสรุปของเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อเกิดความเอารัดเอาเปรียบตั้งแต่ต้นเรื่อง 

 

ดูเรื่องนี้จบหลายปีผ่านมาเกิดคำถามในใจว่า ที่ผ่านมา “เราต้องการช่วยเหลือคนจนจริงๆ หรือเปล่า?” หรือเราเพียงแค่ใช้ฐานของคนจนนำมาสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนของตนเอง เพื่อแผ่ขยายอาณาจักรการทำธุรกิจ และครอบครองอุตสาหกรรมนั้นไว้ในมือ 

 

คำถามต่อมา ความจน วัดจากอะไร คนจนในเมือง กับ คนจนในชนบท ใช้มาตรฐานอะไรขีด “เส้นความยากจน” 

 

แม้ MBA ไม่อาจตัดสินคำตอบที่ชัดเจนได้ แต่งานของ มุฮัมมัด ยูนุส นายธนาคารเพื่อคนจนเป็นคำตอบที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดีและทำให้มองเห็นภาพความยากจนในบังกลาเทศประเทศที่เขาได้เข้าไปศึกษาและแก้ไขปัญหาความยากจน ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดและงานของเขายังมีอิทธิพลนำไปปรับใช้ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังมีคนจนอยู่จำนวนไม่น้อย เพื่อให้คนจนเหล่านั้นพ้นจาก “เส้นความยากจน” 

 

มุฮัมมัด ยูนุส ให้นิยามและความหมายของคนจนไว้อย่างน่าสนใจว่า คนจนมี 3 ประเภท จากที่ได้เข้าไปศึกษาคนจนในบังกลาเทศ ประชากรกลุ่มที่ 1 เรียกว่า P1 เป็นผู้ที่จนที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศ ประชากรลุ่มที่ 2 เรียก P2 จนที่สุดร้อยละ 35 ของประเทศ และประชากรกลุ่มที่ 3 เรียกว่า P3 เป็นกลุ่มที่จนที่สุดร้อยละ 50 ของประเทศ โดยนำเรื่องอาชีพ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศ อายุ ขึ้นมาพิจารณา ความจนจึงมีลักษณะที่ไม่เฉพาะตัวอย่างมากเมื่อนำเกณฑ์นี้มาคิด 

 

แต่ในเชิงเศรษฐศาสตร์ ความยากจน พิจารณาที่ระดับรายได้หรือฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคลว่ามีรายได้ไม่เพียงพอกับการดำรงชีวิตตามมาตรฐานขั้นต่ำหรือมีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพชีวิตขั้นต่ำที่ยอมรับได้ในสังคมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความยากจนยังคงมีอีกหลายมิติอื่นที่มิใช่วัดที่ตัวเงิน แต่ยังรวมไปถึง การไม่มีที่อยู่อาศัย ขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โอกาสทางการศึกษา การไม่มีงานทำ การไร้อำนาจ (World Bank) แต่โดยสรุปแล้ว ความยากจนมักวัดจากระดับรายได้หรือการบริโภคของคน โดยถือว่าคนคนหนึ่งเป็นคนจนเมื่อระดับรายได้การบริโภคนั้นต่ำกว่าระดับรายได้ขั้นต่ำที่จะสามารถบริโภคสินค้าและบริการจำเป็นพื้นฐาน

 

ในโลกความเป็นจริง เรายังคงเห็นคนจนเต็มท้องถนน คนที่อาศัยอยู่ในสลัม คนขายอาหารริมบาทวิถี คนจรจัด คนนอนใต้สะพาน แม้กระทั่งคนที่เดินสวนทางกับเราไปบนถนน เรายังอยากรู้ไหมว่า พวกเขาเหล่านั้นมีเงินในกระเป๋ามากกว่าเราหรือไม่ และถ้ามากกว่า พวกเขาถือว่าเป็นคนที่รวยกว่าเราใช่หรือเปล่า

 

แล้ว คนจนในเมือง กับ คนจนในชนบท ต่างกันอย่างไร ? 

 

คำตอบคือ ความยากจนในเมืองมีความซับซ้อนกว่ามาก และได้รับผลกระทบจากภาวะการว่างงาน การไม่มีที่อยู่อาศัย ความไม่มั่นคงในด้านชีวิตความเป็นอยู่ 31.6% อาศัยอยู่ในสลัม ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และอีก 6% อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงไม่แปลกที่สหรัฐอเมริกายังมีคนจนอยู่ในประเทศ คุณภาพชีวิตของคนจนได้รับอิทธิพลจากความเป็นเมือง ยิ่งมีความเป็นเมืองมากขึ้นเท่าไหร่ คนจนคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งจนหนักขึ้น และขยายไปสู่คนจนคนต่อไป เนื่องจากคนจนไม่สามารถสะสมทรัพย์หรือมีสินทรัพย์ได้ทันเท่ากับคนรวย 

 

ขณะที่คนจนในชนบทมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรที่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ อัตราประชากรที่เพิ่มขึ้น สุขภาพ การมีรายได้น้อย การเข้าไม่ถึงระบบสาธารณูปโภคหรือโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต การอ่านเขียนไม่ออก พบว่าประชากรวัยเด็กจำนวนมากยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด เนื่องจากภาวะการอ่านหนังสือไม่ออกส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการทำงานและมีรายได้ รวมทั้งการเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งยังชีพ ภาพคนจนในชนบทจึงดูชัดเจนกว่าคนจนในเมือง 

 

การบริโภคความยากลำบากและความไม่เท่าเทียมกัน มักยกแนวคิดของนักเขียนคาร์ล มากซ์ และ ชาร์ล ดิกเกนส์ ให้เห็นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในระบบที่มีแต่จะสูงขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจและรายได้ ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันที่มากขึ้น นัยคือความยากจนที่เพิ่มขึ้น นับแต่การแบ่งทรัพยากรจำนวนน้อยนิด โดยเลือกแจกจ่ายให้แก่คนที่อยู่บนสุดของการผลิต นอกจากนี้ ความไม่เท่าเทียมกันที่มากขึ้น อาจเป็นผลจากการเติบโตที่มากขึ้นทางเศรษฐกิจ และยิ่งความไม่เท่าเทียมกันมีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีความยากจนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากการแบ่งทรัพยากรหรือผลประโยชน์ไม่เท่ากันนั่นเอง

 

การแก้ไขปัญหาความยากจนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อคิดถึงคอนเซ็ปต์ความยากจนที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งคนจนในเมืองและคนจนในชนบท ต่างก็มีปัจจัยแวดล้อมหรือบริบทที่บังคับให้เกิดความจน ซึ่งเป็นความจนที่ยังไม่เท่าเทียมกันอีก คนจนในเมืองยังพอสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรพื้นฐานได้มากกว่า ขณะที่คนจนในชนบทห่างไกลเข้าไม่ถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือโครงสร้างพื้นฐานได้แม้แต่น้อย

 

การขจัดความยากจนให้หมดไปแบบยั่งยืนเป็นแนวทางที่รัฐควรช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์โดยมุ่งไปที่ การลงทุนในมนุษย์ คือ การพัฒนามนุษย์ให้ได้รับการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ อย่างน้อยก็เป็นการศึกษาภาคบังคับขั้นพื้นฐานที่พอจะทำให้คนคนหนึ่งสามารถเลี้ยงชีพได้  

 

ประเทศไหนเป็นประเทศเกษตรกรรม ก็ควรให้เกิดการว่าจ้างงาน หรือให้ความรู้แก่เกษตรกรในการเลี้ยงตัวเองได้หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว ควรปลูกพืชผักที่สลับกับการทำงาน ปลูกไร่ผสมผสานจะทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนตลอดปี ไม่แค่รอเฉพาะฤดูทำนา ปีไหนน้ำแล้งก็หันมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาและทำให้เกษตรกรเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งพารัฐบาลเพียงอย่างเดียว 

 

การกระจายรายได้ การปล่อยเงินกู้ และออกแบบระบบจัดเก็บภาษีให้มีความยุติธรรม ในตลาดแรงงานโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างจริงจัง ตัวอย่างธนาคารกรามีนข้างต้น แนวคิดจัดตั้งธนาคารเพื่อคนจนผู้ที่มีรายได้น้อยจะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เพราะเข้าไม่ถึงแหล่งทุนหรือทรัพยากรที่คนมีอำนาจเหนือกว่า high net worth สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ทุกเมื่อ และมีข้อเสนอจากธนาคารวิ่งเข้าหา ขณะที่พวกที่จัดเป็น no net worth ธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้ง่ายๆ   

 

กรณีตัวอย่าง 3 ตัวอย่างต่อไปนี้ สะท้อนได้ดีว่า คนจน ไม่ได้อยากจะจนไปตลอดชีวิต หากแต่พวกเขาเหล่านั้นเข้าไม่ถึงทรัพยากรและไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งทุน แต่เมื่อได้รับโอกาสและเข้าถึงทรัพยากรได้แล้ว ก็ก้าวข้ามเส้นความยากจนขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย 

 

“เมอร์ซิดา” กู้เงินจากธนาคารกรามีน 1,000 ตากาไปซื้อแพะ และสามารถใช้หนี้คืนได้หมดภายใน 6 เดือน ด้วยกำไรจากการขายนมแพะ จากนั้นใจกล้าขึ้นในการกู้เงินอีก 2,000 ตากา ไปซื้อผ้าดิบและหูกทอผ้า เริ่มทอผ้าพันคอสำหรับผู้หญิง ตอนนี้เธอขายส่งผ้าพันคอแบบมีพู่ในราคา 100 ตากา และแบบไม่มีพู่ราคา 50 ตาก้า กิจการของเมอร์ซิดาไปได้ดีจนช่วงที่มีออร์เดอร์เยอะๆ เธอต้องจ้างผู้หญิงในหมู่บ้านมากถึง 25 คน มาช่วยผลิตผ้าพันคอ และเอากำไรไปซื้อที่ดิน 1 เอเคอร์สร้างบ้านด้วยสินเชื่อจากกรามีน และให้ทุนน้องชายไปเริ่มธุรกิจ เช่น ค้าผ้าส่าหรี และค้าฝ้ายดิบ เมอร์ซิดาเป็นลูกหนี้ตัวอย่างประจำหมู่บ้าน ฟังดูอาจเหลือเชื่อ หญิงลูก 8 คน สามีติดการพนัน สามารถฟื้นตัวเองได้จากการกู้หนี้จากธนาคารที่กล้าปล่อยเครดิตให้กับคนจน 

 

ฟาร์มเล็กๆ ในชนบท ช่วยให้เยาวชนได้มีงานทำ ทางตะวันออกและเหนือของแอฟริกา เยาวชน 17 ล้านคนหรือมากกว่า 20% ของประชากรในประเทศไม่มีงานทำ นับแต่คนหนุ่มสาวเผชิญกับความยากจนที่เพิ่มขึ้น ก็แยกตัวออกจากบ้านเพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อหนุ่มสาวได้กลับเข้ามาสู่รั้วการเกษตร ไม่เพียงแต่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นแต่มีแนวโน้มที่จะช่วยพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีการเกษตรได้อีกด้วย การพัฒนารูปแบบการทำการเกษตร ซึ่งช่วยให้ชาวนาได้ทำนาและเลี้ยงประชากรต่อไปได้อีกยาวนาน หนุ่มสาวในชนบทจึงเป็นตัวอย่างที่ดีมากของการมีแนวคิดสมัยใหม่ IFAD ได้สนับสนุนความฝันของหนุ่มสาวโดยว่าจ้างงาน และให้โอกาสในการที่จะปั้นหนุ่มสาวเหล่านั้นให้เป็นผู้ประกอบการเสียเองเลย ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 15-35 ปีมากขึ้นในชนบท 

 

โครงการ “นา 1 ไร่ได้เงิน 1 แสน” ภายใต้หอการค้าไทย ที่นำโดย อดีตประธานสภาหอการค้าไทย ดุสิต นนทะนาคร บอกเล่าเรื่องราวของการช่วยเหลือตัวเองของเกษตรกร จุดเริ่มต้นของโครงการเกิดจาก ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมเกิดขึ้นในสังคมไทย ทำให้ภาคเอกชนของไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันเสนอมาตรการที่เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรมีความร่วมมือระหว่างชุมชน การลดต้นทุนการผลิต การปรับโครงสร้างการเกษตร การสนับสนุนการประกันรายได้เกษตรกรแทนนโยบายการรับจำนำผลผลิตการส่งเสริมระบบจัดการโลจิสติกส์ การสร้างกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและการส่งเสริมอาชีพนอกการทำนา เพื่อให้เป็นกระบวนการในการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคม

 

โครงการ “นา 1 ไร่ได้เงิน 1 แสน” เป็นโครงการที่ให้ประโยชน์กับชาวนาและเกษตรกรไทยเพื่อจะได้หลุดพ้นจากความยากจน เป็นการสร้างรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรโดยเน้นเกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 คือ เน้นให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองเป็นหลักโดยใช้ทรัพยากรการเกษตรที่มีอยู่ในพื้นที่อย่างรู้คุณค่า และทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

 

กระบวนการเกษตรแบบผสมผสาน (Integrated Farming) และภูมิปัญญาชาวบ้านพื้นที่นา 1 ไร่ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คันนากว้าง 1.5 เมตรใช้ปลูกพืช อาทิ พริก มะนาว มะรุม หรือผักสวนครัวทุกชนิดสร้างรายได้ให้เกษตรกร ส่วนที่ 2 ร่องน้ำ เพื่อทำประมง เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงกบ มูลสัตว์จะกลายเป็นปุ๋ยแก่นาข้าว ส่วนที่ 3 พื้นที่ปลูกข้าว และส่วนที่ 4 พื้นที่เลี้ยงเป็ดไข่ ปล่อยให้เป็ดไข่หาอาหารจากแปลงนาได้

 

ลุงชื่น ผู้ทดลองทำนา 1 ไร่ได้เงิน 1 แสน ได้ไปดูแปลงนาที่นครปฐมแล้วตัดสินใจเข้าร่วมโครงการทันทีโดยปรับพื้นที่แปลงนาตามรูปแบบโครงการ โดยเพาะกล้า ใส่ปลาดุก ใส่กบ ปลูกพริก ตะไคร้ กล้วย หอมแดง แต่ก็ประสบปัญหาเรื่องการนำน้ำเข้านา ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ ดูแลพืชผล แต่ได้รับคำแนะนำให้รู้จักการบริหารจัดการให้เป็นระบบมากขึ้น ผ่านไป 1 เดือน เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ข้าวออกรวงงามกบ ปลา ตัวโต สภาพดินดี และเชื่อมั่นว่าไร่ละ 1 แสนเป็นไปได้

 

เรื่องจริงของคนจน 3 ประเทศ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีใครที่ไม่อยากหลุดพ้นจากความยากจน และพยายามแสวงหาโอกาสที่จะหลุดพ้นสภาวะนั้น เพราะไม่ได้หมายความว่าคนจนเป็นคนไม่ฉลาด แต่พวกเขาเข้าไม่ถึงทรัพยากรและโอกาสต่างหาก ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่เราได้เห็นว่านายทุนหรือผู้ประกอบการจึงไม่ใช่ร่ำรวยมหาศาล หรือคนที่ดูดีเกินไป ผู้ประกอบการก็ไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษเหนือคนอื่น ตรงกันข้าม ทุกคนสามารถเป็นผู้ประกอบการและลงมือสร้างฐานะได้ เมื่อมีโอกาสได้แสดงความสามารถออกมา คนจนที่สุดยังสามารถเขยิบฐานะขึ้นมาเป็นคนที่อยู่เหนือเส้นความยากจนได้เลย

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 

ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในประเทศไทย เวียดนามและฟิลิปปินส์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ร่วมปลูกต้นดาวเรืองในพื้นที่ของสำนักงานและโรงงานซีพีเอฟทุกแห่ง ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย รวมถึงในเวียดนามและฟิลิปปินส์ เพื่อให้ดอกดาวเรืองบานเหลืองอร่ามอย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เดือนตุลาคมนี้ 

 

นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ซีพีเอฟ กล่าวว่า ผู้บริหารและพนักงานของซีพีเอฟที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนไทยทุกคนในทุกมุมโลก ที่ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อเป็นการถวายความอาลัยอีกครั้ง จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมปลูกต้นดาวเรืองกว่า 1 แสนต้น ในพื้นที่สำนักงานและโรงงานของประเทศเวียดนามและฟิลิปปินส์ พร้อมกับโรงงานและสำนักงานซีพีเอฟในประเทศไทย 

 

ทั้งนี้ ประเทศเวียดนาม โดย บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น ได้จัดกิจกรรม “รวมใจปลูกดาวเรืองให้บานสะพรั่งทั่วเวียดนาม” โดยเริ่มต้นที่ สำนักงานใหญ่ในกรุงโฮจิมินซิตี้ และฟาร์มของบริษัท 9 แห่งทั่วประเทศเวียดนาม อาทิ กรุงฮานอย เมืองด่องนาย เป็นต้น โดยจะนำต้นดาวเรืองที่ออกดอกและบานสะพรั่งไปมอบแด่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ใช้ประดับตกแต่งสถานที่ 

 

เช่นเดียวกันกับผู้บริหาร และพนักงานของซีพีเอฟ ฟิลิปปินส์ โดยโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำ ที่ตั้งอยู่บนเกาะซามาล ประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้ร่วมกันปลูกดาวเรือง เพื่อประดับตกแต่งพื้นที่โรงงาน โดยดอกดาวเรืองที่ปลูกในฟิลิปปินส์จะบานสะพรั่งพร้อมกัน ในช่วงพระราชพิธีเดือนตุลาคมศกนี้พอดี

 

เลย์ มันฝรั่งทอดกรอบอันดับหนึ่งของเมืองไทย1 โดย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด เดินเครื่องเต็มสูบขยายพอร์ตโฟลิโอบุกตลาดขนมขบเคี้ยวมูลค่า 3.4 หมื่นล้านด้วยการส่ง      “เลย์เพลย์” (Lay’s Play) ซับแบรนด์น้องใหม่รุกเซ็กเมนต์ขนมขึ้นรูป เอาใจวัยมันส์ด้วยขนมมันฝรั่งทอดกรอบรูปทรงแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร มาพร้อม 4 รสชาติโดนใจและปริมาณที่เต็มอิ่มจุใจ เตรียมจัดเต็มด้วยกิจกรรมการตลาดครบวงจรภายใต้คอนเซ็ปต์ “ความสนุกที่ไม่รู้จบ” พร้อมสร้างการรับรู้ผ่านการแจกผลิตภัณฑ์ทดลองชิมกว่า 1 ล้านชิ้นทั่วประเทศ

 

นายนิติน บันห์ดารี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ ตลาดขนมขบเคี้ยว (Salty Snack) มูลค่า 34,000 ล้านบาท2ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 เดือนแรกมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4.5%3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มขนมขึ้นรูป (Extruded Snack) ซึ่งมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท4นั้น ถือเป็น 1 ใน 3 เซ็กเมนต์แรกที่มีการเติบโตสูงที่สุดมากกว่าตลาดโดยรวมด้วยอัตราถึง 8.3%5

 

“เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดขนมขึ้นรูปที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงได้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยในปีที่ผ่านมาเราได้ทดลองเปิดตัวขนมขึ้นรูปที่ผลิตจากมันฝรั่งมาพร้อมรูปทรงแปลกใหม่ที่ชื่อ ‘เลย์เน็ต’ และ ‘เลย์ทรีดี’ โดยเราเลือกทำตลาดภายใต้แบรนด์ ‘เลย์’ เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งที่สุด6 ทั้งในด้านการรับรู้ คุณภาพและรสชาติ ซึ่งหลังจากเปิดตัวมาตลอดหนึ่งปีเต็มก็ได้ผลตอบรับที่ดีมากทั้งด้านยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด”

เพื่อรุกตลาดขนมขึ้นรูปอย่างเต็มรูปแบบ ในปีนี้ เลย์ จึงได้ปรับแบรนด์พอร์ตโฟลิโอใหม่ทั้งหมด โดยเลือกเปิดตัว ซับแบรนด์ใหม่ที่มีชื่อว่า เลย์เพลย์ (Lay’s Play) ซึ่งสะท้อนคาแรคเตอร์ความสนุกสนานของเลย์และทำให้ผู้บริโภคจดจำได้ง่ายยิ่งขึ้น ควบคู่กับการปรับแพ็คเกจจิ้งดีไซน์ให้มีสีสันโดดเด่นสะดุดตา เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 13-19 ปีที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความอร่อย (Great Taste) ความแปลกใหม่ (Uniqueness) และความคุ้มค่า (Value of Money)

CareerVisa จึงขอเชิญน้องๆมาร่วมกัน"ถามคำถาม"และ"ฟังคำตอบ"ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนกับเหล่าพี่ๆ มืออาชีพ ผ่านกิจกรรม Inspiration Talk and Insight Panel Discussion โดยกิจกรรมครั้งนี้เราได้ปรับรูปแบบให้รวบรวมคำถามยอดฮิต “นอกรั้วมหาวิทยาลัย” ที่นักศึกษามักสงสัยกับชีวิตหลังเรียนจบ ทำได้หลายอย่างแต่ไม่แน่ใจว่าเก่งทางไหน? อยากทำงานไม่ตรงสายทำได้รึเปล่า? ทางเลือกหลังเรียนจบก็มีเต็มไปหมด แต่ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดี? และคำถามอีกมายมาย ที่นี่มีคำตอบ มาเริ่มจากการฟังมุมมองที่หลากหลายของทั้งมืออาชีพและเหล่าคนอาชีพอิสระ พนักงานบริษัทที่ผันตัวเป็นนักเขียนและที่ปรึกษาอิสระอย่าง คุณชญาน์ทัต วงศ์มณี เจ้าของนามปากกา "ท้อฟฟี่ แบรดชอว์" นักเขียนบทความจาก The Standard กับหัวข้อ "เรียนจบแล้ว สถานีต่อไปไงต่อ?"

 

พี่บูม ภัทรพล เหลือบุญชู ที่ปรึกษาอาวุโสทางการตลาดเจ้าของเพจ JapanSalaryman"การทำสิ่งที่รักฉบับมนุษย์เงินเดือน" ฟังมุมมอง "บันไดความสำเร็จแบบผู้บริหารมืออาชีพ" พี่เก๋ กนกพรรณ ศรีวนาภิรมย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาบุคลากร dtac และเรียนรู้จาก บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังเจ้าของเพจ Nina BeautyWorld "จาก Passion สู่ความเป็นมืออาชีพ" พี่นีน่า แพรวเพชร กาญจน์เกียรติกุล และที่พิเศษไปกว่านั้น เราได้จัดเตรียมเวิร์คช้อปการค้นหาตนเองเพื่อให้น้องๆได้นำเครื่องมือกลับไปค้นหาเส้นทางที่ใช่ ปิดท้ายด้วยช่วง Networking with Professionals ที่น้องๆจะได้พูดคุยกับรุ่นพี่จากหลากหลายสายงานกว่า 20 ท่าน 

 

แล้วพบกันวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2560 เวลา: 13:00 - 17:00 น. ลงทะเบียน 12:30 น. เป็นต้นไป

สถานที่: อาคารบรรยายเรียนรวม 1 ห้อง 201

เปิดรับลงทะเบียน “ฟรี” แล้ววันนี้ ถึงวันที่ 10 กันยายน 2560

คลิกเลย!  https://goo.gl/forms/akUHQeHwd2uQlfK02

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://careervisathailand.com/bootcamp/

 

ทำไมต้องหาอาชีพที่ใช่? อาชีพไหนที่เราทำได้ มั่นคง เงินเดือนดี ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? แป๋ม เพื่อนเอ็มก็เคยคิดอย่างนั้นค่ะ 

 

“เราไม่รู้ว่าจะทำงานไรดีว่ะ”

“แล้วแกไม่อยากเป็น Investment Banker แล้วเหรอ? นึกว่าที่ทำอยู่ก็แฮปปี้ดี”

“มันก็ดีอ่ะแก เงินเยอะ โบนัสก็โอเค แต่มันรู้สึกเบื่อๆ 

ยังไงก็ไม่รู้ ทำงานเดิมๆ เหมือนเดิมมา 7 ปีละนะ”

“แล้วแกคิดว่างานไรที่จะไม่เบื่อวะ?”

“ไม่รู้ดิ แต่วันจันทร์ทีไรก็ไม่อยากไปทำงานแล้วอ่ะ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็ไม่อยากไปทำงาน เลยลาป่วยไปช้อปปิ้ง”

“......”

 

ทำไมคนที่เรียนเก่ง จบมาด้วยเกียรตินิยม มีงานที่มั่นคง เงินเดือนสูง ก้าวหน้าเร็วอย่างแป๋ม จึงไม่มีความสุข?

 

จากหนังสือ “วิชาความสุขที่มีสอนแค่ในฮาร์วาร์ด” ที่เขียนโดย ทาล เบน-ชาฮาร์ (Tal Ben-Shahar) ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เขียนได้แบ่งการใช้ชีวิตของคนทุกคนไว้เป็นสี่แบบด้วยกัน คือ 1. หนูวิ่งแข่ง 2. คนเจ้าสำราญ 3. คนหมดอาลัยตายอยาก และ 4. คนมีความสุข

 

“หนูวิ่งแข่ง” คาดว่ามันจะมีความสุขเมื่อโล่งใจจากการผ่านพ้นความทรมานในการพยายามวิ่งเข้าสู่เส้นชัย แป๋มก็เช่นกัน ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย แป๋มก็ตั้งใจเรียนมาก หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาเกียรตินิยมอันดับ 1 มาให้ได้ เพราะคิดว่าอนาคตที่ดี งานที่ดี จะได้มาจากผลการเรียนที่ดี เมื่อถึงเวลาสมัครงาน ก็ตั้งเป้าเป็นงานที่แข่งขันสูงที่สุด อย่าง Investment Banking (วาณิช-ธนกิจ) ซึ่งเป็นสายงานที่เงินเดือนสูงที่สุด และเข้ายากที่สุดสำหรับสายการเงิน แต่แป๋มก็ยังไม่มีความสุขกับงาน แป๋มเป็นคนมีความกังวลเกือบจะตลอดเวลา ไม่ค่อยเห็นเวลาที่ไม่พารานอยด์ มีความสุข ตอนที่ดีใจเฉพาะเวลาประกาศผลสอบ ประกาศผลรับเข้าทำงาน เท่านั้น จึงกลายเป็นทาสของอนาคต ไม่มีความสุขในปัจจุบัน จนกระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดดงานไปใช้ชีวิตอย่าง “คนเจ้าสำราญ”

 

“คนเจ้าสำราญ” มักยึดคติว่า YOLO (You Only Live Once) และทำทุกอย่างเหมือนไม่มีพรุ่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้ตัวเองพอใจมากในปัจจุบัน และอาจเกิดผลเสียในอนาคต เหมือนที่แป๋มลาป่วย เพียงเพราะว่าไม่อยากไปทำงาน แล้วไปปรนเปรอตัวเองด้วยการช้อปปิ้ง ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร ลางานวันเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่ซะหน่อย แต่ลองคิดดูว่าถ้าผู้อ่านเป็นเจ้านายของแป๋ม ซึ่งเห็นว่าแป๋มเป็นคนเก่ง มีความรับผิดชอบมาโดยตลอด จะสูญเสียความเชื่อใจขนาดไหน หากเขารู้ความจริง แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมานาน และรู้ว่าแป๋มเป็นคนจริงจัง มีความรับผิดชอบเสมอ ดังนั้น การที่แป๋มทำตัวเป็นคนเจ้าสำราญ น่าจะหมายความว่า แป๋ม “หมดอาลัยตายอยาก” ในที่ทำงานไปแล้ว 

 

คนหมดอาลัยตายอยาก คือ คนที่ทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่ออนาคต และไม่ก่อให้เกิดความสุขในปัจจุบัน 

 

ผู้เขียนกล่าวถึงการทดลองที่แบ่งสุนัขออกเป็น 3 กลุ่ม ในครึ่งแรกของการทดลองกลุ่มที่ 1 ถูกช็อตไฟฟ้า แต่สามารถปิดเครื่องช็อตไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย กลุ่มที่ 2 ถูกช็อตไฟฟ้า และไม่สามารถปิดเครื่องได้ กลุ่มที่ 3 ไม่ถูกช็อตไฟฟ้าเลย ในครึ่งหลัง สุนัขทั้ง 3 กลุ่มถูกจับไปอยู่ในกรงที่มีไฟฟ้าช็อต แต่สามารถหนีได้ด้วยการกระโดดข้ามรั้วเตี้ยๆ ซึ่งสุนัขในกลุ่มที่ 1 และ 3 กระโดดข้ามรั้วมาอย่างง่ายดาย แต่กลุ่มที่ 2 ไม่แม้แต่จะพยายาม

 

แป๋มคงไม่มีความสุขกับงานนี้ และหาทางออก แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้มาเป็นปีแล้ว จึงเป็นทาสของอดีตที่ตนเองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงหมดความหวังว่าตนเองจะสามารถควบคุมอะไรได้ในปัจจุบันและอนาคต และไม่ทำอะไรที่พอใจในปัจจุบัน หรือเป็นประโยชน์ในอนาคต ด้วยการบ่นเรื่องเบื่องาน อยากเปลี่ยนงานไปวันๆ โดยไม่ลงมือค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร และหางานใหม่จริงจังสักที ถ้าเอาแต่บ่น ก็คงเป็นได้แค่คนหมดอาลัยตายอยาก แล้วแป๋มจะเป็น “คนมีความสุข” ได้อย่างไร?

 

คนมีความสุข จะไม่เป็นทาสของอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เนื่องจากพวกเขาจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพอใจในปัจจุบันด้วย แป๋มจะเป็นคนกลุ่มนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้ทำอาชีพที่ใช่ ที่เหมาะสมกับตัวแป๋ม ซึ่งพูดง่าย แต่ทำยาก จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าอาชีพที่ใช่ของตัวเอง คืออะไรตั้งแต่เรียนจบ

 

ตัวเอ็มเอง ก็ใช้เวลาเกือบ 5 ปี ในการลองผิดลองถูก คิดวิเคราะห์ ลงมือทำ สำเร็จบ้าง พลาดบ้าง จึงจะรู้ว่าอาชีพที่ใช่ของตัวเอง คือการประกอบกิจการเพื่อสังคม CareerVisa (แคเรียร์วีซ่า) ที่ช่วยให้บุคคลอื่นค้นพบ ออกแบบ และมีความพร้อมในการทำอาชีพที่ใช่ของตัวเอง ตัดมาที่บิว เพื่อนอีกคนที่เอ็มได้ยินมานานมากแล้วว่าจะลาออกจากงาน แต่ต่างที่เพื่อนคนนี้เป็นคนเทคแอคชั่น ไม่ได้เอาแต่บ่น หรือคิดอย่างเดียว แต่กล้าที่จะลงมือทำด้วย

 

“ตกลงแกจะออกป่ะเนี่ย?”

“เรายังไม่แน่ใจเลยอ่ะเอ็ม ตอนแรกคิดว่าออกแน่ ได้งานใหม่ละด้วยนะ ที่บริษัทอเมริกา เค้าให้เงินเดือนตั้ง 2 เท่า แล้วยังได้ทำ project เกี่ยวกับที่เรียนโทมา ที่เราอยากทำด้วย”

“แล้วทำไมลังเลอ่ะ? เพราะได้ย้ายทีม?”

“อือ พอมาทำทีมนี้ ได้ทำอะไรใหม่ๆ เยอะ เรื่อง YYY ก็น่าสนใจ เป็นเรื่องที่ใหม่แต่มาแน่ในอนาคต ได้ตัดสินใจอะไรเอง คนในทีมก็เก่งได้เรียนรู้จากพี่ๆ เยอะมาก ถ้าออกไปตอนนี้ก็เสียดาย แต่ว่างานใหม่ก็ไม่ใช่

ได้มาง่ายๆนะ กว่าจะผ่านข้อเขียน ผ่านสัมภาษณ์

ตั้งหลายรอบ เลยไม่รู้ว่าจะเอาไงดี”

“อืม งั้นเอางี้ ลองทำ Career Design มั้ย? เผื่อจะคิดไรออก”

 

Career Design คือ อะไร?

Career Design คือหลักสูตรที่กิจการเพื่อสังคม CareerVisa ออกแบบขึ้นโดยมีหลักการมาจาก Designing Your Life ซึ่งเขียนโดยโปรเฟสเซอร์ที่ Stanford’s d .school และ What Color Is Your Parachute? ซึ่งเป็นหนังสือที่เปรียบเสมือนคัมภีร์ของคนที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพตนเอง และได้ทำการทดลองสอนใน 4 มหาวิทยาลัย และสอนในรูปแบบการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ให้กับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรนานาชาติ (BBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะเศรษฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (EBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะถูกบรรจุอยู่ในวิชา Professional Development ในหลักสูตรของวิทยาลัยโลกคดีศึกษา Global Studies of Social Entrepreneurship (GSSE) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2559 และจะอยู่ในวิชา Professional Development and Design Thinking 

 

แต่เราจะมาหาอาชีพที่ใช่ด้วย Career Design ได้อย่างไร ติดตามฉบับหน้านะคะ

 

เรื่อง : ธีรยา ธีรนาคนาท (เอ็ม) 

IMD World Competitiveness Center ได้ให้นิยามของ Competitiveness ว่าหมายถึง ขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกหรือเกื้อหนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ในการที่จะทำให้บริษัทสามารถสร้างคุณค่าทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ ซึ่งเป็นการสร้างผลกำไรได้ ภายใต้การก่อเกิดการจ้างงานต่างๆ โดยกิจกรรมทางธุรกิจทั้งปวงที่เกิดขึ้นจะต้องส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด

 

การจัดอันดับนี้จะคำนึงถึง 4 ปัจจัยหลัก คือ สภาวะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพในการบริหารของรัฐบาล, ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน และยังมีปัจจัยย่อยอีก 20 ปัจจัย เช่น การจ้างงาน เทคโนโลยี การศึกษา การค้าระหว่างประเทศ การเงิน สุขภาพและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา 346 ข้อ 

 

 

 

สำหรับผลการจัดอันดับขีดความ-สามารถทางการแข่งขันของประเทศฉบับปีล่าสุด ปี 2017 ที่เผยแพร่โดย IMD World Competitiveness Center พบว่า ประเทศไทยมี Performance ที่ดีขึ้นและน่าชื่นชมเป็นอย่างมาก ทั้งคะแนนและอันดับที่ขยับยกอันดับขึ้นเหนือปีก่อนหน้า โดยมีคะแนนรวมในปีนี้เท่ากับ 80.095 เปรียบเทียบกับ 74.681 ในปี 2016 และมีอันดับที่ดีขึ้น 1 อันดับ โดยเลื่อนขึ้นจากอันดับที่ 28 มาเป็นอันดับที่ 27 ขณะที่ปี 2015 อยู่อันดับที่ 30 เมื่อพิจารณาเฉพาะ 5 ประเทศอาเซียนที่อยู่ในการจัดอันดับนี้ ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียแล้ว ส่วนใหญ่มีอันดับที่ขยับดีขึ้นโดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่อันดับดีขึ้นถึง 6 อันดับ ขณะที่ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ลดลำดับลงจากปีก่อนหน้า 

 

สำหรับประเทศไทยแม้จะดีขึ้นมาหนึ่งอันดับ แต่คะแนนรวมที่เพิ่มขึ้นก็ถือว่ามีนัยสำคัญ ซึ่งตัวเลขผลการจัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันนี้ มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวเลขแสดงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี โดยตัวเลขนี้คือ ขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สะท้อนอนาคตว่าประเทศไทยมีสมรรถนะหรือศักยภาพอย่างไร และจะมีการเจริญเติบโตหรือก้าวหน้าไปได้เพียงใด ในขณะที่ตัวเลขจีดีพีเป็นตัวเลขมองย้อนหลังไปในอดีตมากกว่าเหมือนผลประกอบการของบริษัท 

 

ทั้งนี้การจัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันโดย IMD เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1989 จากเงื่อนไขของโลกในยุคปัจจุบัน ที่ทุกประเทศจำเป็นต้องแข่งขันเพื่อแย่งชิงเงินทุนและทรัพยากรต่างๆ เพื่อเร่งสร้างอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจ การจัดอันดับของ IMD มีการตั้งหลักเกณฑ์หรือ ตัวชี้วัดต่างๆ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงขีดความสามารถของประเทศนั้นๆ ในการดึงดูดการลงทุน ดัชนีรายได้ของประชากร การสร้างงานใหม่ และการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ ดังนั้นการจัดอันดับขีดความสามารถนี้ จึงเป็นเสมือนเครื่องมือวัดสมรรถนะ จุดอ่อน จุดแข็ง ว่าประเทศไทยมีความท้าทายประการใดบ้าง มีจุดอ่อนใดต้องปรับปรุง เพื่อที่จะทำให้แข่งขันกับนานาชาติได้ดีขึ้น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนจากทั่วโลกให้ความสำคัญและสนใจไม่น้อยไปกว่าตัวเลขจีดีพีเลยทีเดียว

 

สำหรับการจัดลำดับครั้งนี้ประเทศไทยทำคะแนนติดอันดับ 1 ใน 10 หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การจ้างงาน นโยบายภาษี ตลาดแรงงาน และการค้าระหว่างประเทศ ในขณะที่ยังมีอีกหลายด้านที่จะต้องได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น เพราะอยู่ในอันดับต่ำกว่า 40 ลงมา เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม การศึกษา กรอบการบริหารด้านสังคม รวมถึงผลิตภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ทุกภาคส่วนจำเป็นจะต้องร่วมมือกันอย่างแข็งขัน 

 

หากพิจารณาจากปัจจัยหลักที่ใช้ในการจัดอันดับจะเห็นว่า ปัจจัยที่มีอันดับดีที่สุดคือ สภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 เพิ่มขึ้น 3 อันดับจากปี 2016 ส่วนปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐได้อันดับที่ 20 เพิ่มขึ้น 3 อันดับจากปีก่อนหน้า ส่วนปัจจัยด้านประสิทธิ-ภาพของภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีอันดับที่ 25 และ 49 ตามลำดับ

 

ในส่วนของปัจจัยหลักด้านสภาวะเศรษฐกิจนั้น ประเทศไทยมีปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นถึง 3 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ การค้าระหว่างประเทศ ราคาและค่า-ครองชีพ ส่วนการจ้างงาน จัดว่าดีมาก เพราะอยู่อันดับ 3 ของโลก แต่ปัจจัยย่อยที่มีอันดับลดลงคือ การลงทุนระหว่างประเทศ 

 

ส่วนปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ประเทศไทยก็มีอันดับที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีล่าสุด โดยปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ กฎหมายธุรกิจ กรอบการบริหารภาครัฐ ส่วนอันดับที่ดีที่สุดในส่วนนี้ก็คือ นโยบายภาษี ที่ขึ้นจากอันดับที่ 5 เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่อันดับที่ 4 แสดงให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐดำเนินการนั้นเป็นที่ยอมรับจากนักลงทุน อาทิ การแก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐให้มีความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนด้วยแรงจูงใจต่างๆ การปรับตัวของนโยบายภาครัฐ รวมถึงความคล่องตัวในการดำเนินนโยบาย เป็นต้น

 

ขณะที่ปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 25 ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปี 2016 แต่พบว่ามีปัจจัยย่อยที่อันดับดีขึ้น 2 ปัจจัย ได้แก่ ด้านการจัดการ และด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ ทั้งนี้หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยให้เติบโตได้ดีขึ้นนั้น คือ การปฏิรูปภาคเกษตรกรรม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยกลไกประชารัฐ ทั้งการพัฒนาเกษตรกรทันสมัย (Smart Farmer) การทำเกษตรแบบแม่นยำ (Precision Farming) การใช้เกษตรทฤษฎีใหม่ การพัฒนาช่องทางการตลาดใหม่ๆ การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากลและมีความหลากหลาย การสร้างแบรนด์ และการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enter-prise) ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อช่วยเหลือในการทำเกษตรกรรม เป็นต้น

 

สุดท้ายคือ ปัจจัยหลักด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอันดับในด้านนี้ของไทยยังอยู่ในลำดับที่ค่อนข้างต่ำคือที่ 49 กระนั้นก็ยังมีปัจจัยย่อย 2 ด้านที่อันดับดีขึ้น คือ โครงสร้างพื้นฐานทั่วไป และโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ซึ่งดีขึ้นเป็นลำดับ โดยปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ประกอบด้วยการมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ตอบสนองภาคธุรกิจและความเชื่อมโยงต่างๆ อินเทอร์เนตความเร็วสูง การส่งออกสินค้าไฮเทค และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างเอกชนกับเอกชน และรัฐกับเอกชน

 

ขณะที่คำแนะนำจาก Arturo Bris ผู้อำนวยการ IMD World Competitiveness Center ระบุว่า ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยา-ศาสตร์ก็คือ Digital Transformation สำหรับประเทศไทย ไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ และต้องทำอย่างเร่งด่วนด้วย รวมถึง E-Government ส่วนความท้าทายด้านการศึกษาคือ ต้องโฟกัสที่การสร้างและพัฒนาอาชีพในอนาคต โดยควรดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ระบบให้มากขึ้น และที่สำคัญเพิ่มไปกว่านั้นคือ การพยายามรักษาบุคลากรไว้ให้ได้ด้วย ขณะที่ความท้าทายด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนั้น จะต้องเพิ่มการลงทุนของภาครัฐในระบบสุขภาพ มีมาตรการในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ตลอดจนพัฒนาการช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับประชาชนทั่วทั้งประเทศ

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 

X

Right Click

No right click