December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

ดร.สาธิต พุทธชัยยงค์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ลงนามความร่วมมือ

นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการ สมาคมธนาคารไทย นางสาวฐิตินันท์ วัธนเวคิน ประธานชมรม CSR สมาคมธนาคารไทย พร้อมธนาคาร แห่ง ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วยบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และนักศึกษา วปอ. รุ่น 2552 มอบคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์เพื่อการใช้งานให้กับสภากาชาดไทย โดยมีคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม นายเตช บุนนาค นายพระนาย สุวรรณรัฐ รับมอบ ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานคนพิการที่ปฏิบัติงานในสำนักงานส่วนกลางของสภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัด 76 แห่ง และกิ่งกาชาดอำเภอ 240 แห่งทั่วประเทศ

Beauty Tohuku มหกรรมงานจำลองบรรยากาศของโทโฮะขุ ในแบบอาหาร ท่องเที่ยว และความงาม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว  รวมถึงเปิดประสบการณ์ให้ชาวไทยได้รู้จักภูมิภาคโทโฮะขุมากยิ่งขึ้น  ซึ่งจัดขึ้นโดยท่าอากาศยานเซนไดร่วมกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวโทโฮะขุ

เมื่อครั้งที่แล้วผมได้พูดถึงลักษณะของโครงการ Agile ไปแล้ว ครั้งนี้ผมจะอธิบายถึงลักษณะของทีมงานใน Agile Project หนึ่งใน Agile Value คือ “Individual Interaction over Process and Tools” นั่นคือ Agile Project ให้ความสำคัญกับคนมากกว่ากระบวนการขั้นตอนของการทำงาน ถึงแม้ว่า Agile จะเน้นการปฏิบัติตามกระบวนการขั้นตอน เช่น Iteration, Backlog, และ Retrospectives แต่สิ่งที่ Agile มองว่าสำคัญที่สุดคือคน คือถ้าเลือกระหว่างกระบวนการที่ดีที่สุด กับคนที่มีประสิทธิภาพที่สุด Agile จะเลือกคนมาก่อนกระบวนการ โดยประเด็นนี้สอดคล้องกับงานวิจัยโดย COCOMO II ที่ระบุว่าปัจจัยด้านคนมีความสำคัญกว่ากระบวนการอย่างน้อยสิบเท่า นั่นคือ การที่ได้คนที่ดีมีคุณภาพมาทำงานสำคัญกว่าขั้นตอนของการทำงานที่ดีอย่างมาก

 

ใน Agile Project ทีมงานจะเน้นทีมงานขนาดเล็ก มีทีมงานไม่เกิน 12 คน เพื่อสามารถให้ทีมงานสามารถทำงานและติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการติดต่อสื่อสารเน้นการทำงานในลักษณะ Face-to-Face ถ้าโครงการขนาดใหญ่อาจต้องมีการแบ่งทีมงานออกมาเป็นทีมขนาดเล็กหลายๆ ทีม เพื่อง่ายต่อการทำงานและประสานงาน ทีมงานใน Agile ควรมี Complementary Skills นั่นคือทีมงานแต่ละคนอาจไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญทุกอย่าง แต่ทีมงานแต่ละคนสามารถทำงานทดแทนกันได้เป็นลักษณะ Cross-Functional ที่สามารถสลับสับเปลี่ยนบทบาทกันได้ นอกจากนี้ทีมงานต้องมีเป้าหมายเหมือนกัน เป้าหมายของโครงการที่ดีควรเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเป้าหมายของทีมงานแต่ละคน และทีมงานควรเห็นเป้าหมายเหมือนกัน (แต่ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยในวิธีการที่อาจแตกต่างกันได้) นอกจากนี้ ทีมงานทุกคนควรมีการ Share Ownership ในผลลัพธ์ของโครงการ นั่นคือความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ออกมาในโครงการร่วมกัน 

ใน Agile Project เน้นการทำงานในรูปแบบ Generalizing Specialists ที่ทีมงานต้องสามารถมีความเชี่ยวชาญได้หลายอย่างและสามารถทำงานได้หลากหลายบทบาท การทำงานในรูปแบบนี้แตกต่างจาก Traditional Specialists ซึ่งคือผู้เชี่ยวชาญที่เก่งด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งการใช้ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานได้ด้านเดียวส่งผลต่อการทำงานที่สามารถติดปัญหาได้ เช่น เวลาที่งานต้องเปลี่ยนมือจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งไปยังผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่ง (Hand off) ส่งผลต่อการเสียเวลาในการส่งมอบงาน นอกจากนี้ การทำงานในลักษณะการส่งต่อส่งผลให้มีการเกิดปัญหา (Bottleneck) และก่อให้เกิดการ Delay ของงานได้ การทำงานในลักษณะ Generalizing Specialists เน้นการทำงานเป็นทีม เช่น การทำงานระหว่าง Tester กับ Coder เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาและมี Throughput (ปริมาณงาน) ที่มากกว่าการทำงานในลักษณะที่ต้องมีการส่งต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง (Linear) 

 

ในโครงการ Agile การมอบอำนาจให้กับทีมงานทำได้โดย วิธีการ Self-Organizing และ Self-Directing กระบวนการ Self-Organizing คือการมอบอำนาจให้ทีมงานทำการออกแบบและตัดสินใจการทำงานด้วยตัวเอง โดยผู้บริหารโครงการเพียงแค่อธิบายเป้าหมายของโครงการ (What) แต่ทีมงานเป็นคนที่กำหนดว่าการทำงานในการบรรลุเป้าหมายนั้นๆ ต้องทำอย่างไรบ้าง (How) รูปแบบ Self-Organizing ตรงกันข้ามกับการทำงานที่เป็นลักษณะ Command and Control ที่ Project Manager สั่งการรูปแบบการทำงานไปยังทีมงาน สำหรับ Self-Directing คือทีมงานมีอำนาจในการตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ได้เอง นอกจากนี้ Agile Team เน้นในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ทำให้ทีมงานมีความรู้สึกปลอดภัยต่อการทำผิดพลาด โดยมองที่ความผิดพลาดคือโอกาสของการเรียนรู้ ถ้าบรรยากาศการทำงานเป็นไปในลักษณะที่ทำให้ทีมงานไม่รู้สึกปลอดภัย มีความกลัวต่อการทำผิดพลาด ก็จะส่งผลให้มีงานไม่กล้าที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ หรือมี Idea ใหม่ๆ ในการทำงาน ดังนั้นผู้บริหารควรสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ทำให้ทีมงานกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กังวลต่อความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น มีการให้รางวัลต่อแนวคิดและการแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ๆ 

สุดท้ายความขัดแย้งในการทำงานเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นความขัดแย้งในเรื่องความเห็นในการทำงานมิใช่เรื่องส่วนตัว ความขัดแย้งในการทำงานเป็นสิ่งที่ดีเพราะนำไปสู่ความคิดเห็นที่หลากหลาย ถ้าทีมงานไม่มีความขัดแย้งเลยแสดงว่าทีมงานไม่ Care ต่อผลของงานหรือทีมงานหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง Constructive Disagreement คือความขัดแย้งด้านความคิดเห็นที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทีม เพราะ Constructive Disagreement นำไปสู่การตัดสินใจที่ดี และทีมงานให้การสนับสนุน (Buy-in) โดย Constructive Disagreement จะเริ่มจากความแตกต่างในด้านความคิดเห็น (Divergence) และหลังจากที่มีการอภิปรายโต้เถียงด้วยเหตุผลนำไปสู่ ข้อตกลงร่วมกัน (Convergence) ส่งผลให้การทำงานของทีมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

เรื่อง รองศาสตราจารย์ พ.ต.ต.ดร.ดนุวศิน เจริญ

 

 “ถามว่าวอลมาร์ตรู้หรือไม่ว่าจะมีการขายของออนไลน์ ถ้าเทียบกับอเมซอนทำไมอเมซอนประสบความสำเร็จ เป็นเพราะวอลมาร์ต มีเงินน้อยกว่า ไม่เก่งกว่าหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ วอลมาร์ต เก่ง รวยมีทุกอย่างที่เหนือกว่าอเมซอน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือทำไมวอลมาร์ตไม่สามารถทำออนไลน์ประสบความสำเร็จเท่ากับอเมซอน คำตอบที่น่าสนใจคือแผนธุรกิจ (Business Model) เนื่องจากกำไรของวอลมาร์ตมาจากการขายออฟไลน์”

 

“อเมซอนไม่มีสาขา ไม่ยึดติดกับสาขา นี่คือ Business Model ที่ให้ประสบการณ์ผู้บริโภคดีกว่า ลองนึกภาพอเมซอนไม่มีสาขาแลกเปลี่ยนสินค้าไม่ได้ แสดงว่า ผมต้องแน่ใจว่าเวลาสั่งอะไรจากออนไลน์ สินค้าที่ไปส่งต้องได้ในสิ่งที่เขาคาดหวัง แต่ถ้าเป็นวอลมาร์ตไม่ได้ก็เอาไปเปลี่ยนที่สาขาก็ได้ คำถามคือแล้วผมจะสั่งออนไลน์ไปทำไม ก็เดินไปซื้อที่สาขาก็ได้ นั่นคือวอลมาร์ตยังมีความสุขกับการมีสาขา

อเมซอนที่ประสบความสำเร็จเพราะเขาใช้ Central Warehouse สต็อกทุกอย่างรวมตรงกลาง แต่วอลมาร์ตกำลังจะบอกว่าออนไลน์ของเราจะต้องใช้ประโยชน์จากออฟไลน์คือให้ไปเอาสต็อกที่สาขา นึกภาพลูกค้าสั่งสัก 10 รายการ แล้วเวลาส่งของต้องไปเอาสต็อกจากสาขา ปรากฏว่าสาขาที่ 1 มีแค่ 8 รายการ ที่เหลือต้องไปเอาที่สาขาอื่น ต้นทุนก็มหาศาลแล้ว เผลอๆ ส่งได้ 9 ชิ้น แล้วอีกชิ้นหนึ่งละ ให้รอไปก่อนหรือไม่อยากรอเอาใบที่พรินต์จากออนไลน์ไปรับของที่สาขา ถ้าต้องไปสาขาผมก็ไปสาขาซื้อครั้งเดียวก็จบหรือไม่

Business Model แบบนี้ ลูกค้าไม่เคยประทับใจทำให้วอลมาร์ตไม่ประสบความสำเร็จ สองต้นทุนคุณมีสองด้าน สาขาก็มี ออนไลน์ก็มี จึงเป็นที่มาว่าองค์กรที่มี Business Model ที่เป็นออฟไลน์แล้วประสบความสำเร็จ

ซึ่งตอนหลังวอลมาร์ตเริ่มเข้าใจและปรับตัว แต่ใช้เวลาเกือบ 8-9 ปี อเมซอนก็ปรับตัวมีสาขา เพราะวอล-มาร์ทสามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีในออนไลน์”

 

ผศ.ดร.วิพุธ อ่องสกุล คณบดี คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA BUSINESS SCHOOL) ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่จะใช้ในการเรียนการสอนนักศึกษาของคณะ ในยุคปัจจุบันโดยจะเลือกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ Digital Transformation สอดแทรกให้กับนักศึกษาในวิชาต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมผู้เรียนให้สามารถรับมือกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค รวมถึงกลไกวิธีการทำงานในอุตสาหกรรมที่กำลังปรับเปลี่ยน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีด้านต่างๆ ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรูปแบบการทำงานของคนในแทบทุกอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษาในฐานะแหล่งพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับการผลิตบุคลากรป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆ แม้ประเทศไทยจะยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนจากกระแสดิจิทัลในแวดวงการศึกษามากนัก เห็นได้จากรูปแบบการเรียนการสอนที่ยังเน้นการใช้ห้องเรียน ตำราวิธีการสอนยังคงไม่แตกต่างจากที่เคยเป็นมาเท่าใดนัก แต่จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่สามารถค้นหาองค์ความรู้ที่สนใจจากสื่อออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง แรงกระเพื่อมนี้อาจส่งผลต่อผู้เรียนในยุคต่อไป 

ปรับบทบาทสถานศึกษา

หากมองจากบทบาทของสถาบันการศึกษา 3 ประการที่สำคัญ ประกอบด้วย Creation of Knowledge การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ผ่านกระบวนการวิจัย Disseminate of Knowledge คือการเผยแพร่ความรู้ และ Authority Granted Degree เป็นผู้มีอำนาจในการให้ปริญญา

ผศ.ดร.วิพุธ มองผลกระทบต่อสถาบันอุดมศึกษาจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมา และการเตรียมพร้อมรับมือโดยแบ่งไปตามแต่ละบทบาทว่า

“เพราะพฤติกรรมของคนเปลี่ยน เรื่องการเรียนรู้ของคนก็เปลี่ยน จากเดิม หนึ่งมาในห้องเรียน สองซื้อหนังสืออ่าน ปัจจุบันแหล่งการเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยนรูปแบบเช่นเดียวกับการเสพสื่อ เราก็จะเห็นคนเปลี่ยนพฤติกรรมไป เราก็เห็นว่าเทรนด์เหล่านี้เป็นเทรนด์ที่สำคัญ อะไรที่จะเป็นสิ่งสำคัญในเทรนด์ที่กำลังจะเปลี่ยน หากดูจากบทบาททั้งสามของเรา บทบาท Disseminate of Knowledge เราจะเห็นว่าแหล่งการเรียนรู้ในปัจจุบัน มีแหล่งเรียนรู้ได้หลากหลายอย่าง เช่น ผ่านระบบ MOOC Massive Online Learning, You Tube แม้แต่ฟรีแวร์ต่างๆ ที่เป็นระบบการเรียนรู้ที่เรียกว่า LMS Learning Management System 

แสดงว่าในเชิงของการเผยแพร่ความรู้เราต้องเปลี่ยนวิธีการ เนื่องจากการเรียนรู้ของคนเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนวิธีการสอน การเผยแพร่ความรู้ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ที่มาเรียนหนังสือ ดังนั้น ต่อไปนี้การเรียนรู้จะเป็นรูปแบบที่มหาวิทยาลัยควรต้องเปลี่ยนคือเป็น Interactive Learning เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันเอง ซึ่งโดยขอบเขตในอดีตจะอยู่ในห้องเรียน ปัจจุบันคือ สามารถเรียนรู้ได้ Anywhere Any Platform Anytime 

ทางคณะบริหารธุรกิจก็ต้องเริ่มสอนทางออนไลน์ บางคนอาจจะมองออนไลน์เป็นการเรียนการสอนทางไกล แต่ไม่ใช่ การเรียนรู้ออนไลน์จะมาช่วยให้ Interactive Learning ดียิ่งขึ้น เขาสามารถถามคำถามอาจารย์ เดิมกว่าจะถามคำถามอาจารย์ได้ต้องถามในห้องเรียน ปัจจุบันนึกขึ้นมาได้ก็ยกมือถือมากด หน้าที่อาจารย์ที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น คือต้องตอบสนองต่อคำถามเหล่านั้น และถ้ามีคำถามมาคล้ายๆ กันจากนักศึกษาหลายคน อาจารย์อาจจะหาทางตอบคำถามนั้นในเชิง Mass ได้เช่นอาจจะอัดคลิป พวกนี้เป็นระบบที่รองรับการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ เพราะการเรียนรู้จะไม่ใช่เวลาเจาะจงแล้ว ขึ้นกับว่าช่วงนั้นเขาว่าง เขาอยากเรียนรู้ ก็จะกลายเป็นมีเวลาในการเรียนต่างกัน ภายใต้ Platform เดียวกัน สมัยก่อนต้องมา 18.00-21.00 เท่านั้น ปัจจุบันเราอาจจะไม่ว่าง 6 โมงเย็น เราว่างเที่ยงคืนเราก็สามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ คือดูคลิปอาจารย์ สงสัยก็อาจจะไปดูเว็บบอร์ด ทิ้งคำถาม ดูว่ามีเพื่อนตอบไหม ซึ่งอาจจะมีเพื่อนช่วยตอบตอนนั้นก็ได้ อาจจะมีเพื่อนบางคนเรียนมาแล้วตอน 6 โมงเย็น

Creation of Knowledge เราก็มองถึง R to R คือ Routine to Research หรือ Project to Research หมายถึงว่างานที่อาจารย์ทั้งหลายได้ไปให้คำปรึกษาน่าจะสามารถนำมาเขียนเป็น Action Research ได้ คือสามารถนำมาสรุปผลเพื่อทำให้การเอาผลจากที่เราไปศึกษาเชิงลึกมาใช้พัฒนาหรือใช้ปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับองค์กร เช่น เราไปช่วยองค์กรหนึ่งในการปรับปรุงเรื่องอัตราการลาออก เราได้ข้อสรุปจากการเข้าไปเกี่ยวข้อง ได้โมเดลมา เราก็สามารถนำโมเดลนั้นมาใช้ในการแก้ปัญหา หรือเผยแพร่ให้องค์กรอื่นสามารถนำวิธีการที่ประสบความสำเร็จมาใช้ได้ ซึ่งนักวิจัยเป็นคีย์สำคัญในการเชื่อมเรื่องเหล่านี้ เพราะถ้าเราไปดู Best Practice ถ้าไม่มีนักวิจัยจะเห็นแค่ผล แต่ไม่เห็นวิธีการ ในเชิงลึกๆ ซึ่งนักวิจัยเขาสามารถสรุปข้อดี สรุปผล และเชื่อมโยงระหว่างผลกับวิธีการให้เห็นความสัมพันธ์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือบทบาทที่ต้องเปลี่ยนไปของมหาวิทยาลัย 

เราสังเกตดู เรื่อง Disruptive ไม่ได้เปลี่ยน What แต่เปลี่ยน How เช่น เราพูดถึง Uber คำถามคือ Uber เปลี่ยน What หรือ How คำตอบคือเปลี่ยน How วิธีการเรียกแท็กซี่ อย่างไรสุดท้ายเรายังต้องเอาตัวเราไปขึ้นแท็กซี่และรถต้องพาเราไปอยู่ดี การเรียนการสอน การเผยแพร่ความรู้ก็ยังคงต้องมี แต่ว่าเปลี่ยนวิธีการในการสอนให้เป็น Interactive Learning  เรื่อง Authority Granted Degree สถาบันการศึกษาจะหมดความหมายหมดความสำคัญทันที ถ้าต่อไปนี้องค์กรเน้น Competency (สมรรถนะ ความสามารถ) ไม่เน้นใบดีกรี หมายถึงองค์กรอาจจะมีวิธีการคัดเลือกคนที่มี Competency เหมาะกับเขา เช่น Google ในสหรัฐอเมริกา เขาก็เริ่มจะไม่สนใจดีกรี ใน 3 บทบาท Disrupt ที่เรากลัวที่สุดคือ ตัวอุตสาหกรรม รับคนในรูปแบบของ Competency และพัฒนาคนเอง 

ผมว่าเรื่องนี้ยากที่สุด เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยเองต้องเริ่มมองถึงตัวหลักสูตรให้ตรงกับอุตสาหกรรมมากขึ้น สมัยก่อน ตรงบ้างไม่ตรงบ้างเขาก็ยังยอมถูๆ ไถๆ กันไป อุตสาหกรรมชอบมาบ่น สอนอะไรมา สมัยก่อนยังมีช่องว่าง มหา-วิทยาลัยไม่ต้องปรับตัวมาก อุตสาหกรรมก็ยังยอมรับ แต่ปัจจุบันถ้าเรายังไม่ปรับตัว ไม่ฟังเสียงอุตสาหกรรมอยากสอนอะไรก็ไม่รู้ ผมการันตีว่าตายแน่”

 

ภารกิจต้องเปลี่ยน

เพื่อรองรับกับการปรับบทบาทของสถาบันการศึกษา ภารกิจอาจารย์นิด้าจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วยสูตร 1/3+1/3+1/3 คือ การออกไปให้คำปรึกษา สอน และเขียนงานวิจัย อย่างละ 1 ใน 3 เพื่อตอบโจทย์การหาองค์ความรู้ใหม่ที่ตรงกับความความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน การเรียนการสอนออนไลน์ก็เป็นอีกเรื่องที่ ผศ.ดร.วิพุธ ให้ความสำคัญ เขาเล่าแนวคิดที่มีว่า หากการเรียนออนไลน์แล้วยังต้องให้ผู้เรียนมาที่สถาบันการศึกษาอีกก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ของคณะบริหารธุรกิจ ที่เตรียมไว้ต่อไปจะต้องเป็นออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ หากเลือกทำแบบครึ่งหนึ่งออนไลน์ ครึ่งหนึ่งออฟไลน์ ก็จะไม่สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน

“เราจะแยกอาจารย์เป็น 2 กลุ่ม คุณสอนออนไลน์คุณจะไม่มีสิทธิเจอนักศึกษา ไม่ต้องเข้ามา ดังนั้นตอนนำไปปฏิบัติ (Implement) แยก แต่ตอนใช้งานจริง ผมอาจจะให้นักศึกษาเลือกได้ ครึ่งหนึ่งเรียนออนไลน์ อีกครึ่งขอมาเจอหน้า อาจารย์เพื่อนๆ ตอนนั้นทำได้ แต่ตอน Implement แยกกัน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันสำเร็จ คุณจะทำแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ให้ประสบการณ์ที่ดีกับเด็กที่ไม่เจอหน้า ที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น”  ผศ.ดร.วิพุธกล่าวและอธิบายต่อว่า

แม้รูปแบบการเรียนการสอนจะเปลี่ยนไป แต่ภาระหน้าที่ทั้งของผู้เรียนและผู้สอนยังคงมีมากเช่นเดิม โดยเฉพาะในฝั่งอาจารย์ ที่ต้องปรับให้เหมาะกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ เช่น เนื้อหาที่ใช้สอนจะต้องสั้นกระชับ มีการปรับเปลี่ยนการนำเสนอ ลำดับขั้นเนื้อหาให้เหมาะสมกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ อาจารย์ที่เข้าร่วมการสอนออนไลน์จะต้องคอยปรับปรุงเนื้อหาการเรียนการสอนจนกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นลงตัวซึ่งถือว่าเป็นการเรียนรู้ของคณาจารย์ไปพร้อมกัน
 

ผศ.ดร.วิพุธ ให้ความเห็นว่า การเริ่มต้นก่อนเป็นเรื่องที่ดี เพราะผู้ที่เริ่มก่อนมีโอกาสทดลองทำในสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า ในช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวเองอย่างรวดเร็วย่อมดีกว่าไปเปลี่ยนตอนที่อุตสาหกรรมปรับไปหมดแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ทันกาล เพราะมีตัวอย่างให้ผู้บริโภคเห็นสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ ในส่วนของเนื้อหาวิชาการยังคงเป็นวิชาทางด้านบริหารธุรกิจที่เป็นแกน แต่จะสอดแทรกแนวคิดเรื่อง Digital Transformation ไปตามรายวิชาต่างๆ เพื่อให้นักศึกษากล้าที่จะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เพราะการทดลองในห้องเรียนมีข้อดีคือ ยังไม่มีต้นทุน ทำให้นักศึกษาสามารถหลุดจากกรอบสิ่งแวดล้อมเดิมๆ สามารถนำเสนอรูปแบบใหม่ๆ โดยอาจารย์แต่ละวิชาจะให้ผู้เรียนคิดภายใต้นิเวศใหม่เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง เพราะระบบนิเวศใหม่บนโลกใบนี้ที่ดิจิทัลกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น รูปแบบหรือ How ที่เปลี่ยนไปในเกือบทุกอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะเลือกใช้ความรู้ความชำนาญที่มี ผสมผสานกับแนวคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อนำ What หรือสิ่งที่องค์กรนำเสนอไปสู่ผู้บริโภค ตราบที่องค์กรธุรกิจยังต้องมีการบริหารการจัดการ เนื้อหาวิชาจากโรงเรียนธุรกิจ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพ รองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยได้อย่างดีที่สุด

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 
ภาพ : วันเฉลิม สุทธิรักษ์

 

เนื่องในโอกาสมหามงคล  เฉลิมพระชนมพรรษา  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ   ในรัชกาลที่ ๙  พระชนมพรรษา ๘๕ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๐  คณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ได้ร่วมถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ โดยมี นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทคโนโลยีนายภารไดย ธีระธาดา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร และ นางสาวนาฎฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบุคคล,  นายซเวเร่ เพ็ดเดร์เซ็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน. และ นายแอนดริว กวาลเซท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มดิจิทัล  เป็นผู้แทนบริษัทฯ ทำพิธีเทิดพระเกียรติ ในพระอัจฉริยภาพด้านต่างๆ พระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร การพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน และโครงการตามพระราชดำริอีกหลายโครงการ 

 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙  ได้ทรงปฏิบัติภารกิจ นานัปการ ทั้งในฐานะ พระผู้เป็นที่พึ่งของปวงชนชาวไทย” และในฐานะ คู่บุญ คู่พระราชหฤทัย” ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจที่ทรงคุณประโยชน์อย่างยิ่งแก่พสกนิกรชาวไทยโดยเฉพาะราษฎรยากจนไร่ที่พึ่งพิง ทรงพระเมตตาต่อชนทุกชาติทุกศาสนา ทรงเห็นการณ์ไกล  ทรงมีพระราชดำริต่างๆในการช่วยเหลือราษฎรทุกพื้นที่ทุกภาค เปี่ยมล้นไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่ออาณาประชาราษฎร์อย่างหาที่สุดมิได้  ทั้งนั้ก็เพื่อปวงราษฎร์ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบารมีจะได้ร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้า ไม่มีวันไหนที่พระองค์จะไม่ทรงนึกถึงประชาชนคนไทย” พสกนิกรล้วนได้ประจักษ์แล้วว่า พระองค์ทรงรักและเอื้ออาทรต่อราษฎร ประดุจความรักของมารดา   ที่มีต่อบุตรโดยแท้   ทำให้ทุกวันที่ ๑๒ สิงหาคมของทุกปี เป็น วันแม่แห่งชาติ” สืบมาจนถึงทุกวันนี้

 ผู้บริหารและพนักงานดีแทค คือ หนึ่งในพสกนิกรชาวไทย ที่น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้และพร้อมที่จะน้อมนำโครงการในพระราชดำริไปปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทางในการทำความดีให้กับแผ่นดินไทยตลอดไป  ขอพระองค์ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าของเหล่าพสกนิกร  ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์  ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน 

 ทั้งนี้ คณะผู้บริหารและพนักงานดีแทค ได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดดีมหาราชา  พร้อมลงนามถวายพระพรต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ดีแทคเฮ้าส์ จัตุรัสจามจุรี บรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง

องค์กรทุกองค์กรล้วนขับเคลื่อนด้วยบุคลากรที่อยู่ภายในองค์กร การจะทำให้องค์กรเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ปัจจัยสำคัญที่ทุกองค์กรให้ความสำคัญคือการสร้างความผูกพันต่อองค์กรให้เกิดขึ้นในหมู่พนักงาน ซึ่งในธุรกิจครอบครัวมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว สมาชิกในครอบครัวรู้จักนิสัยใจคอกันและกันมาตั้งแต่เกิด ความผูกพันจึงเกิดมาพร้อมกับการเป็นสมาชิกของครอบครัว พร้อมกับความรู้สึกเป็นเจ้าของ

แต่สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีระบบบริหารจัดการที่แตกต่างกัน การคัดเลือกพนักงานที่มีภูมิหลังแตกต่างกันทั้งด้าน ถิ่นที่อยู่ การศึกษา ประสบการณ์การทำงาน มาร่วมกันทำงาน หน้าที่ขององค์กรจึงต้องสร้างความผูกพันต่อองค์กรให้เกิดขึ้นในใจของพนักงาน

การบริหารงานบุคคลซึ่งเป็นหน้าที่ของแผนกทรัพยากรบุคคลหรือ HR เดิมเคยใช้มาตรวัดในรูปแบบความพึงพอใจของพนักงานที่มีต่อองค์กร แต่เวลาก็พิสูจน์แล้วว่า วิธีเช่นนั้นยังไม่สามารถรักษาบุคลากรที่องค์กรต้องการเก็บไว้ได้ดีเท่าที่ควร แนวคิดเรื่องการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

เอไอเอ ประเทศไทยเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างความผูกพันในองค์กรโดยมีการดำเนินการเรื่องนี้มาแล้วกว่า 3 ปี ศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ให้ข้อมูลว่าเรื่องดังกล่าวทางทีมบริหารให้ความสำคัญเทียบเท่ากับผลประกอบการทางธุรกิจของบริษัท เนื่องจากต้องการให้พนักงานรู้สึกผูกพันกับองค์กรจากภายในของตัวเอง มีความกระตือรือร้นในการมาทำงาน มีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน และพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับองค์กรไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง และสามารถนำเอาศักยภาพของแต่ละบุคคลสร้างผลงานที่มีคุณภาพ ซึ่งจะสะท้อนออกมาเป็นการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

ศรัณยาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า 3 ปีที่ผ่านมามีการขอความร่วมมือจากพนักงานให้ทำแบบสำรวจความผูกพันต่อองค์กรที่จัดทำโดยแกลลัป เพื่อสำรวจทัศนคติและระดับความผูกพันที่พนักงานมีต่อองค์กร จากผลที่ได้จะนำมาใช้วิเคราะห์ปรับปรุงนโยบายการดูแลพนักงาน เพื่อเพิ่มระดับความผูกพันต่อองค์กรเอไอเอ

จากผลสำรวจซึ่งมีคำถามทั้งสิ้น 12 ข้อ รวมกับคำถามด้านความพึงพอใจอีก 1 ข้อ ทำให้ เอไอเอกำหนดกลยุทธ์ 2 ประการในการสร้างความผูกพัน ด้วย หนึ่ง การสร้างการรับรู้ เกี่ยวกับเรื่องความผูกพันต่อองค์กรให้พนักงานเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญว่าเกี่ยวข้องกับทุกคน และ สอง การแต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่เรียกว่า Non-HR Sponsor เพื่อทำงานพร้อมกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลในการกำหนดนโยบายและแนวทางการส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร เพื่อตอกย้ำว่าการสร้างความผูกพันต่อองค์กรไม่ใช่เป็นเรื่องของแผนก HR เท่านั้น หากเป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันสร้างทั้งองค์กรในทุกระดับ

อนุชา เหล่าขวัญสถิต ผู้จัดการทั่วไปและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน เอไอเอ ประเทศไทย คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง Non-HR Sponsor กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นความท้าทายของ เอไอเอประเทศไทย ที่มีพนักงานกว่า 2,000 คนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่จะให้เกิดความผูกพันต่อองค์กรเกิดขึ้น โดยเรื่องดังกล่าว จำเป็นจะต้องอาศัยกำลังของพนักงานทุกคน สิ่งสำคัญที่อนุชามองเห็นในการสร้างความผูกพันต่อองค์กร คือ การสื่อสารกับพนักงานให้เข้าใจในเรื่องดังกล่าว ผ่านหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายของบริษัท และร่วมกันหาวิธีปฏิบัติให้บรรลุผล

ศรัณยา เพิ่มเติมว่า มีตัวแทนพนักงานเป็น Engagement Champions ในทุกหน่วยงาน (ปัจจุบันมี 24 คนและกำลังเพิ่มจำนวนให้ลงไปในระดับหน่วยย่อยลงไปอีก) เพื่อเข้าถึงพนักงานทุกกลุ่ม และเสริมสร้างระบบการมอบอำนาจการตัดสินใจ (Empowerment) และความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของในหมู่พนักงาน โดย Engagement Champions จะมีบทบาทในการประสานนโยบายและกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านการทำ Impact Plan ที่มุ่งหวังให้แผนแต่ละแผนมีการนำมาปฏิบัติให้เกิดผล โดยให้พนักงานในหน่วยงานร่วมกันเสนอแผนงานขึ้นมาตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ

ตัวอย่างของแผน Impact Plan เช่นในฝ่ายทรัพยากรบุคคล มีการประชุมพูดคุยกันและพบปัญหาคือปริมาณงานที่ล้นเกินจำนวนคนในแผนก จึงมีการมองหาสาเหตุของเรื่องเหล่านี้ และจัดทำเป็นแผนงานการทำงานที่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว การทำเช่นนี้ทำให้พนักงานมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการทำงาน ขณะที่องค์กรได้ประโยชน์จากประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น พนักงานก็ได้ประโยชน์จากการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน 

ความรู้สึกร่วมกับการเป็นเจ้าภาพนี้คือคำตอบของการสร้างความผูกพัน การสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเพื่อให้เกิดระบบการมอบอำนาจการตัดสินใจในขอบเขตของอำนาจหน้าที่ของแต่ละบุคคล 

ผลของการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ อนุชายกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่า ในโปรแกรมที่ให้พนักงานซื้อหุ้นของบริษัทซึ่งจะเปิดปีละครั้ง จากเดิมที่มีจำนวนพนักงานซื้อหุ้นของบริษัทไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ในปี 2557 ที่ผ่านมา พนักงานถึงหนึ่งในสามที่ร่วมโปรแกรมนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าพนักงานมีความมั่นใจในบริษัทและตัวผู้บริหาร

ศรัณยาสรุปว่า กิจกรรมของทางบริษัทที่ใช้วิธีรับอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมก็มีพนักงานเข้าร่วมเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การสร้างความผูกพันจะช่วยองค์กรในหลากหลายเรื่อง เช่น การลาออกของพนักงานที่ลดลง การดูแลพนักงานที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่นได้ดีขึ้น ช่วยให้พนักงานมีเส้นทางการเติบโตในองค์กรมีผู้บริหารที่ได้รับการคัดเลือกจากภายในเพิ่มขึ้น สะท้อนออกมาเป็นผลการดำเนินงานที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น ทั้งนี้ความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรที่มีเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลต่อองค์กร โดยเอไอเอเชื่อว่า หากเสนอสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกค้า ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ด้วยคนที่เหมาะสม สร้างบรรยากาศการทำงานให้ทุกคนมีส่วนร่วม พัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันและพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ซึ่งจะส่งผลต่อผลประกอบการและความยั่งยืนขององค์กรต่อไป

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 

ปี 2559 ประเทศไทยและประเทศสมาชิกอีก 9 ประเทศ ก็จะก้าวเข้าสู่บรรยากาศของเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AEC

ABAC It’s a must

August 03, 2017

ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่จะต้องปลูกฝังและฝังลึกให้อยู่ในจิตใจให้กับผู้เรียน คือ ในความเป็นโลกาภิวัตน์จะต้องเคารพและยอมรับความแตกต่าง ทั้งค่านิยม ความคิด ตลอดจนเรียนรู้ พร้อมเติบโต และท้ายสุดเพื่อเข้าใจความเป็น “ปัจเจกบุคคล”

 

ABAC กำลังสอนสิ่งนี้ให้กับผู้เรียน!

จะว่าไปแล้วมหาวิทยาลัยในบ้านเรามีนับร้อยแห่ง แต่ละแห่งล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกว่า “ทางใครทางมัน” เป็นเอกอุในแต่ละด้าน นับว่าเป็นจุดเด่นไม่น้อยให้กับประเทศ เพราะถ้าใครอยากเก่งด้านไหนก็เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เป็นหนึ่งในด้านนั้นไปเลย ประหนึ่งว่า อยากเรียนบริหารธุรกิจต้องไปที่ Standford Graduate School of Business, Harvard Business School อยากเก่งด้านดนตรีก็ไปที่ Yale School of Music เช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ ABAC แต่ไหนแต่ไรมาแล้วชื่อเสียงของเอแบคโดดเด่นเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ ด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนของที่นี่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด บัณฑิตที่จบไปจึงขึ้นชื่อด้านการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว ความสำคัญของภาษานับวันยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งเมื่อโลกก้าวข้ามมาสู่ยุคแห่งความเป็นสากลหรือหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างปัจจุบันด้วยแล้ว การเพรียกหาความเป็นมาตรฐานสากลเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันจะก้าวไปสู่ความเป็นนานาชาติ ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงแบบนี้เอง มหาวิทยาลัยที่สั่งสมประสบการณ์และมีความแข็งแกร่งย่อมได้เปรียบเป็นธรรมดา  ไม่ปฏิเสธว่าความเป็น International ของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เป็นมาโดยสายเลือดหรืออยู่ในดีเอ็นเอตั้งแต่แรกก่อตั้ง ความเป็นมือฉมังทำให้แม้วันนี้ กระแสเรื่องการเปิดตลาดเสรีอาเซียนหรือ AEC ก็ไม่ส่งผลกระทบหรือทำให้มหาวิทยาลัยประหวั่นพรั่นพรึงแต่ประการใด กลับยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของคณะผู้บริหารที่มีอุดมการณ์มาแต่แรกแล้วว่าเอแบคเกิดมาเพื่อเป็น International University

 

ภราดาบัญชา แสงหิรัญ อธิการบดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เล่าย้อนให้ฟังถึงเมื่อแรกก่อตั้งมหาวิทยาลัยโดยจุดหมายเพื่อก้าวไปสู่ความเป็น International และในความเป็น International อยากให้มหาวิทยาลัยเป็นดินแดนที่เรียกว่า The Land of Tradition and Innovation นัยว่า แม้ว่าจะมีความทันสมัย ก้าวล้ำนำเทรนด์แค่ไหน แต่เอแบคจะยังคงวัฒนธรรมอันดีงามที่เป็นเสมือนรากฐานของการก่อตั้งมหาวิทยาลัย เอแบคจึงเป็นมหาวิทยาลัยที่น้อมรับความเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจหัวขบวนจะย้ายจากฝั่งอเมริกามาอยู่ที่เอเชียหรือกระแส AEC ที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ การปรับตัวคือสิ่งสำคัญที่ภราดาบัญชามักย้ำให้ฟังเสมอ ไม่ว่ากระแสจะมาอย่างไร สิ่งสำคัญคือการปรับตัวให้ไหลลื่นไปตามสถานการณ์ และพยายามมองหาทิศทางโดยต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าคนอื่น ไม่แปลกที่เมื่อไปถามคณาจารย์ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยถึงเรื่องกระแส AEC ที่เกิดขึ้น คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียงว่า เอแบคเข้าสู่ความเป็นนานาชาติไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น แม้ว่าพันธสัญญาของ AEC ใน 10 ประเทศที่จะรวมเป็นตลาดเดียวกัน ก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียวเท่านั้น  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถึง 43 ปี ภราดาบัญชาบอกว่า สิ่งที่เป็น “ของเก่า” ของที่นี่ ก็คงความมีเสน่ห์ ส่วน“ของใหม่” ที่เข้ามาตามกระแส เป็นเรื่องที่สถาบันต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งแนวคิด วิธีการ ค่านิยมใหม่ ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนที่หลากหลายเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม ความหลากหลาย “diversity” จึงเป็นเสน่ห์ของที่นี่ ไม่แปลกที่เมื่อเหยียบย่างเข้ามาในมหาวิทยาลัย ผู้ที่ได้เข้ามาจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของความเป็นไทยและต่างชาติไปพร้อมกัน อาคารเรียนสไตล์โรมัน ดูมั่นคง เหมือนกับความแข็งแกร่งทางวิชาการ ความเป็นนานาชาติ สะท้อนผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร อาจารย์ต่างประเทศ ผู้เรียนจากหลากหลายเชื้อชาติ และผลพลอยได้คือ บรรยากาศแวดล้อม 

ภราดาบัญชา แสงหิรัญ อธิการบดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ให้นิยามของความเป็นนานาชาติไว้อย่างน่าฟังว่า

 “ความเป็นนานาชาติ คือ กระบวนการ การนำเอามิติต่างๆ ที่เป็นเรื่องในระดับสากลมาบูรณาการเข้ากับจุดมุ่งหมายและพันธกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาหรือการนำเอาเรื่องเหล่านี้รวมเข้าไว้ในหลักสูตรเพื่อคนจะได้เข้าใจและสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้”

 

 

“ขณะนี้มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญได้ก้าวเดินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว สิ่งที่เราสั่งสมประสบการณ์มากพอสมควร เราเป็นมหาวิทยาลัยคาทอลิก ในการก้าวย่างของเราจะเข้าไปในส่วนที่ใช้ทุนสูงไม่ได้ อย่าลืมว่าคณะบราเดอร์มีขีดจำกัดของเราอยู่เพราะเราไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน เราจึงต้องไปสู่ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำ”

แกนหลักจึงอยู่ที่กระบวนการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย ภูมิทัศน์ คณาจารย์ ผู้เรียน ตลอดจนหลักสูตรที่โดดเด่นและที่สำคัญเน้นให้เกิดการบูรณาการหลักสูตรในทุกแขนง โดยนำความรู้ด้านการจัดการเข้าไปสอดแทรกในวิชาการต่างๆ 

“เราพยายามสร้างองค์กรที่มีรากฐานด้านการบริหารธุรกิจ  Based on Management หมายความว่าไม่ว่าจะเรียนสาขาไหนก็ตามต้องมีความรู้เรื่องการบริหารจัดการด้วย”

“ทุน” ที่ผู้เรียนจะได้รับกลับไปนอกจากความเชี่ยวชาญในแขนงวิชาหลักแล้ว สิ่งที่ติดไม้ติดมือกลับไปคือ การบริหารจัดการที่ดี เหมือนอย่างที่ภราดาบัญชาบอกไว้ว่า เอแบคเตรียมคนให้พร้อมไว้สำหรับศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะเป็นคนที่มีทักษะรอบด้าน รอบรู้ และทันกับความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนนั่นเอง

“จริงๆ แล้วเราเตรียมคนของเราให้พร้อมสำหรับโลกอยู่แล้ว เด็กของเราออกไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ทำงานได้ทั่วโลก เพราะความรู้ของเราเข้าสู่สากลไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่า AEC จะเข้ามาเราก็พร้อมและสิ่งที่เราจะทำคือพยายามดูว่าโลกขยับไปสู่ทิศทางไหน”

“เราเดินทางมาถูกทางแล้ว”  คือคำพูดทิ้งท้ายของบราเดอร์บัญชา แสงหิรัญ

Dean’s word ABAC in the next 5-10 years 

อยากเห็น ABAC เป็นสังคมที่ช่วยเหลือกันและกัน อย่าเห็นแก่ตัว สอนให้ผู้เรียนแก้ปัญหาให้เป็น “อย่าเอาปลาไปให้คนกิน แต่จงสอนให้คนตกปลา” อยากเห็นนักศึกษาที่เข้ามาแสวงหาความรู้ได้เข้าไปช่วยเหลือสังคมให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น อาจารย์ก็ต้องแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เช่นกัน ไม่ใช่แค่ปริญญาที่ไล่ตามความรู้

 

Inter Academic Excellence

แน่นอนว่าประเด็นหลักสำคัญของการศึกษาคือ การมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ “คุณภาพ” ต้องคับแก้ว หลักสูตรทุกหลักสูตรของเอแบคเปิดขึ้นมาเพื่อรองรับกับการทำธุรกิจในทุกด้าน และมีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะยังไม่ครบรอบของการปรับก็ตาม เพราะเห็นทิศทาง แนวโน้มที่มาแรงด้านเศรษฐกิจหรือความนิยมในขณะนั้น ดร.สมพิศ ป.สัตยารักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าวถึงหลักสูตรที่ปรับเปลี่ยนก่อนครบรอบเทอม เช่น หลักสูตรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดหลักสูตรการบินใหม่ ซึ่งเป็นหลักสูตรร่วมระหว่างการบินไทยกับ Bangkok Aviation เพราะมองเห็นทิศทางที่ไทยจะก้าวไปเป็นฮับด้านการบินในระดับภูมิภาคได้ไม่ยาก หรือหลักสูตร MBA เช่น Retail Manage-ment, Entrepreneurship ซึ่งต่างเป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับกับการทำธุรกิจและการผันตัวไปเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่มากขึ้น อีกทั้งความเป็นวิชาการต้องเป็นไปตามมาตรฐาน TQF (Thailand Qualifications Framework for Higher Education) โดยวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่ คุณธรรม จริยธรรม ความรู้ ทักษะทางปัญญา ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ยิ่ง AEC จะเข้ามา กรอบมาตรฐานของการผลิตบัณฑิตให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อให้บัณฑิตของเอแบคก้าวไปทำงานในระดับภูมิภาคและสู่ความเป็นสากลได้ และในอีกไม่กี่ปีจะมีมาตรฐาน AQF (Asean Qualifications Framework for Higher Education) ซึ่งเป็นกรอบของอาเซียน เอแบคพร้อมรองรับมาตรฐานนี้ ซึ่งหมายความว่า ผลการเรียนรู้ของบัณฑิตในประเทศอาเซียนจะอยู่ในระดับเดียวกัน สามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้

7 สาขาที่จะเป็นตลาดแรงงานไหลเข้ามาอย่างเสรี ได้แก่ วิศวกร แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ สถาปนิก การสำรวจ นักบัญชี หลักสูตรของเอแบคตอบสนองความต้องการอาเซียนได้ครอบคลุม

“เราไม่ได้ทำเฉพาะในประเทศอาเซียนเท่านั้น โอกาสของเราในประเทศอาเซียนเพิ่มมากขึ้น มีโอกาสเข้าไปแข่งขันได้มากขึ้น โดยนำความรู้ของเราเข้าไปทำให้บัณฑิตของเราไปแข่งขันต่างประเทศมากขึ้น”

งานวิชาการที่มีความเป็นนานาชาติ หลักสูตรหรือเนื้อหาจึงอิงกับบริบทที่อยู่ในแวดวงนานาชาติและเกี่ยวข้องกับ AEC เช่น THAI CULTURE AND TRADITIONS, THAI BUDDHISM ASEAN LAW อีกทั้งข้อตกลงทางการศึกษา (MOU) ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญมีอยู่กับหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ที่อยู่ในประเทศอาเซียนสะท้อนให้เห็นถึงการขยายพรมแดนทางการศึกษาที่ไม่ใช่เฉพาะบุกเบิกแต่ประเทศในแถบตะวันตกเพียงเท่านั้น

“ในแง่งานวิชาการของเอแบคเป็นเรื่องของการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนที่ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องรอให้ครบรอบและทำได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน”

ความได้เปรียบของการเป็นผู้บุกเบิกย่อมได้เปรียบที่จะก้าวหน้าไปก่อนใครเพื่อน ก็เหมือนกับการตลาดนั่นแหละ สินค้าไหนที่แตกต่างหรือยังไม่มีใครคิดค้นได้โดยอาศัยนวัตกรรมใหม่มารองรับ เมื่อออกสู่ตลาดก็ย่อมเก็บส่วนแบ่งทางการตลาดได้มาก จนเมื่อมีคู่แข่งหน้าใหม่โผล่เข้ามา

ด้วยความที่เอแบคมีฐานจากความเป็นนานาชาติอยู่แล้ว การบุกเบิกตลาดต่าง-ประเทศจึงแซงหน้าไปก่อนมหาวิทยาลัยอื่น ปี 1986 เริ่มทำ joint program ร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับประเทศอังกฤษเป็นที่แรก และขยับขยายไปสู่สหรัฐอเมริกา เมื่อมีความร่วมมือเช่นนี้ การดึงเอา Professor คนดังจากเมืองนอกเข้ามาสอนก็ย่อมเป็นจุดแข็งให้กับทั้งมหาวิทยาลัย ผู้เรียน คณาจารย์ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

“จริงๆ แล้ว จุดประสงค์ของการมีนักศึกษาต่างชาติเพื่อให้การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีความเป็นนานาชาติ ทีนี้เด็กไทยถ้าไม่ได้มีการสัมผัสภาษาก็ไม่ได้ พอมีเด็กต่างชาติมาเรียนก็ต้องพูดภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติและเป็นเรื่องของสีสัน ทำให้ความเป็นนานาชาติสมบูรณ์” นายกมล กิจสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักทะเบียนและประมวลผล กล่าว

นักศึกษาต่างชาติเป็นส่วนที่เพิ่มสีสันให้กับมหาวิทยาลัยไม่น้อย เดินไปเดินมา ก็จะได้เจอกับเด็กเนปาล อังกฤษ สวีเดน อเมริกา ออสเตรเลีย จีน พม่า แคนาดา ฝรั่งเศส เกาหลี รัสเซีย ไต้หวัน ตุรกี บังคลาเทศ อียิปต์ เยอรมัน ฮังการี บางประเทศไม่น่าเชื่อว่าจะมาเรียนถึงเอแบค หรือเด็กจากประเทศ UAE มาเรียนถึงนี่ ดร.กมลบอกว่ามีเด็กจากประเทศที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเรียนที่เอแบคน่าจะได้ยินชื่อเสียงของเอแบคจากสื่อ หรือมาเที่ยวในเมืองไทย นับไปนับมามีผู้เรียนต่างชาติถึง 83 ชาติ 3,048 คน

“สิ่งที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้ระหว่างกันเช่น การทำกิจกรรม การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประเทศต่างๆ โดยองค์กรนักศึกษาและมหาวิทยาลัยเป็นผู้สนับสนุน มีความเป็นบริบทนานาชาติและเป็น Gift ให้กับเด็กไทยได้เรียนรู้ถึงความหลากหลาย”

เชื่อว่า เอแบคเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้เรียนต่างชาติมากและอาจารย์จากต่างประเทศมากที่สุดของประเทศ บริบทความหลากหลายช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และที่สำคัญเปิดมุมมองต่อการมองโลกให้แก่ผู้เรียนเอง

 

Cool MBA

 หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตของเอแบคไม่ว่าจะเป็น i.M.B.A., M.B.A. Professional, S-M.B.A. Mini M.B.A. และอีกหลากหลายหลักสูตรที่เปิดขึ้นมาเพื่อรองรับกับการทำธุรกิจ ตลอดจนหลักสูตรที่เป็น Double Degree ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เรียนที่เอแบค 1 ปีและไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ดังนี้ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University), มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ดายน์ (Pepperdine University), City University of Seattle ประเทศอเมริกา, University of Applied Sciences Mainz ประเทศเยอรมนี หรือจะเลือกไปเรียนที่ De Montfort University, London South Bank University และ University West of England ประเทศอังกฤษ

“โลกาภิวัตน์ทำให้เราต้องมองอะไรกว้างขึ้น ไม่ใช่เพียงในประเทศอย่างเดียว ฉะนั้นลักษณะการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศจะทวีความเข้มข้นขึ้นและใกล้ชิดกว่าเก่าก่อนมาก” ดร.กิตติ โพธิกิตติ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย บริหารธุรกิจ กล่าว และเชื่อว่าจะมีความร่วมมือกับอีกหลายมหาวิทยาลัยทั่วโลก

MBA ต้องเป็น MBA ที่สอดคล้องกับการพัฒนาธุรกิจในสายนั้น และต้องเกิดเป็น Creative เกิดการบูรณาการทั้งเรื่องของการผสมผสานสาขาต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น เรื่องการบริการก็สอดแทรกเรื่องการท่องเที่ยวเข้าไปด้วย เรื่อง Health Care Management บวกกับเรื่อง Supply Chain โดยที่ไม่แยกกันเหมือนแต่ก่อน เรียกว่านำศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดมาบูรณาการอย่างรอบด้าน

“ลักษณะของหลักสูตรจะจับนู่นจับนี่มาผสมกัน เช่น การท่องเที่ยวอาจจะร่วมกับหลักสูตรการแพทย์หรือ Health Care Management หรือเป็นการตลาดกับโลจิสติกส์ เพื่อที่จะสร้างบุคลากรให้เป็นบัณฑิตที่สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจได้มากขึ้น”

ประเทศในแถบบ้านเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้นหลักคิดที่ได้จากการเรียนรู้ต้องสามารถเป็นประโยชน์และนำไปสร้างธุรกิจหรืออาชีพได้จริงให้กับผู้เรียน Academic Excellence จึงต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนโดยพัฒนาเนื้อหาสาระของการเรียน ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจในประเทศของผู้เรียนด้วย เพราะเมื่อตัดสินใจมาเรียนแล้วสิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับไม่ใช่เพียงแค่ว่า อยากมาอยู่ประเทศไทย ประเทศไทยน่าอยู่ แต่มาแล้วต้องได้อะไรกลับไป ทั้งองค์ความรู้ เน็ตเวิร์กต่อยอดทำธุรกิจที่ได้จากเพื่อนในห้อง และสำรวจเศรษฐกิจในบ้านเราและนำไปปรับใช้กับบ้านของเขาได้ หรือธุรกิจตัวไหนที่จะนำกลับไปสร้างได้

“เราไม่ได้สอนว่าทำธุรกิจแบบนี้ทำอย่างไร แต่เขาสามารถบริหารจัดการนำกลยุทธ์แล้วเอาไปประกอบธุรกิจที่ประเทศของเขายังขาดอยู่ นี่คือสิ่งสำคัญของบัณฑิตสมัยใหม่ เอแบคไม่ได้เน้นให้เรียนได้เกรด A หมด แต่จบไปแล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้”

หลักสูตร MBA จึงมีความเป็นพลวัตและเปลี่ยนไปตามสภาพการทำธุรกิจหรือทิศทางธุรกิจที่เล็งแล้วว่าเมื่อผู้เรียนเข้ามาจะได้รับองค์ความรู้สูงสุดกลับไปใช้ประกอบอาชีพ เริ่มต้นทำธุรกิจหรือสานต่อกิจการครอบครัว ซึ่งไม่แปลกว่าผู้เรียนเอแบคส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกเจ้าของกิจการ การสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเป็นสิ่งที่อยู่ในมือ และอยู่ที่ว่าจะนำหลักการบริหารจัดการไปใช้พัฒนาธุรกิจครอบครัวอย่างไร หรือหากไม่ได้มีกิจการ MBA ที่เรียนไปก็จะช่วยต่อยอดและเสริมประสบการณ์ให้ผู้เรียนโดยรู้ภาพกว้างของการบริหารทั้งระบบ ทำงานเหมือนกับองค์กรนี้เป็นของตนเอง ไม่ใช่มีความคิดแค่ว่าเป็นพนักงานในองค์กร         

 

In Trend Technology

 การเดินหน้าในเรื่องของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นการทำระบบ Live Learning กับทาง Apple เพื่อก้าวไปสู่ iTunes University หรือการสร้าง ABAC eBookstore ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของสถาบัน เพราะเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาอย่างรวดเร็ว เอแบคมองเห็นทิศทางและแนวโน้มของการต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อมาใช้กับการศึกษา จึงเป็นสถาบันแรกๆ ที่เข้าไปอยู่ในโลกดิจิทัล วันนี้ผู้เรียนในบางโปรแกรมของที่นี่ จึงสามารถเรียนที่ไหนในโลกที่ไร้พรมแดน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หอพัก ในรถ หรือแม้แต่เมื่อไม่สบายก็สามารถหยิบบทเรียนออนไลน์ขึ้นมาทบทวนย้อนหลังได้ตลอดเวลา

“เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการนำมาใช้ในการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเข้าถึงข้อมูล การเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือแม้แต่การแปลงคอนเทนต์ทุกอย่างให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัลหรือการสร้าง ABAC App เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ด้วยสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IOS หรือ Android” ดร.สุนทร พิบูลย์เจริญสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานบัณฑิตศึกษา กล่าวถึงการทวีความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน

“เทคโนโลยี” เปรียบเสมือนถนนแห่งใหม่ในการเข้าถึงข้อมูล ผู้เรียนสามารถใช้อุปกรณ์สื่อสารจำพวก สมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ในการเข้าถึงบทเรียนแบบ Real time หรือ On Demand อีกทั้งเอแบคได้เปิด E-Bookstore ขึ้นมาเฉพาะให้กับนักศึกษาทั่วไป โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักศึกษาเอแบค ซึ่งมีทั้งแมกกาซีน หนังสือพิมพ์ และอนาคตก็จะขยายไปยัง Academic Textbook ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนที่ไหนก็ได้จริงๆ ซึ่งมีทั้งบทเรียนในคลาส หนังสือเรียนหรือแม้แต่ การเรียนแบบสดๆ จากห้องเรียน เทคโนโลยีเหล่านี้เองทำให้เอแบคมีดีกรีและความได้เปรียบเป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

“เทคโนโลยีที่ทำ เริ่มให้นักศึกษาเริ่มเรียนที่ไหนก็ได้ จริงๆ คุณอยู่ข้างนอก คุณไม่มี Text Book คุณพลาดคลาสเรียนนี้ สามารถกลับไปดูย้อนหลังได้ อยู่ข้างนอกก็เรียนได้ นี่คือสิ่งที่เรากำลังทำและพยายามต่อจิ๊กซอว์ทุกตัวให้ครบ”

ในปีหน้าเองทางเอแบคจะเริ่มปรับปรุงหลักสูตร MBA บางโปรแกรมเป็นแบบ Workshop and Case studies based โดยจะกำหนดการเรียนการสอนเป็นแบบ Hands-on Experience and Activities มากกว่า Lecturing Class. “เราเริ่มมองแล้วการเรียนแบบ Workshop จะทำให้นักศึกษาได้ลงมือเรียนแบบปฏิบัติงานจริงๆ และเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนแบบฟังอาจารย์สอนเพียงอย่างเดียว” ดร.สุนทร กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในปีหน้า ดังนั้น จากความแข็งแกร่งของเอแบค ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพและเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของตลาดแรงงาน สิ่งอำนวยความสะดวกภายในมหาวิทยาลัย ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ประยุกต์เข้ากับสื่อการเรียนการสอน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งข้อมูลนอกห้องเรียน ยิ่งทำให้วันนี้ ผู้เรียนของมหาวิทยาลัยมีความพร้อมที่จะออกไปเป็นคนของศตวรรษที่ 21 ที่พรั่งพร้อมไปด้วยทักษะ ความรู้ มุมมอง การทำธุรกิจ ตลอดจนแนวคิดการบริหารจัดการระดับนานาชาติ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เตรียมคนของโลกธุรกิจจริงๆ

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า “จากเหตุการณ์น้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก เอไอเอสมีความห่วงใยลูกค้าในสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงได้วางแผนและมีมาตรการในการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานโทรศัพท์มือถือได้ตามปกติ โดย 

1. ในส่วนของการดูแลเครือข่ายนั้น เนื่องจากในภาพรวมของพื้นที่อุทกภัยมีการตัดกระแสไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้นเราจึงมีการระดมอุปกรณ์ปั่นไฟ และน้ำมัน รวมถึงทีมงานวิศวกรจากพื้นที่ใกล้เคียง เข้าไปในบริเวณซึ่งได้รับผลกระทบหนักๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารให้ได้มากที่สุด 

2. เอไอเอสได้ระดมพนักงานอุ่นใจอาสาลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ โดยการมอบอาหาร และน้ำดื่ม ให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ด้วย 

3. เพื่อให้ลูกค้าทั้งระบบเติมเงิน และรายเดือน ใช้โทรศัพท์มือถือในการสื่อสารได้ตามปกติ อย่างไม่ติดขัด เอไอเอสให้ลูกค้าทุกท่านในพื้นที่ อ.เมือง และอ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โทรฟรีทุกเครือข่าย 50 นาที เป็นเวลา 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะได้รับ SMS แจ้งยืนยันก่อน นอกจากนี้ เอไอเอสยังขยายระยะเวลาการชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือน จนถึงวันที่ 4 ส.ค. 60 ด้วย 

เอไอเอส จะยังคงเฝ้าติดตามและเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่อื่นๆ ที่อาจเกิดน้ำท่วมขึ้นได้”

X

Right Click

No right click