December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

การวางระบบการขนส่งคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ระบบชลประทาน ระบบการบริหารจัดการพลังงาน ไปจนถึงระบบข้อมูลสารสนเทศของประเทศชาติให้มั่นคง ล้วนเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของก้าวแรกสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะหากประเทศไหนไม่คิดวางแผนระบบทั้งหมดนี้ให้มั่นคง ประเทศนั้นก็ยากที่จะเริ่มนับหนึ่งในเรื่องนี้ได้

 

การวางระบบการขนส่งคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ระบบชลประทาน ระบบการบริหารจัดการพลังงาน ไปจนถึงระบบข้อมูลสารสนเทศของประเทศชาติให้มั่นคง ล้วนเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของก้าวแรกสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะหากประเทศไหนไม่คิดวางแผนระบบทั้งหมดนี้ให้มั่นคง ประเทศนั้นก็ยากที่จะเริ่มนับหนึ่งในเรื่องนี้ได้

 

หากให้วิเคราะห์ระบบขนส่งคมนาคมของประเทศไทยในยุค AEC เชื่อแน่ว่า ตั้งแต่ก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่ยุค AEC ใครหลายคนมองเห็นศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ทั้งด้านการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวการคมนาคม-ขนส่ง การศึกษา ฯลฯ ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการสร้างระบบโครงข่ายการคมนาคม-ขนส่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับเชื่อมโยงประเทศสมาชิกอาเซียน ที่อาจหมายรวมถึง อาเซียน + 3 นั่นคือ ประเทศจีน เกาหลีใต้ ประเทศญี่ปุ่น เข้าด้วยกัน จึงนับเป็น Priority แรก ที่ทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าพัฒนาให้เป็นจริง 

 

กรณีศึกษาที่อยากหยิบยกมาอัพเดตนั่นคือ การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงรางคู่ เป็นอีกหนึ่งการดำเนินงานที่ภาครัฐตั้งใจทำขึ้นเพื่อเอื้อต่อการก้าวเข้าสู่ยุค AEC ซึ่งต้องยอมรับว่ามีทั้งกระแสสนับสนุนและคัดค้าน ควบคู่กันไปอย่างดุเดือด ฝ่ายสนับสนุนก็มองไปในทางเดียวกันว่า “การโดยสารและขนส่งสินค้าทางรถยนต์ยังนับว่ามีต้นทุนสูงและใช้เวลานาน กว่าการใช้บริการด้วยรถไฟความเร็วเป็นอย่างมาก จึงถือเป็นโอกาสดีที่สุดและได้เวลาเหมาะสมที่สุดสำหรับรัฐบาลไทย ในการสนับสนุนผลักดันให้มีการพัฒนาระบบรถไฟไทยยกระดับสู่รถไฟความเร็วสูงรางคู่ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อรองรับการยกระดับศักยภาพการแข่งขันด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงของไทยใน AEC ได้อย่างทันการณ์” 

 

 

 

ส่วนฝ่ายคัดค้าน ก็มีมุมมองแตกต่างกันออกไป ทั้งในเรื่องต้นทุนการก่อสร้างที่มหาศาล ว่ากันว่าถ้าจะสร้างตามแผนทั้งหมดจะต้องใช้งบประมาณ 1.3 - 1.4 ล้านล้านบาท ทำไปจะคุ้มจริงหรือ ไปจนถึงการตั้งคำถามต่อว่าผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นและการวางรูปแบบในการเชื่อมต่อมีความชัดเจนแค่ไหน เพราะสิ่งที่ประเทศต้องการคือรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะว่าไปตอนนี้มีการศึกษาเรื่องนี้น้อยมาก ดังนั้น ณ ตอนนี้ ข้อเท็จจริงที่ดูจะเป็นข้อสรุป คือ ควรลงทุนในรถไฟรางคู่ก่อน เนื่องจากมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่า ดังนั้นบทเรียนเบื้องต้นที่ได้จากการพัฒนาระบบคมนาคม ที่สรุปได้ในเวลานี้ คือ การลงทุนในการพัฒนาระบบนั้นต้องเหมาะสมและคุ้มค่ากับการลงทุน รวมถึงต้องได้รับการศึกษาอย่างถ่องแท้ในระบบที่จะลงทุนนั้นแล้วด้วย จึงจะดีที่สุด

 

ทั้งนี้ สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องให้ความสำคัญ นั่นคือการวางแผนระยะยาวโดยใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ทำให้เกิดนวัตกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้พัฒนาได้อย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง

 

เมื่อมามองในมุมประเทศไทย ถึงตอนนี้เราก็ยังจำกัดความตัวเองว่าเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาเห็นจะเป็นการเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและก้าวสู่ประเทศอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งมีลู่ทางที่สดใสในยุคที่โลกกำลังให้ความสนใจในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร โดยอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร ก็นับเป็นอีกหนึ่งภาคธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐบาลไทย เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรของไทยมีหลากหลายและในแต่ละปีก็มีจำนวนมากการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งในการแปรรูปนี้ถ้าทำอย่างจริงจัง รักษาคุณภาพ มาตรฐาน นั่นย่อมเป็นการยกระดับสินค้าเกษตรแปรรูปไทยให้ส่งออกไปสร้างรายได้ในต่างประเทศได้ไม่ยากเลย

 

ยิ่งถ้าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการพัฒนา สร้างสรรค์ ออกแบบด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆจนกลายเป็นนวัตกรรมขึ้นมา ยิ่งทวีความน่าสนใจ อย่างความสำเร็จของบริษัท อุตสาหกรรมทวีวงษ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ของไทย ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ๆ เพื่อขยายตลาด ยิ่งในยุค AEC นี้ ปรากฏว่า อาหารทะเลแช่แข็งของบริษัทนี้สามารถไปตีตลาดประเทศสิงคโปร์ได้อย่างสวยงาม ทั้งๆ ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพที่เข้มงวด โดยกระบวนการผลิตของที่นี่ผ่านการรับรองคุณภาพมากมาย ทั้ง GMP HACCP HALAL Q-Mark ISO 9001: 2008 และ OTOP ระดับ 5 ดาว พิสูจน์ได้ถึงมาตรฐานการผลิตซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้ได้อย่างดี 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ในยุคนี้นับว่าเป็นยุคของเหล่า Startup หรือ Entrepreneur ใหม่ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นการส่งเสริมและปลูกฝังให้บุคลากรในชาติไม่หยุดคิดสร้างสรรค์ นำเสนอไอเดียธุรกิจที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ จึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัวให้การสนับสนุน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายหนึ่งที่กำหนดไว้ใน 17 Sustainable Development Goals ว่า ภายในปี 2030 ต้องเพิ่มช่องทางการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็กและบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศกำลังพัฒนา ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ความช่วยเหลือทางการเงิน และสามารถเข้าสู่ตลาดในฐานะธุรกิจที่ประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุด

 

และเพื่อให้บรรลุ Goal ที่ 9 อย่างยั่งยืน อีกหนึ่งภารกิจที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยที่ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และสามารถนำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับภาคการผลิตได้อย่างเห็นผล ซึ่งที่ผ่านมา เป็นนิมิตหมายที่ดีที่หลายบริษัทในประเทศไทย ต่างให้ความสำคัญกับงาน R&D หรือ Research & Development โดยส่วนใหญ่จะจัดตั้งขึ้นเป็นฝ่าย เพื่อทำหน้าที่พัฒนาคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ และคิดค้นสินค้าใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

 

ต้นแบบของบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญกับงาน R&D ที่อยากหยิบยกมากล่าวถึง นั่นคือ กลุ่มมิตรผล ผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลรายใหญ่ของไทย ที่มองว่า 

 

 

 

“สถานประกอบการ หรือ บริษัท นับเป็นตัวแปรหนึ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการงานวิจัยได้ ถ้าเจ้าของกิจการเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อมาพัฒนาระบบการผลิตโดยรวมในฐานะผู้ที่สัมผัสกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการทำธุรกิจจริง ซึ่งนั่นจะกลายมาเป็นโจทย์วิจัยคุณภาพให้กับวงการวิจัยไทยต่อไป” 

 

ด้วยความเชื่อเช่นนี้ จึงได้จัดตั้ง บริษัท มิตรผลวิจัย พัฒนาอ้อยและน้ำตาล จำกัด ขึ้นตั้งแต่ปี 2540 โดยมุ่งผลระยะยาวในการพัฒนาการผลิตอ้อยอย่างยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาคุณภาพของอ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตน้ำตาล รวมถึงธุรกิจที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง (Value Added Product) จากวันที่ก่อตั้งจนถึงวันนี้ นอกจากจะเกิดผลดีต่อธุรกิจของมิตรผลเองอย่างชัดเจนในด้านการผลิตที่รักษามาตรฐานไว้ได้แล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไร่ให้ดีขึ้น ทำให้ฐานเศรษฐกิจของประเทศชาติ ด้านอุตสาหกรรมการเกษตรเข้มแข็งขึ้นด้วย

 

แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการวางรากฐานระบบวิจัยและพัฒนา อาจเกิดขึ้นได้ไม่ยากนักกับบริษัทขนาดใหญ่ หากแต่ในบริษัทขนาดเล็ก หรือ SME ที่การวิจัยและพัฒนาก็จำเป็นต่อการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อให้ธุรกิจนั้นขยายต่อไปได้ การลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะ SME อาจไม่มีเงินทุนมากพอสำหรับเรื่องนี้ ปัญหานี้จึงตีกลับมาที่เป้าหมายที่ทาง UN ต้องการพิชิตให้ได้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนใน Goal นี้ นั่นคือ การเพิ่มช่องทางการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศกำลังพัฒนา ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นนั่นเอง

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 

หลายคนคงเคยชมรายการทีวีประเภทแข่งขันชิงแชมป์ด้านทักษะและความพยายามของชาวญี่ปุ่นมาบ้าง มีอยู่รายการหนึ่งจำได้ว่า เป็นการแข่งขันการใช้จ่ายอย่างประหยัด โดยกติกากำหนดว่าให้ผู้เข้าแข่งขันใช้จ่ายเงินแข่งกันว่าใครจะใช้เงินได้ประหยัดที่สุดภายในหนี่งเดือน

 

จำได้ว่าดูรายการนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผู้แข่งขันที่ชนะเลิศทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นแชมป์ยอดประหยัด ทั้งหุงข้าวกินเอง เก็บเศษผักและวัสดุปรุงอาหารที่เหลือจากเพื่อนบ้าน เดินไปทำงาน ห่อข้าวไปกินเอง ซักผ้า ปัดฝุ่น ล้างจานและทำงานบ้านเกือบทุกอย่างด้วยแรงมือเพื่อประหยัดการใช้ไฟ อ่านหนังสือใต้แสงเทียน เข้านอนแต่หัวค่ำ โดยในการแข่งขันครั้งนั้น ผู้ชนะสามารถชิงชัยคู่แข่งด้วยการประหยัดเต็มที่โดยใช้เงินเพียง 35,000 เยนในเดือนนั้น หากเรายกเรื่องอัตราเงินเฟ้อออกและมองที่เพียงยอดเงินจะพบว่า ซูเปอร์แชมป์คนนั้นใช้เงินอยู่ที่ประมาณวันละ 10 กว่าเหรียญหรือประมาณ 300 กว่าบาทเมื่อเทียบกับอัตราของวันนี้ หากเราใช้มาตรฐานและค่าครองชีพบ้านเราเข้าไปเปรียบก็อาจจะไม่รู้สึกอะไรเพราะเงิน 300 บาทก็จัดว่ายังเป็นค่าแรงขั้นต่ำ 

 

แต่ไม่สำคัญ เพราะ “นั่นคือเกม” มิใช่ในชีวิตจริง

 

สิ่งที่เป็นจริง และไม่ใช่เกม คือการพบว่าร่วมครึ่งหนึ่งของประชากรในโลกเรายังดำรงชีวิตอยู่บนตัวเลขของรายได้เพียงวันละ 2 ดอลลาร์เท่านั้น เงิน 2 ดอลลาร์ที่ไม่เพียงพอแม้แต่จะใช้แลกซื้อแฮมเบอร์เกอร์แม้สัก 1 ชิ้น แน่นอนว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะรายได้อันเป็นที่มาเพื่อการใช้จ่าย มีเพียงเท่านั้น แล้วมาตรฐานชีวิตที่ดีและมีคุณภาพจะมาจากไหน หากรายได้ของคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการคำนึงถึง นี่คือสิ่งที่เปิดเผยโดยองค์การประชาชาติหรือ UN ล่าสุด

 

ความมั่งคั่งหรือ wealth ของโลกล้วนถูกสร้างขึ้นจากการนำทรัพยากรของโลก ไม่ว่าจะเป็น ดิน หิน แร่ แหล่งน้ำ และทรัพยากรอื่นจากธรรมชาติ แม้แต่สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์สร้างก็ยังต้องอาศัยการใช้ทรัพยากรของโลกอยู่ดี แต่สิ่งที่น่าคำนึงกว่านั้น คือ แม้แต่ตัวมนุษย์เองก็ยังกลายเป็น “ทรัพยากรแรงงาน” เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในภาคการผลิตหรือแม้แต่ภาคบริการก็สุดแท้แต่ เพื่อเป็นส่วนประกอบในการสร้างความมั่งคั่งให้บังเกิดต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ ภายใต้การจัดสรรและแบ่งปันผลประโยชน์ในรูปค่าจ้างและระบบการจัดจ้างที่วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายังไม่ได้รับการคำนึงถึงคุณภาพและความยุติธรรมต่อผู้ใช้แรงงาน 

 

เหตุจากรากฐาน ปัญหาต่อการพัฒนา

การมุ่งใช้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดโครงสร้างและโอกาสในการสร้างงานและจ้างงานเป็นส่วนใหญ่ ในที่สุด ได้กลายเป็นสลักที่ปิดล็อก คุมขังอิสรภาพและโอกาสในการพัฒนาและยกระดับการทำมาหากินของผู้คน จนถึงเรื่องคุณภาพชีวิต เพราะเมื่อเศรษฐกิจภาพใหญ่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤต อันนำมาซึ่งภาวะของการตกงานเพราะเศรษฐกิจเกิดการสะดุด ผู้คนจำนวนมหาศาลที่ฝากอนาคตและทางรอดไว้ในตลาดแรงงานที่ตนไม่มีสิทธิ์จะหลีกหนีเพราะเป็นแรงงานขั้นพื้นฐาน 

 

จากข้อเท็จจริงที่พบโดยองค์การสหประชาชาติ พบว่า นับจากปี 2007-2012 มีตัวเลขของผู้ว่างงานทั่วโลกเพิ่มจาก 170 ล้านคนเป็น 202 ล้านคน โดยในจำนวนเหล่านี้ มี 75 ล้านคนเป็นหญิงอายุน้อยและแรงงานชาย นอกจากนั้นประชากร 2,200 ล้านคนมีรายได้เฉลี่ยเพียง 2 ดอลลาร์ต่อวัน แต่มีการคาดการณ์กันว่า ภายใน 15 ปีข้างหน้า จะมีความต้องการแรงงานทัวโลกถึง 470 ล้านคนในหน้าที่และลักษณะงานที่สร้างสรรค์และแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการส่งเสริมและพัฒนาแรงงานให้มีความสอดคล้องต่อโครงสร้างการจ้างงานที่เปลี่ยนไปเพื่อต่อยอดกับโอกาสและการจ้างงานอันจะนำไปสู่การสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

 

 

SDGs Target : เป้าหมายโลก

เพื่อความหลุดพ้นจากภาวะประชากรตกงาน และการดำรงชีพด้วยรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานและความสามารถจะครองชีพได้อย่างมีสุขภาวะ ในขณะที่โลกทั้งใบมีเป้าหมายและไทยเป็นส่วนหนึ่ง ที่เพิ่งร่วมรับและร่วมสานการแก้ไขและการส่งเสริมการนำไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายใหญ่ ซึ่งวันนี้ ส่วนหนึ่งของ เป้าหมายคือ กรอบเป้าหมายในเรื่องการส่งเสริมภาวะการสร้างงาน เพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยกำหนดไว้ภายใต้เงื่อนเวลา 15 ปีนับจากนี้คือ

 

• ส่งเสริมการเติบโตของรายได้ประชาชาติให้ได้ที่ 7% เพื่อรากฐานอันมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 

• เน้นการสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตในภาคการผลิตที่มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีการยกระดับที่สูงขึ้น อันจะมีผลต่อการยกระดับผลตอบแทนที่ขยับสูงตามกันไป

• การออกนโยบายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้มีโอกาสและช่องทางเข้าถึงซึ่งแหล่งเงินทุนและการช่วยเหลือด้านการเงิน

• ภายในกรอบเป้าหมาย 10 ปีนับจากนี้ ประเทศพัฒนาแล้วจะดำเนินโครงการเพื่อการนำไปสู่การวางแผนการผลิตและการบริโภคที่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม โดยหวังผลในการลดหรือหลีกเลี่ยงการรุมซ้ำและทำลายดิน น้ำ ลม ไฟและทรัพยากรของโลกเป็นสำคัญ

• ภายในปี 2030 เป้าหมายแห่งความสำเร็จของความร่วมมือคือการมองเห็นความเป็นธรรมในการจัดจ้างแรงงานทั้งหญิงและชาย ทุกเพศทุกวัยอย่างมีความเสมอภาคและเท่าเทียม ตลอดจนการใส่ใจและให้ความดูแลต่อแรงงานที่ขาดความสามารถทั้งผู้พิการ เยาวชนจนถึงวัยหลังเกษียณที่นับวันจะเพิ่มจำนวนขึ้น

• ภายในปี 2020 หรือ 5 ปีนับจากนี้สิ่งที่สหประชาชาติคาดหวังในการร่วมมือคือการลดลงของสัดส่วนแรงงานอายุน้อยที่ขาดทักษะและการศึกษาในพื้นที่ทั่วโลก

• ส่งเสริมการใช้มาตรการเร่งด่วนในการขจัดปัญหาการกดขี่แรงงาน และการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องแรงงานเด็ก และการนำเด็กหรือเยาวชนมาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ โดยแผนของเป้าหมายคาดหวังว่าใน 10 ปีนับจากนี้จะไม่มีการใช้แรงงานเด็กอย่างผิดวิธีในทุกรูปแบบ

• มีการแก้ไขและดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยให้กับแรงงานโดยเฉพาะแรงงานต่างชาติและผู้หญิงที่ได้รับการจัดจ้างอย่างไม่เป็นธรรมในปัจจุบัน

• กำหนดเป้าหมาย 15 ปีที่จะร่วมสร้างนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการสร้างงานและผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น ที่เชื่อว่าจะเป็นนโยบายการท่องเที่ยวอันจะนำไปสู่ความยั่งยืน

• นโยบายด้านการเงินและการธนาคารนับจากนี้ต้องมีแนวทางเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ

• นโยบายการส่งเสริมการค้านับจากนี้ พึงมุ่งเน้นไปที่การมุ่งสนับสนุนการพัฒนาประเทศเป็นหัวใจสำคัญ

• ในปี 2020 กำหนดการพัฒนาและการดำเนินการกลยุทธ์ระดับโลก เพื่อการจ้างงานเยาวชน โดยมีการปรับใช้อนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

 

ก้าวสู่เป้าหมาย

เมื่อต้องตอบรับกับแนวทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนภายใต้กรอบของมติความร่วมมือที่ UN ได้กำหนดร่วมกับ สมาชิกจากทั่วโลกโดยที่เราก็ร่วมเป็นหนึ่ง นั่นหมายความว่า วิถีและแนวทางนับแต่นี้ที่เราพึงคำนึงและตระหนักถึง คือเรื่องของการพัฒนาการสร้างงาน และการจ้างงานเพื่อการนำไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง

 

 

 

โรงงานน้ำตาลวังชัยนาท : แนวหวานนี้ ที่ยั่งยืน

หลายคนอาจไม่รู้ว่าแหล่งน้ำที่เราเรากำลังใช้ในการกิน การดื่ม และชำระชะล้างกันอยู่ทุกวันนี้กำลังมีปัญหา และนับวันปัญหาดูจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่คาดการณ์กันว่า ในอีกไม่ช้า ไม่น่าจะเกินไปกว่า 20-30 ปีข้างหน้าเราจะเจอปัญหาการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ซึ่งต้นเหตุใหญ่ในการสร้างความเสียหายต่อแหล่งน้ำในธรรมชาติ นอกจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว ต้นเหตุใหญ่กลายเป็นว่ามาจากการทำเกษตรกรรมอย่างขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะมีการใช้สารอันตราย ทั้งเพื่อใช้กำจัดศัตรูพืช ทั้งยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช ไปจนถึงปุ๋ยเคมีที่มีการใช้บนความเข้าใจผิด การกระหน่ำใช้ใส่ปุ๋ยเคมีโดยที่หวังว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิต นำมาซึ่งสารตกค้าง และการแทรกซึมของสารเคมีจำนวนมหาศาล จากดินลงสู่แหล่งน้ำ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ยิ่งภาคเกษตรเร่งโหมและประโคมการใช้สารเคมีเหล่านี้มากเพียงใด การทำลายแหล่งน้ำในธรรมชาติก็ยิ่งทวีการลุกลามมากขึ้นเป็นเงาตามตัว การเกษตรที่ใช้สารเคมีจึงไม่ใช่แนวทางแห่งการยั่งยืน

 

การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เป็นวิถีและแนวทางที่จังหวัดชัยนาท หนึ่งในพื้นที่ที่มีการรณรงค์และส่งเสริมอยู่ เพราะต้องการรักษาและคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ดีในระบบนิเวศเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการพยายามรักษาไว้ซึ่งสุขภาวะที่ปลอดภัยของเกษตรกรเอง ด้วยหลักการและเหตุผล สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาธุรกิจของโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ โรงงานน้ำตาลวังชัยนาท ภายใต้การจับมือร่วมทุนระหว่างโรงงานน้ำตาลวังขนาย และ บริษัท โตโยต้า ทรูโช จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีนโยบายและความต้องการผลิตน้ำตาลออร์แกนิกด้วยวิธีปลูกอ้อยในแนวทางออร์แกนิกที่ปลอดภัยทั้งต่อตัวผู้ปลูก ผืนดิน แหล่งน้ำ สภาพแวดล้อม ผลผลิตจนถึงผลิตภัณฑ์ และปลายทางคือผู้บริโภค 

 

ภายใต้นโยบายส่งเสริมที่หวังผลในความสำเร็จ ผู้บริหารน้ำตาลวังชัยนาทได้ตอบโจทย์การมุ่งยกระดับเพื่อการพัฒนาด้วยการกำหนดราคารับซื้อผลผลิตอ้อยเพื่อการผลิตน้ำตาลจากเกษตรอินทรีย์ในอัตราราคาที่สูงกว่าราคารับซื้ออ้อยที่ปลูกแบบทั่วไป เพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วมของเกษตรกร ภายใต้เป้าหมายเพื่อความสำเร็จที่เล็งว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เมื่อการทำเกษตรอินทรีย์เป็นที่แพร่หลายและได้ปริมาณเพื่อการลดขนาดของต้นทุน ก็จะมีน้ำตาลออร์แกนิกออกมาขายในราคาที่ไม่ต่างจากน้ำตาลทรายอ้อยทั่วไปในตลาด และนั่นคือการตอบโจทย์ในอีกความหมายของการยกระดับของการพัฒนา

 

อย่างไรก็ดีที่เหนือไปกว่านั้นคือ แนวทางของโรงงานน้ำตาลวังชัยนาทได้มีส่วนในการเรียกคืนการรุกทำลายแหล่งดิน และแหล่งน้ำในธรรมชาติ และยังส่งเสริมการยกระดับรายได้ในแนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อการเกษตรแห่งความยั่งยืน

 

E-commerce เขตเศรษฐกิจภาคใหม่

เมื่อเทคโนโลยีมีไว้เพื่อรับใช้มนุษยชาติ การหาหนทางในการหยิบเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้เพื่อการก้าวไปสู่โอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะเพื่อการสร้างงานและสร้างอาชีพย่อมเป็นสิ่งสมควร ภายใต้ความไม่่สำเร็จของการกระจายรายได้ กระจายโอกาสและกระจายคุณภาพชีวิตที่ดีจากโครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การยกระดับและพัฒนาคนในสังคม สมควรได้รับการสนับสนุนและเปลี่ยนผ่านจากการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามารองรับและช่วยสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้น

 

การสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางในสาขาต่างๆ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการแม้แต่ในภาคเกษตรและกสิกรรม เป็นอีกหนทางในการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างจากการจ้างงานไปสู่การร่วมงานและการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจและการค้าที่สามารถต่อรองได้ 

 

หลายธุรกิจในสาขาใหม่ กรณีตัวอย่างเช่น Alibaba.com เป็นที่มาของการทำธุรกิจและการค้าในโลกออนไลน์ที่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และได้ช่วยให้เกิดพ่อค้าแม่ขาย และผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ ขึ้นอย่างหลากหลาย แม้แต่ภาคการผลิต เช่น ภาคเกษตกรรมก็ยังสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ในการเสาะแสวงหาตลาดใหม่ๆ ในโลกที่เปิดกว้างอย่างไร้พรมแดน 

 

หรือไอเดียใหมๆ ในการทำธุรกิจอย่าง Airbnb ก็เป็นอีกแนวทางที่สร้างสรรค์และประสบความสำเร็จจากคนเพียง 1 คนและคอมพิวเตอร์เพียง 1 ตัว เมื่อผนวกกับไอเดียที่สร้างสรรค์ จากการเล็งเห็นโอกาสของดีมานด์และซัพพลาย มองที่พักในทุกรูปแบบ ทุกหนแห่ง และทุกเวลา ทำให้คนที่มีบ้าน (ทุกคนมีบ้าน) ก็สามารถร่วมทำธุรกิจกับ Airbnb ได้ ความสำเร็จของ Airbnb ได้แชร์ตลาดส่วนหนึ่งของตลาดที่พักเพื่อการท่องเที่ยวและเดินทางในอดีต จากที่มีทางเลือกเพียงโรงแรมและรีสอร์ท เป็นห้องพักของครัวเรือน และที่สำคัญ Airbnb มีแนวโน้มของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

แนวคิดธุรกิจแบบ Alibaba, Airbnb, agoda, Uber, Grab, Amazon หรืออีกหลายธุรกิจ มองไปก็เหมือนหัวขบวนธุรกิจสายใหม่ ด้วยแนวทางใหม่ในการทำธุรกิจเหล่านี้มีส่วนในการขยับและปรับเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรม อันมีผลต่อการเปลี่ยนโครงสร้างด้านอาชีพและการงานของผู้คนได้เป็นอย่างดี

 

จากบ้านที่เคยพักอาศัยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ, จากรถที่เคยใช้เพื่อการเดินทางได้สร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้จากการร่วมเป็น Uber partner, ชาวสวนมังคุดในจังหวัดจันทบุรีพบผู้ต้องการเปลือกมังคุดจากจังหวัดสุราษฎร์จากศูนย์ประสานงาน ร่วมด้วยช่วยกัน *1677 และอีกหลายแนวทางใหม่ที่เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้น เพื่อเป็นรูปแบบของการยกระดับการสร้างงานอันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

 

อย่างไรก็ดีภายใต้เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับความสามารถในการสร้างงานในธุรกิจใหม่ย่อมต้องมีส่วนผสมสำคัญด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะตลอดจนการส่งเสริมองค์ประกอบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครบพร้อมทั้งด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ เป็นต้น

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 

 

 

เมื่อพิจารณาการปล่อย CO2 ของเชื้อเพลิงฟอสซิลจะเห็นได้ว่าถ่านหินมีสัดส่วนการปล่อย CO2 สูงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่นๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนากระบวนการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

จากฉบับที่แล้ว เอ็มได้เกริ่นให้ฟังว่า Career Design คือหลักสูตรที่กิจการเพื่อสังคมที่ CareerVisa ออกแบบขึ้น เพื่อช่วยในการออกแบบ และเลือกอาชีพที่ใช่ คราวนี้เราจะมาหาอาชีพที่ใช่ด้วย Career Design กัน

 

Career Design ประกอบไปด้วย Framework ชื่อ 5 Shades of life ที่จะช่วยให้เราทบทวนตัวเอง และวิเคราะห์อาชีพใน 5 ด้านด้วยกัน

• Skill and Interest ทักษะและความสนใจ

• Personality and people to work with บุคลิกภาพ และคนที่เราเหมาะจะทำงานด้วย

• Working condition สภาพแวดล้อมในการทำงาน

• Lifestyle รูปแบบการใช้ชีวิต

• Value ค่านิยมของตัวเรา สิ่งที่เราให้ความสำคัญในชีวิต

 

Shade 1: Skill and Interest

ถ้าถามนิสิต นักศึกษาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เอกการเงินว่า จบไปจะทำอาชีพอะไร ส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้น ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) หรือ วาณิชธนากร (Investment Banker) แน่ะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะนั่นคือสิ่งที่เค้าเรียนมา แล้วทำไมถึงนึกถึงอาชีพที่ตรงกับเอกที่เรียนมาเป็นอย่างแรก? เพราะเราคิดถึงโอกาสในการได้งานเป็นอย่างแรก แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้เราได้งาน? สิ่งที่นายจ้างมองหา ก็คือ คนที่มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานให้เค้าได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ Resume หรือ Curriculum Vitae เป็นด่านแรกที่ HR ใช้ตัดสินตัวเรา ดังนั้น ทักษะและความรู้จึงเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนคิดถึง เมื่อบัณฑิตจบใหม่เลือกอาชีพ แน่นอนว่า เมื่อเคยมีประสบการณ์ทำงานแล้ว ประสบการณ์จะมีความสำคัญมากกว่าความรู้ และจะบอกได้ถึงทักษะที่มีจากประสบการณ์ในแต่ละงานที่ทำมา

 

 

 

เกือบทุกคนคงสามารถตอบได้ว่า ทักษะ ความรู้ ที่เรามี คืออะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะ และความรู้ที่เรียนมาสดๆ ร้อนๆ จากในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโท แต่อย่าลืมว่าทักษะ และความรู้ที่เรามีนั้น อาจจะไม่ได้มาจากเฉพาะในห้องเรียนก็ได้ ขั้นตอนที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมทักษะ และความรู้ที่เรามี ก็คือ เริ่มจากสิ่งที่ได้เรียนมาล่าสุดนี่แหละค่ะ และอาจจะย้อนลงไป อีก 3 ปีก่อน เช่น สมัยมัธยมปลาย หรือปริญญาตรี โดยเริ่มจากการเปิด Transcript, Portfolio ว่าเราเคยเรียนอะไรมาบ้าง ทั้งวิชาบังคับ และวิชาเลือก อย่าลืมว่าการบ้าน กิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำในแต่ละวิชา ไม่ได้ให้เฉพาะความรู้กับเราเท่านั้น วิชาบังคับ ที่บังคับให้นำเสนอผลงานบ่อยๆ บังคับให้ค้นคว้าเรื่องสากกะเบือยันเรือรบ ทำแบบสำรวจ สัมภาษณ์คนจำนวนมาก หรือบังคับให้วาดรูป ระบายสี แต่งกลอน ก็ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในทักษะนั้นๆ ติดตัวมาได้ จริงอยู่ การที่ทำแบบนั้นหลายๆ ครั้งไม่ได้หมายความว่า เราจะทำได้ดีเสมอไป ดังนั้นจึงควรเลือกทักษะที่เราเคยได้รับคำชม ได้คะแนนดี หรือสามารถเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนๆ ได้มาเขียน วิชาเลือก เช่น ดนตรี ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี แกะสลัก คหกรรม ก็เอามาเขียนได้หมด หากเราคิดว่าเราทำสิ่งนั้นๆ ได้ดี อาจจะปรึกษาพ่อแม่พี่น้อง หรือแฟนด้วยก็ได้ เผื่อนึกไม่ออก Brainstorm ไว้ไม่เสียหาย

 

นอกจากนั้น เราคงไม่ได้เกิดมาเรียนอย่างเดียวใช่ไหมคะ? นอกเหนือจากการเรียน เราทำอะไรบ้าง เราออกค่ายอาสามั้ย? เคยเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือคนพิการ? เคยทำงานพิเศษเป็นล่ามภาษาอังกฤษ เล่นละครเวทีของคณะ ช่วยหา Sponsor คอนเสิร์ตการกุศล ร่วมกิจกรรมในฐานะตัวแทนเยาวชนไทย ไปออกความคิดเห็นที่ต่างประเทศ เข้าโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ Career Launcher ฝึกงานใน Startup ออก Product ใหม่ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน อะไรก็ว่าไป เขียนให้หมดเลยค่ะ อย่าได้อาย อย่าคิดว่าทำแค่นิดเดียวเองไม่อยากเขียน เดี๋ยวเรามีเวลาคัดเลือกอีกเยอะค่ะ ตอนนี้เขียนไปก่อน

 

แล้วความสนใจ หมายถึงอะไร? ให้นึกถึงทักษะ หรือความรู้ที่เรา “ยัง” ไม่มี แต่อยากมี ยินดีศึกษา ฝึกฝน พัฒนาต่อไป อาจจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงาน เช่น MS Excel Macro, SPSS หรือ Adobe Illustrator หรือกิจกรรมยามว่างอย่าง Surf หรือ Scuba Diving และปีนหน้าผาก็เขียนลงไปได้เช่นกัน เพราะคุณก็คงมีความสุขกับการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องเหล่านี้ใช่มั้ยล่ะคะ

 

ส่วนในด้านของบริษัท

ทักษะและความสนใจ ก็ดูได้จาก Job Description ในแต่ละ Function งานนั้นๆ ว่าเค้าอยากให้เราไปทำอะไรบ้าง และบางที่ก็ระบุทักษะที่หากทำได้จะพิจารณาเป็นพิเศษมาด้วย เช่น Adobe Illustrator หรือ ภาษา Python เป็นต้น ส่วนความสนใจก็อาจจะเทียบดูว่าน้องสนใจอุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นๆ ทำอยู่ เช่น พลังงานทดแทน เครื่องสำอาง หรืออสังหาริมทรัพย์หรือไม่ หรือว่าสนใจในตัวแบรนด์เป็นพิเศษ เพราะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์นี้อยู่แล้ว เช่น Apple เพราะใช้ตั้งแต่ Macbook ยัน Iphone เป็นต้น ป.ล.ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ 555

 

 

 

สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะ เอ็มขอกล่าวถึงทักษะที่จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในปี 2020 จาก World Economic Forum โดยยกตัวอย่าง 3 ข้อจาก 10 ข้อดังนี้

 

การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ทำไมต้องเน้นว่าซับซ้อน เพราะการแก้ปัญหาขั้นพื้นฐานจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร เครื่องตอบรับอัตโนมัติ และหุ่นยนต์มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ต้องการมนุษย์มาทำหน้าที่นี้ในอนาคตอันใกล้ ที่เราใช้จนคุ้นเคย เช่น ATM และ mobile banking แทนพนักงานสาขาของธนาคาร และเครื่องตอบรับอัตโนมัติของ call center แทนคนรับโทรศัพท์ แต่เมื่อพบแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ถ้าลูกค้าขอเคลมเงินคืน จึงจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ที่เป็นมนุษย์รับเรื่อง ไปดูว่าสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาคืออะไร แล้วจะแก้ได้อย่างไร

 

ตัวอย่าง Framework ของการแก้ไขปัญหาอันดับแรกเลยก็คือ ต้องแน่ใจว่าสิ่งที่เราพยายามแก มันคือปัญหา แล้วหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา โดยการถาม “ทำไม” 5 ครั้ง จนถามต่อไม่ได้อีก เมื่อเราพบสาเหตุของปัญหาแล้ว เราก็ระดมสมอง คิดทางเลือกในการแก้ปัญหาให้มากที่สุด ได้สัก 5 – 10 ข้อเลยยิ่งดี อย่าเขียนเฉพาะสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนนะคะ ลองคิดให้เยอะๆ คิดให้กว้างๆ เข้าไว้ แล้วสุดท้าย จึงจะมาประเมินความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา ด้วยแต่ละทางเลือก แล้วจึงจะเลือกทางที่น่าจะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดแล้วปฏิบัติค่ะ

 

ความสามารถในการตัดสินใจ สิ่งที่โปรแกรม machine และหุ่นยนต์ทำได้ดี คือการทำตามคำสั่ง และรวบรวม ประมวลผลข้อมูล แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจซึ่งต้องอาศัยกึ๋น และประสบการณ์ ประกอบกับสภาพการณ์แวดล้อม เช่น ตัดสินใจขาดทุน เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าแก่ เป็นต้นนะคะ เพิ่งมีโอกาสได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำท่านหนึ่ง ท่านนั้นพูดเลยว่าความสามารถในการตัดสินใจเป็นสิ่งที่แยกคน ที่จะสามารถเป็นผู้บริหาร หรือเป็นได้เพียงพนักงานระดับปฏิบัติงานตลอดไป

 

แล้วเราจะเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดได้อย่างไรล่ะ? Jeff Bezos, Co-founder และ CEO ของ Amazon.com ได้กล่าวไว้ว่า การตัดสินใจส่วนใหญ่ย้อนกลับได้ทั้งนั้น Jeff ยกตัวอย่าง เพื่อนที่ลาออกจากตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกมาทำ Startup นั่นเป็นการตัดสินใจที่น่าจะมีผลกับชีวิตมาก และไม่น่าจะย้อนกลับได้ จริงไหมคะ? แต่ปรากฏว่า พอเพื่อนคนนั้นทำ Startup แล้วไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็สามารถกลับไปทำงานที่บริษัทที่ปรึกษาบริษัทเดิม ตำแหน่งเดิมได้ จริงอยู่ที่เขาเสียเวลา 2 ปีไปกับการทำ Startup ซึ่งถ้าเขาอยู่บริษัทที่ปรึกษาต่อ เขาคงได้เลื่อนตำแหน่งไปแล้ว แต่ว่าการที่ได้เลื่อนตำแหน่งช้ากว่าเดิม 2 ปี แลกกับการได้ลองทำ Startup ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าไม่ใช่หรือ การตัดสินใจครั้งนี้ก็เกือบจะเหมือนย้อนกลับได้เลย จริงไหมคะ?

 

ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่แยกมนุษย์กับหุ่นยนต์ออกชัดเจนที่สุดในปัจจุบัน คนยังให้ความสำคัญกับความไม่เหมือนใคร ความคิดสร้างสรรค์ ความ Original ของไอเดียนั้นๆ แต่ละภาพของอาจารย์เฉลิมชัย ที่ขายได้ภาพละหลายสิบล้าน ก็เพราะมีเพียงภาพเดียวในโลกและแน่นอนว่ามันไม่เหมือนภาพไหนๆ อาหารมื้อที่สร้างสรรค์โดยเชฟเจมี่ โอลิเวอร์ ที่เป็นศิลปินใช้จานอาหารเป็นผืนผ้าใบ และเครื่องปรุงเป็นหมึก ก็ไม่เหมือนอาหารที่ปรุงตามสูตรที่หาทานได้ทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน

 

ปัจจุบันนี้อะไรก็สามารถผลิตได้เหมือนๆ กันไปหมด ดังนั้นคนที่ทำสิ่งที่แตกต่างได้ จะเป็นคนที่โดดเด่น และการที่จะแตกต่าง เราก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การที่เราจะเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เราต้องเป็นคนช่างสังเกต ช่างคิด คิดว่า ถ้ามันไม่เป็นอย่างงั้นล่ะ มันเป็นอย่างงี้ได้มั้ย มองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ เสมอ อย่ามองเฉพาะสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว (Look beyond the obvious) นะคะ

 

ในฉบับต่อไป เราจะมาคุยกันเรื่อง Shade 2: Personality and people to work with บุคลิกภาพและคนที่เราเหมาะจะทำงานด้วย ติดตามฉบับหน้านะคะ

 

เรื่อง : ธีรยา ธีรนาคนาท (เอ็ม)

Co-founder and Chief 

Operating Officer

กิจการเพื่อสังคมแคเรียร์วีซ่า (ประเทศไทย)

อาจารย์พิเศษวิทยาลัยโลกคดีศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

และคณะเศรษฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การศึกษา: MBA Kellogg School of Management, Northwestern University

พลังงานเป็นเรื่องสำคัญของสังคมมนุษย์ เราใช้พลังงานกันตลอดเวลาไม่ว่าเราจะหลับหรือตื่น ทั้งเพื่อหุงอาหาร ให้ความอบอุ่นภายในอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อลดความร้อนในประเทศไทยหรือทำความร้อนในเมืองหนาว เราใช้ไฟฟ้าส่องสว่าง ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเราทั้งในบ้านและที่ทำงาน เพียงแค่การไฟฟ้าประกาศความจำเป็นต้องตัดไฟฟ้าในบริเวณใดเพื่อทำการซ่อมบำรุง ก็แทบจะทำให้บริเวณนั้นร้างผู้คน ด้วยไม่สามารถอยู่ในบ้านเรือนหรืออาคารที่ขาดพลังงานได้

 

หากไม่มีพลังงาน การผลิตการประกอบอาชีพที่เคยทำกันมารวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำ-วันคงจะยากลำบาก เพราะพลังงานเป็นส่วนสำคัญที่มนุษย์จะต้องใช้ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดในโลก

 

ขณะเดียวกันคนบนโลกนี้ 20 เปอร์เซ็นต์ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แม้จำนวนประชากรที่เข้าถึงไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก คนกว่า 3,000 ล้านคนยังต้องใช้ฟืน ถ่านหิน หรือของเสียจากสัตว์เพื่อจุดไฟประกอบอาหารและให้ความร้อน ขณะเดียวกันกับที่การบริโภคพลังงานฟอสซิล ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศทั่วโลก เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบภูมิอากาศของโลกใบนี้อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก การลดการปลดปล่อยคาร์บอนจากกลุ่มพลังงานจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คนรุ่นต่อไปลดความเสี่ยงจากความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงในอนาคต

 

เป้าหมายของเรื่องพลังงานของสหประชาชาติโดยหลักการจึงอยู่ที่ ภายในพ.ศ. 2573 จะทำให้เกิดการผลิตไฟฟ้าที่ เหมาะสมในทุกที่ หมายถึงการลงทุนในแหล่งพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมและพลังงานความร้อน การนำมาตรฐานการประหยัดค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในอาคารและอุตสาหกรรมสำหรับความหลากหลายของเทคโนโลยียังสามารถลดการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกได้ 14% ซึ่งหมายถึงการลดการใช้งานโรงไฟฟ้าขนาดกลาง ประมาณ 1,300 แห่ง การขยายโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้มีแหล่งที่มาของพลังงานสะอาดในประเทศที่กำลังพัฒนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่ทั้งการขยายโครงสร้างและการพัฒนาเทคโนโลยีสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตและช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมได้

การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนจึงเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนบนโลกใบนี้ รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากความสามารถในการประกอบอาชีพที่มากขึ้นเมื่อมีพลังงานใช้อย่างเหมาะสม 

 

ทุกรัฐบาลต่างเห็นความสำคัญของการตอบสนองความต้องการพลังงานให้กับประชาชนของตนเอง เพื่อพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ขณะเดียวกันความยั่งยืนของแหล่งพลังงาน รวมถึงการลดผลกระทบจากการบริโภคพลังงานที่มีต่อโลกก็เป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความใส่ใจ

 

แหล่งพลังงานทางเลือกเป็นทางออกที่ทุกประเทศให้ความสนใจ เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลที่ส่งผลกระทบต่อโลก เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กี-มุน กล่าวที่กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่า “เราต่างทราบกันดีว่าพลังงานทางเลือกนั้นแทบไม่มีขีดจำกัดและมีความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้เรามีความมั่นคงและเกิดความสงบ มูลค่าการลงทุนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จนเป็นทางเลือกที่ถูก เมื่อเราผลิตพลังงานจากพลังงานทางเลือกเพิ่มมากขึ้นต้นทุนก็จะยิ่งต่ำลง” 

 

พลังงานทางเลือกยังสอดคล้องกับเป้าหมายของสหประชาชาติในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและประเด็นการแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานสะอาดที่กำลังขยายตัวไปทั่วโลกเป็นทางออกในการขจัดความยากจน เพราะพลังงานนั้นไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องและทุกคนบนโลก เลขาธิการสหประชาชาติถึงกับกล่าวว่า หากสามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานได้ก่อน พ.ศ. 2573 จะมีผลอย่างมากต่อการบรรลุเป้าหมาย SDGs ด้านอื่นๆ 

ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลทั่วโลกที่จะร่วมกันแสวงหาพลังงานทางเลือกใหม่ๆ มาใช้ ผ่านกลไกต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงต้องช่วยเหลือประเทศที่ยังไม่พร้อมในเรื่องนี้ให้เดินหน้าไปพร้อมกัน ในส่วนของประเทศไทยรัฐบาลมีแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558 – 2579 AEDP ที่จัดทำโดยกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายดังตาราง

 

รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการใช้ พลังงานทางเลือกต่างๆ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการที่เข้ามาดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องมาตามลำดับ ขณะเดียวกันภาคธุรกิจโดยเฉพาะสถาบันการเงินก็มีนโยบายสนับสนุนเรื่องนี้ด้วยการให้สินเชื่อต้นทุนต่ำแก่กิจการที่ลงทุนในธุรกิจนี้ซึ่งมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

 

จากเอกสารแผนงาน AEDP กระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2532 โดยให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (Small Power Produce: SPP) ที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Cogeneration) จากกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้จาก การเกษตรโดยนำพลังงานความร้อนที่เหลือจากกระบวนการผลิตไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายเข้าระบบสายส่งเป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยแบ่งเบาภาระการลงทุนของภาครัฐในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วย ต่อมาได้ขยายผลสู่การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่นๆ ทั้งพลังงาน แสงอาทิตย์ ก๊าซชีวภาพ ขยะ พลังน้ำ พลังงานลม จากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Produce: VSPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ เพื่อกระจายโอกาสไปยังพื้นที่ห่างไกลให้มีส่วนร่วมในการผลิต ไฟฟ้า ช่วยลดความสูญเสียในระบบไฟฟ้า และลดการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อจำหน่ายไฟฟ้า โดยสนับสนุนผ่านมาตรการส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ทั้งนี้อัตราส่วนเพิ่มและระยะเวลาในการสนับสนุน จะแตกต่างกันตามประเภทพลังงานทดแทน จากมาตรการจูงใจดังกล่าวทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2550 มีสัดส่วนปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่ผลิตได้รวมการผลิตไฟฟ้านอกระบบทั้งประเทศร้อยละ 4.3 และเพิ่มเป็นร้อยละ 9.87 ในปี 2557 (ไม่รวมพลังน้ำขนาดใหญ่) 

 

อีกด้านหนึ่งการวางระบบขนส่งมวลชนต่างๆ เพื่อลดการใช้น้ำมันก็เป็นทางเลือกที่รัฐบาลให้ความสนใจดังเห็นได้จากแผนงานก่อสร้างรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพมหานคร และแผนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งทางน้ำที่กำลังอยู่ระห่างดำเนินการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในประเทศสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้เกิดขึ้นในประเทศต่อไป

 

ในส่วนของภาคเอกชนก็มีความตื่นตัวในด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพอย่างกว้างขวาง นอกจากบริษัทผู้ผลิตพลังงานต่างๆ ที่เข้ามาร่วมก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกแบบต่างๆ แล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายก็มีแนวทางในการสร้างความยั่งยืนทางด้านพลังงานของตนเอง 

ตัวอย่างเช่น SCG ที่เป็นผู้ประกอบการที่ให้ความสนใจกับเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนมายาวนาน ดังจะเห็นได้จากแนวปฏิบัติการพัฒนาสู่ความยั่งยืนของบริษัทที่ระบุเรื่องพลังงานไว้โดยมีการตั้งคณะทำงานด้านพลังงานเพื่อทำหน้าที่ศึกษาและพัฒนาแนวทางการใช้พลังงานในแต่ละธุรกิจ ในเรื่องการใช้พลังงานทดแทน ตลอดจนสื่อสารและรณรงค์สร้างความตระหนักในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และมีโครงการด้านพลังงานที่ดำเนินการจำนวนมาก ตัวอย่างเช่นที่บริษัทระยองโอเลฟินส์ จำกัด ลดการใช้พลังงานในการขับ Turbine ของ Propylene Refrigeration Compressor ด้วยการเพิ่มระบบ MP Ethylene ซึ่งช่วยลดระดับความดันในท่อขนส่งที่สูงเกินความจำเป็น ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานได้ถึงร้อยละ 8 ธุรกิจซีเมนต์ พัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยลมร้อนที่เหลือจากกระบวนการผลิต โดยนำลมร้อนที่ปล่อยทิ้งจากหออุ่นวัตถุดิบ (Pre-heater) และหม้อเย็น (Cooler) กลับมาใช้เป็นพลังงานทดแทนที่หม้อไอน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดปริมาณไฟฟ้าที่ต้องซื้อเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ได้ถึงร้อยละ 20

 

เห็นได้ว่านอกจากเป็นประโยชน์ต่อโลกแล้วการปรับปรุงกระบวนการผลิตต่างๆ ยังมีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรด้วยการลดต้นทุนการผลิตลงไป ขณะเดียวกันผู้ผลิตหลายรายก็ใส่ใจกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการบริโภคพลังงานเช่นกระจกนิรภัยที่ช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอกอาคารเข้ามาในอาคารช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในระบบปรับอากาศ ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายมีการแข่งขันกันผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนประเภทต่างๆ การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงานของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆอีกมาก

 

ทิศทางเหล่านี้สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตยุคใหม่ที่เน้นการบริโภคที่ไม่สร้างรอยเท้าคาร์บอนทิ้งไว้มากเกินไป การบริโภคสินค้าในท้องถิ่น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยกระบวนการประหยัดพลังงานต่างๆ รวมถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานน้อยเพื่อใช้ในบ้านเรือน 

 

เพราะพลังงานคือสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต หากเราขาดพลังงานโลกใบนี้คงมืดหม่นและไม่มีความสะดวกสบาย ไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้ และเมื่อเราสามารถใช้พลังงานที่สะอาดทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลได้เพิ่มมากขึ้นตามเป้าหมายของสหประชาชาติ โลกใบนี้คงมีทั้งความสะดวกสบายและบรรยากาศที่รื่นรมย์ไปพร้อมกัน

เรื่อง กองบรรณาธิการ  

ปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำดิบและน้ำสะอาด ตลอดจนปัญหาการเข้าถึงสุขอนามัยและห้องส้วมกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกนับล้านเสียชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น อาหารเป็นพิษ ท้องร่วง ฯลฯ โดยเฉพาะแอฟริกาที่เด็กมักจะตายก่อนอายุ 5 ขวบจากสาเหตุเหล่านี้

 

ดูผิวเผิน สองปัญหานี้อาจดูเป็นเรื่องที่แยกจากกัน แต่จริงๆ แล้ว นี่คือปัญหาที่มีความเกี่ยวเนื่องกันในห่วงโซ่อุปทาน หากทราบข้อเท็จจริงที่ว่า น้ำเสียกว่า 80% มาจากฝีมือมนุษย์ที่ปล่อยลงสู่แม่น้ำหรือทะเล โดยไม่ได้บำบัดหรือแยกสารพิษออกมา มิหนำซ้ำพลโลกอย่างน้อย 1,800 ล้านคนใช้แหล่งน้ำดิบที่มีอุจจาระเจือปนอยู่ ที่สำคัญอาจเป็นอุจจาระที่ปนเปื้อนจุลินทรีย์หรือปรสิตด้วย!

 

น้ำ – ห้องน้ำขาดแคลน

น้ำที่หลายคนเคยรับรู้ว่าเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดไปกลายเป็นเรื่องท่องจำเหลวไหลในยุคนี้ ในโลกแห่งความเป็นจริง ภาวะขาดแคลนน้ำของพลโลกที่เคยมีกว่า 40% จะขยับเพิ่มขึ้น แม้ว่าช่วงปี 2533 – 2558 สัดส่วนประชากรโลกที่ได้ใช้แหล่งน้ำดิบที่ได้รับการปรับสภาพแล้วจาก 76% เพิ่มเป็น 91% ขณะที่ตัวเลขปี 2533 คนกว่า 2,600 ล้านคนเข้าถึงแหล่งน้ำที่มีการปรับสภาพแล้ว แต่ก็ยังมีอีก 663 ล้านคนที่เข้าไม่ถึง นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติก็ยังคาดการณ์ว่า ราวปี พ.ศ.2593 จะมีประชากรอย่างน้อย 1 ใน 4 ที่อาศัยในประเทศที่มีปัญหาขาดแคลนน้ำจืดเป็นนิจศีล

 

ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำดิบและปัญหาคุณภาพน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความมั่นคงทางด้านอาหาร การเพาะปลูกและรายได้ของครัวเรือนที่น้อยลง ทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ถูกตีวงให้คับแคบ อีกทั้งยังส่งผลต่อเนื่องถึงโอกาสทางการศึกษาของสมาชิกในครอบครัว หรือแม้แต่ทำให้เด็กๆ หิวโหย เกิดภาวะทุพโภชนาการจากความยากจน นอกจากนี้ ยังมีรายงานที่ระบุว่า มีเด็กเกือบ 1,000 คนที่ต้องตายจากน้ำที่เราสามารถป้องกันได้ (ทว่าไม่ได้ป้องกัน) และโรคที่เกี่ยวกับท้องร่วง

 

ขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนห้องน้ำและการเข้าไม่ถึงสุขอนามัยของผู้คนทั่วโลกก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องกับโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวข้องกับการขาดแคลนน้ำอีกด้วย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคพยาธิและจุลินทรีย์หรือปรสิต เช่น พยาธิตัวตืด ฯลฯ ที่ปนเปื้อนมากับอุจจาระของคนและสัตว์ลงสู่พื้นดินและแหล่งน้ำ ซึ่งปัญหานี้เกี่ยวข้องกับพลโลก 2,400 ล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขอนามัยขั้นพื้นฐานอย่างห้องน้ำ – ห้องส้วมได้ 

 

คุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่เช่นนี้ของผู้คนนับล้านในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนากลับยิ่งจะบอบช้ำเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อมีปัจจัยภายนอกเข้ามาซ้ำเติมทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งหมายถึงเม็ดเงินจากภาครัฐและกำลังซื้อของประชาชนที่หดตัวหรือชักหน้าไม่ถึงหลัง, โครงสร้างพื้นฐานของบางพื้นที่ที่ยังไม่ค่อยดีนัก ฯลฯ 

 

จากการประชุมของกลุ่มคณะทำงานที่ว่าเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและองค์การน้ำแห่งสหประชาชาติ (UN Water) ช่วงวันที่ 15 - 17 ม.ค. 2558 ถึง 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ น้ำ สุขอนามัยและสุขลักษณะ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คุณภาพน้ำและความเสี่ยง ได้กำหนด 6 เป้าหมายเพื่อการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนที่เกี่ยวกับน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคน ดังนี้ 

 

ปี พ.ศ. 2563

• ปกป้องและรักษาระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำ รวมทั้งภูเขา ป่า พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง เช่น หนอง บึง ฯลฯ แม่น้ำ ชั้นหินอุ้มน้ำและทะเลสาบต่างๆ โดยดำเนินการภายใต้ข้อตกลงของระดับนานาชาติ

• บรรลุการบริหารจัดการที่เกี่ยวกับของเสียและสารเคมีในวงจรชีวิตทั้งหมด ด้วยกรอบข้อตกลงระดับสากลและลดการปล่อยของเสียอย่างจริงจังสู่อากาศ น้ำและดินเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด

 

ปี พ.ศ. 2573

• บรรลุการเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยและสามารถซื้อหาได้สำหรับทุกคนอย่างเท่าเทียม 

• บรรลุการเข้าถึงสุขอนามัยและสุขลักษณะสำหรับทุกคนอย่างเท่าเทียม และต้องทำให้การอุจจาระอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะนอกห้องส้วมหมดสิ้นไป ตลอดจนการให้ความ

สำคัญเป็นพิเศษกับผู้หญิงและเด็กในสถานการณ์ที่เปราะบางต่างๆ

• ปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วยการลดมลภาวะและลดการปล่อยของเสียที่เป็นวัตถุดิบและสารพิษลงแหล่งน้ำให้น้อยที่สุด ตลอดจนการลดสัดส่วนน้ำเสียที่ไม่ได้รับการบำบัดลงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งเพิ่มการรีไซเคิลและการนำสิ่งเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ทั่วโลก 

• เพิ่มการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน พร้อมกับทำให้มั่นใจได้ว่า การใช้น้ำจืดและการนำน้ำกลับมาใช้อย่างยั่งยืนนั้น จะแก้ปัญหาน้ำขาดแคลนและลดจำนวนประชากรที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำด้วย

• ใช้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพร้อมทั้งบูรณาการในทุกระดับ รวมทั้งความ

ร่วมมือกับประเทศต่างๆ อย่างเหมาะสม 

• ขยายความร่วมมือในระดับนานาชาติและการสนับสนุนเพื่อสร้างขีดความสามารถกับกิจกรรมและนำสุขอนามัยให้กับประเทศกำลังพัฒนา ผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ รวมทั้งการเก็บเกี่ยวน้ำ (Water Harvesting : การเก็บกักน้ำฝนและรักษาน้ำให้สะอาด ปราศจากมลภาวะ), การแยกเกลือออกจากน้ำ, การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ, การบำบัดน้ำเสีย ตลอดจนเทคโนโลยีการนำกลับมาใช้ใหม่และการรีไซเคิล

 

ส่วนเป้าหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสองประเด็นดังกล่าวคือ การขจัดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ วัณโรค มาลาเรีย โรคตับอักเสบ รวมทั้งโรคที่มาจากน้ำ ขณะเดียวก็มีเป้าหมายที่จะลดอัตราการตายและลดจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ภัยพิบัติรวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำเพื่อป้องกันพลโลกมิให้เผชิญกับปัญหาความยากไร้และสถานการณ์ที่น่าวิตกกังวล

 

เพราะน้ำคือชีวิต 

กรณีตัวอย่างของประเด็น น้ำคือชีวิต เห็นได้จากโครงการของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่บริจาคแท็งก์ให้เพื่อการเก็บกักน้ำที่เรียกว่า ‘การเก็บเกี่ยวน้ำ’ ในยูกันดา พร้อมเงินบริจาค 7,400 ล้านดอลลาร์-สหรัฐให้กับองค์กรที่มีชุมชนที่เข้มแข็ง 250 แห่ง ขณะเดียวกันก็เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและชุมชน เพื่อรับมือกับความแห้งแล้ง อันเป็นผลจากปัญหา Climate Change ด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและรู้คุณค่า 

 

ที่สำคัญ การมีน้ำใกล้ๆ บ้านก็มีความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้หญิงมาก เพราะมีผู้หญิงและเด็กในแอฟริกาจำนวนมากที่ถูกข่มขืนขณะขนน้ำจากบ่อในตอนกลางคืน หนำซ้ำในจำนวนนี้ 15 ใน 20 คนติดโรคเพศสัมพันธ์จากการถูกข่มขืนด้วย

 

“ปกติที่บ่อน้ำในเวลากลางวันจะมีคนเยอะมาก ทำให้ต้องคอยคิวนาน ฉะนั้น ฉันจึงต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสาม แม้จะกลัวเรื่องความปลอดภัยก็ไม่กล้าบอกให้สามีไปเป็นเพื่อน เพราะเราถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่จะทำหน้าที่ขนน้ำเข้ามาใช้ในบ้าน แต่เมื่อมีแท็งก์น้ำก็ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น” แม่บ้านคนหนึ่งของหมู่บ้านกล่าว 

 

ในส่วนของภาคธุรกิจก็มีแนวคิดในการสร้างสังคมที่เข้าถึงน้ำสะอาดอย่างเช่นกรณีของพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) กรรณิการ์ จรัสอุไรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ กล่าวถึง P&G Purifier of Water ว่า เป็นนวัตกรรมการทำให้น้ำสะอาดในรูปผงบรรจุในซองขนาดเท่าถุงชา ทำให้พกพาง่าย P&G แจกจ่ายน้ำสะอาดไป 8,900 ล้านลิตร ในกว่า 75 ประเทศและได้มาแจกในประเทศไทยเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศปี 2554 ซึ่งเป็นน้ำดื่มน้ำใช้ในพื้นที่อุทกภัยขาดแคลน ทั้งนี้ จนถึงปี 2558 P&G ได้แจกจ่ายผงดังกล่าว ไปแล้วกว่า 130 ล้านซอง พร้อมกับขยายการดำเนินการไปใน 20 ประเทศ รวมถึงอาร์เจนตินา อินโดนีเซียและเคนยา อีกทั้งตั้งเป้าที่จะขจัดปัญหาวิกฤตน้ำของโลกและจะนำส่งน้ำสะอาดจำนวน 1.5 หมื่นล้านลิตรในปี 2563 ด้วย 

 

เธอบอกว่า “ผง Purifier of Water ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กๆ และทำให้มีเด็กที่ป่วยจากการดื่มน้ำไม่สะอาดและต้องขาดเรียนบ่อยๆ ให้กลับมาเป็นเด็กแข็งแรงที่เข้าเรียนได้ตามปกติ ที่สำคัญ เด็กๆ เหล่านี้ยังนำสุขนิสัยที่ดีไปถึงครอบครัวและชุมชนของตนเองด้วย”

 

น้ำคือชีวิตอีกกรณีของ มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ ในโครงการ ‘อีซูซุให้น้ำ...เพื่อชีวิต’ ที่มุ่งส่งมอบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศไทย ปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า

 

“โครงการ “อีซูซุให้น้ำ...เพื่อชีวิต” เป็นโครงการระยะยาวต่อเนื่องจนกว่าจะไม่มีโรงเรียนในประเทศไทยที่มีปัญหาเรื่องน้ำดื่มสะอาดเหลืออีกต่อไป เนื่องจากปัญหาคุณภาพน้ำดื่มยังคงเป็นวาระเร่งด่วนสำหรับหลายพื้นที่ในประเทศไทยและยังมีโรงเรียน 11,658 แห่งที่ยังมีปัญหาน้ำดื่มสะอาด มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินโครงการนี้ ด้วยการจัดสร้างระบบผลิตน้ำดื่มสะอาดสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล พร้อมจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการบำรุงรักษาดูแลระบบการผลิตน้ำดื่ม แนะนำวิธีการสร้างรายได้ให้กับโรงเรียนด้วยการนำน้ำดื่มสะอาดที่ได้จากระบบบรรจุขวดจำหน่ายในชุมชนใกล้เคียงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่โรงเรียนและชุมชน”

 

ปัญหาเรื่องน้ำไม่ใช่เรื่องไกลตัวของเราอีกต่อไปเพราะแม้แต่ในประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ปัจจุบันก็ยังมีปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศ ส่งผลให้ประชากรบางส่วนขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค บางพื้นที่ต้องจัดสรรปันส่วนน้ำใช้ในกิจกรรมต่างๆ ยังไม่รวมถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดที่ยังเป็นปัญหาของหลายพื้นที่ ผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกันหาทางออกไปพร้อมกัน

 

เพราะ ‘น้ำ’ คือส่วนสำคัญหลักของโซ่อุปทานที่เรียกว่า ‘สุขอนามัย’ การจะสยบปัญหาน้ำและสุขอนามัยนั้นเป็นไปได้ หากจะต้องมองปัญหาและทางออกแบบองค์รวม ดังเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติที่ต้องการให้ขยายความร่วมมือในระดับต่างๆ เพื่อทำให้ทุกคนบนโลกนี้เข้าถึงน้ำและสุขาภิบาลอย่างยั่งยืน

 

เรื่อง กองบรรณาธิการ  

 

อาจไม่มี วันสตรีสากล (International Women’s Day) เกิดขึ้น ถ้าโลกนี้มีความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงตั้งแต่มีสังคมมนุษย์

 

ที่สหรัฐอเมริกา แรงงานหญิงในโรงงานทอผ้าในนิวยอร์กถูกเอารัดเอาเปรียบ ใช้แรงงานเยี่ยงทาส และถูกกดค่าแรงจากนายจ้าง จึงพากันประท้วงเรียกร้องสิทธิในการทำงาน แต่แรงงานหญิงจำนวน 119 คนเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมเพราะมีคนเผาโรงงานขณะที่พวกเธอชุมนุมประท้วงในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 

 

ในชิคาโก กรรมกรหญิงถูกนายจ้างใช้งานอย่างหนักถึงวันละ 12-15 ชั่วโมง ค่าจ้างก็ได้ไม่คุ้มกับที่ลงแรงไป และยังไร้อำนาจต่อรอง พวกเธอจึงต้องหักโหมทำงานจนเจ็บป่วยล้มตาย และถ้าหญิงคนใดตั้งครรภ์ก็จะถูกไล่ออก บรรดากรรมกรหญิงจึงรวมตัวประท้วงให้ลดเวลาการทำงานลง โดยมี Clare Zetkin นักสังคมนิยมชาวเยอรมันเป็นผู้นำ

 

ปัญหาการไม่ได้รับค่าจ้าง สิทธิ สวัสดิการต่างๆ อย่างที่ควรจะเป็น เกิดขึ้นจากระบบทุนนิยมในประเทศอุตสาหกรรมที่นายจ้างต้องการผลผลิตจนไม่เห็นความสำคัญของชีวิตมนุษย์ และมองว่าผู้ชายเป็นแรงงานหลัก ผู้หญิงเป็นแรงงานสำรอง จึงนำไปสู่เรียกร้องสิทธิ ความเสมอภาคของแรงงานสตรี 

 

การเรียกร้องสิทธิสตรีประสบความสำเร็จในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 ในการประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม สมัยที่ 2 ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยมีมติให้เคลื่อนไหวระบบ 3 แปด คือ ให้ทำงาน 8 ชั่วโมง ศึกษาพัฒนา 8 ชั่วโมง และพักผ่อน 8 ชั่วโมง เรียกร้องให้หญิงชายได้ค่าจ้างเท่าเทียมกันหากเป็นงานในลักษณะเดียวกัน ต้องคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงานหญิงและเด็ก ตลอดจนเรียกร้องให้มีสันติภาพโลก และรับรองข้อเสนอของ Clare Zetkin ให้วันที่ 8 มีนาคมเป็นวันสตรีสากล 

 

ปี 1961 มีการสำรวจผู้หญิงทั่วสหรัฐ-อเมริกา พบว่าผู้หญิงได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชายเมื่อทำงานในลักษณะเดียวกัน โดยผู้หญิงได้รับค่าจ้าง 59% เมื่อเทียบกับค่าจ้างเฉลี่ยที่ผู้ชายได้รับจากการทำงานประเภทเดียวกัน 

 

ที่นอร์เวย์ ความไม่เสมอภาคของชายหญิงในอดีตมีหลากหลายด้าน แต่ภายหลังมีการเรียกร้องสิทธิทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความเสมอภาคมากขึ้น

 

ปี 1854 ผู้หญิงมีสิทธิในการรับมรดกเท่าเทียมกับผู้ชาย

 

ปี 1870 ผู้หญิงได้รับสิทธิในการเป็นครู 

 

ปี 1910 ผู้หญิงได้รับสิทธิให้ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น

 

ปี 1978 รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายความเท่าเทียมกันทางเพศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าชายและหญิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน 

 

ที่จีน ผู้หญิงสมัยก่อนต้องอยู่แต่ในบ้านทำงานบ้าน ทำอาหาร ผู้หญิงจีนไม่มีสิทธิเลือก คู่ครองด้วยตนเอง โดยจะถูกบังคับให้แต่งงานและต้องมีลูกชายเพื่อสืบสกุล ถ้ามีสามี มีลูกก็ต้องอยู่ปรนนิบัติสามีและเลี้ยงลูก ในขณะที่ผู้ชายมีตำแหน่งสำคัญทางการเมือง มีบทบาทสำคัญด้านการปกครอง รับภาระงานนอกบ้าน หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว สถานะของผู้หญิงจีนที่อยู่แต่ในบ้านจึงต่ำกว่าผู้ชายมาก โดยการแบ่งภาระหน้าที่ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงนี้มาจาก คำสอนตามตำราของขงจื๊อ ซึ่งการที่ผู้ชายต้องไปทำงานนอกบ้าน เด็กผู้ชายจึงต้องเรียนหนังสือ ส่วนเด็กผู้หญิงก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ เมื่อถึงวัยแต่งงานก็ต้องเชื่อฟังสามี

 

ที่อินเดีย การมีลูกผู้หญิงมักถูกมองว่าเป็นภาระหนักและการมีลูกสาวแล้วไม่ได้ออกเรือนเป็นเรื่องน่าอายมากกว่าการไปกู้ยืมเงินเพื่อแต่งลูกสาว การทำแท้งหรือกำจัดเด็กผู้หญิงตั้งแต่อยู่ในท้องจึงเป็นวิธีหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องสินสอดที่จะตามมา

 

สังคมอินเดียมีค่านิยมที่ส่งผลต่อการล่วงละเมิดทางเพศคือ ผู้หญิงที่ถูกกระทำชำเราคือผู้หญิงที่มีรอยด่างพร้อย และไม่สมควรที่ผู้ชายคนใดจะแต่งงานด้วย วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงเหล่านี้คือ แต่งงานกับชายที่ข่มขืนเธอเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ซึ่งหากผู้ชายอินเดียต้องการผู้หญิงที่ตนรักมาเป็นภรรยา วิธีหนึ่งที่จะทำให้ฝ่ายหญิงตกเป็นของตนคือ การข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลให้ผู้หญิงยังคงถูกข่มขืนในปัจจุบันนี้ 

 

ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก องค์การสหประชาชาติเปิดเผยว่า ปี 2013 มีหญิงสาวและเด็กผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของการข่มขืนซึ่งถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากถึง 300 คนต่อเดือน และเชื่อว่ามีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนอีกมากที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาหลังตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ 

 

ความไม่เท่าเทียมทางเพศ เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยทางชีวภาพ คือ ความแข็งแรง แข็งแกร่งตามโครงสร้างร่างกายซึ่งเพศชายมีมากกว่าหญิง ปัจจัยด้านครอบครัว การแบ่งงานกันทำระหว่างเพศ คือแนวคิดทางฝั่งตะวันตกที่ให้ผู้ชายดูแลรับผิดชอบเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง โดยเป็นแบบสาธารณะ (Public) หรือแบบที่เป็นงานนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงให้ทำงานที่เป็นส่วนตัว (Private) หรือที่อยู่ในบ้าน ดูแลงานบ้านและสมาชิกในบ้าน เมื่อผู้ชายทำงานนอกบ้าน หารายได้เข้าบ้าน จึงอยู่ในฐานะที่สูงกว่า มีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิง และ ปัจจัยทางวัฒนธรรมและบรรทัดฐานทางสังคม ในแต่สังคม แต่ละประเทศ หญิงชายจะถูกปลูกฝังให้ปฏิบัติตัวแตกต่างกันไป ซึ่งการเป็นประชากรของประเทศนั้นๆ ชายหญิงก็ต้องยอมรับบทบาทที่สังคมกำหนด

 

ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงและเด็กทั่วโลกดังกล่าวมาแล้ว เป็นกระจกสะท้อนว่า ความไม่เท่าเทียมทางเพศเกิดขึ้นมาแต่ไหนแต่ไรและยังดำรงอยู่ในหลายพื้นที่ เราจึงต้องวางแนวทางร่วมกันเพื่อช่วยให้คนในสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยสนับสนุนให้เกิด ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality) 

 

เพื่อบรรลุถึงความเท่าเทียมทางเพศ และเสริมสร้างพลังให้แก่สตรีและเด็กผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่ปี 2543 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับพันธมิตรขององค์การสห-ประชาชาติ (UN) และประชาคมโลกให้ความเสมอภาคทางเพศเป็นศูนย์กลางในการทำงาน และได้เห็นความสำเร็จว่ามีผู้หญิงที่ได้เรียนในโรงเรียนมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 15 ปีที่ผ่านมา และในภูมิภาคส่วนใหญ่ มีความเท่าเทียมกันทางเพศด้านการศึกษาในระดับประถมศึกษา และในขณะนี้ ผู้หญิงสามารถทำงานนอกบ้านและได้รับค่าแรงจากการทำงานที่ไม่ใช่ทำการเกษตรได้ถึง 41% เมื่อเทียบปี 2533 ซึ่งมีเพียง 35% 

 

SDGs มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความสำเร็จเพื่อให้แน่ใจว่า ได้ยุติการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในทุกที่ แต่ในบางภูมิภาคยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันในด้านการเข้าถึงค่าจ้าง และยังคงมีช่องว่างที่มีนัยสำคัญระหว่างชายและหญิงในตลาดแรงงาน มีความรุนแรงทางเพศ การละเมิดทางเพศ การใช้แรงงานที่ผิดกฎหมาย และการแบ่งแยกชนชั้นของประชาชนก็ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่

 

ทั้งนี้ เป้าหมายที่องค์การสหประชาชาติวางไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2030 มีดังนี้

 

• ยุติการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในทุกที่ 

 

• ขจัดความรุนแรงทุกรูปแบบที่จะเกิดแก่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั้งในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว รวมทั้งการค้ามนุษย์ การค้าประเวณี และการแสวงหาประโยชน์อื่นๆ 

 

• ไม่กระทำสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น การบังคับให้แต่งงานในวัยเด็ก การขริบอวัยวะเพศหญิง 

 

• ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างผ่านบทบัญญัติเกี่ยวกับงานบริการทางสังคม โครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายการคุ้มครองทางสังคม รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมภายในครัวเรือนตามความเหมาะสมของแต่ละเชื้อชาติ

 

• สร้างความมั่นใจได้ว่าผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และมีโอกาสเท่าเทียมกับผู้ชายในการเป็นผู้นำทุกระดับที่มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และในพื้นที่สาธารณะ

 

• สนับสนุนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ด้านเพศ อนามัยเจริญพันธุ์ได้ทั่วโลก และมีสิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์สอดคล้องตามการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประชากรและการพัฒนา กับปฏิญญาและแผนปฏิบัติการปักกิ่ง และเอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการประชุม

 

• ปฏิรูปให้ผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการเป็นเจ้าของธุรกิจ และควบคุมที่ดิน และรูปแบบอื่นๆ ของสถ​​านที่ให้บริการ, บริการทางการเงิน, มรดก และทรัพยากรธรรมชาติ ตามที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนดไว้

 

• สนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิงให้มากขึ้น

 

• ทำให้กฎหมายที่เกี่ยวกับการสร้างความเสมอภาคทางเพศถูกนำไปบังคับใช้อย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศและเพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิงและเด็กหญิงในทุกระดับ

 

มีข้อมูลวิจัยระดับโลกบ่งชี้ว่า การลดความไม่เท่าเทียมระหว่างชายและหญิงช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ จากการจัดสรรปัจจัยการผลิตและให้การศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ดังที่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ศึกษาพบว่า การได้รับสิทธิไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าและขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในทางเกษตรกรรม เพราะผู้หญิงเป็นแรงงานหลักของภาคเกษตรกรรม เมื่อไม่ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมจึงทำให้ผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับจากพื้นที่ที่ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบนั้นมีผลผลิตต่ำกว่าพื้นที่ที่มีผู้ชายเป็นผู้ดูแล ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกษตรกรหญิงได้ผลผลิตน้อยกว่าไม่ใช่เพราะทำงานได้แย่กว่า แต่เป็นเพราะว่าผู้หญิงไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียมกันในการขอกู้ยืมเงินมาลงทุนจากธนาคาร การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย การใช้ปุ๋ย และการได้รับโอกาสในการศึกษาเพิ่มเติมหรือได้รับความรู้เพิ่ม เช่นที่สาธารณรัฐแคเมอรูน มีผู้หญิงน้อยกว่า 10% ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ทำการเกษตร ทั้งๆ ที่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นผู้หญิง นั่นเป็นเพราะทางรัฐบาลให้ผู้หญิงเป็นเจ้าของที่ดินเพียงส่วนน้อย และให้ผู้ชายเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ ส่วนที่เคนยา เกษตรกรหญิงที่มีการศึกษา มีโอกาสได้เรียนรู้เทคโนโลยีเช่นเดียวกับผู้ชาย และมีประสบการณ์ในการทำงานและใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 22% ดังนั้น หากสังคมหรือประเทศใดสร้างความเท่าเทียม ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศได้ พลังและศักยภาพที่แตกต่างของทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็จะปรากฏชัดขึ้น ทั้งชายและหญิงก็จะดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลผลิตที่ได้ก็จะมีคุณภาพ มีรายได้ดีขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ส่งผลให้ GDP ของประเทศสูงขึ้นได้

 

Case

สำหรับประเทศไทย แต่เดิมสังคมไทยให้ผู้ชายเป็นผู้นำ โดยอยู่ในฐานะ “ช้างเท้าหน้า” ให้ผู้หญิงเป็นผู้ตาม โดยอยู่ในฐานะ “ช้างเท้าหลัง” ซึ่งการที่ไทยมีแนวคิดว่าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังมานาน ทำให้ผู้หญิงไม่ได้รับความเชื่อมั่น จากสังคมว่าจะเป็นผู้นำได้ ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าที่ควร เพราะมีค่านิยมว่าเรียนสูงๆ ไปก็เท่านั้น มีครอบครัวแล้วก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆ หรอก

 

แต่เมื่อสังคมไทยเปิดกว้างให้ผู้หญิงได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงก็จะมีภาระงานมากกว่าผู้ชาย เพราะนอกจากต้องทำงานแล้วยังต้องรับผิดชอบงานบ้าน ผู้หญิงจึงมีชั่วโมงทำงานมากกว่าผู้ชาย ทำให้ไม่มีเวลาส่วนตัวและขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

 

เมื่อเข้าทำงาน ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน แต่ยอมให้เจ้านายหรือผู้ชายกดขี่ข่มเหง ข่มขู่ เพราะกลัวเสียชื่อเสียง เกิดเรื่องน่าอับอาย หรือกลัวตกงานจึงไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าแจ้งความ หรือฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมองว่าเป็นปัญหาส่วนตัว ประเด็นนี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข 

 

เกี่ยวกับภาพรวมภาวะสังคมไทย สถานการณ์ความรุนแรงของผู้หญิงและเด็กเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข มีตัวเลขของผู้หญิงและเด็กที่ถูกทำร้าย ถูกกระทำรุนแรงจากศูนย์พึ่งได้ในปี 2556 พบว่า ผู้หญิงและเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ถูกกระทำรุนแรงเฉลี่ย 81 คนต่อวัน หรือเกือบ 3 คนต่อชั่วโมง

 

ร้อยละ 80 ของเด็กที่ถูกกระทำรุนแรงอายุต่ำกว่า 15 ปี และในจำนวนนี้เป็นการกระทำรุนแรงทางเพศเกือบร้อยละ 70 ส่วนในปี 2558 มีผู้หญิงและเด็กถูกกระทำความรุนแรง 23,977 คน เป็นเด็ก 10,712 คน ผู้หญิง 13,265 คน หรือโดยเฉลี่ยจะมีผู้หญิง และเด็กเป็นเหยื่อความรุนแรงวันละ 66 คน และจากข้อมูลสถิติดัชนีช่องว่างระหว่างเพศที่ทางสภาเศรษฐกิจโลกได้รวบรวมและเปรียบเทียบไว้ทั้งหมด 145 ประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศที่มีความชัดเจนและความเท่าเทียมทางเพศมากที่สุดคือ ไอซ์แลนด์ รองลงมาคือ นอร์เวย์ ส่วนไทยเป็นประเทศมีช่องว่างระหว่างเพศในระดับพอสมควร โดยจัดอยู่ในลำดับที่ 60 จาก 145 ประเทศทั่วโลก 

 

เพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านต่างๆ รัฐบาลไทยจึงมีนโยบายให้เยาวชนหญิงชายมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายเพื่อส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาคระหว่างเพศ คุ้มครองผู้หญิงจากความรุนแรงในครอบครัว การถูกล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศในการทำงาน รวมทั้งดำเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ตลอดจนมีมาตรการดูแลและฟื้นฟูผู้เสียหายที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิงและเด็ก และสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยฉบับต่อไป ที่เรียกว่าฉบับที่ 12 ก็จะส่งเสริมบทบาทสตรีให้มีส่วนร่วมผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเท่าเทียม สอดคล้องกับ SDGs ที่ทั่วโลกกำลังให้ความร่วมมือในขณะนี้

 

เรื่อง กองบรรณาธิการ 

“เรารู้ถึงอำนาจการศึกษาที่จะขจัดความยากจน เป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” 

Irina Bokova Director-General UNESCO

เวลาเราไปห้างสรรพสินค้า จะเห็นว่าลูกค้า 40 คน จาก 100 คนเดินออกจากห้างด้วยมือเปล่า  ทำให้เจ้าของห้างต้องคิดแล้วว่าจะขายอะไรที่เป็นจุดดึงดูดหรือหาสินค้าอะไรก็ได้ที่จะดึงลูกค้าเหล่านั้นไว้ และมีของติดมือกลับบ้าน 

แต่ไม่ง่ายเมื่อนำแบบทดสอบนี้มาใช้กับการศึกษาในโรงเรียน เห็นชัดมากว่าเด็กกลุ่มหนึ่งถูกจัดว่าเป็นเด็กหลังห้อง เพราะไม่สนใจเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาไม่เฉลียวฉลาด แต่อาจเพราะไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือดึงดูดใจมากพอที่จะให้พวกเขาสนใจ และเดินจากห้องเรียนไปด้วยความว่างเปล่าเช่นกัน 

เรากำลังเผชิญกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การผลิตเกิดขึ้นทุกวันคราวละมากๆ ทักษะเดิมหรือความรู้เก่าคงไม่พอกับความท้าทายที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ นักเรียนมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าห้องเรียนอยู่ในมือ ครูจึงต้องสอนเด็กให้เหมือนกับว่า ถ้าไม่ได้เรียนวิชานี้จะทำให้พลาดเรื่องดีๆ ในชีวิตไป หรือจำลองว่าเป็นวิชาที่จะเป็นเครื่องมือหากินตลอดชีพ โรงเรียนจึงต้องเตรียมเด็กสำหรับอนาคตที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลง เด็กสามารถแก้ปัญหาและรู้วิธีจัดการกับปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน ความสำเร็จของการศึกษาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าผลิตองค์ความรู้ซ้ำ แต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ตรงหน้า อยู่ที่การคิดการวิเคราะห์ปัญหา แก้ไข และลงมือปฏิบัติจริง 

ยิ่งสังคมเข้าสู่ยุค knowledge based society เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เราจึงต้องเร่งลูกหลานของเราให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสามารถออกไปแข่งขันกับโลกภายนอกได้ 

องค์ความรู้ในด้านต่างๆ ได้รับการพัฒนาและมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี การแพทย์ที่ล้ำสมัยและก้าวหน้าล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การดัดแปลงทางพันธุกรรม อุตสาหกรรมแต่ละแขนงต่างพัฒนาและแข่งขันภายใต้บริบทแห่งการเรียนรู้ 

ประธานาธิบดีบารัก โอบามา มักพูดเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสังคมอเมริกันต้องพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อพร้อมสำหรับการแข่งขัน หรือมีความพยายามถอดบทเรียน เลียนแบบรูปแบบการศึกษาของแต่ละประเทศมาประยุกต์ให้เหมาะสม ตัวอย่างโรงเรียนไทยหลายแห่งได้ไปศึกษาดูงานระบบการศึกษาในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ แล้วนำหลักสูตร

เหล่านั้นมาใช้กับโรงเรียนของตนเอง 

เพราะเชื่อว่าพวกฝรั่งมีแนวคิดด้านการศึกษาที่พัฒนาไปไกลกว่าเราหลายเท่าตัว หรือแม้กระทั่งในไทย ปัจจุบันเริ่มเห็นแล้วว่า ระบบการศึกษาไม่ตอบสนองต่อการเรียนรู้ของเด็กและสร้างภาวะกดดันและความเครียดให้กับเด็ก ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ จึงเกิดการศึกษาทางเลือกมากมายที่ให้ผู้ปกครองไม่ต้องหวังพึ่งแต่การศึกษาในระบบเท่านั้น 

โรงเรียนทางเลือก จึงเข้ามาเป็นตัวแปรในระบบการศึกษาไทย ที่ไม่เพียงแต่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ชี้วัดให้กับระบบการศึกษาไทยที่มีการพัฒนาไปในทิศทางที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่ติดกรอบความคิดของเด็กไว้แต่ในห้องเรียน เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการทำกิจกรรมที่หลากหลาย ได้อยู่กับธรรมชาติที่จะช่วยสร้างจินตนาการได้มากกว่าในห้องอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด เมื่อมีการศึกษาทางเลือก เราก็ยังกล้าบอกได้ว่า การศึกษาไทยไม่หยุดนิ่งหรือถูกแช่แข็งหรือถอยหลังเข้าคลองเสียทีเดียว แต่มียังพอมีความหวังให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ในอนาคตอาจกลายเป็นกระแสหลัก ปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในแนวทางที่น่าจะดีขึ้นได้ 

ขณะเดียวกัน คุณภาพการศึกษาที่ดี

นำไปสู่การกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้จะช่วยพัฒนาองค์ความรู้ ต่อยอดไปสู่การพัฒนาในระดับต่อไป ผลลัพธ์คือ เกิดการเรียนรู้อย่างไม่จบสิ้น ผู้เรียนมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ที่มากขึ้น สมมติ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ มีสิ่งเร้าที่อยากให้เด็กลงมือทดลอง เมื่อทดลองไปขั้นหนึ่งอาจเกิดความผิดพลาดทางการทดลอง เกิดการทดลองซ้ำ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดการตั้งสมมติฐานใหม่ และนำไปสู่การทดลองในขั้นตอนต่อไป นี่คือบทสรุปของการเรียนรู้

ที่สัมฤทธิผล เกิดความงอกงามทางความคิด ต่อยอดทางการกระทำ เรียนรู้ไม่จบสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในสังคมแห่งการเรียนรู้ และเมื่อไปถึงจุดนี้ได้ ความสำเร็จในการศึกษาเกิดขึ้น 

เกิดอำนาจในมือ นำไปสู่การพัฒนาประเทศ และโอกาสในการแข่งขันกับภายนอกได้อย่าง

ไม่ยากเย็นนัก   

หลายปีที่ผ่านมา จึงได้เห็นความพยายามของโลกในการพัฒนาและทุ่มงบประมาณให้เกิดขึ้นในระบบการศึกษาไม่แต่กับเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาแล้วเท่านั้น อย่างบางประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ยากจน ก็เชื่อว่า รัฐบาลต่างพยายามพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับคนในประเทศ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม  

ความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาของประเทศเหล่านั้น แม้ไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ นิวซีแลนด์ แต่นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าที่ผ่านมา เมื่อเทียบแล้วจำนวนเด็ก 184 ล้านคนได้เข้าเรียนในปฐมวัย ในมาลี กินี เซียร์ราลีโอน เบนิน เอธิโอเปีย โมซัมบิก 

มีเด็กที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% นับว่าเป็นข่าวดีและเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศเหล่านั้นที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะเปิดโอกาสและพัฒนาการศึกษาของรัฐบาลให้มีคุณภาพมากขึ้น อัตราการ

เข้าเรียนเพิ่มขึ้น 27% ทั่วโลก โดยที่จำนวนเยาวชนที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนลดลงจาก 99 ล้านคน

ในปี 2542 เป็น 63 ล้านคนในปี 2555 

การศึกษาที่ดีจึงไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านการพัฒนาบุคลากรเท่านั้น แต่ตอบโจทย์ความเจริญก้าวหน้าในระบบเศรษฐกิจ สังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีการศึกษา และร่ำรวยวัฒนธรรม ประชากรของประเทศมีคุณภาพ

Case 

บริษัทใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ให้การสนับสนุนบุคลากรไทยเนื่องจากเห็นศักยภาพของการที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงต้องการบุคลากรไทยเป็นจำนวนมากเข้ามาในระบบสายพานการผลิต แต่กระบวนการเรียนของไทยยังต้องได้รับการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา 

ฟอร์ด มอเตอร์ เข้ามาลงทุนในไทยโดยต้องการเพิ่มจำนวนพนักงานในประเทศที่เข้าไปลงทุน เปิดสำนักงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และแอฟริกา โดยตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคที่กรุงเทพฯ พร้อมความร่วมมือในการผลิตกับ Mazda manufacturing และ Auto Alliance Thailand (AAT) โดยจะว่าจ้างพนักงานพวก white collar ที่มีทักษะที่เหมาะสมกับงาน 

การทำธุรกิจในไทยขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถ แม้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์และมีศักยภาพที่พร้อมจะเติบโต และฟอร์ดต้องการร่วมมือกับ

คนไทยมาก แต่ติดตรงปัญหาที่ว่าทักษะแรงงานไทยเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ไทยไม่สามารถก้าวไปได้ไกลกว่านี้

ฟอร์ดได้จ้างพนักงานท้องถิ่นจำนวน 100 คน 

ในกรุงเทพฯ โดยมีการแนะแนวทางในการทำงานกับคนไทยเรื่องระบบการทำงานกับฟอร์ด ทักษะการสื่อสาร ประสบการณ์การทำงาน และเรียนรู้ในการแก้ปัญหา โดยได้อธิบายลักษณะการทำงานของฟอร์ดในต่างประเทศ การทำงานในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกา อเมริกาเหนือยุโรป ที่มีความแตกต่างกันด้วยลักษณะทางกายภาพ เพื่อให้เข้าใจสภาพการทำงานของแต่ละที่ 

ฟอร์ดแสวงหาพนักงานที่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษ พูดและเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังได้กล่าวถึงประโยชน์ของการเป็นอินเทิร์นชิป (internship) ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา มีการส่งนักเรียนไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีการสำรวจโดย Vault พบว่า มากกว่า 84% นักศึกษาสหรัฐฯ อย่างน้อยไปเป็นอินเทิร์นชิป สำหรับไทย ฟอร์ด และบริษัทอื่นๆ เริ่มต้นเสนอให้มีการทำอินเทิร์นชิปกับนักเรียนที่มีคุณสมบัติ

ที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจกับไทย ต้องพึ่งพามหาวิทยาลัยจะเป็นสื่อกลางอำนวยความสะดวกในด้านการเรียนจะเป็นผู้ที่กระตุ้น

ผู้เรียนได้ในอนาคต

เด็กไทยจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาอย่างซับซ้อน โดยฟอร์ดได้อธิบายให้เห็นถึงความซับซ้อนในงานออกแบบในอุตสาหกรรมการผลิตและการตลาดยานยนต์ การนำรถที่ตลาดต้องการมาเป็นกลยุทธ์ในการคิดให้พนักงานได้ร่วมคิดและสร้างสรรค์ไอเดีย ประกอบกับการตัดสินใจที่สัมพันธ์กันและความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างคนที่ทำงาน

ความคิดสร้างสรรค์มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างมากในสังคมแห่งการเรียนรู้ 

แต่วัฒนธรรมไทยส่งผลเสียต่อการทำงานของพนักงาน เนื่องจากไม่ได้สอนให้พวกเขามีทักษะในการคิดเอง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะในการทำงานต่อโลกสมัยใหม่ 

“ไม่ว่าจะปฏิรูปอย่างไรต้องให้ทันกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะกว่าแรงงานใหม่จะเข้าสู่ตลาดใช้เวลาเป็นปี” 

ดังกล่าวข้างต้นเป็นการสะท้อนภาพการศึกษาไทยที่วัดจากประสิทธิภาพของแรงงานไทยที่ทำงานให้กับบริษัทต่างชาติ นับว่าเป็นการมองภาพจากภายนอกเข้ามา จึงทำให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของการศึกษาไทยที่ยังต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อการเติบโตและการมีประชากรที่มีคุณภาพในประเทศ 

ท้ายสุดแล้ว การศึกษาคือการลงทุนในคนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ดีขึ้นกว่าเดิม

 

“เรารู้ถึงอำนาจการศึกษาที่จะขจัดความยากจน เป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” 

Irina Bokova Director-General UNESCO

เวลาเราไปห้างสรรพสินค้า จะเห็นว่าลูกค้า 40 คน จาก 100 คนเดินออกจากห้างด้วยมือเปล่า  ทำให้เจ้าของห้างต้องคิดแล้วว่าจะขายอะไรที่เป็นจุดดึงดูดหรือหาสินค้าอะไรก็ได้ที่จะดึงลูกค้าเหล่านั้นไว้ และมีของติดมือกลับบ้าน 

 

แต่ไม่ง่ายเมื่อนำแบบทดสอบนี้มาใช้กับการศึกษาในโรงเรียน เห็นชัดมากว่าเด็กกลุ่มหนึ่งถูกจัดว่าเป็นเด็กหลังห้อง เพราะไม่สนใจเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาไม่เฉลียวฉลาด แต่อาจเพราะไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือดึงดูดใจมากพอที่จะให้พวกเขาสนใจ และเดินจากห้องเรียนไปด้วยความว่างเปล่าเช่นกัน 

 

เรากำลังเผชิญกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การผลิตเกิดขึ้นทุกวันคราวละมากๆ ทักษะเดิมหรือความรู้เก่าคงไม่พอกับความท้าทายที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ นักเรียนมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าห้องเรียนอยู่ในมือ ครูจึงต้องสอนเด็กให้เหมือนกับว่า ถ้าไม่ได้เรียนวิชานี้จะทำให้พลาดเรื่องดีๆ ในชีวิตไป หรือจำลองว่าเป็นวิชาที่จะเป็นเครื่องมือหากินตลอดชีพ โรงเรียนจึงต้องเตรียมเด็กสำหรับอนาคตที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลง เด็กสามารถแก้ปัญหาและรู้วิธีจัดการกับปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน ความสำเร็จของการศึกษาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าผลิตองค์ความรู้ซ้ำ แต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ตรงหน้า อยู่ที่การคิดการวิเคราะห์ปัญหา แก้ไข และลงมือปฏิบัติจริง 

 

ยิ่งสังคมเข้าสู่ยุค knowledge based society เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เราจึงต้องเร่งลูกหลานของเราให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสามารถออกไปแข่งขันกับโลกภายนอกได้ องค์ความรู้ในด้านต่างๆ ได้รับการพัฒนาและมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี การแพทย์ที่ล้ำสมัยและก้าวหน้าล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การดัดแปลงทางพันธุกรรม อุตสาหกรรมแต่ละแขนงต่างพัฒนาและแข่งขันภายใต้บริบทแห่งการเรียนรู้ 

 

ประธานาธิบดีบารัก โอบามา มักพูดเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสังคมอเมริกันต้องพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อพร้อมสำหรับการแข่งขัน หรือมีความพยายามถอดบทเรียน เลียนแบบรูปแบบการศึกษาของแต่ละประเทศมาประยุกต์ให้เหมาะสม ตัวอย่างโรงเรียนไทยหลายแห่งได้ไปศึกษาดูงานระบบการศึกษาในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ แล้วนำหลักสูตรเหล่านั้นมาใช้กับโรงเรียนของตนเอง 

 

เพราะเชื่อว่าพวกฝรั่งมีแนวคิดด้านการศึกษาที่พัฒนาไปไกลกว่าเราหลายเท่าตัว หรือแม้กระทั่งในไทย ปัจจุบันเริ่มเห็นแล้วว่า ระบบการศึกษาไม่ตอบสนองต่อการเรียนรู้ของเด็กและสร้างภาวะกดดันและความเครียดให้กับเด็ก ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ จึงเกิดการศึกษาทางเลือกมากมายที่ให้ผู้ปกครองไม่ต้องหวังพึ่งแต่การศึกษาในระบบเท่านั้น 

 

โรงเรียนทางเลือก จึงเข้ามาเป็นตัวแปรในระบบการศึกษาไทย ที่ไม่เพียงแต่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ชี้วัดให้กับระบบการศึกษาไทยที่มีการพัฒนาไปในทิศทางที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่ติดกรอบความคิดของเด็กไว้แต่ในห้องเรียน เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการทำกิจกรรมที่หลากหลาย ได้อยู่กับธรรมชาติที่จะช่วยสร้างจินตนาการได้มากกว่าในห้องอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด เมื่อมีการศึกษาทางเลือก เราก็ยังกล้าบอกได้ว่า การศึกษาไทยไม่หยุดนิ่งหรือถูกแช่แข็งหรือถอยหลังเข้าคลองเสียทีเดียว แต่มียังพอมีความหวังให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ในอนาคตอาจกลายเป็นกระแสหลัก ปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในแนวทางที่น่าจะดีขึ้นได้ 

 

ขณะเดียวกัน คุณภาพการศึกษาที่ดีนำไปสู่การกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้จะช่วยพัฒนาองค์ความรู้ ต่อยอดไปสู่การพัฒนาในระดับต่อไป ผลลัพธ์คือ เกิดการเรียนรู้อย่างไม่จบสิ้น ผู้เรียนมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ที่มากขึ้น สมมติ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ มีสิ่งเร้าที่อยากให้เด็กลงมือทดลอง เมื่อทดลองไปขั้นหนึ่งอาจเกิดความผิดพลาดทางการทดลอง เกิดการทดลองซ้ำ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดการตั้งสมมติฐานใหม่ และนำไปสู่การทดลองในขั้นตอนต่อไป นี่คือบทสรุปของการเรียนรู้ที่สัมฤทธิผล เกิดความงอกงามทางความคิด ต่อยอดทางการกระทำ เรียนรู้ไม่จบสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในสังคมแห่งการเรียนรู้ และเมื่อไปถึงจุดนี้ได้ ความสำเร็จในการศึกษาเกิดขึ้น เกิดอำนาจในมือ นำไปสู่การพัฒนาประเทศ และโอกาสในการแข่งขันกับภายนอกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก   

 

หลายปีที่ผ่านมา จึงได้เห็นความพยายามของโลกในการพัฒนาและทุ่มงบประมาณให้เกิดขึ้นในระบบการศึกษาไม่แต่กับเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาแล้วเท่านั้น อย่างบางประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ยากจน ก็เชื่อว่า รัฐบาลต่างพยายามพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับคนในประเทศ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม  

 

ความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาของประเทศเหล่านั้น แม้ไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ นิวซีแลนด์ แต่นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าที่ผ่านมา เมื่อเทียบแล้วจำนวนเด็ก 184 ล้านคนได้เข้าเรียนในปฐมวัย ในมาลี กินี เซียร์ราลีโอน เบนิน เอธิโอเปีย โมซัมบิก มีเด็กที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% นับว่าเป็นข่าวดีและเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศเหล่านั้นที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะเปิดโอกาสและพัฒนาการศึกษาของรัฐบาลให้มีคุณภาพมากขึ้น อัตราการเข้าเรียนเพิ่มขึ้น 27% ทั่วโลก โดยที่จำนวนเยาวชนที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนลดลงจาก 99 ล้านคนในปี 2542 เป็น 63 ล้านคนในปี 2555 

 

การศึกษาที่ดีจึงไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านการพัฒนาบุคลากรเท่านั้น แต่ตอบโจทย์ความเจริญก้าวหน้าในระบบเศรษฐกิจ สังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีการศึกษา และร่ำรวยวัฒนธรรม ประชากรของประเทศมีคุณภาพ

 

Case 

บริษัทใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ให้การสนับสนุนบุคลากรไทยเนื่องจากเห็นศักยภาพของการที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงต้องการบุคลากรไทยเป็นจำนวนมากเข้ามาในระบบสายพานการผลิต แต่กระบวนการเรียนของไทยยังต้องได้รับการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา

 

ฟอร์ด มอเตอร์ เข้ามาลงทุนในไทยโดยต้องการเพิ่มจำนวนพนักงานในประเทศที่เข้าไปลงทุน เปิดสำนักงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และแอฟริกา โดยตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคที่กรุงเทพฯ พร้อมความร่วมมือในการผลิตกับ Mazda manufacturing และ Auto Alliance Thailand (AAT) โดยจะว่าจ้างพนักงานพวก white collar ที่มีทักษะที่เหมาะสมกับงาน 

 

การทำธุรกิจในไทยขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถ แม้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์และมีศักยภาพที่พร้อมจะเติบโต และฟอร์ดต้องการร่วมมือกับคนไทยมาก แต่ติดตรงปัญหาที่ว่าทักษะแรงงานไทยเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ไทยไม่สามารถก้าวไปได้ไกลกว่านี้

 

ฟอร์ดได้จ้างพนักงานท้องถิ่นจำนวน 100 คน ในกรุงเทพฯ โดยมีการแนะแนวทางในการทำงานกับคนไทยเรื่องระบบการทำงานกับฟอร์ด ทักษะการสื่อสาร ประสบการณ์การทำงาน และเรียนรู้ในการแก้ปัญหา โดยได้อธิบายลักษณะการทำงานของฟอร์ดในต่างประเทศ การทำงานในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกา อเมริกาเหนือยุโรป ที่มีความแตกต่างกันด้วยลักษณะทางกายภาพ เพื่อให้เข้าใจสภาพการทำงานของแต่ละที่ 

 

ฟอร์ดแสวงหาพนักงานที่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษ พูดและเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังได้กล่าวถึงประโยชน์ของการเป็นอินเทิร์นชิป (internship) ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา มีการส่งนักเรียนไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีการสำรวจโดย Vault พบว่า มากกว่า 84% นักศึกษาสหรัฐฯ อย่างน้อยไปเป็นอินเทิร์นชิป สำหรับไทย ฟอร์ด และบริษัทอื่นๆ เริ่มต้นเสนอให้มีการทำอินเทิร์นชิปกับนักเรียนที่มีคุณสมบัติที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจกับไทย ต้องพึ่งพามหาวิทยาลัยจะเป็นสื่อกลางอำนวยความสะดวกในด้านการเรียนจะเป็นผู้ที่กระตุ้นผู้เรียนได้ในอนาคต

 

เด็กไทยจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาอย่างซับซ้อน โดยฟอร์ดได้อธิบายให้เห็นถึงความซับซ้อนในงานออกแบบในอุตสาหกรรมการผลิตและการตลาดยานยนต์ การนำรถที่ตลาดต้องการมาเป็นกลยุทธ์ในการคิดให้พนักงานได้ร่วมคิดและสร้างสรรค์ไอเดีย ประกอบกับการตัดสินใจที่สัมพันธ์กันและความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างคนที่ทำงาน

 

ความคิดสร้างสรรค์มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างมากในสังคมแห่งการเรียนรู้ แต่วัฒนธรรมไทยส่งผลเสียต่อการทำงานของพนักงาน เนื่องจากไม่ได้สอนให้พวกเขามีทักษะในการคิดเอง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะในการทำงานต่อโลกสมัยใหม่ “ไม่ว่าจะปฏิรูปอย่างไรต้องให้ทันกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะกว่าแรงงานใหม่จะเข้าสู่ตลาดใช้เวลาเป็นปี” 

 

ดังกล่าวข้างต้นเป็นการสะท้อนภาพการศึกษาไทยที่วัดจากประสิทธิภาพของแรงงานไทยที่ทำงานให้กับบริษัทต่างชาติ นับว่าเป็นการมองภาพจากภายนอกเข้ามา จึงทำให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของการศึกษาไทยที่ยังต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อการเติบโตและการมีประชากรที่มีคุณภาพในประเทศ 

 

ท้ายสุดแล้ว การศึกษาคือการลงทุนในคนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ดีขึ้นกว่าเดิม

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 

อาโรคยปรมา ลาภา แปลว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ พุทธปรัชญาที่เป็นความจริงอันเที่ยงแท้นี้ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้พุทธศาสนิกชนทุกคนยอมรับได้ว่า เรื่องของสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ เป็นสิ่งที่มนุษย์ ทุกเพศ ทุกวัย ควรที่จะใส่ใจและดูแลตลอดชีวิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว

 

ไม่ใช่แค่ชาวพุทธ แต่เชื่อว่า ทุกคนบนโลก ก็มองเห็นถึงความจริงข้อนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การดูแลทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สามารถเข้าถึงวิถีแห่งสุขภาพดี ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่ องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ได้กำหนดไว้เป็น 1 ใน 17 Sustainable Development Goals โดยเริ่มต้นรณรงค์ในปี 2016 และนับต่อไปอีก 15 ปี จะมุ่งเน้นไปที่การขจัดปัจจัยอันเป็นโรคร้าย อาการเจ็บป่วย ในวัยเด็กและคนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดให้หมดไป ทุกคนก็จะได้อยู่ร่วมกันท่ามกลางความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประชากรโลกก็จะเพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ 

 

นอกจากนั้น เพื่อสร้างสุขอนามัยที่ดี UN ประกาศชัดเจนว่าจะต้องสร้างการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดให้ประชากรทั่วโลก ขณะเดียวกันต้องลดจำนวนผู้ป่วยโรคร้าย อย่างโรคไข้มาลาเรีย โรควัณโรค โรคโปลิโอ ตลอดจนการแพร่กระจายของโรคเอดส์ หรือเชื้อ HIV ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงก่อโรคร้ายขึ้นให้ได้ที่กล่าวมานี้ คือทั้งหมดที่ UN วาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2030 สิ่งที่น่าคิด คือการตอบคำถามว่า แล้วระหว่างทาง นับแต่ปี 2016 เป็นต้นไป สิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการเพื่อเดินทางไปสู่จุดหมายเดียวกันของการสร้าง Well Being & Healthy World คืออะไร นั่นเป็นสิ่งที่ต้องมาคิด วิเคราะห์ กันอย่างจริงจัง

 

เริ่มจากประเด็นที่ UN ให้ความสำคัญกล่าวถึงเป็นเรื่องแรกในการมุ่งสู่ Goal นี้ คือ สุขภาพของแม่และเด็กทั่วโลก หากมองในบริบทของประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐที่พวกเราต่างทราบกันดีว่า เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลสุขภาพของคนไทยทุกเพศทุกวัย คือ กระทรวงสาธารณสุข ที่มีหน่วยงานในสังกัดอย่าง กรมอนามัย

 

กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นต้น ที่มีหน้าที่ร่วมกันในการวางแผน ยุทธศาสตร์สุขภาพกระทรวงสาธารณสุขด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในแต่ละปีงบประมาณ โดยในปีงบประมาณล่าสุดคือ ปี 2557 นั้น ปรากฎข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า หญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศ ฝากครรภ์คุณภาพ 5 ครั้งตามเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 61.80 ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วก็เป็นอัตราที่เกินครึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเพราะรัฐบาลจัดให้มีโครงการฝากท้องทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ์ ด้วยบัตรสุขภาพแม่และเด็ก เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตั้งแต่ปี 2556 ที่ให้โอกาสหญิงไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการฝากครรภ์คุณภาพ ที่ต้องครบ 5 ครั้งตามระยะเวลาที่กำหนดในมาตรฐานสากล จนกว่าจะคลอด 

 

ระบบนี้สามารถดูแล ตรวจคัดกรองความเสี่ยงต่างๆ เพื่อลดปัญหาพัฒนาการเด็กล่าช้า ไปจนถึงการติดตามผล ดูแลสุขภาพเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ขวบ เพื่อให้เด็กเติบโตสมวัย ได้รับวัคซีนครบถ้วน ซึ่งช่วยลดปัญหาได้มากมาย เช่น แม่มีอัตราการขาดสารไอโอดีน ภาวะโลหิตจาง ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมีภาวะดาวน์ซินโดรม ภาวะพร่องไทรอยด์แต่กำเนิด ไปจนถึงเด็กติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

ไม่ใช่แค่ภาครัฐเท่านั้น หากแต่ยังมีองค์กรธุรกิจภาคเอกชนที่เห็นความสำคัญในประเด็นสุขภาพแม่และเด็กนี้  ขอยกตัวอย่าง โครงการ CSR ในรูปแบบของการตอบแทนคืนกลับให้กับสังคมของ บริษัท พีชชี่ วิลเล็จ จำกัด ผู้คิดค้นและจัดจำหน่ายอาหารเสริมสำหรับเด็กแบรนด์พีชชี่ ที่ได้ร่วมมือกับภาคการศึกษาอย่างภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดโครงการ “Feed For The Future” เพื่อพัฒนาหลักสูตรอบรมแนวใหม่ด้านโภชนาการ มอบความรู้ที่ถูกต้องให้แก่คุณแม่ตามศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ เพื่อให้แม่มีความรู้และตระหนักในการมอบโภชนาการที่ดีให้กับลูก 

 

หากพิจารณาโครงการนี้นับว่าเป็นความตั้งใจดีของภาคธุรกิจที่สานความร่วมมือกับภาคการศึกษาไทย ซึ่งนับว่าตอบโจทย์ปัญหาระดับโลกตามที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ของ UN ได้ตรงประเด็น นั่นคือ “เด็กที่เกิดจากแม่ที่รับการศึกษา แม้จะแค่ชั้นประถมศึกษา จะเติบโตได้ดีกว่าเด็กที่เกิดจากแม่ที่ไม่มีการศึกษาเลย” ดังนั้น การที่โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักที่จะเชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้กับคุณแม่ผู้ด้อยโอกาส มีฐานะยากจน และมีการศึกษาที่ไม่สูงนัก ในชุมชนแออัดคลองเตย ให้ได้เรียนรู้หลักสูตรโภชนศึกษาแนวใหม่โดยใช้สื่อการสอนที่จูงใจและเข้าใจง่าย เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกับการเลี้ยงดูลูกด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ก็มีส่วนช่วยให้เด็กที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด ที่จากเดิม มักจะได้กินอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วน จนเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะทุพโภชนาการ ได้มีโอกาสเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพและสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นได้ในที่สุด

 

ต่อมาในบทบาทของการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้าย นอกจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่กล่าวถึงไปข้างต้นแล้ว ยังมี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกองทุน ซึ่งนับแต่ก่อตั้งโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ก็เดินหน้าตามภารกิจที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า 

 

“สสส. เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ริเริ่ม ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดีครบ 4 ด้าน กาย จิต ปัญญา สังคม และร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่”

 

ที่ผ่านมา สสส. ดำเนินการตามภารกิจที่มอบหมายมานี้ ด้วยกลไกที่น่าสนใจอย่างการสื่อสารผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ทั้งหลาย โดยใช้เครื่องมือที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่อย่างการสื่อสารด้วยการ์ตูนแอนิเมชัน สโลแกนสั้นๆแต่โดน อย่าง “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” หรือแม้แต่สร้างสรรค์สื่อเข้าใจง่ายในแนว Info graphic ควบคู่ไปกับการเดินทางไปสนับสนุนกิจกรรม กีฬา ต่างๆ ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ที่คุ้นหูเห็นจะเป็น การร่วมจัดงานในธีมปลอดเหล้า ไม่ว่าจะเป็น กฐินปลอดเหล้า รับน้องปลอดเหล้า แข่งเรือปลอดเหล้า สงกรานต์ปลอดเหล้า ฯลฯ ที่...ปลอดเหล้าอีกมาก ที่แม้จะห้ามไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้าที่ไม่มีโครงการนี้ได้ไม่มากก็น้อย

 

ด้วยการกำหนดให้มีหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบชัดเจนด้านการรณรงค์ ที่คาดหวังผลเป็นสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชากรชาวไทยตามแนวทาง Sustainable Development Goals ของ UN เรื่องของการให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจด้านนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วง หากแต่สิ่งที่ต้องเน้นให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่ UN ได้แนะนำไว้ ต่อไปนี้ต่างหาก

 

• การสาธารณสุขต้องเข้าถึงกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส มีฐานะยากจน หรืออยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพิ่มมากขึ้น 

 

• ต้องมีการสื่อสารถึงคำเตือน วิธีการป้องกัน ภาวะโรคร้ายที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ในประเทศกำลังพัฒนาอย่างทันการณ์

 

• ส่งเสริมให้เกิดวงจรคุณภาพของคนทำงานที่จะขับเคลื่อนในเรื่องสุขภาพให้ครบวงจรและเพียงพอต่อความต้องการของประชากร

 

• สร้างสรรค์งานวิจัยทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์ประเด็นด้านสาธารณสุขของประเทศ รวมถึงคิดค้น วิจัย วัคซีน ยา เพื่อป้องกันและรักษาโรค ทั้งโรคที่มีสาเหตุ และโรคที่ยังหาสาเหตุไม่ได้

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ  

X

Right Click

No right click