

จุดพลิกผัน: มีจำนวนประชากรใช้สมาร์ตโฟนมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรโลก
ภายในปี 2025: 81 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันนี้จะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
ในปี 2012 ทีมงาน Google Inside Search ได้เปิดเผยว่า “ต้องใช้การประมวลผลเพื่อตอบข้อคำถาม (Query) ของ Google Search หนึ่งคำถามมากพอๆ กันกับการประมวลผลที่ทำให้โปรแกรมของยานอพอลโลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นในระหว่างขึ้นบินและอยู่ภาคพื้นดินเลยทีเดียว!” นอกจากนี้สมาร์ตโฟนและแทบเล็ตในปัจจุบันยังมีความสามารถในการประมวลผลมากกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยรู้จักก่อนหน้านี้ซึ่งเคยครอบครองพื้นที่ห้องทั้งหมด (ที่ต้องใช้เป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งมัน) เสียอีกคาดกันว่ายอดผู้ใช้บริการสมาร์ตโฟนทั่วโลกจะมียอดรวมทั้งสิ้น 3.5 พันล้านคนภายในปี 2019 หรือสามารถเจาะเข้าถึงประชากรโลกประมาณ 59 เปอร์เซ็นต์ แซงยอดของปี 2017 คือ 50 เปอร์เซ็นต์ และมีการเติบโตจากอัตราของปี 2013 ซึ่งเดิมอยู่ที่ระดับ 28 เปอร์เซ็นต์อย่างมาก ตัวอย่างเช่นที่ประเทศเคนยา บริษัท Safaricom ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ชั้นนำของประเทศรายงานว่ายอดขายสมาร์ตโฟนในปี 2014 คือ 67 เปอร์เซ็นต์ ส่วน GSMA พยากรณ์ว่าแอฟริกาจะมีจำนวนผู้ใช้สมาร์ตโฟนเกินกว่า 500 ล้านคนภายในปี 2020
การเปลี่ยนแปลงในส่วนของอุปกรณ์นั้น เกิดขึ้นบ้างแล้วในหลายๆ ประเทศทั่วทุกทวีป (โดยมีเอเชียนำกระแสอยู่ในปัจจุบัน) เพราะมีคนหันมาใช้สมาร์ตโฟนแทนเครื่องพีซีกันมากขึ้น และเมื่อเทคโนโลยีทำให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่มีความสามารถในการประมวลผลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ราคาของเครื่องลดลงด้วย เช่นนี้แล้วการใช้สมาร์ตโฟนจึงมีแต่จะเพิ่มขึ้น
จากการเปิดเผยของ Google พบว่าประเทศในรูปที่ 2 มีการใช้สมาร์ตโฟนสูงกว่าพีซี

ทั้งนี้ ประเทศอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) มีแนวโน้มที่จะเข้าถึงจุดพลิกผันของการมีประชากรวัยผู้ใหญ่ที่ใช้สมาร์ตโฟนเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์มากที่สุด (รูปที่ 3)
สังคมกำลังมุ่งหน้าสู่การใช้เครื่องจักรที่ทำงานได้เร็วขึ้น เป็นเครื่องจักรที่ช่วยผู้ใช้ให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่ยุ่งยากได้ในระหว่างการเดินทาง สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือจำนวนของอุปกรณ์ที่แต่ละคนใช้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ใช่เฉพาะการทำหน้าที่ใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังมีความชำนาญในการปฏิบัติงานเฉพาะด้านด้วย
ผลกระทบเชิงบวก
- ประชากรผู้ด้อยโอกาสซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือด้อยพัฒนามีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจมากขึ้น (“โครงข่ายที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง”)
- เข้าถึงการศึกษา บริการด้านการดูแลสุขภาพและบริการของรัฐบาล
- การมีตัวตน
- เข้าถึงทักษะ มีโอกาสได้รับการจ้างงานมากขึ้น ประเภทของงานเปลี่ยนไป
- ขนาดตลาด/การค้าอิเล็กทรอนิกส์ขยายขึ้น
- มีข้อมูลมากขึ้น
- การมีส่วนร่วมของพลเมืองมากขึ้น
- การพัฒนาสู่ความเป็นประชาธิปไตย/ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
- “เครือข่ายที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง” (Last Mile) จะช่วยให้ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับการชี้นำในทางที่ผิดและการเกิดภาวะเสียงก้องในห้องแคบนั่นเอง
ผลกระทบเชิงลบ
- มีการชี้นำในทางที่ผิดและเกิดภาวะเสียงก้องให้ห้องแคบ
- การแตกแยกทางการเมือง
- Walled Garden (การให้บริการในสภาพแวดล้อมแบบจำกัด, สำหรับผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น) ไม่อนุญาตให้มีการเข้าถึงอย่างเต็มที่ในบางภูมิภาค/ ประเทศ
ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
- 24/ 7 ออนไลน์ได้ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืนและ 7 วันในสัปดาห์
- ขาดการแบ่งแยกระหว่างเรื่องธุรกิจกับเรื่องส่วนตัว
- จะอยู่ที่ไหนก็เข้าถึงได้ทุกที่
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเนื่องจากการผลิตจำนวนมาก

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์
ปี 1985 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Cray-2 คือเครื่องจักรซึ่งทำงานเร็วที่สุดในโลก แต่ไอโฟน 4 ซึ่งออกวางตลาดเดือนมิถุนายน ปี 2010 กลับมีความสามารถในการทำงานเทียบเท่า Cray-2 ปัจจุบันแอปเปิลวอตช์ทำงานเร็วได้เท่ากับไอโฟน 4 สองเครื่องในเวลาแค่ห้าปีให้หลัง และในขณะที่ราคาขายปลีกของสมาร์ตโฟนร่วงลงเหลือไม่ถึง 50 ดอลลาร์ ประสิทธิภาพในการประมวลผลของมันกลับพุ่งทะยานและเป็นที่ยอมรับในตลาดเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว อีกไม่นานคนก็จะมีซูเปอร์คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในกระเป๋ากันแทบทุกคน
ที่มา: HYPERLINK “http://pages.experts-exchange.com/processing-power-compared/” http://pages.experts-exchange.com/processing-power-compared/
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
การที่สตาร์ตอัพจะประสบความสำเร็จได้ นอกจากแนวคิดธุรกิจที่เหมาะสม ทีมงานมีส่วนผสมผสานลงตัว รวมถึงเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจเล็กๆ ที่พร้อมจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด การสนับสนุนด้วยคำแนะนำ มุมมองในการทำธุรกิจด้านต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ลดการลองผิดลองถูก เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
โครงการ ดีแทค แอคเซล เลอเรท เป็นโครงการบ่มเพาะสตาร์ตอัพที่ได้รับการยอมรับในประเทศไทย จนปัจจุบันมีการบ่มเพาะสตาร์ตอัพไปแล้ว 5 รุ่น ด้วยหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้การทำธุรกิจแบบ Tech Startup เช่นเดียวกับหลักสูตรที่มีในซิลิคอน วัลเล่ย์ สตาร์ตอัพในโครงการสามารถระดมทุน
ได้อย่างต่อเนื่องมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสตาร์ตอัพในภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะสตาร์ตอัพของดีแทค แอคเซลเลอเรท คือการเชิญกูรูในวงการสตาร์ตอัพที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกมาร่วมแชร์ความรู้และประสบการณ์กับทีมสตาร์ตอัพที่เข้าร่วมโครงการ คนเหล่านี้มาบอกเล่าแนะนำเรื่องราวอะไรให้กับสตาร์ตอัพชาวไทย เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เริ่มด้วย Ash Maurya (แอช มารียา) เจ้าของแนวคิด Lean Canvasที่มาแบ่งปันเรื่องการทำแผนธุรกิจให้ครอบคลุมทุกมิติ ด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว โดยเน้นให้แผนธุรกิจนั้น สามารถนำไปใช้ได้จริง ชัดเจน ลดความเสี่ยงจากความ
ผิดพลาด และความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจ ด้วยการเริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไม”
Lean canvas เป็นตัวช่วย ให้สตาร์ตอัพทำธุรกิจได้โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการทดลอง จากสมมติฐานที่สตาร์ตอัพกำหนดขึ้น ทำให้การนำแผนไปใช้ในเชิงธุรกิจจริงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากสภาวะแวดล้อมที่ไม่คาดคิดได้ ซึ่งนี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อดีตสตาร์ตอัพอย่าง Facebook หรือ Dropbox เติบโตกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกได้ปัญหาของสตาร์ตอัพที่ไปไม่ถึงฝันส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่เข้าใจปัญหาในธุรกิจที่ทำอย่างถ่องแท้ ทำให้ธุรกิจที่สร้างขึ้นมา ไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เสียทั้งเวลาและเงินทุน เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่ไม่ตรงกับ
ความต้องการของผู้บริโภค การทดลองด้วยการหาทางแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ตอบสนองกลุ่มคนที่ชอบทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อทดลองตลาดและนำผลมาพัฒนาสินค้าและบริการต่อไป
ปัจจัยสำคัญของ Lean canvas อีกประการคือ การกำหนดดัชนีชี้วัดที่สำคัญ (Key metrics) ในการดำเนินธุรกิจ
ที่ชัดเจนและประเมินผลได้ง่าย โดยควรกำหนดเพียงแค่ 1-2 ดัชนีที่ตอบโจทย์หัวใจของธุรกิจ จากยุคดั้งเดิมที่กำหนดดัชนีชี้วัดการประเมินผลไว้อย่างมากมาย โดยที่ดัชนีเหล่านั้นไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ
แอชมองวงการสตาร์ตอัพไทยว่า
ยังคงเน้นทำธุรกิจในลักษณะ Marketplace
เป็นส่วนใหญ่ สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์และบริการส่งไปถึงมือผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายได้ ทั้งนี้ การที่จะทำให้เกิดยูนิคอร์น หรือสตาร์ตอัพที่มีมูลค่า
เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ได้นั้น จำต้องคิดถึงวิธีการที่ช่วยแก้ปัญหาของคนทั้งโลก ไม่ใช่เพียงประเทศไทยเท่านั้น
ต่อกันที่ Nir Eyal (เนียร์ อียาล)
ผู้เขียนหนังสือ “Hook: How to Build Habit-Formaing Product” หนังสือขายดี
ในหมวดหมู่ออกแบบของ amazon.com อาจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้กับสตาร์ตอัพทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Facebook, Instagram Twitter และ Linkedin เป็นต้น
เนียร์บอกว่า ผลิตภัณฑ์ที่จะประสบความสำเร็จต้องสามารถดึงดูดความสนใจนักลงทุน มีศักยภาพในการเติบโต สร้างความผูกพันระหว่างผู้ใช้กับผลิตภัณฑ์ และทำเงินได้จากฐานลูกค้าที่มี ด้วยความเข้าใจและเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค
เขาให้คำแนะนำเรื่องการออกแบบ เพื่อให้ผู้บริโภคกลับมาใช้งานซ้ำ โดยแบ่งโมเดล Hook เป็นขั้นตอนว่า จะเริ่มด้วย Trigger แรงกระตุ้นซึ่งแบ่งเป็นแรงกระตุ้นภายนอกและภายในตัวคน Action การกระทำ เพื่อจัดการกับแรงกระตุ้น หรือ
การใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ Variable Reward คือ รางวัลที่ผู้ใช้งานได้กลับไป เช่นได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนที่ไม่รู้มาก่อน และขั้นสุดท้ายคือ Investment การลงทุน ที่ผู้บริโภคยอมออกแรง มีส่วนร่วมกับสินค้าหรือบริการ เช่นกดไลค์ กดแชร์
กลายเป็นแรงกระตุ้นภายนอกไปสู่ผู้บริโภครายอื่นต่อไป โดยพฤติกรรมเช่นนี้
จะเกิดขึ้นวนไปเรื่อยๆ
สตาร์ตอัพไทยที่ได้เรียนรู้จากเนียลบอกว่าเนื้อหาที่ได้จากการพูดคุยอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถนำไปปรับปรุงสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ในการเข้าใจกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
เนียลในฐานะที่มาแบ่งปันความรู้ที่ดีแทค แอคเซล เลอเรท 4 ปีมาแล้ว ให้ความเห็นว่าคุณภาพของสตาร์ตอัพในโครงการดีขึ้นทุกๆ ปี สภาพแวดล้อมที่จะส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ตอัพก็มีการพัฒนาขึ้น เริ่มเห็นรายที่เก่งๆ ประสบความสำเร็จระดมทุนไปลงทุนต่อได้
โดยสิ่งที่ประเทศไทยควรสร้างคือวัฒนธรรมการเป็นสตาร์ตอัพ ที่ต้องลดความกลัวในใจลง ด้วยความคิดว่า สามารถล้มได้และมีความกล้าที่จะทำ
คำแนะนำของเขาคือให้มองหาตลาดที่มีขนาดใหญ่ สามารถขยายได้ ควรรู้เรื่องผลิตภัณฑ์และลูกค้าให้ลึกซึ้ง เข้าถึงจิตใจของ
ผู้บริโภค เข้าใจความคิดของลูกค้า พยายามทำธุรกิจที่คู่แข่งรายอื่นเข้ามาได้ยาก เมื่อลูกค้านึกถึงก็จะคิดถึงเราก่อน และข้อสุดท้ายคือการหาผู้ร่วมงานที่เป็นทีมไปด้วยกันได้แบบคู่ชีวิต
อีกคนที่เข้ามาให้ความรู้คำแนะนำกับสตาร์ตอัพไทยคือ Bjorn Lee (บียอร์น ลี) ที่มาพูดเรื่อง Growth Hacking
ช่วยให้สตาร์ตอัพไทยมองหาโอกาสที่มากกว่าแค่ภายในประเทศ ขยายธุรกิจของตัวเองต่อยอดไปยังตลาดที่กว้างขึ้น ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้เทคนิคและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน เป็นฐานลูกค้าที่เติบโตต่อไปโดยใช้ต้นทุนไม่มาก 10 เทคนิคที่เขาแนะนำประกอบด้วย
1. Pick the right battle (fields) หรือ การใช้แพลตฟอร์มทางการตลาดที่ถูกต้อง เช่น สินค้าหรือบริการต้องอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ใช้ง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
2. Make ads your drones หรือ การใช้สื่อโฆษณาที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าและบริการที่สามารถสื่อสารและสร้างจุดเด่นของแบรนด์ได้อย่างง่าย เช่น การใช้ influencers เป็นกระบอกเสียง
3. Everyone is lazy. YouTube หรือ การสร้างจุดเด่นของสินค้าและบริการในระยะเวลาอันสั้น ปัจจุบันแบรนด์ต้องสร้าง content เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว การใช้ VDO บน YouTube หรือ Facebook ที่สั้น กระชับและตรงประเด็น จะช่วยให้ลูกค้าเกิดความสนใจในสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
4. Be a great artist. Steal your competitors PR strategy หรือ การเรียนรู้กลยุทธ์ทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์จากคู่แข่ง เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในอนาคต
5. Associate with brands cheaply. Hire freelancers smartly หรือ การจัดหาจัดจ้างฟรีแลนซ์ที่มีประสบการณ์
มาช่วยในการทำงานและไว้ใจได้ เพื่อช่วยสร้างกำไรและธุรกิจในอนาคต
6. Positioning for media & mainstream : frame your shit in “X “for “Y” term หรือ ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารที่ง่าย ฉับไว เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ง่ายและใช้ง่าย
7. 80-20 rule for cold emails หรือ การใส่ key message ที่สำคัญไว้บน subject ของอีเมล เพื่อสร้างจุดเด่นและทำให้ลูกค้าเข้าใจง่าย ชัดเจน และทำให้ลูกค้ารับสาร
ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเวลาที่จำกัดของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
8. Fake it till you make it หรือการสร้างชุมชนเล็กๆ เพื่อให้คนอื่นๆ ที่อยากเข้ามาได้เห็นว่ามีผู้ใช้งานอยู่ โดยอาจจะเริ่มจาก ครอบครัว เพื่อน หรือ คนรู้จักเข้ามาคอมเมนต์ โพสต์ หรือ แชร์เรื่องราวต่างๆ บนโลกออนไลน์ เพื่อให้คนหมู่มากได้เห็นในอนาคตเพิ่มขึ้น
9. Plant seeds in forum หรือ การเข้าเป็น
ส่วนหนึ่งของชุมชนที่สามารถช่วยแก้ปัญหาและ
ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ เพื่อที่แบรนด์จะได้เข้าใจและรับรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไรซึ่งเขา
บอกว่าข้อนี้สำคัญมากสำหรับสตาร์ตอัพที่จะขยายฐานลูกค้าต่อไป
10. Paying for traffic หรือ การใช้เงินเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การซื้อสื่อบน Facebook หรือ
การทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ได้ลูกค้า 1 ราย
และเปรียบเทียบกับความคุ้มในระยะยาวของบริษัท
โดยเขาบอกว่าสตาร์ตอัพแต่ละรายจะต้องเลือกว่าจะทำอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเอง พยายามทดลองทำอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้สตาร์ตอัพไทยควรจะคิดถึงเรื่องการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ สามารถเข้าใจ
และตอบปัญหาของผู้บริโภคได้ ศึกษาตลาด หากลยุทธ์และวิธีการทำการตลาดเพื่อครองใจผู้บริโภค
ปิดท้ายด้วย Jeffrey Paine (เจฟฟรี เพย์น) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลงทุน Golden Gate Ventures ที่ลงทุนสตาร์ตอัพ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วกว่า 25 บริษัทรวมถึง
สตาร์ตอัพในประเทศไทย และยังมีแผนจะลงทุนอย่างต่อเนื่อง
มาเล่าเรื่องด้านของผู้ลงทุนต่างชาติ ถึงปัจจัยที่จะนำเงินมาร่วมลงทุนกับสตาร์ตอัพว่าประกอบไปด้วย
การทำงานเป็นทีม การมีทีมงานที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเปิดใจพร้อมที่จะถูกเทรนหรือโค้ชตลอดเวลา และมีความ
มุ่งมั่นในการทำธุรกิจและมีความโฟกัสในการทำธุรกิจของตัวเอง โอกาสการทำธุรกิจหรือ
ตลาดใหม่ๆ สามารถทำกำไรได้ ยอดขายของธุรกิจว่ามีอัตราการเติบโตมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเข้าใจมูลค่าทางธุรกิจของตนเอง
การป้องกันธุรกิจของตนเอง ธุรกิจ
ที่ทำนั้นง่ายต่อการลอกเลียนแบบหรือไม่ มีกระบวนการป้องกันและการสร้างความแตกต่าง
มีความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจและต้องคำนวณเรื่องการใช้เงินว่าต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนกว่าจะคืนทุน
ประเทศหรือผู้ลงทุนต่อเนื่อง มีผู้ลงทุนในตลาดเพียงพอหรือไม่เพื่อที่จะให้สตาร์ตอัพไต่ไประดับที่สูงขึ้น เป็นบริษัทที่มีผู้ลงทุนอื่นให้ความสนใจหรือไม่ และเป้าหมายของสตาร์ตอัพว่าในที่สุดแล้วจะขายกิจการ หรือเอากิจการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่
เจฟฟรีแนะนำสตาร์ตอัพไทยว่า ให้เป็นตัวของตัวเอง บอกจุดแข็งของตัวเองและมีความจริงใจต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ควรจะพัฒนาเรื่องของภาษาอังกฤษและออกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อหามุมมองการทำธุรกิจที่กว้างมากขึ้น สามารถตอบโจทย์ธุรกิจระดับสากลและภูมิภาค โดยสตาร์ตอัพไทย
มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งคือมีชุมชนที่มีความเกื้อกูลช่วยเหลือกันและกัน ซึ่งต้องรักษา
เอาไว้
ความรู้คำแนะนำจาก กูรู สตาร์ตอัพที่มาร่วมแชร์กับผู้เข้าร่วมโครงการดีแทค แอคเซล เลอเรท เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับ
ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดสามารถนำไปปรับใช้กับการทำธุรกิจของตนได้ เพราะดังที่บียอร์นบอกว่าแต่ละรายต้องไปหาแนวทางที่เหมาะกับตัวเองในการนำกลยุทธ์วิธีการต่างๆ ไปปรับใช้ ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายคือการเติบโตของธุรกิจที่ทำอยู่อย่างรวดเร็วในแบบสตาร์ตอัพ
Climate Change กลายเป็นมหันตภัยใกล้ตัวผู้คนมากขึ้น จากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างมาก วิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นสะท้อนให้เห็นได้ชัดจากน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ที่มีปริมาณลดน้อยลงเป็นสถิติใหม่ทุกปี ที่ผ่านมาเราอาจจะพูดถึงปริมาณน้ำแข็งที่ละลายมากเป็นปรากฏการณ์ในช่วงฤดูร้อน แต่ในช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงเดียวที่น้ำแข็งขั้วโลกจะสามารถฟื้นตัวคืนกลับมาได้
ทว่าในช่วงฤดูหนาวปี 2558 น้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้กลับเหลือปริมาณน้อยที่สุดทุบสถิติ 35 ปี จากที่ก่อนหน้านี้ในปี 2554 ก็มีประเด็นให้หวาดหวั่นกันมาครั้งหนึ่งแล้วว่า มีปริมาณน้ำแข็งที่หายไป 130,000 ตร.กม. หรือเทียบเท่ากับรัฐเทกซัสและแคลิฟอร์เนียเลยทีเดียว
การละลายของชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาเร็วขึ้นถึง 70% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลจากดาวเทียมชี้ว่า ช่วงเวลา 18 ปี ชั้นน้ำแข็งได้ละลายไป 310 ตร.กม.ทุกปี ทำให้แต่ละชั้นนั้นเสียความหนาแน่นไป 18% เรื่องทะเลน้ำแข็งอาร์กติกน้ำแข็งละลายอาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์และไกลตัว แต่ที่จริงแล้วส่งผลกับผู้คนทั่วโลกอย่างเลี่ยงไม่พ้น เพราะการสูญเสียทะเลน้ำแข็งนั้น จะยิ่งซ้ำเติมและเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงหนักยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เมื่อชั้นน้ำแข็งซึ่งเป็นส่วนที่ประคองก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ละลายเร็วขึ้น แล้วน้ำแข็งบนพื้นดินหล่นลงสู่มหาสมุทร ก็ย่อมจะเพิ่มปริมาณน้ำในทะเล ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น คาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นอีก 24 - 30 ซม. และ 40 - 63 ซม. ในปี พ.ศ. 2608 และ 2643 ตามลำดับ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับ Climate Change
Climate Change เป็นเป้าหมายที่ 13 ขององค์การสหประชาชาติ เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้างกับทุกประเทศ ทุกภูมิภาคและได้รับผลกระทบทั้งในแง่ของการแปลงของสภาวะอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดจากสภาวะอากาศ โดยมีมนุษย์เป็นตัวแปรสำคัญของการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำๆ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ของสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับผู้ปล่อยแก๊สเรือนกระจกของภาคส่วนผู้ใช้ขั้นสุดท้าย (End-User Sectors) ไว้ดังนี้ อุตสาหกรรม, การขนส่ง, การพักอาศัย, พาณิชยกรรมและเกษตรกรรม ขณะที่แหล่งปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกส่วนบุคคลมาจากการให้ความอบอุ่นและการทำความเย็นในอาคาร การใช้ไฟฟ้าและการขนส่ง ทั้งนี้ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ กับการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ประเมินกันว่า ในศตวรรษที่ 21 โลกจะร้อนขึ้นโดยเฉลี่ยอีก 3 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านี้ในบางพื้นที่ ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงต้องร่วมมือกันในระดับนานาชาติ เพื่อช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy) ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ ก็ได้เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 21 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปลายปี 2558 ขณะเดียวกัน แต่ละประเทศก็ต้องรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมของประชาชน ให้ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก รวมทั้งใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ย 2 องศาเซลเซียส

อาเซียนและไทย
ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. - 11 ธ.ค. 2558 โลกได้เห็นความร่วมมือระดับนานาชาติจากการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 21 ณ กรุงปารีส หรือที่เรียกว่า Paris 2015-COP 21 ซึ่งเป็นการประชุมภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (UNFCC) ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมราว 50,000 คนจาก 195 ประเทศ เพื่อจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิของภาวะโลกร้อนให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส
ก่อนหน้าการประชุมที่ปารีส ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วนได้ร่วมกันจัดประชุมระดับภูมิภาคอาเซียนทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (RFCC) ภายใต้ความร่วมมือของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) กระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาของฝรั่งเศส สำนักเลขาธิการอาเซียนและสหภาพยุโรป (EU) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า แม้อาเซียนจะเป็นภูมิภาคที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก แต่ประเด็นนี้กลับไม่คืบหน้าเท่าไรถ้าเทียบกับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่รุดหน้ามากกว่า สาเหตุหนึ่งก็เนื่องจากภูมิภาคนี้มีความหลากหลายสูง มีทั้งประเทศแถวหน้าที่พร้อมจะปรับตัวตามนโยบายของเวทีโลก แต่บางประเทศอาจต้องได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงินหรือด้านเทคนิค เพื่อให้ทันกับกรอบนโยบายที่ UNFCC ประกาศเป็นแนวปฏิบัติ
สำหรับประเทศไทยกับประเด็น Climate Change อยู่ในระดับแกนนำของอาเซียนร่วมกับสิงคโปร์และมาเลเซีย ประเสริฐ ศิรินภาพร ผู้อำนวยการสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พูดถึงบทบาทของไทยต่อการประชุม COP 21 ว่า ไทยเข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญานี้มานานแล้วและมีพันธกรณีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการทำรายงานบัญชีแก๊สเรือนกระจกที่ไทยทำมาแล้ว 2 ฉบับ นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนแม่บทระยะยาวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของครม. และอีกไม่นานก็จะออกมาเป็นแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ คือ 1) การจับตาเรื่องการลดแก๊สเรือนกระจก 2) การปรับตัวและการเพิ่มขีดความสามารถต่างๆ ซึ่งประเทศไทยได้กรอบการดำเนินงาน คือ
ก่อนหน้าปี 2563 ซึ่งไทยยังเป็นสมาชิกที่ไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ไทยก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ กรอบหลังปี 2563 โดยในการเจรจาปลายปีที่กรุงปารีสได้มีการลงนามเป็นข้อผูกมัดรัฐภาคีในการลดแก๊สเรือนกระจกและการปรับตัวด้านต่างๆ ซึ่ง UNFCC ต้องการให้ทุกประเทศส่งตัวเลขประมาณการของตนเอง ทำให้ไทยเร่งศึกษาและประเมินขีดความสามารถของประเทศและส่งให้กับ UNFCC ในวันที่ 1 ต.ค.2558 จากนั้น UNFCC ก็จะประเมินว่าตัวเลขที่แต่ละประเทศจัดประเมินมานั้นสามารถจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิของภาวะโลกร้อนให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสได้หรือไม่

ชาวนากับโลกร้อน
อุณหภูมิและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อนอาจส่งผลให้ประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นแหล่งปลูกข้าวผลิตข้าวได้ลดลงถึง 15% ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นถึง 12% ภายในปี 2593 หรืออีก 34 ปีข้างหน้า แต่สำหรับที่ฟิลิปปินส์ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจกับการรับมือกับประเด็นดังกล่าว ด้วยว่าข้าวก็มีความสำคัญต่อฟิลิปปินส์ ไม่แพ้ไทยและมีชาวนาในภาคส่วนนี้ถึง 112 ล้านคน มีแรงงานที่เกี่ยวข้องรวมกันถึง 40 ล้านคน ดังนั้น เมื่อนำการปลูกข้าวมาผูกโยงกับพันธกิจด้าน Climate Change จึงเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่น่าจับตา โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวสู้โลกร้อนของฟิลิปปินส์และการให้ความช่วยเหลือของ UNDP เพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก
ข้าวสู้โลกร้อน สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ฟิลิปปินส์ลงทุนพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ โดยใช้พันธุกรรมข้าว 109,000 ชนิดจากธนาคารพันธุกรรมทั่วโลก เพื่อให้ทนทานต่ออุทกภัย ภัยแล้ง ความเค็ม ทนต่อสภาพอากาศต่างๆ ที่เกิดจากภาวะโลกร้อนได้ อีกทั้งยังมีรสชาติที่ผู้บริโภคคุ้นเคย และในอนาคตยังจะแจกจ่ายข้าวสายพันธุ์นี้ให้กับชาวนาในอินเดีย บังกลาเทศ เวียดนามและอินโดนีเซียด้วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวสามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น การทำนายังมีระบบชลประธานที่ดีขึ้น ต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง อเล็กซานเดอร์ โซเซอร์ ผู้จัดการโครงการ MDG Carbon สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้เข้ามาช่วยในอีกโครงการหนึ่ง เพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ซึ่งปกติจะถูกปล่อยออกมาจากการเก็บเกี่ยวถึง 29% อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายปัญหา Climate Change
UNDP ได้เข้ามาช่วยเหลือทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการชลประทาน การบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดระยะเวลาการใช้น้ำที่ขังในนาให้น้อยลงและลดการปล่อยแก๊สมีเทน พร้อมสนับสนุนให้ชาวนาเพิ่มแหล่งรายได้จากพืชชนิดอื่นๆ เช่น เห็ด ผักและการเพาะปลูกอื่นๆ ซึ่งประมาณการว่า โครงการนี้ช่วยให้ฟิลิปปินส์สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 36,455,063 ตัน และเมื่อโครงการนี้ขยายตัวออกไปทั่วประเทศเชื่อว่า จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็น 2 เท่า
นอกจากนี้ เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจได้ถึงการเกษตรแบบยั่งยืน อีกทั้งมีจิตสำนึกถึงเรื่อง Climate Change UNDP ได้จัดโครงการฝึกอบรมเพื่อหวังจะเข้าถึงเกษตรกรครึ่งหนึ่งของประเทศ พร้อมกับให้ส่วนลดค่าใช้น้ำจากระบบชลประทานกับชาวนาที่สนใจการเกษตรวิธีใหม่ ซึ่งโครงการนี้ทำให้ประหยัดการใช้น้ำได้ถึง 30% โดยไม่ทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้ ซ้ำยังสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวและทำให้ความมั่นคงทางด้านอาหารดีขึ้นด้วย นี่จึงยิ่งทำให้ชาวนาสนใจที่จะเรียนรู้เกษตรทางเลือกแบบ UNDP มากขึ้น อเล็กซานเดอร์กล่าวว่า การจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จที่ฟิลิปปินส์ จะต้องต่อยอดสิ่งที่โลกให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เข้ากับยุทธศาสตร์และกระบวนการวางแผนของประเทศให้ได้ ถ้าเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของโลกดำเนินไปด้วยกันกับโอกาสการเติบโตในระดับชาติ ภาครัฐก็จะเร่งเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นด้วยกันประเด็น Climate Change ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายของโลกที่หนักหนาที่สุดแห่งยุคที่นานาประเทศต้องร่วมมือกัน แม้ว่า ณ วันนี้ เราอาจจะยังไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยเชื่อว่า น่าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

เรื่อง : กองบรรณาธิการ
จุดพลิกผัน: มีจำนวนประชากรเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นประจำประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์
ภายในปี 2025: 79 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
การประมวลผลเริ่มเป็นสิ่งที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวันมากขึ้น และอำนาจของการประมวลผลกลายเป็นสิ่งที่แพร่หลายแก่คนทั่วไปอย่างไม่เคยมีมาก่อน เป็นเพราะคอมพิวเตอร์มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต สมาร์ตโฟนแบบ 3G/ 4G หรือบริการแบบ Cloud
ปัจจุบันมีประชากรโลกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตถึง 43 เปอร์เซ็นต์ และเฉพาะปี 2014 ปีเดียว ก็มีการจำหน่ายสมาร์ตโฟนไปแล้ว 1.2 พันล้านเครื่อง สำหรับปี 2015 คาดกันว่ายอดขายแทบเล็ตจะสูงกว่ายอดขายของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี โดยยอดขายโทรศัพท์มือถือ (รวมทั้งหมด) จะมีอัตราสูงกว่าของคอมพิวเตอร์ประมาณหกต่อหนึ่ง ในขณะที่อัตราความเร็วของการนำมาใช้งานของอินเทอร์เน็ตมีการเติบโตแซงหน้าช่องทางสื่ออื่นๆ จึงคาดกันว่าภายในเวลาไม่กี่ปี จะมีประชากรโลกเข้าถึงเว็บไซต์เป็นประจำถึงหนึ่งในสามเลยทีเดียว
ในอนาคต การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสารสนเทศเป็นประจำจะไม่ได้เป็นประโยชน์แค่ประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นสิทธิพื้นฐานเช่นเดียวกับการมีน้ำสะอาด ประกอบกับเทคโนโลยีไร้สายนั้นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่าสาธารณูปโภคอื่นๆ (ไฟฟ้า ถนน และ น้ำ) จึงสามารถเข้าถึงได้เร็วกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครจากประเทศไหนก็ตามสามารถเข้าถึงและมีปฏิสัมพันธ์จากอีกฟากหนึ่งของโลกได้ การสร้างและการเผยแพร่คอนเทนต์ (เนื้อหา) จะง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน
ผลกระทบเชิงบวก
- การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของประชากรผู้ด้อยโอกาส ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือด้อยพัฒนา (“โครงข่ายที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง”) (แก้ปัญหา “Last Mile” ได้นั่นเอง)
- การเข้าถึงการศึกษา บริการด้านการดูแลสุขภาพและบริการของรัฐ
- การมีตัวตน
- การเข้าถึงทักษะ โอกาสการจ้างงานมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในประเภทของงาน
- ขนาดตลาด/ การค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวขึ้น
- มีข้อมูลมากขึ้น
- การมีส่วนร่วมของพลเมืองมากขึ้น
- การพัฒนาสู่ความเป็นประชาธิปไตย/ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
- “โครงข่ายที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง” ; ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับการเข้าไปจัดการและการเกิดภาวะเสียงก้องให้ห้องแคบนั่นเอง
ผลกระทบเชิงลบ
- การจัดการและการเกิดภาวะเสียงก้องในห้องแคบมากขึ้น
- ความแตกแยกทางการเมือง
- การให้บริการแบบ walled garden (หมายถึงมีสภาพแวดล้อมแบบจำกัด เปิดสำหรับผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น) ไม่อนุญาตให้มีการเข้าถึงอย่างเต็มที่ในบางภูมิภาค/ประเทศ
การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์
เพื่อให้ผู้ใช้อีก 4 พันล้านคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จะต้องจัดการกับปัญหาสำคัญสองประการนี้ให้ได้ก่อน กล่าวคือ ต้องมีช่องทางเข้าถึง และสามารถใช้ช่องทางดังกล่าวได้ ขณะนี้มีการเร่งรัดเพื่อจัดหาช่องทางเข้าถึงเว็บไซต์แก่คนในส่วนอื่นของโลก และมีประชากรซึ่งอาศัยอยู่ภายในรัศมีของสัญญาณโทรศัพท์มือถือประมาณสองกิโลเมตร ที่สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตอยู่แล้วประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกต่างก็ขยายช่องทางเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของตนกันอย่างรวดเร็ว เช่น Facebook ได้เปิดตัว Free Basics ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเป็นส่วนหนึ่งในการริเริ่ม Internet.org ของบริษัท เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อได้แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุด และกำลังพัฒนาโดรนส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ต ส่วนโครงการ Project Loon ของ Google ใช้บอลลูน และ SpaceX กำลังลงทุนสร้างเครือข่ายดาวเทียมใหม่แบบต้นทุนต่ำ
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
สองสามเดือนที่ผ่านมามีข่าวฮือฮาในแวดวงผู้ที่สนใจเทคโนโลยีการเงินอิเล็กทรอนิกส์นั่นคือ ร้านลิ้มเหล่าโหงว บิสโทร สยามสแควร์วัน เปิดให้ลูกค้าใช้ “บิตคอยน์” เงินดิจิทัลที่เป็นกระแสฮือฮาในโลกการเงินด้วยมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านได้
ผู้ที่คิดไอเดียสุดล้ำนี้คือ เตวิช บริบูรณ์ชัยศิริ เจ้าของร้านลิ้มเหล่าโหงว บิสโทร สยามสแควร์วัน ทายาทรุ่นที่ 3 ของตำนานบะหมี่ลูกชิ้นปลากระโดดได้จากเยาวราช ผู้อยากจะสร้างความแปลกใหม่ให้กับตำรับอาหารและพัฒนาชื่อเสียงที่สั่งสมมาของกิจการครอบครัวให้ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง
ด้วยการรีแบรนด์ ลิ้มเหล่าโหงว สู่ ลิ้มเหล่าโหงว บิสโทร ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่ใส่ใจคุณภาพของอาหาร พัฒนาเมนูใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างหลากหลาย ในร้านที่จัดบรรยากาศทันสมัยกลางย่านศูนย์รวมคนรุ่นใหม่ ณ สยามสแควร์
เตวิชจบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ เขาจึงสนใจในเรื่องราวใหม่ๆ บิตคอยน์ คือตัวอย่างหนึ่งในสิ่งที่เขานำมาทดลองใช้ จากจุดเริ่มต้นที่ความสงสัยว่าเหรียญอะไรที่อยู่ๆ ก็มีมูลค่าขึ้นมา เหตุใดผู้คนจึงให้ความเชื่อมั่น จนวันหนึ่งเกิดความคิดว่าถ้าอยากจะเป็นเจ้าของเหรียญนี้จะต้องทำอย่างไร เขาจึงตัดสินใจรับชำระเงินที่ร้านด้วยบิตคอยน์
“ถ้าอยากได้จะทำอย่างไรได้บ้าง หนึ่งคือซื้อเลย สองคือต้องไปขุด ศึกษาไปเรื่อยๆ ถ้าเราลงทุนเรื่องการขุด พอมีปัญหาขึ้นมาคงแก้ไม่เป็น เพราะทุกคนก็บอกเหมือนกันหมดว่าเวลามีปัญหาต้องแก้ จะให้ลงทุนผมก็คิดว่าเชื่อขนาดนั้นหรือไม่ ผมก็ไม่ใช่คนที่ลงทุนอย่างนั้นมาก่อน ปกติไม่ค่อยลงทุน ไม่ซื้อหุ้น ผมเป็นคนที่ไม่ได้มองเงินเป็นเรื่องสำคัญ ผมทำอะไรก็แล้วแต่ เป้าหมายของผมคืออยากให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริง พอศึกษาไปก็เจอเทคโนโลยี บล็อกเชน ผมศึกษาบล็อกเชนเจ๋งมาก อีกหน่อยถ้าคนเราตามไม่ทันจะส่งผลกับชีวิตคนมาก ใครที่ตามไม่ทันคือเจ๊งแน่ๆ”
การรับชำระค่าอาหารด้วยบิตคอยน์ของเตวิชนอกจากเป็นการทดลองสิ่งที่น่าสนใจแล้ว เขายังมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยให้ Eco System นี้เติบโตขึ้น
“คนที่มีบิตคอยน์สามารถนำมาใช้ที่ร้านได้ เหมือนการช่วยสร้าง Eco System ผมก็เล่นการตลาดด้วย ผมรู้ว่านี่จะช่วยทำให้เกิดการพูดถึงร้านเรา และทำให้คนรู้ว่ามีบิตคอยน์ ก็มีโอกาสที่ทำให้ร้านอื่นรับบิตคอยน์ด้วยเหมือนกัน ก็จะได้สิ่งที่ผมต้องการ คือผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเติบโตขึ้นมา และสองคือผมได้บิตคอยน์”

ผลตอบรับของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เตวิชบอกว่า การเปิดรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์ ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนมาใช้งานจำนวนมาก แต่เมื่อเปิดมามีคนมาใช้งานเดือนหนึ่งเฉลี่ย 10 ราย ซึ่งเขาตั้งข้อสังเกตว่าเป็นกลุ่มคนที่อยากจะทดลองว่าสิ่งที่พวกเขาสนใจ สามารถนำมาใช้ชำระค่าสินค้าได้จริงๆ ซึ่งวันหนึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป เมื่อการใช้จ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปอยู่ในวิถีชีวิต และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่จะต้องมีอะไรตามมาอีกในอนาคต
ความสนใจในสิ่งใหม่ๆ ของเจ้าของ ทำให้พนักงานลิ้มเหล่าโหงว บิสโทร ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแค่บิตคอยน์หากยังมีอีกหลายแอปพลิเคชันที่เตวิชนำมาใส่ไว้ในเครื่องไอแพดของร้าน อาทิ Ali Pay, WeChat Pay ที่เป็นระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศจีน หรือแอปพลิเคชัเดลิเวอรี่อาหาร อย่าง Foodpanda, Line Man ที่ต้องเรียนรู้ สะท้อนความเป็นคนรุ่นใหม่ที่เลือกเครื่องมือในการทำธุรกิจที่หลากหลาย
ดีเอ็นเอเถ้าแก่
การรับเงินด้วยบิตคอยน์เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เตวิชในฐานะผู้ประกอบการรุ่นใหม่นำมาทดลองใช้ ทั้งด้วยความสนใจส่วนตัวและเพื่อช่วยแผนการตลาดของร้าน หากเส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการของเขานั้นเหมือนจะฝังอยู่ในดีเอ็นเอมาตั้งแต่เด็ก เขาเล่าชีวิตตัวเองว่า เกิดที่กรุงเทพฯ แต่ไปโตที่เชียงใหม่เพราะคุณพ่อซึ่งเป็น
พี่คนโตของรุ่นที่ 2 ต้องการย้ายไปอยู่เชียงใหม่เพื่อเปิดทางให้น้องๆ เติบโต ส่งผลให้เตวิชที่เป็นลูกคนเล็กต้องไปเริ่มต้นชีวิตการเรียน ที่ปรินส์รอยแยลวิทยาลัยที่เขาเล่าว่า ขณะเรียนชอบทำกิจกรรม ไปแข่งโน่นนี่ ขายของ พร้อมช่วยที่บ้านขายก๋วยเตี๋ยว จนมาเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเริ่มต้นคิดจะพัฒนาธุรกิจของครอบครัว จากวิชาที่เรียนจนกลายมาเป็นต้นทางของลิ้มเหล่าโหงว บิสโทร ณ วันนี้
“ร้านนี้เป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ ผมอยากทำเพราะว่าผมโตกับร้านมา เด็กๆ ผมก็ทำงานที่ร้าน ช่วยล้างจาน เสิร์ฟ คิดเงิน เราก็คิดว่าถ้าเจเนอเรชั่น 3 ไม่ทำต่อ ก็คงไม่มีใครทำ พี่น้องที่เป็นญาติไม่มีใครสนใจ ผมเองเสียดาย ไม่อยากให้หายไป ผมเลยคิดอยากจะทำ ตอนเรียนจะมีวิชาผู้ประกอบการ วิชาย่อยคือต่อยอดธุรกิจครอบครัว ทำแผนธุรกิจ แล้วพอถึงเวลามีโอกาสเราก็เอาแผนมาปัดฝุ่นเปิดจริงๆ คือเหมือนโปรเจ็กต์ตอนที่เราเรียน”

เตวิชบอกว่าความอยากเป็นผู้ประกอบการของตัวเองนั้นรุนแรงมาตั้งแต่วัยเรียน “ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมรู้สึกมีปัญหามากเลยว่าคิดอะไรผิดหรือเปล่าเหมือนเราเป็นคนประหลาดในสังคมนั้น เพื่อนๆ เขามีเป้าหมายว่าจบมาจะไปทำบริษัทนั้นบริษัทนี้ ทุกคนต้องเรียนเพื่อเอาเกรด ผมไม่สนใจ ผมมีเป้าหมายของตัวเองอยากทำของตัวเอง อยากเรียนอะไรผมก็เรียน ไม่สนใจว่าตัวนี้เรียนแล้วเกรดไม่ดี เรียนไปไม่มีประโยชน์ ผมอยากเรียนผมก็เรียน ทำให้เขวเหมือนกัน จริงๆ ผมมีสิ่งที่กลัวคือผมไม่อยากเป็นพนักงานประจำ ผมไม่เอาแน่นอน กลัวมาก ผมอยู่ไม่ได้หรอกเข้าออกตรงเวลา ทำไม่ได้ ด้วยการเลี้ยงของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป จะไปเที่ยวก็เที่ยว”
สำหรับการสร้างธุรกิจสำหรับคนรุ่นใหม่เตวิชให้ความเห็นว่า “ผมรู้สึกว่าการทำธุรกิจปัจจุบันเราสู้ยักษ์ใหญ่ไม่ได้ ไม่มีช่องแล้ว ไม่มีช่องให้เราโตอย่าง ซีพี ช้าง สิงห์ ยากจะโตเป็นสหพัฒน์ไม่ได้ถ้าทำธุรกิจแบบเดียวกับเขา สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจโตคือ
ประมาณสตาร์ตอัพเลย ทำธุรกิจใหม่ๆ ถ้ายังทำเหมือนเดิมไม่มีทาง”
แต่กว่าจะเป็นร้านได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขานำความฝันของตัวเองไปพูดคุยกับผู้ใหญ่ในครอบครัว ก็ไม่ได้รับสนับสนุน เขาจึงเริ่มต้นสะสมทุนของตัวเองเพื่อเตรียมทำธุรกิจนี้ ด้วยการทำงานเป็นผู้ดูแลศิลปิน และขายสินค้าลิขสิทธิ์ของศิลปินที่ประเทศจีน รวมถึงการทำงานด้านที่ปรึกษาตามวิชาที่เรียนมา จนมาเปิดร้านนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
“พอเราเปิดแล้วเรารู้ว่าสิ่งที่เราอยากจะทำบางทีทำไม่ได้ ผมเริ่มรู้แล้วว่าปัจจัยคืออะไรบ้าง มองออกว่าโลเกชั่นไหนคือของเรา ต้องคุมเรื่องต่างๆ อย่างไร เอาจริงๆ ไม่เหมือนอย่างที่สอนในมหาวิทยาลัยเท่าไร มหาวิทยาลัยสอนกว้างๆ ให้เราไปคิดต่อ ลูกค้าเรา หลักๆ จะเป็นคนทำงานซีเนียร์ ลูกค้าที่เคยกินที่ร้านเก่ามาไม่มาก เราพยายามจับลูกค้าใหม่ คือลูกค้าเก่าๆ เขาก็มีอายุไปตามแบรนด์ ตอนแรกผมโฟกัสกลุ่มเด็ก แต่ด้วยก๋วยเตี๋ยวไม่ใช่เป็นเทรนด์ของเด็ก พอเราเริ่มจับกลุ่มลูกค้านี้ได้ เราก็เริ่มจับกลุ่มเด็กอย่างจริงจัง เราไปดูเห็นว่าเด็กนิยมอะไร เริ่มหาอาหารที่เป็นแฟชั่นที่เด็กเริ่มกิน เช่น เล้ง เป็นอาหารแฟชั่น ก๋วยเตี๋ยวกินแล้วไม่เก๋ อาหารเกาหลี ญี่ปุ่นกินแล้วเก๋ ตอนนี้เราลงกลุ่มเด็กมากขึ้น กลุ่มผู้ใหญ่เราจับได้ดีอยู่แล้ว เราก็เพิ่มเมนู”
เตวิชเล่าว่า ทุกเมนูที่มีอยู่ในร้านเขาสามารถทำได้เองหมด เพราะสูตรอาหารเป็นสูตรที่เขาคิดขึ้นมา การเทรนพนักงานทั้งหมดในครัวเป็นหน้าที่ของเขา โดยมีลูกพี่ลูกน้องที่ทำด้านการโรงแรมมาช่วยเทรนพนักงานหน้าร้าน โดยกลยุทธ์ของร้านลิ้มเหล่าโหงว บิสโทรคือ เมื่อโตแล้วต้องขยายสาขาออกไป ขณะเดียวกันต้องไม่ทิ้งเรื่องการส่งถึงบ้าน รวมถึงออนไลน์ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย

นอกจากลิ้มเหล่าโหวง บิสโทร เตวิชยังมีธุรกิจอื่น คือร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ที่ขายตามฟู้ดคอร์ตต่างๆ โดยเตรียมทำธุรกิจนี้เป็นแฟรนไชส์ ขยายต่อไป พร้อมกันนี้ยังมีงานที่ปรึกษาธุรกิจที่ยังรับทำอยู่ รวมถึงธุรกิจสตาร์ตอัพที่ร่วมกับเพื่อนมองหาโอกาสเติบโตทางธุรกิจใหม่ๆ เตวิชคือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่จะสืบทอดความสำเร็จทางธุรกิจจากคนรุ่นก่อนหน้า ด้วยการใส่แนวคิด กระบวนการทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดสร้างธุรกิจให้เติบโตในรูปแบบใหม่โดยอิงกับจุดแข็งทางธุรกิจที่มีอยู่เดิม ผสมผสานกับตัวตนและแนวคิดใหม่ๆ ที่เรียนรู้มา
ลิ้มเหล่าโหงว
เตวิชเล่าเรื่องราวของลิ้มเหล่าโหงวว่า พ่อของอากง (ปู่) ก็ทำก๋วยเตี๋ยวที่เมืองจีน พออากงอพยพมา ก็มาขายก๋วยเตี๋ยวใช้สูตรจากเมืองจีนเลย ตอนหลังๆ เหมือนจะดีเพราะเริ่มมีให้ไปออกงานของผู้ใหญ่ ก็จะมีลูกค้าผู้ใหญ่ เจียไต๋ให้เราไปขายหน้าบ้านเขา ปากต่อปากพอพ่ออายุสัก 17 อากงก็เสียแล้ว พ่อก็ต้องดูแลน้องๆ ทุกคน ต้องมาขายก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่เราสืบทอดมาถึงทุกวันคือ คุณภาพลูกชิ้นปลา ที่ยังทำเหมือนเดิม แม้เรารู้ว่ามีเทคโนโลยี มีฟู้ดไซน์ทำให้ลดต้นทุนได้ แต่ที่บ้านคุยกันว่าไม่เอา ขอเก็บแบบนี้ไว้ดีกว่า และผมเชื่อว่าการเก็บไว้แบบนี้จะมีประโยชน์ คีย์สำคัญคือลูกชิ้นและน้ำซุป บอกได้ว่าลูกชิ้นไม่มีแป้งเลย ไม่เคยเห็นแป้ง ใครกินแล้วบอกว่าแป้งน้อยผมบอกเลยว่าลิ้นเสียแล้ว ผมไม่เคยเห็นแป้ง ไม่มีแป้งทุกวันนี้ทำเป็นครัวกลางแล้วกระจายไป ยกเว้นที่เชียงใหม่พอผมย้ายไปเชียงใหม่ก็ทำเอง อัตราส่วนของปลาไม่เหมือนกัน เขาจะรู้ว่าปลานี้จะให้เนื้อเนียน ปลานี้จะมีความหนึบ ใช้เนื้อปลา 2 อย่าง เราใช้แค่สองอย่าง ซุปจริงๆ ก็คือน้ำที่ต้มลูกชิ้น ต้มเนื้อปลา นั่นคือคุณภาพวัตถุดิบผมมองอย่างนี้ ชีวิตเราดีเพราะก๋วยเตี๋ยว พ่อแม่เราไม่เคยลำบาก รุ่นสามหลักๆ มีผม แล้วก็มีน้องลูกอาคนที่ 3 มาช่วยผมทำ แล้วมีหลานเป็นลูกน้องสาวพ่อคนที่สองมาช่วยที่ร้านนี้ (ลิ้มเหล่าโหงว บิสโทร)
เรื่อง : วีระพงษ์ เจตน์พิพัฒนพงษ์
ภาพ : ธิติวุธ บางขาม
จุดพลิกผัน: มีจำนวนเสื้อผ้าที่คนสวมใส่ ซึ่งมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ (ของจำนวนเสื้อผ้าทั้งหมดในตลาดโลก)
ภายในปี 2025: 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผัน ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
เทคโนโลยีเริ่มมีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากขึ้น เริ่มจากคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องใหญ่ จากนั้นก็เป็นเครื่องตั้งโต๊ะ ก่อนจะมาอยู่บนตัก ปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาอยู่ในโทรศัพท์มือถือแล้ว อีกไม่นานมันก็จะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ตัวอย่างเช่น Apple Watch ซึ่งออกสู่ตลาดเมื่อปี 2015 ก็ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและมีคุณสมบัติการทำงานหลายอย่างเหมือนสมาร์ตโฟน เสื้อผ้าและสิ่งของอื่นๆ ที่คนสวมใส่จะมีชิปแบบฝังตัวซึ่งเชื่อมต่อข้าวของและบุคคลที่สวมใส่มัน กับอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลกระทบเชิงบวก
- ผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพเชิงบวกนำไปสู่การมีชีวิตยืนยาวขึ้น
- คนเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
- การดูแลสุขภาพแบบสามารถจัดการด้วยตัวเอง
- การตัดสินใจดีขึ้น
- โอกาสเด็กหายลดลง
- เสื้อผ้าจำเพาะบุคคล (มีการตัดเย็บ ออกแบบตามความต้องการเฉพาะของแต่ละคน)
ผลกระทบเชิงลบ
- การสอดส่องความเป็นส่วนตัว
- การหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง/ การเสพติดเว็บไซต์
- ความปลอดภัยของข้อมูล
ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
- การระบุตัวตนแบบเรียลไทม์
- การเปลี่ยนแปลงในปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
- การจดจำรูปภาพและความแพร่หลายของข้อมูลส่วนบุคคล (เครือข่ายนิรนามซึ่งจะคอย “ร้องเตือน” คุณ)
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติการณ์
การ์ทเนอร์ (Gartner) กลุ่มบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาประเมินว่ามีการจำหน่ายนาฬิกาอัจฉริยะ (smart watch) และสายรัดอื่นๆ ภายในปี 2015 ประมาณ 70 ล้านเรือน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 514 ล้านเรือนภายในเวลาห้าปีข้างหน้า
ที่มา: HYPERLINK “http://www.zdnet.com/article/wearables-internet-of-thingsmuscle-in-on-smartphone-spotlight-at-mwc/” http://www.zdnet.com/article/wearables-internet-of-thingsmuscle-in-on-smartphone-spotlight-at-mwc/
มิโม เบบี้ (Mimo Baby บริษัทผู้ผลิตมอนิเตอร์หรือเครื่องตรวจจับการนอนของทารก) ได้ผลิตมอนิเตอร์ติดตามดูเด็กแบบสวมใส่เพื่อรายงานรูปแบบการหายใจ ท่าทาง ลักษณะการนอนของทารก เป็นต้น ส่งตรงเข้าเครื่องไอแพดหรือสมาร์ตโฟนของคุณ (เรื่องนี้ทำให้เกิดการโต้เถียงกันว่าควรขีดเส้นแบ่งระหว่างการให้ความช่วยเหลือและความพยายามหาทางออกให้กับปัญหาที่ยังไม่เกิด โดยฝ่ายที่สนับสนุนบอกว่า มันจะช่วยให้ทารกนอนหลับได้ดีขึ้น และฝ่ายวิจารณ์บอกว่าเซนเซอร์ไม่สามารถแทนที่หรือทำหน้าที่แทนพ่อแม่ได้หรอก)
ที่มา: HYPERLINK “http://mimobaby.com/” http://mimobaby.com/; HYPERLINK “http://money.cnn.com/2015/04/16/smallbusiness/mimo-wearable-baby-monitor/” http://money.cnn.com/2015/04/16/smallbusiness/mimo-wearable-baby-monitor/
ราล์ฟ ลอเรน (Ralph Lauren) ได้พัฒนาเสื้อเชิ้ตแบบสปอร์ตซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ข้อมูลการออกกำลังกายแบบเรียลไทม์ ด้วยการวัดจากปริมาณเหงื่อ อัตราการเต้นของหัวใจ ความแรงของการหายใจ เป็นต้น
ที่มา: HYPERLINK “http://www.ralplauren.com/product/index.jsp?%2 productId=69917696&ab=rd_men_features_thepolotechshirt&cp=64796626.65333296” http://www.ralplauren.com/product/index.jsp? productId=69917696&ab=rd_men_features_thepolotechshirt&cp=64796626.65333296
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
ในแต่ละปีประมาณ 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตหรือเท่ากับ 1.3 พันล้านตันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เน่าเสียในถังขยะของผู้บริโภคและผู้ค้าขายปลีก หรือไม่ก็เน่าเสียจากการขนส่งและการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดี ถ้าผู้คนทั่วโลกเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน โลกจะสามารถประหยัดได้ 120,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และประชากรทั่วโลกน่าจะมีถึง 9,600 ล้านคนใน พ.ศ. 2593 ซึ่งจะต้องใช้โลกเกือบ 3 ใบเพื่อรองรับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการดำเนินชีวิตเทียบกับในปัจจุบัน
ข้อมูลข้างต้นเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นและการประมาณการตัวเลขที่จะเกิดขึ้นหากเราทำและไม่ทำอะไรกับเรื่องการบริโภคของมนุษย์ เพราะเราทราบกันดีว่า มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์นักบริโภคที่ยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ เราใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคออกมาจำนวนมากเพื่อตอบสนองตลาดที่มีความต้องการแทบจะไม่สิ้นสุด
ขณะเดียวกัน ทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็มีอยู่อย่างจำกัด น้ำจืดที่สามารถดื่มได้มีเพียงร้อยละ 3 แต่ก็เป็นน้ำแข็งอยู่บริเวณขั้วโลกถึงร้อยละ 2.5 ทำให้เราเหลือน้ำบริโภคจริงๆ เพียงร้อยละ 0.5 ของปริมาณน้ำบนโลกนี้ แต่มนุษย์ก็ยังสร้างมลพิษให้กับน้ำอย่างต่อเนื่องด้วยการทิ้งของเสียจากบ้านเรือนและอุตสาหกรรมโดยไม่มีการบำบัด ทำให้น้ำในธรรมชาติที่มีอยู่น้อยนิดเป็นพิษและไม่สามารถนำมาใช้ได้ ประชากรทั่วโลกกว่า 1,000 ล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดจึงเป็นตัวเลขที่ไม่เกินเลย
ในเรื่องอาหาร โลกสูญเสียอาหารไปประมาณ 3,000 ล้านตันทุกปี การบริโภคแบบมากเกินส่งผลต่อความสมบูรณ์ของดิน ความเสื่อมโทรมและสภาพแวดล้อมทางทะเล มีการใช้น้ำที่ไม่ยั่งยืน อีกทั้งในกระบวนการผลิตอาหารยังใช้พลังงานร้อยละ 30 ของการใช้พลังงานทั้งหมดบนโลก และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณร้อยละ 22 ของจำนวนทั้งหมด อีกด้านหนึ่ง โลกใบนี้มีการบริโภคอาหารแบบมากเกินจนเหลือเป็นของเสีย ประชากรประมาณ 2,000 ล้านคนมีน้ำหนักเกินและอ้วน แต่อีกด้านหนึ่งยังมีอีก 1,000 ล้านคนที่ยังขาดแคลนอาหาร และอีก 1,000 ล้านคนที่ยังหิวโหย
การบริโภคพลังงาน แม้จะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้และการผลิตพลังงาน การใช้พลังงานของประเทศในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ยังคงเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 35 ภายในปี 2563 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยมีการเติบโตรวดเร็วที่สุดเป็นอันดับที่สองรองจากการขนส่ง

ในพ.ศ. 2545 จำนวนยานยนต์ในประเทศใน OECD คือ 550 ล้านคัน (ร้อยละ 75 เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล) คาดว่าใน พ.ศ. 2563 การเป็นเจ้าของรถยนต์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 ในเวลาเดียวกันระยะการเดินทางของยานยนต์ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และการเดินทางทางอากาศคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ในขณะที่ภาคครัวเรือนบริโภคร้อยละ 29 ของพลังงานทั่วโลก และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ 21 แต่ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าจากสถิติ พ.ศ. 2557 1 ใน 5 ของพลังงานที่โลกใช้มาจากพลังงานหมุนเวียน
องค์การสหประชาชาติจึงตั้งเป้าประเด็นการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมทรัพยากรและประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน และการเปิดช่องทางการเข้าถึงการบริการเบื้องต้น งานที่เหมาะสม และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน การดำเนินการนี้จะช่วยในการบรรลุแผนพัฒนาทั้งหมด ลดค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคมในอนาคต รวมทั้งเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจ และลดความยากจน
การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน มุ่งเน้นที่การ “ทำมากขึ้นและดีขึ้นโดยใช้น้อยลง” เพิ่มสวัสดิการที่ได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยการลดทรัพยากรที่ใช้และมลพิษตลอดวงจรชีวิต พร้อมกับการเพิ่มคุณภาพชีวิต ซึ่งมีผลต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึง ธุรกิจ ผู้บริโภค ผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ผู้ค้าปลีก สื่อสารมวลชน ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ยังต้องการวิธีการที่เป็นระบบและการร่วมมือกันในหมู่ผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย เกี่ยวข้องกับการดึงดูดผู้บริโภคโดยการเพิ่มความตระหนักและการศึกษาในเรื่องการใช้ชีวิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน การจัดหาข้อมูลให้ผู้บริโภคอย่างเพียงพอผ่านมาตรฐานและฉลากรวมถึงการมีส่วนร่วมในการจัดซื้อของประชาชน
พัน กี-มุน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวที่ประเทศสโลวาเกียในการเยือนเมืองมรดกโลกเลโวคา ว่าเขาอยากจะเน้นถึงความสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของชุมชนรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง ในการสร้างเมืองที่มีความกลมกลืนและยั่งยืนให้เกิดขึ้น เขาหวังว่าแต่ละเมืองจะมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสู่ความยั่งยืนของตนเอง และนำมาปฏิบัติให้เป็นผล โดยผู้นำแต่ละเมืองจะต้องมีมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยรับมือกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อแต่ละพื้นที่และประเทศ “มาร่วมทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโลกและประเทศที่ดีกว่าที่เคยเป็นมา”
ทุกประเทศที่เข้าร่วมจะมีแผนงานบริโภคและผลิตอย่างยั่งยืนที่ต้องดำเนินการ เพื่อจัดการการใช้ทรัพยากรต่างๆ ลดการสิ้นเปลืองของอาหารในการค้าปลีกและระหว่างการผลิต มีการบริโภคพลังงานที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน การจัดการสิ่งแวดล้อม ลดของเสียที่ผลิตขึ้นมาทั้งทางอากาศ น้ำ และดิน ด้วยการลดการใช้ การรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่
ในระดับโลกนั้นแต่ละประเทศล้วนวางเป้าหมายในเรื่องการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืนของตนเอง ในประเทศที่พัฒนาแล้วแนวคิดเรื่องการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน กลายเป็นวิธีคิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน จากการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนผ่านแผนงานต่างๆ เช่นการสนับสนุนให้เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะหรือจักรยาน การเก็บภาษีผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษเพิ่มเติม การลงโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ใช้ชีวิตด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีแนวคิดเพื่อความยั่งยืน เช่นการแยกขยะในครัวเรือนเพื่อไปรีไซเคิล การนำกลับมาใช้ใหม่อย่างเช่นการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำขึ้นมาจากของเหลือใช้ในอุตสาหกรรม การสร้างที่อยู่อาศัยขนาดเล็กลง การใช้ชีวิตแบบออฟกริดที่พยายามไม่พึ่งพาระบบสาธารณูปโภคสาธารณะด้วยการใช้พลังงานทางเลือก และระบบสาธารณูปโภคแบบพึ่งพาตัวเองที่มีผู้ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับแนวคิดเหล่านี้ เป็นวงจรที่เกิดจากการประสานกันของนโยบายของภาครัฐ ค่านิยมและวิถีชีวิต กลไกตลาดและเทคโนโลยีรวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
ในส่วนของประเทศไทย ภาครัฐและเอกชนมีการเตรียมการสำหรับสังคมที่บริโภคและผลิตอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง มีมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อช่วยให้แนวคิดนี้สามารถบรรลุผลได้ ในส่วนของผู้ผลิตที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคให้อยู่ในระดับพอเหมาะ ลดการผลิตที่ไม่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดการก่อมลภาวะและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ก็เริ่มผลิตสินค้าและบริการในแนวทางนี้กันบ้างแล้ว แม้ในบางเรื่องผู้บริโภคในประเทศไทยยังไม่ค่อยตระหนัก อย่างเช่น การเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดความยั่งยืนต่างๆ ซึ่งต้องรณรงค์สร้างจิตสำนึกเหล่านี้ต่อไป

อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จ-พระเจ้าอยู่หัว ที่สามารถนำมาปรับใช้กับการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืนเป็นพื้นฐานที่ทั้งสังคมรับทราบกัน ทั้งเรื่องความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ผ่านฐานความรู้และคุณธรรม ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่มีความสมดุลพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง จนเรามีหลายชุมชนที่เลือกวิถีชีวิตแบบพอเพียงทั้งด้านการผลิตและบริโภค
สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งสร้างจึงเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจในกลุ่มประชากรกลุ่มต่างๆ การสร้างกรอบกฎเกณฑ์ที่จะช่วยกระตุ้นและควบคุมปัญหา การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้น แม้เราจะมีแผนยุทธศาสตร์นโยบายต่างๆ ออกมาแต่แผนเหล่านั้นยังเข้าไม่ถึงประชากรส่วนใหญ่ เป้าหมายเริ่มต้นจึงควรเริ่มที่การให้ความรู้ในเรื่องนี้ว่าทำไมเราจึงต้องให้ความสนใจกับการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน
นั่นเป็นเพราะการบริโภคที่ยั่งยืนซึ่งมีผลต่อกระบวนการผลิตด้วยความต้องการของตลาดนั้นประกอบด้วย การใช้พลังงานและทรัพยากรต่างๆ อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เลือกใช้สินค้าและบริการต่างๆ ที่มีกระบวนการผลิตไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และลดของเสียจากการบริโภค สำหรับการผลิต หนึ่งในต้นทุนการผลิตปัจจุบันคือมลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ และดิน รวมถึงของเสียที่สะสมจากการผลิต ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อคุณภาพปัจจัยผลิต เช่น สุขภาพของแรงงาน คุณภาพของดิน น้ำ อากาศ มีผลต่อวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต และส่งผลกระทบต่องบประมาณรัฐบาลในการฟื้นฟูสภาวะแวดล้อม และส่งผลต่อมาสู่เงินภาษีที่เราต้องจ่ายให้กับรัฐบาลเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ การผลิตที่ยั่งยืนจึงควรเป็นกระบวนการที่ไม่สร้างความเสียหายแก่สภาพแวดล้อม ใช้เทคโนโลยีที่สะอาด มีระบบจัดการการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ลดของเสียในขั้นตอนการผลิต เลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น งดใช้สาร CFC ในการทำความเย็น เป็นต้น
การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ทั้งในฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิตที่ต้องมีจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกันบนโลกนี้เพื่อคนรุ่นต่อไป การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่แต่ละประเทศวางเอาไว้ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องสร้างความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันหาหนทางสร้างสังคมบริโภคอย่างยั่งยืนกระตุ้นให้เกิดการผลิตอย่างยั่งยืนต่อไป
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เมืองคือพื้นที่ที่มนุษย์มาอยู่รวมกันจำนวนมาก เป็นที่สร้างสังคม วัฒนธรรม ผลิตสินค้า ค้าขาย ศึกษาเล่าเรียน คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเมืองมักจะเป็นศูนย์รวมของหน่วยราชการ องค์กรเอกชนขนาดใหญ่ สถานศึกษาที่มีคุณภาพ เมื่อรวมกันกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่นของจำนวนประชากรสูง
การย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าสู่เมือง มีมาอย่างต่อเนื่องตามการพัฒนาของประเทศส่งผลให้เมืองมีขนาดใหญ่ขึ้น ข้อมูลของสหประชาชาติระบุว่า ในปี 2553 มี 10 เมืองใหญ่ที่มีพลเมืองจำนวน 10 ล้านคนหรือมากกว่านั้น ในปี 2557 มีเมืองขนาดใหญ่ถึง 28 เมือง ผู้อยู่อาศัยรวม 453,000,000 คน
ข้อมูลของสหประชาชาติยังบอกอีกว่า ปัจจุบันมนุษย์บนโลกกว่าครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 3,500 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมือง คาดว่าภายในปี 2573 ประชากรโลกเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์จะเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตเมือง โดยการขยายตัวของพื้นที่เมืองในทศวรรษต่อไปส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
ขณะเดียวกันก็มีประชากรกว่า 828 ล้านคนอาศัยอยู่ในสลัมทั่วโลกและตัวเลขก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขยายตัวของเมืองก็สร้างปัญหาในหลายพื้นที่อย่างเช่น การขาดแคลนน้ำอุปโภค การจัดการของเสียต่างๆ ปัญหาสุขภาพอนามัยของคนในเมือง รวมถึงสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของมนุษย์
อีกด้านหนึ่ง ข้อดีของการเป็นเมืองคือ ประสิทธิภาพในการดึงเอาเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ได้อย่างคุ้มค่าจากจำนวนผู้ใช้งานที่มากขึ้น ช่วยการลดการบริโภคและการใช้พลังงานลงได้ การที่มีคนเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองจำนวนมาก ก็ยังสร้างความท้าทายให้กับวิธีการสร้างเมืองให้สามารถรองรับจำนวนคน การจ้างงาน การใช้พื้นที่และทรัพยากรต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ความท้าทายของรัฐบาลและผู้บริหารเมืองขนาดใหญ่ต่างๆ คือการจัดการความแออัดของประชากรที่อยู่ในเมือง การจัดหาที่อยู่อาศัย การสร้างและการดูแลรักษาสาธารณูปโภคเพื่อให้บริการผู้คน
นอกจากนี้การจัดการมลภาวะต่างๆ การลดความยากจน ก็เป็นปัญหาที่สังคมเมืองหลายแห่งยังต้องเผชิญอยู่ เมืองที่จะยั่งยืน ต่อไปในอนาคตจึงต้องเป็นเมืองแห่งโอกาสสำหรับทุกคน ให้ประชาชนในเมืองทุกคนสามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องพลังงาน ที่พักอาศัย ระบบขนส่งและบริการต่างๆ สหประชาชาติตั้งเป้าหมายในปี 2573 สำหรับประเด็นเมืองยั่งยืนไว้ว่า จะต้องทำให้มีที่พักอาศัยที่ปลอดภัยและสามารถซื้อหาได้อย่างพอเพียงสำหรับประชากรทุกคน รวมถึงการให้บริการพื้นฐานต่างๆ จะต้องมีระบบขนส่งที่เข้าถึงได้ง่าย ปลอดภัย ราคาไม่แพงสำหรับทุกคน มีความปลอดภัยบนท้องถนนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบขนส่งสาธารณะ และให้ความสำคัญกับกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส ตัวอย่างเช่น เด็ก คนพิการ คนชรา
สหประชาชาติตั้งเป้าจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลจากภัยพิบัติต่างๆ เป้าหมายนี้มุ่งไปที่กลุ่มคนยากจนและผู้ด้อยโอกาสเป็นหลัก โดยใน พ.ศ. 2563 เป้าหมายคือให้มีนโยบายและแผนงานเพื่อการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรับมือกับ ภัยพิบัติต่างๆ ด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติในทุกระดับ
ทางด้านมลภาวะ ก็ควรจะลดค่าใช้จ่ายในการจัดการมลภาวะต่างๆ เมื่อเทียบต่อหัวประชากรให้ลดลง รวมทั้งจัดให้มีพื้นที่สีเขียวสำหรับที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน
ใน พ.ศ. 2573 สหประชาชาติคาดหวังว่าทุกประเทศจะมีแผนงานบริหารจัดการการขยายตัวของเมืองและสามารถรองรับการเคลื่อนย้ายของประชากรได้อย่างกว้างๆ ขณะเดียวกันก็ควรรักษาศิลปวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาและเป็นมรดกของโลกไว้ได้ นอกจากนี้ประเทศต่างๆ ควรจะมีแผนพัฒนาที่เชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมระหว่างเมืองและชนบท อีกเป้าหมายของสหประชาชาติ คือ การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งรวมถึงด้านการเงินและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อสร้างความยั่งยืนและยืดหยุ่นกับการใช้ทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ รัฐบาลระดับชาติและระดับท้องถิ่นต้องพยายามจัดการเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรในพื้นที่เหล่านั้น การทำให้เมืองปลอดภัยและยั่งยืน หมายถึง การทำให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและเหมาะสม และพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของชุมชนแออัด และยังเกี่ยวข้องกับการลงทุนเรื่องระบบขนส่งสาธารณะ การสร้างพื้นที่สาธารณะสีเขียวและการปรับปรุงการวางผังเมืองและการจัดการในลักษณะแบบมีส่วนร่วม

ลักษณะเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก เราขอยกตัวอย่างแผนงานของเมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ที่วางแผนงานปรับปรุงเมืองมาตั้งแต่ปี 2555 ในชื่อ “Plan Melbourne” เป็นการพัฒนาแผนงานร่วมกันของทั้งภาครัฐและประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวม ถึงประชาคมอื่นๆ กว่า 2 ปี เพื่อสรุปหาแผนพัฒนาเมืองให้เกิดความยั่งยืน แผนงานนี้เริ่มด้วยการเปิดเวทีพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตของเมืองที่ทุกฝ่ายต้องการจะให้เดินหน้าในเดือน ต.ค. 2555 แค่ 5 เดือนหลังจากนั้น คนหลายพันคนที่มาจากทุกภาคส่วน รวมถึงผู้แทนหน่วยงานต่างๆ เข้ามาร่วมพูดคุยถึงขอบเขตของกิจกรรม เริ่มทำการสำรวจ และวางแผนงานกัน
หนึ่งปีหลังจากเริ่มต้น Plan Melbourne ก็ออกมาเพื่อให้สาธารณชนแสดงความคิดเห็น ที่สุดแผนการทำงานก็ออกมาด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนในสังคมและหน่วยงานองค์กรต่างๆ ในเดือนพฤษภาคมปี 2557 เป็นกรอบหลักในการวางนโยบายพัฒนาเมืองของภาครัฐ รัฐบาลรัฐวิกตอเรียรับแผนงานที่ร่วมกันคิดของประชาคมต่างๆ และปรับใช้เป็นแผนงานระยะยาวในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย การเพิ่มตำแหน่งงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิต การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมสาธารณะเข้าด้วยกัน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ
ตัวอย่างกลยุทธ์และเป้าหมายของ Plan Melbourne เช่น จะสนับสนุนการมีที่พักอาศัย การมีงานทำ การศึกษา การดูแลสุขภาพ รวมไปถึงการมีคุณภาพชีวิต สิ่งอำนวยความสะดวกในการสันทนาการ และการพักผ่อนให้กับคนในเมือง การเชื่อมโยงกับโลกผ่านการค้า ผู้คน และข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทำให้เมลเบิร์นต้องการปรับปรุงผลิตภาพเพื่อเชื่อมโยงและสร้างความสามารถในการแข่งขัน การสร้างเมืองที่ประสบความสำเร็จด้วยการเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ และส่งเสริมคุณค่าที่มีอยู่ในแต่ละชุมชน การบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานและน้ำ การรักษาพื้นที่สีเขียวของเมือง ซึ่งจะช่วยให้เมลเบิร์นสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ โดยในแผนงานระบุว่าทั้งหมดจะสำเร็จได้จะต้องได้รับความร่วมมือกันทั้งจากภาครัฐ รัฐบาลท้องถิ่น ภาคธุรกิจและชุมชน เพื่อที่จะสร้างเมลเบิร์นที่พวกเขาปรารถนาใน 40 ปีข้างหน้า

Plan Melbourne มีการคาดการณ์การขยายตัวของเมืองไว้อย่างเช่น จากจำนวนประชากรใน พ.ศ. 2556 ที่ 4.3 ล้านคน คาดว่าเมืองจะเติบโตและมีประชากรราว 7.7 ล้านคนใน พ.ศ. 2594 ตำแหน่งงานใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2594 คือ 1.7 ล้านตำแหน่ง จากที่มีอยู่ในปัจจุบันประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง ที่อยู่อาศัยจะต้องสร้างขึ้นใหม่ประมาณ 1.6 ล้านหน่วย ขณะที่การเดินทางจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 24.9 ล้านเที่ยว จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันประมาณ 14.2 ล้านเที่ยวในเขตเมืองเมลเบิร์น ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถวางแผนงานรองรับการเติบโต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้และเตรียมการรองรับความเปลี่ยนแปลง สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับเมืองได้ไปพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
Plan Melbourne กำหนดเป้าหมายแต่ละระยะไว้โดยเริ่มจากการวางแผนการเตรียมจัดหาเงินทุน การวางแผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมทางรางเพื่อเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ของเมือง ทั้งในตัวเมืองและส่วนขยายที่วางแผนไว้ นอกจากนี้ยังมีแผนงานด้านการขยายท่าเรือสินค้า และพัฒนาท่าเรือแห่งใหม่ การเชื่อมโยงการเดินทางกับสนามบินที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งจะทำให้การขนส่งทั้งคนและสินค้าทำได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงแผนการพัฒนาย่านชานเมืองและชุมชนต่างๆ ที่วางเอาไว้ ตัวอย่างแผนการพัฒนาชุมชนของเมลเบิร์นคือ แผน ‘20-Minute Neighbourhoods’ เป็นหนึ่งในแผนที่ทำให้เห็นถึงความพยายามจะสร้างชุมชนน่าอยู่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงความต้องการต่างๆ เช่น ร้านค้า โรงเรียน สวนสาธารณะ แหล่งงาน และบริการชุมชนต่างๆ ใน 20 นาทีจากประตูบ้าน แผนงานนี้จึงเป็นการสร้างขนาดตลาดที่เหมาะสมและการวางแผนงานด้านการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยปัจจุบันมีบางชุมชนในเมลเบิร์นสามารถทำเช่นนี้ได้แล้ว โดยเฉพาะเขตใจกลางเมือง ที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเดินไปใช้บริการต่างๆ และสามารถเชื่อมกับระบบขนส่งสาธารณะได้ใน 20 นาที และอีกหลายพื้นที่กำลังวางแผนจะให้เป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการเดินและกิจกรรมของชุมชน แผนงานนี้ต้องใช้การจัดโซนนิ่งพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เอื้อต่อการเติบโตของชุมชน การทำทางเท้าให้เดินได้สะดวก การสนับสนุนท้องถิ่นและชุมชนให้สามารถวางแผนและจัดการชุมชนของตน การวางแผนงานสร้างที่พักอาศัยในพื้นที่ที่สามารถเดินไปใช้งานระบบขนส่งสาธารณะ
นี่คือตัวอย่างการตอบโจทย์ความมุ่งหวังของสหประชาชาติ ในการมีชุมชนที่ปลอดภัย พร้อมกับการเสริมประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรต่างๆ ด้วยการเน้นให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ลดการใช้พลังงาน ด้วยเมืองที่ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ลดค่าใช้จ่ายในการวางระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ สามารถปรับปรุงวิธีการใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
การอยู่แบบชุมชนเมืองเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกับความห่วงใยในเรื่องความยั่งยืนของมนุษยชาติ เราสามารถใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการร่วมมือร่วมใจกันเพื่อสร้างสังคมเมืองที่ขยายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย ปลอดภัยและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่อง : กองบรรณธิการ
จุดพลิกผัน: มีจำนวนแว่นมองใกล้หรือแว่นตาสำหรับอ่านหนังสือที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ (ของแว่นทั้งหมดที่มีการใช้งานอยู่ในโลก)
ภายในปี 2025: 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
กูเกิลกลาส (Google Glass) คือตัวอย่างแรกๆ ของการทำให้แว่นตา, อุปกรณ์เกี่ยวกับสายตา/ หูฟังและอุปกรณ์ติดตามความเคลื่อนไหวของสายตามนุษย์ เป็นอุปกรณ์ “อัจฉริยะ” และนำไปสู่การเชื่อมต่อดวงตาและการมองเห็นกับอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหลายได้
ถ้าเข้าถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตผ่านทางการมองเห็นได้โดยตรง ก็จะสามารถยกระดับประสบการณ์ของมนุษย์ ใช้เป็นสื่อกลางหรือเป็นส่วนเสริมเพื่อแสดงความเป็นจริงที่แตกต่างออกไปได้ (ในโลกเสมือนจริง) นอกจากนี้เมื่อมีเทคโนโลยีติดตามความเคลื่อนไหวของสายตา (Eye-Tracking Technologies) เข้ามาช่วย อุปกรณ์ดังกล่าวก็สามารถป้อนข้อมูลผ่าน Visual Interface และสามารถใช้ดวงตาเป็นแหล่งสำหรับการปฏิสัมพันธ์กับและการตอบสนองต่อสารสนเทศได้ (คือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านดวงตาและกิจกรรมของดวงตา)
การเสริมการมองเห็นเพื่อใช้เป็นส่วนต่อประสาน (Interface) โดยตรงและทันที ด้วยการให้คำแนะนำ การทำให้เห็นภาพ และการปฏิสัมพันธ์ สามารถเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ การนำทาง การสอน และการให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อการผลิตสินค้าและบริการ ประสบการณ์ด้านความบันเทิง และการช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถมีส่วนร่วมกับโลกภายนอกอย่างเต็มที่มากขึ้น
ผลกระทบเชิงบวก
- เป็นการให้ข้อมูลแก่บุคคลแบบทันที เพื่อช่วยเรื่องการตัดสินใจโดยมีข้อมูลถูกต้องสำหรับการนำร่อง และกิจกรรมการทำงาน/ กิจกรรมส่วนตัว
- เพิ่มขีดความสามารถของการปฏิบัติงานหรือการผลิตสินค้าและบริการ โดยมีเครื่องมือช่วยการมองเห็นสำหรับช่วยในการผลิตสินค้า (Visual Aids for Manufacturing) การดูแลสุขภาพ/การผ่าตัดและการให้บริการ
- เป็นการเพิ่มความสามารถแก่ผู้พิการให้สามารถจัดการกับปฏิสัมพันธ์และการเคลื่อนไหวของตน และเพื่อสัมผัสประสบการณ์ของโลกภายนอก ผ่านการพูด การพิมพ์ และการเคลื่อนไหว และผ่านประสบการณ์ของการเข้าเป็นส่วนหนึ่งหรือความดื่มด่ำนั้น (Immersive Experience)
ผลกระทบเชิงลบ
- การเสียสมาธิอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- การบาดเจ็บจากการหมกมุ่นกับประสบการณ์แบบดื่มด่ำ
- การเสพติดเว็บไซต์และการหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
- ส่วนแบ่งของตลาดใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในอุตสาหกรรมบันเทิง
- มีการจัดสรรข้อมูลแบบทันทีทันใดมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์
ปัจจุบันมีแว่นตาดังกล่าวจำหน่ายในตลาดอยู่แล้ว (ไม่ได้มีแค่ของที่กูเกิลผลิตเท่านั้น) ซึ่งสามารถ
- ช่วยคุณจัดการกับวัตถุ 3 มิติได้โดยอิสระ โดยสามารถปั้นแต่งรูปแบบได้เหมือนดินเหนียวเลยทีเดียว
- เป็นการให้ข้อมูลสดเพิ่มเติมที่คุณต้องการใช้เวลาดูอะไรบางอย่าง แบบเดียวกับการทำงานของสมอง
- แจ้งเตือนคุณด้วยการแสดงเมนูของร้านอาหารที่คุณบังเอิญผ่านไปพอดีโดยจะซ้อนทับขึ้นมาบนหน้าจอ
- ฉายภาพหรือวิดีโอบนแผ่นกระดาษได้
ที่มา: HYPERLINK “http://www.hongkiat.com/blog/augmented-reality-smart-glasses/” http://www.hongkiat.com/blog/augmented-reality-smart-glasses/
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
จุดพลิกผัน: ปีที่จะมีจำนวนคนซึ่งมีตัวตนดิจิทัลบนอินเทอร์เน็ตครบ 80 เปอร์เซ็นต์ (ของจำนวนมนุษยชาติทั้งหมด)
ภายในปี 2025: 84 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดภายในปีนั้น
วิวัฒนาการของการมีตัวตนอยู่ในโลกดิจิทัล เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึงการมีเบอร์โทรศัพท์มือถือ มีที่อยู่อีเมลของตัวเอง และบางคนอาจมีเว็บไซต์หรือหน้า MySpace ของตัวเองด้วย
ปัจจุบัน การมีตัวตนดิจิทัลของคน ก็คือปฏิสัมพันธ์ทางดิจิทัล และสามารถสืบค้นผ่านทางแพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ที่มีอยู่มากมาย หลายคนมีตัวตนดิจิทัลมากกว่าหนึ่งตัวตน เช่นบนหน้าเพจของ Facebook, บัญชี Twitter ข้อมูลส่วนตัวใน LinkedIn, Tumblr blog, บัญชี Instagram และอื่นๆ อีกมากมาย
ในโลกที่มีการเชื่อมต่อกันมากขึ้นนี้ ชีวิตดิจิทัลมีความเกี่ยวพันกับชีวิตทางกายภาพจนแยกกันไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต การสร้างและการจัดการตัวตนดิจิทัลจะกลายเป็นเรื่องปกติ แล้วแต่ว่าคนตัดสินใจที่จะแสดงตัวตนของตนต่อโลกภายนอกทุกวัน ผ่านทางแฟชั่น คำพูดและการกระทำของตนอย่างไร ภายในโลกที่เชื่อมต่อถึงกันและในการแสดงตัวตนดิจิทัลของคนนั้น คนสามารถที่จะแสวงหาและแบ่งปันข้อมูล แสดงความคิดเห็นโดยอิสระ ทำการค้นหาและถูกค้นพบ พัฒนาและรักษาความสัมพันธ์เสมือนจริงที่ไหนก็ได้ในโลกนี้
ผลกระทบเชิงบวก
- มีความโปร่งใสมากขึ้น
- การเชื่อมต่อระหว่างบุคคลและกลุ่มเพิ่มขึ้นและรวดเร็วขึ้น
- สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีมากขึ้น
- มีการเผยแพร่/ แลกเปลี่ยนข้อมูลรวดเร็วขึ้น
- มีการใช้บริการของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลกระทบเชิงลบ
- มีการสอดส่องดูความเป็นส่วนตัว
- มีการโจรกรรมเอกลักษณ์ของบุคคล (Identity Theft) มากขึ้น
- การกลั่นแกล้งกันทางออนไลน์/ การเฝ้าติดตามหรือสะกดรอยทางออนไลน์ (Online Bullying/ Stalking)
- เกิดความคิดตามกลุ่มภายในกลุ่มผลประโยชน์และการแบ่งขั้วมากขึ้น
- เกิดการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ถูกต้องเพื่อทำลายชื่อเสียงกัน (จะมีความต้องการในเรื่อง Reputation Management) , เกิดภาวะเสียงก้องในห้องแคบ (Echo Chamber หรือการเลือกเสพหรือรับฟัง แต่ข้อมูลข่าวสารจากกลุ่มที่ตรงกับความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น)
- ขาดความโปร่งใสเพราะบุคคลไม่ได้มีส่วนรับรู้ขั้นตอนหรือวิธีจัดการข้อมูลหรือ Information Algorithms (ของข่าวสาร/ ข้อมูล ซึ่งเก็บไปจากพวกเขา)
ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
- เป็นมรดกตกทอดเชิงดิจิทัล (Digital Legacies)/ รอยเท้าดิจิทัล
- การโฆษณาที่ตรงเป้าหมายชัดเจนยิ่งขึ้น
- สารสนเทศและข่าวสารที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น
- เป็นการสร้างโปรไฟล์ส่วนบุคคล
- มีอัตลักษณ์ถาวร (ไม่มีสภาวะนิรนามหรือ Annonymity)
- สามารถพัฒนาขบวนการทางสังคมออนไลน์ได้ง่าย (เช่น กลุ่มทางการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มงานอดิเรก กลุ่มผู้ก่อการร้าย เป็นต้น)
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติการณ์ของมนุษย์ (The Shift in Action)
ถ้าเปรียบเว็บไซต์สื่อสังคมยอดนิยมขนาดใหญ่สุดทั้งสามเป็นประเทศ ก็คงจะติดอันดับชาติที่มีประชากรมากที่สุด 10 อันดับแรกกันแล้ว (ดูรูปที่ 1)

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา