

บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด หรือ NITMX ผู้พัฒนาและให้บริการระบบการชำระเงิน และการโอนเงินระหว่างธนาคารของประเทศไทย เชื่อมโยงระบบการชำระเงินกับต่างประเทศตามที่ได้รับมอบหมายให้เป็น Interbank Transaction Management and Exchange หรือ ITMX ของประเทศไทย เตรียมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ "Hack to the Max: Digital Infrastructure" Hack ข้ามขีดจำกัด สู่ระบบการเงินแห่งอนาคต ในวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ณ NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน กรุงเทพฯ เฟ้นหาทีมนักพัฒนาและนักสร้างสรรค์ที่จะมาร่วมขับเคลื่อนอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง NITMX และพันธมิตรในวงการเทคโนโลยีการเงิน มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมที่จะยกระดับระบบการเงินดิจิทัลของประเทศให้ก้าวไกลและทัดเทียมระดับสากล
โครงการ Hack to the Max : Digital Infrastructure Hack ข้ามขีดจำกัด สู่ระบบการเงินแห่งอนาคต ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแข่งขัน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง National ITMX และผู้ที่มีความสามารถ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลไทยให้ทันสมัย ปลอดภัย และยั่งยืน ทีมที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับโอกาสในการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก National ITMX และพันธมิตรตลอดโครงการ เพื่อพัฒนาแนวคิดของตนให้เป็นจริง ตลอดจนได้รับการสนับสนุนและคำแนะนำต่าง ๆ เพื่อให้ทีมสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
โดยจะเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมแข่งขันตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม - 27 กันยายน 2567 โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักคือ เหล่านักพัฒนา นักสร้างสรรค์ และผู้ที่มีความสนใจในเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัล ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 18-25 ปี สามารถสมัครได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีมไม่เกิน 3 คน โดยจะต้องนำเสนอแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตามแนวคิด 3 ด้านหลัก ได้แก่ Innovative Payment Solutions, Sustainable Payment Solution และ Data Solution for Banks
ทีมที่ผ่านการคัดเลือก 15 ทีมสุดท้าย จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon ในวันที่ 26-27 ตุลาคม 2567 โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับโอกาสในการพัฒนาแนวคิดของตนให้เป็น Prototype ภายใต้การให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ ทีมชนะเลิศจะได้รับรางวัลพิเศษคือโอกาสในการเข้าร่วมงาน Singapore Fintech Festival ที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนจากวงการ Fintech ทั่วโลก โดย NITMX จะเป็นผู้สนับสนุนตั๋วเครื่องบินไปกลับ ที่พัก รวมถึงค่าอาหาร นอกจากนี้ ยังมีรางวัล The Best of Track สำหรับผู้ชนะในแต่ละด้านอีกด้านละ 10,000 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการของ NITMX Hackathon 2024 "Hack to the Max: Digital Infrastructure" Hack ข้ามขีดจำกัด สู่ระบบการเงินแห่งอนาคต ที่ https://bit.ly/nitmx-hackathon-2024 ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป อย่าพลาดโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลของประเทศไทยและสร้างอนาคตที่สดใสไปพร้อมกับ NITMX
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ถ่ายทอดนโยบายการขับเคลื่อนการเป็นธนาคารเพื่อสังคมเชิงลึกให้บุคลากรหน่วยงานพัฒนาสังคมและชุมชนทั่วประเทศ เน้นใช้กลไกการสร้างคุณค่าร่วม หรือ CSV : Creating Shared Value โดยทำธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับการช่วยแก้ปัญหาสังคมไปด้วย และนำกำไรจากธุรกิจมาสนับสนุนภารกิจเชิงสังคม ซึ่งทำให้สังคมและธุรกิจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

พร้อมกันนี้ยังได้เยี่ยมชมผลสัมฤทธิ์จากการอบรมหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชนของบุคลากรในสังกัดหน่วยพัฒนาสังคมและชุมชน สายงานกิจการสาขา 1- 6 และหน่วยงานพัฒนาจากส่วนกลาง ซึ่งถือเป็นการสร้างองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรขององค์กรที่ทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการในการทำงานเพื่อสังคมและชุมชน เพื่อนำองค์ความรู้ถ่ายทอดต่อวิสาหกิจชุมชนที่รับผิดชอบ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานภายใต้แนวทางการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม เพื่อขับเคลื่อนบทบาทธนาคารเพื่อสังคมตามเป้าหมายต่อไป ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% ต่อปี โดย กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวตามที่คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอตัวลง นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังคุณภาพสินเชื่อ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่คงอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสินค้านำเข้า อย่างไรก็ตาม กนง. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% ภายในสิ้นปีนี้
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังการประกาศผลการประชุม ขณะที่ค่าเงินบาทในปี 2567 อ่อนลงเพียง 0.2% โดย กนง. ระบุว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงหลัง ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวลงตามทิศทางของสหรัฐฯ
สำหรับการประชุม กนง. ในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 16 ตุลาคม 2567 แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุม ในรอบนี้จะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันมีความเหมาะสมเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แต่เราประเมินท่าทีของคณะกรรมการกนง. ในวันนี้ว่าบ่งชี้สัญญาณที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยมีการระบุว่า ในอนาคตจำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงด้านขาลงของการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงคุณภาพสินเชื่อที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กรุงศรียังคงเห็นว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป แต่ยอมรับว่ามีปัจจัยเสี่ยงเรื่องความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลใหม่เพิ่มเข้ามาเช่นกัน
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดย นางสาวพัสสนีย์ อุดมพาณิชย์ (ที่ 4 จากซ้าย), CFP ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์การลงทุน ร่วมแสดงความยินดีกับทีมที่ปรึกษาด้านการลงทุน Krungsri Investment Intelligence ซึ่งได้รับ 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล จากเวทีระดับสากล Citywire ASEAN Awards 2023/24 ประกอบด้วย รางวัล ‘Best CIO Office – Thailand’ และรางวัล ‘Top 25 ASEAN Selectors – Thailand’ ที่มอบให้กับนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา (ที่ 3 จากขวา), CFA ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่รู้จัก และได้รับความไว้วางใจในจากลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่ง ทั้งสองรางวัลสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของกรุงศรีในบทบาทที่ปรึกษาด้านการลงทุนส่วนบุคคล รวมทั้งศักยภาพในการพัฒนาและคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครอบคลุม พร้อมช่วยบริหารต่อยอดความมั่งคั่งให้กับลูกค้า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเป็น “Investment Wealth Advisory Bank” อย่างแท้จริง
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้เข้าร่วมเสวนาในหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำทางการแพทย์ รุ่นที่ 1 (ปนพ.1) หัวข้อ “ความสำคัญของประกันสุขภาพ ใน Aging Society” ร่วมกับ นายสาระ ลํ่าซำ ประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทย และ นายแพทย์ วุฒิวงศ์ สมบุญเรืองศรี ประธานคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 - 10.30 น. ณ ห้องประชุมวชิรเวช ชั้น 14 อาคารมหิตลาธิเบศร แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นโดย สถาบันมหิตลาธิเบศร ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า โดยหลักสูตร ปนพ. มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพทย์ยุคใหม่และบุคลากรในภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่จะเติบโตเป็นผู้นำในอนาคต ให้มีความพร้อมทั้งศาสตร์และศิลป์ของการเป็นผู้บริหารที่ทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์ส่วนรวม ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สามารถนำองค์ความรู้ไปปรับใช้แก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในการนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบประกันภัยแก่ผู้เข้ารับการอบรมโดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) มีหน้าที่ในการกำกับดูแลและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย คุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชน โดยทำหน้าที่กำกับเพื่อให้บริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย มีฐานะการเงินที่มั่นคงเพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือให้กับระบบประกันภัย รวมถึงคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยให้เป็นหนึ่งในองค์กรที่ดูแลประชาชนและเป็นอีกหนึ่งเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับธุรกิจประกันภัยมีการลงทุนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 4 ล้านล้านบาท โดยปัจจุบันธุรกิจประกันภัยสุขภาพมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมาก ขณะเดียวกันการเรียกร้องสินไหมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นความท้าทายของธุรกิจประกันภัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัย รวมถึงสำนักงาน คปภ. ในการกำกับดูแลและสนับสนุนให้ธุรกิจประกันภัยพัฒนากรมธรรม์ประกันภัย เพื่อรองรับเรื่อง Aging Society ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยยื่นขอความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัย สำนักงาน คปภ. มีหน้าที่ต้องตรวจสอบอัตราเบี้ยประกันภัย แบบข้อความ ความคุ้มครอง เงื่อนไขต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมที่จะดูแลคุ้มครองประชาชนผู้เอาประกันภัย อีกทั้งสำนักงาน คปภ. ยังได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงระบบประกันภัยสุขภาพได้ยากสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคร้ายแรงมาก่อนและอยู่ในภาวะโรคสงบแล้ว ด้วยการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ และเพื่อให้บริษัทนำไปใช้พัฒนาต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีรูปแบบใกล้เคียงกันได้

นอกจากนี้ เพื่อให้ระบบประกันภัยสุขภาพมีความยั่งยืนและมีเครื่องมือในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งเกิดจากการเคลมด้วยกลุ่มโรคเจ็บป่วยเล็กน้อยทั่วไป หรือการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ในสัญญาประกันภัยสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ จึงได้กำหนดเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ (Renewal) ของ New Health Standard ได้กำหนดเป็น Option ให้บริษัทสามารถปรับเงื่อนไขให้ผู้เอาประกันภัยมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) โดยประกันภัยสุขภาพแบบ Copayment จะสามารถชะลอการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยได้ อีกทั้งจะส่งผลให้ราคาเบี้ยประกันภัยถูกลง อันจะส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงประกันภัยสุขภาพได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
SCGP เสริมธุรกิจด้วยกลยุทธ์ ESG เพื่อขับเคลื่อนองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (Megatrends) ชูการรับรองคาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) การพัฒนา Private declaration Label เพื่อระบุปริมาณ CFP บนผลิตภัณฑ์ พร้อม “ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ช่วยคำนวณปริมาณปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างรวดเร็ว เสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ช่วยจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 ของลูกค้า เพิ่มโอกาสธุรกิจและเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทย ตั้งเป้าขอการรับรอง CFP ในกลุ่มสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย 100% ภายในปี 2027
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจ เทคโนโลยี รวมถึงสภาพภูมิอากาศ SCGP ได้ทรานส์ฟอร์มธุรกิจในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการสร้างความยืดหยุ่น เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมีคุณภาพ การพัฒนาพนักงานให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และบริการตรงใจลูกค้า และอีกหนึ่งการทรานส์ฟอร์มที่ SCGP ให้ความสำคัญ คือ “Sustainability Transformation” หรือการขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยแนวคิด Inclusive Green Growth ที่เพิ่มการมีส่วนร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

SCGP ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยมีแผนการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการต่าง ๆ ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนการสนับสนุนคู่ค้าและลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
SCGP ยังเล็งเห็นว่า การผลิตบรรจุภัณฑ์ของบริษัทถือเป็น Scope 3 ของลูกค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงได้ทุ่มเทความพยายามและร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ในการพัฒนาแนวทางและวิธีการ เพื่อขอรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับลูกค้า ทำให้ล่าสุด SCGP ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO เป็นผลสำเร็จ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ได้แก่ กลุ่มสินค้าเยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 128 ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกระบวนการพิมพ์และการขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษ

นอกจากนี้ SCGP ยังได้พัฒนา ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ที่ออกโดย SCGP (Private Declaration Label) เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบรรจุภัณฑ์ และได้พัฒนา “ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ของผลิตภัณฑ์ ที่แม่นยำ ง่าย และรวดเร็ว เพื่อเป็นโซลูชันให้กับลูกค้า สามารถดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย พร้อมกับเอกสารรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าเพื่อนำไปใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐที่มีการบังคับใช้มากขึ้นในหลายประเทศ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการขาย การเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ให้ลูกค้าส่งออกกลุ่มต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ นับเป็นการช่วยเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

“SCGP เดินหน้าการดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิด ESG มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือกับผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าเติบโตไปพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (Inclusive Green Growth) รวมถึงการศึกษาและติดตามสถานการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมรับกับมาตรการใหม่ (New Regulations) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันที่จะมาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” นายวิชาญ กล่าว
ศูนย์รับสร้างบ้านแลนดี้ โฮม (Landy Home) ตอกย้ำภาพผู้นำตลาดรับสร้างบ้าน จับมือ “Gluta Story” Influencer ชื่อดังสายสัตว์เลี้ยง ขวัญใจคนรักสัตว์ พัฒนาแบบบ้านใหม่ “Pet Friendly Collection” เจาะกลุ่มตรงใจสาย Pet Lover
2 แบบ 2 สไตล์ โดยพัฒนาฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในบ้านให้ตอบโจทย์การอยู่ร่วมกันของเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างตรงจุด จากประสบการณ์ตรงของ Gluta Story ที่เลี้ยงน้องหมาน้องแมวนับสิบอย่างดีราวกับลูกรัก รับเทรนด์ Pet Humanization ที่มาแรงและเป็น Mega Trend ระดับโลกในปัจจุบัน ซึ่งพร้อมให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์บ้านแนวคิดใหม่ได้ที่แลนดี้ โฮม ทุกสาขา
โดยแลนดี้ โฮม เป็นผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่มีทุนจดทะเบียนสูงถึง 200 ล้านบาท กับแบบบ้านที่มีให้เลือกมากกว่า 300 แบบ ที่ยังคงดำเนินกิจการด้วยความมุ่งมั่นเพื่อมอบประสบการณ์ในการสร้างที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้า พร้อมตอบรับเทรนด์การออกแบบบ้านที่ทันสมัย สอดรับกับความต้องการของตลาดอยู่เสมอ โดยแลนดี้ โฮม ได้พัฒนานวัตกรรมยกระดับการอยู่อาศัย ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น PM 2.5 บ้านปลอดแมลงสาบ ล่าสุดเปิดตัวแบบบ้านใหม่ “Pet Friendly Collection” สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง
นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงที่มาของแนวคิดในการพัฒนาบ้าน “Pet Friendly Collection” ซึ่งเกิดจากการมองเห็น Mega Trend ของคนยุคใหม่ในปัจจุบัน ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งหากศึกษาวิถีชีวิตของกลุ่ม Pet Lover ในประเทศไทยและต่างประเทศจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมคนยุคใหม่จำนวนมากนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อเข้ามาเติมเต็มในครอบครัว และให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกที่แสนสำคัญในครอบครัว (Pet Humanization) มีความเด่นชัดขึ้น แลนดี้ โฮมที่ต้องการเป็นศูนย์รับสร้างบ้านที่เข้าใจผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ และมีบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกไลฟ์สไตล์จึงได้พัฒนาฟังก์ชันพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงภายในบ้านขึ้น โดยจับมือกับ “Gluta Story” Influencer ชื่อดังสายสัตว์เลี้ยงที่มีผู้ติดตามจำนวนมากบนสื่อออนไลน์ ที่มีประสบการณ์ตรงในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวนับสิบชีวิต เข้ามาร่วมออกแบบ ดีไซน์บ้านที่ตอบโจทย์สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ โดยนำประสบการณ์จริงจาก Gluta Story เข้ามาร่วมกับความเชี่ยวชาญในการออกแบบบ้านและการคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงอย่างแท้จริง
“แลนดี้ โฮม มองถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจกลุ่มลูกค้ามากที่สุด โดยปัจจุบันนี้กลุ่ม Pet Lover ที่ชื่นชอบในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการที่มีการแต่งงานน้อยลง คนโสดมากขึ้น และผู้คนมีลูกน้อยลง รวมถึงสังคมผู้สูงอายุที่มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อคลายเหงาในช่วงวัยเกษียณก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนั่นทำให้มีการเติบโตของธุรกิจสุขภาพและบริการเพื่อคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากข้อมูลศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (TTB analytics) คาดการมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้าน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 ทำให้แลนดี้ โฮม ไม่อาจมองข้ามเทรนด์การอยู่อาศัยกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันนี้ได้” นางสาวภัทรา กล่าว
โดยบ้าน Pet Friendly Collection นี้ มี 2 แบบ 2 สไตล์ สำหรับสาย Pet Lover ที่ชื่นชอบบ้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ละมุนใจสไตล์ฝรั่งเศส และสายที่ชื่นชอบความโมเดิร์นทันสมัย เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดอันอบอุ่น ได้แก่ แบบบ้าน Arendelle และแบบบ้าน Yuki

Arendelle: บ้าน 2 ชั้นสไตล์ฝรั่งเศสสุดหรู ที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอความอบอุ่นใจ สมกับสไตล์ของประเทศแห่งความโรแมนติก ที่ถูกออกแบบฟังก์ชันการอยู่อาศัยเพื่อความสะดวกสบายและเต็มไปด้วยความสุขของเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแสนรัก โดยมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางถึง 382 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 3 คัน เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางและสะดวกสบาย รองรับการใช้ชีวิตประจำวันและการทำกิจกรรมร่วมกับสัตว์เลี้ยง

Yuki: บ้าน 3 ชั้นสไตล์ Modern Luxury ที่มีความเป็นส่วนตัว และถูกออกแบบโดยคำนึงถึงการอยู่ร่วมกันของเจ้าของ สัตว์เลี้ยง และพื้นที่สีเขียวสำหรับคนและสัตว์ ที่จัดสรรฟังก์ชันการอยู่อาศัยอย่างลงตัว ในพื้นที่ใช้สอยสูงถึง 623 ตารางเมตร มี 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 3 คัน โดยบ้านหลังนี้ถูกออกแบบให้เป็นทั้งที่พักอาศัยและสถานที่ที่สัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ เพื่อให้สามารถมีชีวิตแสนสุขได้ทุกวัน
โดยบ้าน Pet Friendly Collection ของแลนดี้ โฮม ไม่ได้เพียงแค่ใส่ใจในการออกแบบฟังก์ชันพื้นที่ใช้สอยเพื่อให้คนและสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างสบายและมีความสุข แต่ยังได้นำทักษะและความเชี่ยวชาญในการคัดสรรวัสดุคุณภาพสูงที่เหมาะกับการใช้ในบ้านที่มีความต้องการเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน เข้ามารวมกับประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์เลี้ยงของ Gluta Story จนเกิดเป็นฟังก์ชันพิเศษที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับเจ้าของและสัตว์เลี้ยงในคอลเลคชันนี้ได้อย่างลงตัว เพื่อยกระดับการอยู่อาศัยได้อย่างตรงจุด ประกอบด้วย

กระเบื้องสำหรับสัตว์เลี้ยง
แลนดี้ โฮม เลือกใช้ผลิตภัณฑ์กระเบื้องสำหรับสัตว์เลี้ยง จาก Gelato Ceramica ที่ได้พัฒนานวัตกรรมร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์ Arak เรียกว่า “Safe Paws Tech” เทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อการเดินและการทรงตัวของสัตว์เลี้ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การเดินของสัตว์เลี้ยงเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ป้องกันการลื่นไถล ให้สัมผัสที่นุ่มนวล แต่ยังช่วยเรื่องสุขอนามัยที่ดีของสัตว์เลี้ยง ด้วยเทคโนโลยี Nano Silver ที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ถูกสุขอนามัยขั้นสุด
สีทาภายในที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง
เราได้เลือกใช้สีทาภายในบ้านที่เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีปริมาณสารระเหยต่ำ ปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย สร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตราย มีคุณสมบัติยึดเกาะผนัง ไม่หลุดร่อนง่าย เพิ่มประสิทธิภาพในการกลบมิด และป้องกันฤทธิ์ด่างเกลือ ทำให้ภายในบ้านยังคงสวยงามและปลอดภัย
นวัตกรรมระบบเติมอากาศ CAP+
ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน Cap+ ช่วยเรื่องการถ่ายเทอากาศ แม้จะปิดหน้าต่าง แต่สัตว์เลี้ยงก็ยังอยู่สบาย หมดกังวลเรื่องความร้อนหรือการขาดอากาศ แถมยังช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 และลดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์อันเกิดจากสัตว์เลี้ยง ช่วยลดปัญหาภูมิแพ้สำหรับคุณและสัตว์เลี้ยง ทำให้บ้านสดชื่นอยู่สบายอยู่เสมอ
ประตูพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง (Wicket Door)
ประตูที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้สัตว์เลี้ยงสามารถเข้าออกห้องเองได้อย่างสะดวกสบาย โดยผู้เลี้ยงไม่ต้องเปิดประตูให้ ทำให้สัตว์เลี้ยงสามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านได้อย่างอิสระ ไม่เกิดภาวะเครียด
พื้นที่อาบน้ำและขับถ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยง
แลนดี้ โฮม ได้พัฒนาและออกแบบพื้นที่อาบน้ำ รวมถึงพื้นที่สำหรับขับถ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ รวมถึง พื้นที่อเนกประสงค์นอกบ้านที่ปลอดภัย โดยการออกแบบรั้วอลูมิเนียมที่แข็งแรง เพื่อปกป้องสัตว์เลี้ยงของคุณ และยังเป็นพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงออกมาสัมผัสธรรมชาติได้อย่างไม่ต้องกังวล
“จากกระแส Pet Humanization หรือเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ทำให้เจ้าของให้ความสำคัญกับการดูแลเอาใจใส่น้องหมา น้องแมว ให้มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดี การใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยง ซึ่งแลนดี้ โฮม ได้ศึกษา คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทั้งเจ้าของบ้านและสัตว์เลี้ยงได้อย่างแท้จริง” นางสาวภัทรากล่าว
โดยการเปิดตัว Pet Friendly Collection แลนดี้ โฮม ได้เลือกฤกษ์ดี นำแบบบ้าน Arendelle และ Yuki มาเปิดตัวในงานที่จะรวมเหล่า Pet Lover มารวมตัวกันไว้มากที่สุดในปีนี้ ได้แก่งาน PET EXPO Championship 2024 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 15 -18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และมีผู้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในบูทของแลนดี้ โฮมมากกว่า 500 ราย และโกยยอดขายกว่า 50 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 4 วันของการเปิดตัว นับว่าเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของวงการสร้างบ้านไทยในปีนี้ และยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแลนดี้ โฮม ในเส้นทางสายบ้านสำหรับคนรักสัตว์อีกด้วย

เยี่ยมชมแบบบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณและสัตว์เลี้ยง พร้อมปรึกษาเรื่องการสร้างบ้านกับทีมสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญฟรี ได้ที่ แลนดี้ โฮม ทุกสาขา หรือโทร 02-938-3456 หรือทักไลน์ @Landyhome ได้เลย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.landyhome.co.th
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ The Ai Portrait Workshop By HONOR 200 Series x TG โดยจัดขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์พิเศษและแชร์เทคนิคการถ่ายภาพสุดปังด้วยสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียวให้กับลูกค้าที่ลงทะเบียนสั่งจองและซื้อสมาร์ตโฟน HONOR 200 Series กับทาง TG เท่านั้น จำนวน 15 สิทธิ์ โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ ร้านอาหาร Tsai Eatery

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และสัมผัสกับฟีเจอร์สุดล้ำของ HONOR 200 Series โดยเฉพาะฟีเจอร์ Ai Portrait และการถ่ายภาพด้วยฟิลเตอร์ Harcourt ซึ่งเป็นจุดเด่นของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพบุคคลมีมิติและความคมชัดระดับมืออาชีพ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายที่สวยงามได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

ภายในงาน มีการจัดเวิร์คช็อปให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับประสบการณ์การถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน โดยได้รับการแนะนำเทคนิคการถ่ายภาพจากผู้เชี่ยวชาญที่มาเป็นวิทยากรในงานครั้งนี้ เทคนิคเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้ใหม่ ๆ แต่ยังสามารถนำไปใช้ในการถ่ายภาพในชีวิตประจำวันได้จริง ทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้พัฒนาทักษะการถ่ายภาพและเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยสมาร์ตโฟน อีกทั้งยังมีการประกวดถ่ายภาพในหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดภาพถ่ายบุคคล หมวดภาพวิว และหมวดอาหาร พร้อมมีการคัดเลือกผลงานที่ดีที่สุด เพื่อรับรางวัล HONOR 200 Series Gift Box และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ กิจกรรม The Ai Portrait Workshop ยังเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง HONOR และลูกค้า ผ่านประสบการณ์ที่น่าจดจำ โดยมีการจัดสรรกิจกรรมอย่างใส่ใจและเอาใจใส่ในทุก ๆ รายละเอียด ทำให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนได้เพลิดเพลินและรู้สึกประทับใจ

สามารถซื้อ HONOR 200 Series ได้แล้ววันนี้! โดยรุ่น HONOR 200 Pro มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีฟ้า (Ocean Cyan) และ สีดำ (Black) ราคา 19,990 บาท และรุ่น HONOR 200 มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียว (Emerald Green), สีขาว (Moonlight White) และ สีดำ (Black) ราคา 14,990 บาท สามารถซื้อได้ที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.tgfone.com
ดีป้า ประกาศเปิดตัว d-station สาขาแรกของประเทศไทย ใจกลางทำเลแห่งศักยภาพ สานฝันผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในพื้นที่ตั้งต้นธุรกิจ ผลักดันระบบนิเวศดิจิทัลในท้องถิ่น ชูบริการหลัก BKT Digital Solution เครื่องมือยกระดับธุรกิจสำหรับ SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่ผ่านการขึ้นบนทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล เสริมด้วยบริการที่พัก และพื้นที่รองรับการสร้างชุมชนดิจิทัล บริหารธุรกิจโดย บนกองเงินกองทอง
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ดีป้า ได้พัฒนากลไก d-station ขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Digi-Preneur) สามารถเติมเต็มศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัลสัญชาติไทย และสร้างโอกาสการเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น พร้อมกันนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับท้องถิ่น ซึ่ง d-station เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือส่งเสริมและสนับสนุนภายใต้มาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัลในบริษัทหมวดผู้ประกอบการให้บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลชุมชน (Digi-preneur)

“d-station จะเป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดิจิทัล และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์/บริการของเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย รวมถึงเกษตรกร ชุมชนในชนบท และวิสาหกิจชุมชน ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมศักยภาพ Digi-preneur ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและธุรกิจท้องถิ่นแล้ว d-station ยังเป็นส่วนช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระดับพื้นที่ด้วยเทคโนโลยี/บริการดิจิทัล นอกจากนี้ยังเป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลแก่ผู้ใช้งานระดับท้องถิ่น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศอีกทางหนึ่ง” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับ d-station สาขาแรกของประเทศตั้งอยู่ใจกลางอำเภอเมืองของจังหวัดระยอง มีดิจิทัลสตาร์ทอัพในพื้นที่อย่าง บริษัท บนกองเงินกองทอง จำกัด เป็นผู้บริหารธุรกิจ โดย นายอภิวัฒน์ หวังมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บนกองเงินกองทอง จำกัด กล่าวว่า แนวทางการบริหารกิจการ d-station สาขาจังหวัดระยองมี BKT Digital Solution เป็นแนวคิดหลักในการบริหารจัดการ โดยธุรกิจหลักของ d-station แห่งนี้คือ การให้บริการด้าน Software Digital Solution และเป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องมือโปรแกรมดิจิทัลสำหรับธุรกิจ SMEs ที่เชื่อถือได้ เนื่องจากทุกผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่จำหน่ายใน d-station แห่งนี้ผ่านการขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล ซึ่งเชื่อมั่นว่าตรงปก ไม่ถูกหลอก และอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการเติมเติมด้วยธุรกิจเสริมเพื่อสร้างชุมชนดิจิทัลด้วยการให้บริการพื้นที่สำหรับจัดประชุม สัมมนา เป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ เชื่อมโยงกิจการและนักบัญชีที่เข้าใจนักธุรกิจ (Matching Accountant Service) รวมถึงพื้นที่ให้บริการที่พักสำหรับนักธุรกิจ
ทั้งนี้ ดีป้า ตั้งเป้าที่จะขยายจำนวน d-station ให้ครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งในระยะเริ่มต้นตั้งเป้าดำเนินการใน 5 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ และระยอง ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีพิธีเปิดสาขาอย่างเป็นทางการ โดยมีดร.ปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เป็นประธาน พร้อมด้วย นายอภิวัฒน์ ในฐานะผู้บริหารโครงการ d-station ในพื้นที่จังหวัดระยองพร้อมทีมงานร่วมในพิธีดังกล่าว

ทั้งนี้ ดีป้า ยังมีโครงการดี ๆ อย่าง CONNEXION ที่มุ่งยกระดับองค์ความรู้ พัฒนาชุดทักษะใหม่ด้านดิจิทัลแก่คนไทย โดยเฉพาะผู้ว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานให้มีความพร้อมต่อการประกอบอาชีพใหม่ในยุคดิจิทัล และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยอย่าง คอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะ ประกอบอาชีพอื่น ๆ ในสายอย่าง ออแกไนเซอร์ นักออกแบบ นักพากย์ นักเล่าเรื่อง เป็นต้น
และอีกหนึ่งโครงการกับ เปิดเมือง เปิดท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิทัล กับการพัฒนา ThailandCONNEX เพื่อเป็น แพลตฟอร์มกลางที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรูปแบบ Business to Business (B2B) ในลักษณะ Wholesales สำหรับ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สามารถเข้าถึง นำเสนอสินค้าและบริการสู่ผู้ให้บริการท่องเที่ยว (Online Travel Agents : OTAs) ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการเช่ายานพาหนะเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ThailandCONNEX กว่า 1 แสนราย มีสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวกว่า 2 แสนรายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท