

ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิมล ศรีวิกรม์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาจัดการสนับสนุนสมาคมกีฬาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน พร้อมด้วยนายปรีชา ลาลุน รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย ร่วมพิธีมอบเงินสนับสนุนโครงการ “1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ” แก่สมาคมกีฬายิงปืนรณยุทธแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย จำนวนเงิน 32 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 4 ปี ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โดยมีนายธีรลักษ์ แสงสนิท ประธานกรรมการธนาคาร EXIM BANK นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานกรรมการบริหาร EXIM BANK และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ให้การต้อนรับ โดยมีพลเอกเพิ่มศักดิ์ พวงสาโรจน์ นายกสมาคมกีฬายิงปืนรณยุทธแห่งประเทศไทย และนายโรจน์ เมืองครุธ อุปนายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ EXIM BANK ในการสร้างบทบาทใหม่ในฐานะธนาคารที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาด้านกีฬาอย่างเป็นระบบ ต่อยอดการเป็น Soft Power และนักกีฬาไทยสู่การแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติ เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพในวงการกีฬามืออาชีพและชื่อเสียงที่ดีของประเทศไทยในระดับสากล ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า โครงการ “1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ” เปิดโอกาสให้ทั้งภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกีฬาแต่ละประเภทอย่างเป็นระบบและยั่งยืนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะของนักกีฬาไทยไปสู่การแข่งขันในระดับนานาชาติ การสนับสนุนของรัฐวิสาหกิจช่วยให้นักกีฬาเข้าถึงโอกาสในการฝึกฝนและพัฒนาทักษะได้มากขึ้น การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจะสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการฝึกฝน นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจยังเป็นต้นแบบของการสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยดูแลสุขภาพและให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพกาย ใจ และสปิริตที่ดี การได้เห็นนักกีฬาประสบความสำเร็จยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไปให้หันมาออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างมีทักษะและเป็นมืออาชีพเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาวงการกีฬาของไทยอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมให้เกิดวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับกีฬาเพิ่มขึ้น เช่น โค้ช ผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน และวิชาชีพอื่น ๆ ในวงการกีฬา ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้จากธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการขนส่งอย่างครบวงจร นับเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ทั้งในด้านการพัฒนากีฬา การส่งเสริมสุขภาพ การเสริมสร้างเศรษฐกิจ การสร้างชื่อเสียง และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยส่งเสริมและต่อยอดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

โครงการ “1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ” เป็นโครงการที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมและพัฒนากีฬาในทุกระดับ รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเยาวชนไทยและประชาชนในชุมชน การสนับสนุนในครั้งนี้ ถือเป็นอีกบทบาทสำคัญของ EXIM BANK ในการร่วมขับเคลื่อนวงการกีฬาไทยไปสู่ความเป็นเลิศทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับภารกิจหลักของ EXIM BANK ในการสนับสนุนการได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีเงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทต่อปี จากการจัดแข่งขันระดับนานาชาติของทั้ง 2 สมาคม นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาวงการกีฬาอย่างยั่งยืน พัฒนาอาชีพนักกีฬา ผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน และวิชาชีพที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสและพัฒนาศักยภาพโดยเฉพาะแก่กลุ่มนักกีฬาช้างเผือกที่มีทักษะแต่ขาดกำลังทรัพย์ ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังขยายผลความร่วมมือสู่การเสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงาน EXIM BANK และครอบครัว โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรในกิจกรรม CSR หรือกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) ของตนเองและสังคม ยกระดับความผูกพันของพนักงานในองค์กรอีกทางหนึ่ง การสนับสนุนในครั้งนี้ ไม่เพียงสนับสนุนด้านการเงินเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับด้านคุณค่าและเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการฝึกฝนทักษะของนักกีฬาจากทั้งสองสมาคมให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของวงการกีฬาและสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคมรอบข้าง ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับท้องถิ่นสู่ประเทศชาติและโลกโดยรวม ดร.รักษ์ กล่าว
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ร่วมกับ หน่วยทันตกรรมพระราชทานคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดทำโครงการทันตแพทย์อาสา ครั้งที่ 8 “ส่งต่อรอยยิ้มแบ่งปันความสุข 4 ภาค” นำโดย วลัยทิพย์ ซื่อตรงมั่นคง (คนที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เครือเฮอริเทจ, ชนิฎาภรณ์ สอนสังข์ ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานทันตสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง (ซ้ายสุด), ทันตแพทย์หญิงณัฐณิชา วิระชัยประสิทธิ์ (คนที่ 2 จากซ้าย) ทันตแพทย์จากมหาลัยสงขลานครินทร์, สมจันทร์ สุวสิริกุล หัวหน้าฝ่ายรักษาพยาบาล มหาลัยสงขลานครินทร์ (คนที่ 3 จากซ้าย), กรรณิการ์ รวยดี นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่ม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 (คนที่ 4 จากขวา) พร้อมด้วย อุษา พันธุ์คีรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหารเทา (จรุงราษฎร์ดำเนิน) (คนที่ 3 จากขวา), จุฬารัตน์ จันทร์คง ผู้อำนวยการโรงเรียนสำนักสงฆ์ห้วยเรือ (คนที่ 2 จากขวา) และ อัญ อินทกาญจน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทะเลเหมียง (ขวาสุด) ร่วมใจให้บริการด้านทันตกรรมแก่เด็กระดับปฐมวัย และประถมศึกษา ตั้งแต่ อนุบาล 3 – ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีนักเรียนจากทั้ง 19 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 155 คน เข้ารับบริการตรวจสุขภาพช่องปาก อาทิ เคลือบหลุมร่องฟัน ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน ฯลฯ ณ อาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนบ้านหารเทา (จรุงราษฏร์ดำเนิน) ตำบลหารเทา อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงทันตกรรมอย่างแท้จริง
พลเอก สุพจน์ มาลานิยม ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ เป็นประธานเปิดอาคารและส่งมอบกุญแจห้องพักอาศัยโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 อาคาร D1 โดยมีคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ นางเตือนใจ คงสมบัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ และผู้อยู่อาศัยในโครงการฯ ร่วมให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ณ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 อาคาร D1 ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ

พลเอก สุพจน์ มาลานิยม ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำเนินงานโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมทั้งมุ่งเน้นการดำเนินงานตามนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร คือ เสริมสร้างพลังวัยทำงาน เพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน สร้างพลังผู้สูงอายุ เพิ่มโอกาสและเสริมสร้างคุณค่าคนพิการ และสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาความมั่นคงของครอบครัว ซึ่งคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติได้กำชับให้การเคหะแห่งชาติวางแผนการทำงานให้ครอบคลุมและต่อเนื่องไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและชุมชนกลุ่มเป้าหมายเป็นความสำคัญสูงสุด ควบคู่ไปกับการยกระดับการบริหารจัดการภายในองค์กร คุณภาพงาน และการบริการ โดยการดำเนินงานในทุกมิติมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ความมั่นคงทางด้านที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญและเป็นภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ซึ่งโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ถือเป็นโครงการหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงในการมีที่อยู่อาศัยและการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดง ซึ่งเริ่มก่อสร้างในปี 2506 โดยกรมประชาสงเคราะห์จัดสร้างอาคารสงเคราะห์แบบแฟลตเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ในพื้นที่ดินแดง จำนวน 64 หลัง 4,144 หน่วย ต่อมาในปี 2516 ย้ายโอนมาอยู่ภายใต้ความดูแลของการเคหะแห่งชาติปัจจุบันอาคารดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรม เนื่องจากมีอายุการใช้งานมานานกว่า 60 ปี การเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดง โดยต้องใช้ความพยายามและความมุ่งมั่นกว่า 16 ปี ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยเดิม โดยส่งทีมสำรวจความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยเดิมลงพื้นที่สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงทุกขั้นตอน หลังจากนั้นการเคหะแห่งชาติได้นำเสนอแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 โดยแบ่งการพัฒนาโครงการฯ ออกเป็น 4 ระยะ รวมทั้งสิ้นกว่า 20,000 หน่วย และสามารถจัดสร้างโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 อาคารแปลง G จำนวน 334 หน่วย รองรับผู้อยู่อาศัยเดิมแฟลตที่ 18-22 จนแล้วเสร็จเมื่อปี 2561

และในวันนี้ (16 ส.ค. 67) ถือเป็นโอกาสดีที่พี่น้องชาวชุมชนดินแดงจะได้เข้าอยู่ในโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 อาคาร D1 ที่ได้มาตรฐาน มีการพัฒนาชุมชนและเสริมสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยในทุกด้าน ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้พี่น้องชาวชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้ อันเป็นรากฐานการพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านที่ทำให้ชาวชุมชนดินแดงมีแต่ความรัก ความอบอุ่น นอกจากนี้ ตนยังได้กำชับให้การเคหะแห่งชาติดูแลบ้านหลังนี้ของพี่น้องชาวชุมชนดินแดงเป็นอย่างดี เป็นบ้านที่มีคุณภาพน่าอยู่น่าอาศัยให้สมกับที่พี่น้องชาวชุมชนดินแดงให้ความไว้วางใจ

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การเคหะแห่งชาติสนองตอบนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง และกลุ่มเปราะบาง ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่สามารถรับภาระได้ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมกันในสังคมไทย ตามวิสัยทัศน์ “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี” การเคหะแห่งชาติจึงเดินหน้าภารกิจบ้านสำหรับคนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มเป้าหมายให้สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้และอยู่อย่างปลอดภัย “โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง” จึงเป็นโครงการหนึ่งในความภาคภูมิใจตามภารกิจของการเคหะแห่งชาติ
สำหรับโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 อาคาร D1 จัดสร้างเป็นอาคารพักอาศัยสูง 35 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 33 ตารางเมตร จำนวนรวม 612 หน่วย ปัจจุบันผู้อยู่อาศัยเดิมจากอาคารแฟลตที่ 23-32 จำนวน 397 ครัวเรือน ซึ่งได้เข้าอยู่อาศัยแล้วตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน-11 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่วนห้องที่เหลือของอาคาร D1 จำนวน 215 หน่วย ขณะนี้มีผู้อยู่อาศัยที่รอจะเข้าอยู่ในอาคาร A1 มีความประสงค์จะเข้าอยู่อาคาร D1 จำนวน 55 ราย หลังจากนั้นจะเปิดให้ผู้อยู่อาศัยเดิม ซึ่งจะได้เข้าอยู่อาศัยในโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 3-4 แจ้งความประสงค์เข้าอยู่อาศัยในอาคาร D1 เป็นลำดับถัดไป
ระบบหยิบของแบบ 3 มิติ “SkyPod” เทคโนโลยีล้ำ ๆ จากญี่ปุ่น ที่สร้างสรรค์มาเพื่อปฏิวัติวงการคลังสินค้า ด้วยการใช้หุ่นยนต์หยิบลังใส่สินค้าวางบนชั้นที่สูงได้ถึง 12 เมตร ทำให้ประหยัดเวลาและสร้างระบบอัตโนมัติในการทำงานคลังสินค้า
หรือเทคโนโลยีรถบรรทุกห้องเย็น 6 ล้อที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% ผลงานของคนไทย ที่จะช่วยลดปริมาณคาร์บอนได้อย่างแท้จริง หรือรถบรรทุกขนาดเล็ก 4 ล้อ รุ่น MAX Box ที่สามารถบรรทุกของได้มากกว่าปกติด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นนวัตกรรมจากเยอรมนีภายใต้แบรนด์ e.Volution และยังมีนวัตกรรมล้ำ ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับธุรกิจโลจิสติกส์ที่รอให้ผู้สนใจมาชมและสัมผัสอย่างใกล้ชิด ที่งาน TILOG-LOGISTIX 2024

งาน TILOG-LOGISTIX 2024 ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Connection the Logistics Future เชื่อมโยงอนาคตของธุรกิจโลจิสติกส์” ที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ความพร้อม และความร่วมมือของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยที่ปรับตัวเข้ากับธุรกิจโลจิสติกส์ในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และความยั่งยืน ชมสินค้าและบริการด้านโลจิสติกส์จากผู้ประกอบการกว่า 160 บริษัทที่นำเสนอสินค้าและบริการ 415 แบรนด์จาก 25 ประเทศ พื้นที่จัดแสดงภาพรวมของธุรกิจโลจิสติกส์ ทิศทางและแนวโน้มในปี 2025 ทำเนียบผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล Excellent Logistics Management Award หรือรางวัล ELMA รวมถึงการจัดประชุม สัมมนา แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ Trade Logistics Symposium 2024 และ World Transport & Logistics Forum นอกจากนี้ยังมีหัวข้อสัมมนาที่จัดโดยสภา / สมาพันธ์ / สมาคมและหน่วยงานต่าง ๆ อีกกว่า 20 หัวข้อ

งาน TILOG-LOGISTIX 2024 จะมีถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นี้ เวลา 10.00 – 18.00 น. ที่ฮอลล์ 98 ไบเทค บางนา ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนที่หน้างานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tilog-logistix.com หรือโทร. 0 2686 7222 งานนี้เป็นงานเจรจาทางธุรกิจ จึงขอความร่วมมือผู้เข้าชมงานแต่งกายสุภาพ และสงวนสิทธิ์ไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้าชมงาน
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตร พร้อมแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการแฟรนไชส์ จาก 53 กิจการ ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร GSB Franchise Standard 2024 ในโครงการ GSB Smart Franchise ปี 3 ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารออมสิน ร่วมกับ บริษัท จีโนซิส จำกัด บริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจแฟรนไชส์ การวางแผน และการจับคู่ธุรกิจจัดขึ้น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างเครือข่ายธุรกิจแฟรนไชส์ใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ มีรายได้ ผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

โดยหลักสูตรดังกล่าวมุ่งเน้นการเรียนรู้ทั้งจากทฤษฎี และกรณีศึกษา จากผู้ประกอบการแฟรนไชส์ขนาดใหญ่มาร่วมแชร์ประสบการณ์จริง อาทิ The Pizza Company Cafe Amazon และบริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น เป็นต้น เพื่อพัฒนาศักยภาพ ยกระดับแฟรนไชส์ให้เป็นมาตรฐาน สร้างจุดแข็ง รวมทั้งเพิ่มพูนองค์ความรู้ กลยุทธ์การตลาด และทักษะที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ จะมีการคัดเลือกผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรม จำนวน 10 กิจการ เพื่อเป็น "10 Selected GSB Smart Franchise" ในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งถือเป็นความสำเร็จภายใต้การขับเคลื่อนภารกิจเพื่อสังคมของธนาคารออมสินในการพัฒนา ยกระดับรายได้ ตลอดจนสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างครบวงจร

สำหรับผลการดำเนินโครงการ GSB Smart Franchise ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างองค์ความรู้พื้นฐานธุรกิจแฟรนไชส์ ผ่านหลักสูตร Jump Start Franchise กว่า 4,500 ราย สร้างงานสร้างอาชีพธุรกิจแฟรนไชส์ กว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ สร้างมาตรฐานแฟรนไชส์ผ่านหลักสูตร GSB Franchise Standard จำนวน 164 กิจการ และมีผู้ประกอบการได้รับสินเชื่อเป็นเงินกว่า 450 ล้านบาท โดยมีนายอภิวัฒน์ กวีรัตเชวง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าฐานรากและสนับสนุนนโยบายรัฐ นายสมชาย อาภรณ์พงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานพัฒนาธุรกิจผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs Start up ร่วมพิธีมอบใบประกาศนียบัตรดังกล่าว ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้
ดีป้า ประกาศผลผู้ชนะกิจกรรม UNSEEN I SEE The Show Reel ประกวดแข่งขันทำ Digital Content แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยและรีวิวของดีประจำจังหวัดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระบุมีผู้เข้าแข่งขันส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 300 ผลงาน พบ TikTok เป็นแพลตฟอร์มยอดฮิตของคนไทย ขณะที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชลบุรี ถือเป็นพื้นที่ที่มีคนไปรีวิวมากที่สุด
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า กิจกรรมออนไลน์ UNSEEN I SEE The Show Reel ถือเป็นกิจกรรมต่อยอดมาจากโครงการ CONNEXION และ ThailandCONNEX มีวัตถุประสงค์เพื่อปั้นอินฟลูเอเซอร์สายรีวิวและสายท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวและสินค้าไทยสู่สายตาชาวโลก อีกทั้งเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านผลงาน Digital Content โดยเปิดให้ประชาชนที่สนใจส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างวันที่ 10 กรกฎาคม ถึง 10 สิงหาคม 2567
“กิจกรรม UNSEEN I SEE The Show Reel สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนไทยมีศักยภาพในการผลิต Digital Content ที่มีคุณภาพ สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ดี และทำให้คนทั้งโลกเห็นว่า ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยว UNSEEN หลายแห่ง และมีของดีมากมายที่ทุกคนไม่เคยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมาก่อน สำหรับกิจกรรม UNSEEN I SEE The Show Reel ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด มีผลงานส่งเข้าร่วมประกวดมากกว่า 300 ผลงาน ซึ่งส่วนใหญ่โพสต์ผลงานลงใน TikTok เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือช่วยในการตัดต่อ ทำให้ง่ายต่อการผลิต Digital Content ขณะเดียวกัน จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชลบุรี ถือเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนไปรีวิวมากที่สุด” ผอ.ใหญ่ ดีป้า กล่าว

รางวัลชนะเลิศ
เกาะที่มากกว่าเกาะ “เกาะเกร็ด”
โดย คุณชลภัทร อภิบาลนรชน คุณโชคชัย คำษาวงศ์ และ คุณก่อลาภ เนตรนางรอง
https://www.instagram.com/reel/C-feoEzPKIm/?igsh=MWdwcTR1NTY4Zmk3ZQ==
รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง
Unseen Hua Takhe
โดย คุณเก็บตะวัน ก่อพาณิชย์เจริญ และ คุณเสรีภาพ สอนโพธิ์
https://www.tiktok.com/@keptawandiary/video/7401466436348120327?_r=1&_t=8oknOLUYVzM

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สอง
Nostalgia with Photographer in บ้านบางเขน
โดย คุณธนกฤต ซิ้มอำพร และ คุณปัณณวิชญ์ วาณิชย์เสถียร
https://www.instagram.com/reel/C-fTwCYSsKD/?igsh=MThhdHA5YTNiZjl2eg==
รางวัลชมเชยลำดับที่หนึ่ง
5 จุดเช็คอิน อันซีนตาก ตามเส้นทางไม้กลายเป็นหินจีโอพาร์ค
โดย คุณธนกฤต เตจ๊ะ

รางวัลชมเชยลำดับที่สอง
Northern Trip
โดย คุณนิลพัฒน์ ชยาวิวัฒน์กุล
รางวัลพิเศษสำหรับผู้ที่มียอด Shared มากที่สุดในแต่ละแพลตฟอร์ม (นับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2567)
TikTok Shared: 12.1K ครั้ง
Days and 1 Night on Rainy Phi Phi
โดย คุณเกียรติศักดิ์ สิงห์งาม
https://www.tiktok.com/@kiattisakdk/video/7399131685239000338

Facebook Shared: 194 ครั้ง
ที่นี่ เมืองชล
โดย คุณสุระ อุดม
Instagram Shared: 408 ครั้ง
Unseen We should see
โดย คุณภคพร เปพาด คุณพิชญาภา อินทาหอม และ คุณอิสริยา คงวิมล
https://www.instagram.com/reel/C-fLPXiSSsD/?igsh=MWs2Y2FlY3FrM2oyYQ==

YouTube View: 35 ครั้ง
Unseen NUM ORK RU
โดย คุณภิญญาพัชญ์ วัฒนะ คุณภาพิชมนทน์ วัฒนะ และ คุณสุนิสา พิมพล
https://www.youtube.com/watch?v=33JHBo-8fYA
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ประกาศอัปเดตล่าสุดสำหรับสมาร์ตโฟน HONOR 200 Series ที่มาพร้อมการปรับปรุง OTA และระบบ AI ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น โดยการอัปเดตครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบ ทำให้มีความลื่นไหลและตอบสนองได้ดี รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ AI อย่างการปรับเอฟเฟกต์ความลึกและการเพิ่ม Ultra Group Photo ใหม่ในแอปกล้อง ทำให้ผู้ใช้ได้ภาพถ่ายที่สมบูรณ์แบบและน่าประทับใจมากที่สุด
การอัปเดต OTA และการปรับปรุงฟีเจอร์หลัก
การอัปเดต OTA ครั้งนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและปลอดภัย โดย HONOR ได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความเสถียรของระบบ รวมถึงแก้ไข Bug ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของสมาร์ตโฟน พร้อมมีการปรับปรุงด้านการจัดการพลังงาน ซึ่งช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ HONOR 200 Series ในอินเดียยังได้รับการอัปเดต OTA เป็นครั้งแรกหลังจากเปิดตัวในประเทศไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยการอัปเดตนี้มีชื่อว่าซอฟต์แวร์เวอร์ชัน N39I 8.0.0.135 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์การบันทึกเสียงสนทนาระหว่างโทร แบบที่ไม่ต้องติดตั้งจากภายนอกเข้ามาแล้ว
การปรับแต่งภาพถ่ายกลุ่มด้วยฟีเจอร์ AI อัจฉริยะ
การอัปเดต HONOR 200 Series โดยในรุ่น HONOR 200 Pro เมื่อผู้ใช้ถ่ายภาพกลุ่ม ระบบจะใช้เทคโนโลยี ‘Multi Frame Synthesis’ เพื่อระบุเฟรมที่บุคคลลืมตาอย่างชาญฉลาดและแก้ไขการลืมตาเมื่อหลับตา ซึ่งในการถ่ายภาพกลุ่ม ระบบ AI จะระบุการบิดเบือนใบหน้าที่เกิดจากปัญหาของมุมภาพ พร้อมแก้ไขใบหน้าโดยอัตโนมัติ โดยใช้อัลกอริทึมการเรียนรู้เชิงลึก ทำให้ผู้ใช้สามารถบันทึกช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ทุกคนดูดีได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการกระพริบตาในภาพอีกต่อไป

ภาพถ่ายสวยขึ้นด้วยฟีเจอร์ AI Eraser
HONOR 200 Series ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลบพื้นหลังที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่ายได้อย่างง่ายดายด้วยฟีเจอร์ AI Eraser ในแกลเลอรี ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เดินผ่านไปมา, ยานพาหนะ หรือสิ่งของเกะกะต่าง ๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือกที่จะให้ระบบ AI ลบออกโดยอัตโนมัติ หรือเลือกทำการลบด้วยตนเองได้ตามต้องการ
สำหรับฟีเจอร์ AI Eraser ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยระบบจะลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพโดยไม่มีร่องรอย ทำให้ภาพที่ได้ดูสะอาดและสวยงามมากขึ้น เหมาะสำหรับการแชร์ภาพลงบนโซเชียลมีเดียหรือเก็บไว้เป็นความทรงจำที่สมบูรณ์แบบ

เพิ่มมิติภาพถ่ายด้วย Bokeh Adjust พร้อมปรับโฟกัสได้ตามต้องการ
การอัปเดต HONOR 200 Series ครั้งนี้ ได้มีการเพิ่มฟังก์ชันการปรับเอฟเฟกต์ระยะชัดลึก ซึ่งสามารถใช้กับภาพถ่ายที่ถ่ายในโหมดแนวตั้งหรือโหมดรูรับแสงได้ โดยไปที่รูปภาพที่ต้องการ > ไอคอน f ที่ด้านบนของหน้าจอ > ปรับโบเก้ โดย Bokeh Adjust จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งโบเก้ในภาพถ่ายได้ตามใจชอบ และสามารถแก้ไขขนาดโฟกัสและรูรับแสงเพื่อเลือกเอฟเฟกต์เบลอที่ตรงใจได้อย่างแม่นยำ ซึ่งฟีเจอร์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสรรค์ภาพถ่ายด้วยการปรับโบเก้ให้ภาพดูนุ่มนวลและสวยงาม ช่วยให้การถ่ายภาพเป็นไปอย่างมืออาชีพและตอบโจทย์ทุกสไตล์
สำหรับผู้ที่สนใจอัปเดต OTA และฟีเจอร์ AI ใหม่ของ HONOR 200 Series สามารถตรวจสอบการอัปเดตผ่านการตั้งค่าในสมาร์คโฟนของตนเอง หรือติดต่อศูนย์บริการของ HONOR เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม หรือดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.hihonor.com/th พร้อมติดตามข่าวสาร โปรโมชันและกิจกรรมดี ๆ จาก HONOR ได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
บริษัท เฮลท์ เอดูเคชั่น แอนด์ อคาเดมิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) จัดงาน H.E.A.T. International Congress 2024 Wellness Management งานประชุมวิชาการนานาชาติ ด้าน Health and Wellness ระหว่างวันที่ 15 – 17 สิงหาคม 2567 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพมหานคร
โดยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้กล่าวเปิดงาน H.E.A.T. International Congress 2024 Wellness Management โดยงานนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์การแพทย์ และการบริหารธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงเวลเนส ผ่านงานอบรมเชิงวิชาการ และเชิงปฏิบัติการที่จะช่วยเพิ่มทักษะความรู้เกี่ยวกับเวชศาสตร์ชะลอวัย เวชศาสตร์ความงาม และแพทย์แผนไทย โดยมี พญ. พักตร์พิไล ทวีสิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และเวชศาสตร์ความงาม ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ประธานกิตติมศักดิ์หลักสูตรบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) และ ผศ.ดร.นพ.พัฒนา เต็งอำนวย ประธานกรรมการบริษัท เฮลท์ เอดูเคชั่น แอนด์ อคาเดมิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานเปิดงาน
ผศ. ดร.นพ.พัฒนา เต็งอำนวย ประธานกรรมการบริษัท เฮลท์ เอดูเคชั่น แอนด์ อคาเดมิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันโดยธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเติบโตเฉลี่ยที่อัตราร้อยละ 20.9 นับเป็นโอกาสอันดียิ่งของประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพสูง เป็นศูนย์กลางของเอเชียด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่ทันสมัย มีคลินิกเสริมความงาม และคลินิกด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยชั้นนำ ที่พร้อมให้บริการลูกค้าต่างชาติจำนวนมาก และยังมี Soft Power ด้าน Wellness ที่โดดเด่นเป็นเอกลัษณ์ ทั้งเรื่องของ สปา แพทย์แผนไทย สมุนไพรไทย และอาหารไทยที่มีคุณประโยชน์ทางยาและส่งเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตามปัญหาของธุรกิจด้านสุขภาพในเมืองไทย คือ ผู้ประกอบการยังขาดองค์ความรู้ทางด้านนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งศาสตร์ชะลอวัยและการส่งเสริมสุขภาพ รวมทั้งยังขาดแนวคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบสินค้าประสบการณ์ Wellness ที่สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการของ Wellness Tourist ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Ambient Wellness การจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ อันได้แก่ การออกแบบ วัสดุที่ใช้ และการจัดสถานที่ อาหาร เครื่องดื่ม อากาศ สถานที่ออกกำลัง รวมไปถึงเรื่องของ Sustainable Wellness ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ภาคธุรกิจไทยในธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ด้าน Wellness Marketing ให้แก่ผู้ประกอบการ และ SME ในธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ให้สามารถดำเนิน ธุรกิจแบบมืออาชีพ มีระบบในการบริหารจัดการ นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือยกระดับการให้บริการ เป็นต้น ตลอดจนการ พัฒนารูปแบบการให้บริการด้วยการประยุกต์เรื่องการดูแลสุขภาพเข้ากับ Soft Power อัตลักษณ์ ภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างโดดเด่นให้กับบริการ

ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า สำหรับงาน H.E.A.T. International Congress 2024 Wellness Management ในปีนี้ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 8 เนื้อหาภายในงานมีความเข้มข้นยิ่งใหญ่ ครอบคลุม Wellness Economy ยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจบริการด้านสุขภาพ เพื่อขยายโอกาสสร้างความร่วมมือกันเชิงธุรกิจระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนมุ่งสู่เป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยในฐานะศูนย์กลาง Health and Wellness Tourism ระดับโลก ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยน พัฒนาองค์ความรู้ จุดประกายความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ในด้านสุขภาพระดับนานาชาติ รวมทั้งการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก จัดการกับความท้าทายที่เร่งด่วน และ ร่วมกันติดตามแนวโน้มเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ผ่านการแลกเปลี่ยนในการประชุมทางวิชาการครั้งนี้
“พวกเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์ความรู้การจัดการด้านการดูแลสุขภาพ และส่งเสริมสุขภาพทั่วโลก การการประชุมครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ส่งเสริมเครือข่ายวิชาชีพ แต่ยังส่งเสริมการทำงานร่วมกันทั้งภาควิชาการและภาควิชาชีพ อันจะสามารถพัฒนานโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและทั่วโลก เพื่อเสริมสร้างความพร้อมร่วมกันในการจัดการด้านสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการดูแลสุขภาพเชิงรุกด้วยศาสตร์ชะลอวัย (Proactive Anti-Aging) มากขึ้น โดยเปลี่ยนจากแนวทางด้านสุขภาพเชิงรับมาเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการป้องกัน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวขึ้น” ดร.ดาริกา กล่าว

ด้าน พญ. พักตร์พิไล ทวีสิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และเวชศาสตร์ความงาม ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ประธานกิตติมศักดิ์หลักสูตรบัณฑิตศึกษา วิทยาลัย CIMw ได้บรรยายในหัวข้อ Wellness beyond Physical Health ว่า หากพูดถึงคำจำกัดความของคำว่า Wellness มีสองด้านที่สำคัญ ประการแรก เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา และมุ่งเน้นเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีที่เหมาะสม ประการที่สอง การรักษาสุขภาพที่เน้น "สุขภาพแบบองค์รวม" ซึ่งขยายไปไกลกว่าสุขภาพกายและมิติอื่น ๆ ที่ทำงานอย่างกลมกลืนไปด้วยกัน เรื่องสุขภาพคือเรื่องของแต่ละบุคคล ซึ่งผลลัพธ์ของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป็นเรื่องขององค์รวม

“พื้นฐานของการเกิดโรคเป็นผลจากความเครียด ร้อยละ 75-90 โดยความเครียดสามารถเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแปรปรวน ความเมื่อยล้า น้ำตาลในเลือดสูง และภาวะเมทาบอลิกซินโดรม ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหัวใจ โรคเบาหวาน รวมถึงภาวะมีบุตรยาก น้ำหนักเพิ่ม ผมร่วง ฯลฯ ดังนั้นเราจึงต้องจัดการความเครียด ด้วยการบำรุงร่างกายด้วย “การฝึกสติ” หรือ Mindfulness การออกกำลังกาย การดูแลด้านโภชนาการ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น” พญ. พักตร์พิไล ระบุ
ผู้สนใจงานประชุมวิชาการนานาชาติ H.E.A.T. International Congress สามารถติดตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.heatantiaging.com
มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี ร่วมกับ ยูนิเซฟ ประเทศไทย สานต่อความร่วมมือเพื่อร่วมผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ โดยวันนี้ มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการ Biggy’s Club พื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็ก อายุระหว่าง 1-8 ปี เพื่อให้เด็ก ๆ ได้มีพื้นที่เล่นหรือร่วมกิจกรรมฝึกทักษะและความสนุกสนานระหว่างที่ผู้ปกครองกำลังชอปปิงที่บิ๊กซี

นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการ กรรมการ เลขานุการ และเหรัญญิก มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี กล่าวว่า “ต้องบอกว่าการชอปปิงเป็นเหมือนสวรรค์ของเหล่าผู้ปกครองโดยเฉพาะคุณแม่ที่มีเวลาจำกัดในการออกมาชอปปิง บางคนออกมาชอปปิงโดยนำลูกมาด้วยหรือบางคนไม่ได้นำลูกมาชอปปิงด้วย ซึ่งจะมีความกังวลในขณะชอปปิงและรีบซื้อของแล้วกลับ บิ๊กซีจึงหาวิธีที่ทำให้ผู้ปกครองกังวลใจน้อยลงหากแหล่งชอปปิงนั้นมีพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กที่พร้อมด้วยมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองและลูกค้าชอปปิงอย่างมีความสุข สบายใจขึ้น และช่วยให้เด็ก ๆ ได้เล่น เรียนรู้ และมีความสุข ระหว่างรออีกด้วย”

นายอัศวิน กล่าวเสริมว่า “Biggy’s Club” คือ พื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กอายุระหว่าง 1-8 ปี ที่บิ๊กซี โดยนำร่อง 10 สาขาทั่วประเทศ ทั้งในบิ๊กซีสาขาพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑลและสาขาต่างจังหวัด ได้แก่ บิ๊กซี สาขาสะพานควาย, บิ๊กซี สาขาพระราม 2, บิ๊กซี สาขาบางพลี, บิ๊กซี สาขาสมุทรปราการ, บิ๊กซี สาขาสุขสวัสดิ์, บิ๊กซี สาขาขอนแก่น, บิ๊กซี สาขาพิษณุโลก, บิ๊กซี สาขาหาดใหญ่ 2, บิ๊กซี สาขาเชียงราย และบิ๊กซี สาขาสุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ บิ๊กซี วางแผนจะขยายไปยังสาขาอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต”
“Biggy’s Club” ออกแบบเป็นสนามเด็กเล่นในร่ม มีทั้งหนังสือ ของเล่น และเกมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ไปพร้อมกับความสนุกของทุกครอบครัว “Biggy’s Club” ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก และเหมาะสำหรับเด็กอายุ 1-8 ปีและครอบครัว เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00-20.00 น. นอกจากนี้ ที่ Biggy’s Club ยังมีเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เพื่อคอยดูแลเด็กๆ ด้วย ทั้งนี้ เด็กอายุน้อยกว่า 4 ปีควรใช้พื้นที่เรียนรู้นี้พร้อมกับผู้ปกครอง

นางคยอนซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างยูนิเซฟและมูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยได้เริ่มต้นชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจุดเริ่มต้นที่มีคุณภาพในชีวิต มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ พื้นที่และกิจกรรมที่เป็นมิตรกับเด็ก เช่น มุมอ่านหนังสือ วาดรูปและระบายสี ถือเป็นโอกาสที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้และเล่น ทำให้การไปชอปปิงกับครอบครัวเป็นเวลาที่จะได้ส่งเสริมพัฒนาการในวัยเด็กด้วย”

“บิ๊กซี ในฐานะผู้นำค้าปลีก เรามุ่งเน้นสร้างสรรค์การเป็นแหล่งชอปปิงที่เป็นมิตรกับครอบครัว เราอยากให้ผู้ปกครองสามารถซื้อของได้อย่างสบายใจ และเด็กๆ ก็สามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย เราเข้าใจและใส่ใจลูกค้าทุกคน และเชื่อว่าการเนรมิตพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็ก “Biggy’s Club” จะทำให้เด็กๆ เข้าถึงหนังสือ ของเล่น และได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมพัฒนาการของพวกเขา และทำให้การชอปปิงเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับทุกคนในครอบครัว” นายอัศวิน กล่าวสรุป