December 16, 2025

เอไอเอ ประเทศไทย ส่งมอบความห่วงใยไปยังเพื่อนพนักงานและคุณแม่ของเพื่อนพนักงาน เพื่อส่งเสริมความรัก ความผูกพันภายในครอบครัวของพนักงานทุกคน จัดงาน AIA Mother’s Day 2024 เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ โดยเปิดโอกาสให้เพื่อนพนักงานได้พาคุณแม่กว่า 100 ท่านมาร่วมกิจกรรมภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจวัดค่าความดันโลหิต วัดชีพจร ตรวจปัสสาวะ ตรวจนับความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจค่าระดับน้ำตาล ตรวจระดับไขมันในเลือด ตรวจการทำงานของไต ตรวจกรดยูริก เอกซ์เรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ พร้อมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับคุณแม่ทุกท่าน

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ภายในงานที่ให้คุณแม่ใจฟูอีกมากมาย เช่น กิจกรรมเวิร์กชอปพิมเสนดอกไม้ เลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษเพื่อคุณแม่ บูธถ่ายภาพคู่กับคุณแม่ พร้อมมอบต้นมะลิเพื่อเป็นสื่อแทนความรักจากลูกที่มีต่อคุณแม่เป็นที่ระลึก รวมทั้งกิจกรรมตรวจสุขภาพเพื่อนพนักงานโดยโรงพยาบาลหัวเฉียว โดยภายในงานได้รับเกียรติจากคุณศรัณยา เทียนถาวร (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล คุณอรรัตน์ ชุติมิต (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพันธมิตรธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์เชิงกลยุทธ์ คุณจิราภรณ์ กนิษฐรัต (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันธุรกิจองค์กร คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และคุณรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ 

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมงาน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้าสานต่อคำมั่นสัญญาให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’

กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จัดงาน “DM COT Sales Event” ฉลองความสำเร็จแห่งปีให้กับสุดยอดนักขายช่องทางไดเรก บิสเนส (Direct Business) ที่สามารถทำยอดได้เกินกว่าที่เป้าหมายกำหนดในปี 2023 ที่ผ่านมา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวแทนฝ่ายขายในการพิชิตเป้าหมายในอนาคต

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ร่วมให้กลยุทธ์การพัฒนาตัวแทนจำหน่ายผ่านโทรศัพท์ ด้วยแนวคิดการให้ความสำคัญด้าน Human Touch การพัฒนาและเสริมทักษะองค์ความรู้ให้แก่พนักงานให้ข้อมูลทางโทรศัพท์แบบ  360 องศา สามารถดูแลและให้ข้อมูลลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมี นางสาวยุวดี งานทวีกิจ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานธุรกิจ และนายลีออน จี ฮอง อิน (Mr. Leon Ji-Hong in) หัวหน้าฝ่ายงานไดเรก บิสเนส ร่วมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่สุดยอดนักขายช่องทางไดเรก บิสเนส Direct Business แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รางวัล Generali 5 Million Club และ รางวัล Generali 1 Million Club ณ สำนักงาน อาคารสาทรธานี 1 ก่อนจะร่วมเลี้ยงฉลองความสำเร็จกับตัวแทนที่ทำยอดขายได้เกินเป้าหมาย ที่ห้องอาหารพาย (Paii) เดอะเฮ้าส์ออนสาทร (The House on Sathorn) เมื่อเร็ว ๆ นี้

Funding Societies แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจ SME ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศยุทธศาสตร์ส่งสินเชื่อเพื่อการค้าแบบ B2B ที่ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันรุก 4 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญได้แก่ ธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค(FMCG) คอนแทรคเตอร์โครงการภาครัฐฯ  และ ธุรกิจด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม หลังเล็งเทรนด์ขาขึ้น มีดีมานด์ดี ศักยภาพในการเติบโตสูง   โดยตั้งเป้าสินเชื่อธุรกิจกลุ่มนี้จะมีอัตราเติบโตที่ 20 % ของพอร์ต คาดเป็นเม็ดเงินสินเชื่อปล่อยใหม่กว่า 400 ล้านบาท 

นางสาว เอื้ออารีย์ อัจฉริยบุญ Country Head ประจำ Funding Societies ประเทศไทย กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวบ้างในบางช่วง แต่ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง Funding Societies ภายใต้การให้บริการของ FS Capital Co., Ltd. ที่เชี่ยวชาญในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงยังคงมองวงจรความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SME ว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดการณ์การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อโดยรวมจะอยู่ที่ 30% ซึ่งจะได้รับแรงสนับสนุนร่วมจากการปล่อยสินเชื่อใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว ประกอบกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ Funding Societies เองที่ตอบโจทย์ความต้องการของ SME ได้ 360 องศา

“SME มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ คิดเป็นกว่า 95% ของธุรกิจทั้งประเทศ ซึ่งมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นวัตกรรม การผลิต การดำเนินโครงการต่างๆ และการจัดการสิ่งแวดล้อม เราจึงจะยังคงเดินหน้าสนับสนุน SME ที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ ให้ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อไป เพื่อให้พวกเขาสามารถคว้าโอกาสในการเติบโตได้อย่างยั่งยืน” 

“เราเล็งเห็นความต้องการที่มีความหลากหลายของ SME สินเชื่อเพียงประเภทเดียวจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้อย่างครบถ้วน Funding Societies จึงมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปสินเชื่อเพื่อการค้าต่างๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ SME ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งสินเชื่อจาก Funding Societies มาใน 5 รูปแบบได้แก่ สินเชื่อหมุนเวียนจากลูกหนี้การค้า (Invoice Financing) ซึ่ง SME สามารถนำบิลหรือใบแจ้งหนี้มาเปลี่ยนเป็นเงินหมุนเวียนทำงานใหม่ได้โดยไม่ต้องรอเครดิตเทอมจากคู่ค้า สินเชื่อใบสั่งซื้อ (PO Financing) เพื่อจ่ายค่าสินค้าและบริการล่วงหน้าไปยังซัพพลายเออร์ สินเชื่อธุรกิจโครงการ (Project Financing) สำหรับผู้รับเหมาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐฯและเอกชนในการทำโครงการให้แล้วเสร็จ สินเชื่อระยะสั้น (Business Term Loan) หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ และสินเชื่อกลุ่ม Express สำหรับ SME ขนาดเล็กลงมา   ซึ่ง SME สามารถยื่นขอสินเชื่อ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเข้ามาที่สาขา ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่ง Funding Societies สามารถให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อ SME ได้ถึง 15 ล้านบาทต่อราย”  นางสาว เอื้ออารีย์ กล่าว

ในสภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเติบโต และผู้ประกอบการ SME ที่ยังคงประสบความท้าทายในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในหลายมิติ Funding Societies พร้อมทำหน้าที่เคียงข้างช่วย SME ก้าวผ่านความท้าทายทางการเงิน ปลดล็อกข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยผู้ประกอบการคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับ SME ที่มีความสนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Funding Societies ได้ที่  https://fundingsocieties.co.th/


* หมายเหตุ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นการให้บริการของบริษัท เอฟเอส แคปปิตอล จำกัด และไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงาน ก.ล.ต.

สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) หรือ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN (THAILAND) จัดทำผลสำรวจการคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ.2567 ได้เผยว่า ถึงแม้ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จะเป็นเดือนแห่งความพิเศษที่คนไทยทุกคนจะได้เฉลิมฉลองวันแม่เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก แต่คะแนนการใช้จ่ายของคนไทยยังคงทรงตัว เน้นการใช้จ่ายเพื่อสิ่งของที่จำเป็น ด้วยความคล่องตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบันมีไม่มากนัก ทำให้คนไทยส่วนใหญ่หันมาเซฟการใช้จ่าย เลือกซื้อของเพียงสิ่งที่จำเป็นต่อตนเองและครอบครัว แต่ด้วยความหวังว่าสถานการณ์ทางการเงินจะดีขึ้นก็ทำให้บางส่วนเลือกใช้จ่ายเพื่อการเปิดประสบการณ์ใหม่และเน้นซื้อสินค้าใหม่ ๆ ทดแทนของที่ชำรุด

คุณหทัยพันธ์ เจริญถาวรลาภ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ผู้วิเคราะห์ผลการศึกษาในครั้งนี้ ได้ให้ข้อเสนอแนะกับแบรนด์ต่าง ๆ  เพื่อนำไปจัดแคมเปญหรือโปรโมชันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกในช่วงโอกาสพิเศษวันแม่ไว้ ดังนี้

  1. เสริมความสัมพันธ์แม่และลูก ตามใจ คน 3 Gen

ถือเป็นโอกาสที่ดีที่แบรนด์จะใช้โอกาสในวันแม่นี้นำเสนอกิจกรรมหรือขอขวัญเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์แม่ลูก ผ่านการใช้ Data เพื่อ Customize กิจกรรมให้เข้ากัยแต่ละ Gen เช่น การแจกมินิพวงกุญแจมาลัยทองคำสำหรับ Top spender ชาว Gen X, นำเสนอ กิจกรรม Photography Travel Tours ให้ลูก Gen Y พาแม่เที่ยวพร้อมได้รูปสวย และ My Mom – My Angel Chef table workshop ให้ ลูก Gen Z และคุณแม่ สร้างสรรค์คอร์สอาหารในแบบของตัวเอง

  1. เก่า แลก (สุขภาพ) ใหม่

จับเทรนด์การประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ยังต้องซื้อของใช้จำเป็นที่พังแล้ว ไปคู่กับกระแสกีฬาระดับโลก พ่วงด้วยหน้าฝนที่เต็มไปด้วยโรคระบาด แบรนด์สามารถนำเสนอ โปรโมชัน “เก่าแลก (สุขภาพ) ใหม่” ให้ลูกค้าสามารถนำสินค้าเก่าที่หมดอายุการใช้งานแล้วเข้ามาเทิร์น เพื่อแลกหรือรับส่วนลดซื้อสินค้ากีฬา หรือ Voucher คลาสออกกำลังเพื่อสนับสนุนสุขภาพที่ดีได้เช่นกัน

เนื่องในโอกาสพิเศษวันแม่ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ สถาบันวิจัยฮาคูโฮโด อาเซียน ประเทศไทย ได้แยกการบอกรักแม่ ตามนิยามคำว่าแม่ที่ไม่เหมือนกันของทั้ง 3 Gen โดยอ้างอิงบทสรุปได้จากผลการศึกษาในครั้งนี้ไว้ ดังนี้

  1. Gen X: แม่ คือ คนที่ให้ความเคารพ

แม่ เป็น พระในบ้าน และ ผู้ให้กำเนิด คน Gen X มักตอบแทนด้วยการแสดงออกถึงความรักแม่ตามขนบธรรมเนียมไทย เช่น การให้พวงมาลัย ถือเป็น Gen ที่เลือกโหวตการมอบพวงมาลัยให้แม่มากที่สุดใน 3 Gen

  1. Gen Y: แม่ คือ “ผู้หญิงแกร่ง”

แม่ คือ ผู้เสียสละ เพื่อลูก การแสดงออกถึงความรักตามสไตล์คน Gen Y ด้วยการพาไปเที่ยวที่ใหม่ ๆ เน้นการเปิดประสบกรณ์ใหม่ และชวนแม่ถ่ายรูปสวย ๆ และยังเป็นกิจกรรมที่พากันเอ็นจอยได้ทั้งครอบครัวตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ

  1. Gen Z: แม่ คือ ทุกอย่าง

แม่ เป็นทั้ง ฮีโร่ และ เพื่อน ด้วยการแสดงออกถึงความรักแบบใกล้ชิดและเป็นกันเอง พาไปทำกิจกรรมที่ลดช่องว่างระหว่างวัยให้แม่ได้เข้ามาอยู่ใกล้ไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกอด หอมแก้ม ชวนไปเวิร์กชอป หรือชวนกันไปเสริมสวย

จากผลการศึกษาในครั้งนี้เอง แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังคงมีความสนใจใหม่ ๆ ที่หลากหลายมากขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าวสารการเมือง เศรศฐกิจ รวมไปถึงกระแสการแข่งขันของกีฬาต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าคนไทยในทุกช่วงวัยและทุกภูมิภาคให้ความสนใจและติดตามกระแสรายวัน ถึงแม้ว่าบางกระแสจะมาไวไปไวแต่ก็ยังได้รับความสนใจจากคนไทยเช่นกัน

อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว เผย 9 อันดับเมืองท่องเที่ยวที่ราคาห้องพักคุ้มค่าที่สุดโดยเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชีย โดยหาดใหญ่เลื่อนขึ้นมาครองอันดับ 1 แทนที่แชมป์เก่าเมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมาอย่างอุดรธานี

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลการุญเวช ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2567 โดยสถาบันไทยพัฒน์

ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มบริการ และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน (พ.ศ.2561-2567)

BCH มุ่งมั่นยกระดับบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในเครือ ควบคู่ไปกับการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินธุรกิจขององค์กร (Boosting sustainability through entire organization) การดูแลใส่ใจโดยมุ่งเน้นประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ (Care) และการพัฒนาคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ป่วย (Healthiness and Happiness) โดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม และความโปร่งใสในการบริหารจัดการ รวมถึงใส่ใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน พนักงาน คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการวางกลยุทธ์เพื่อขยายขอบเขตบริการทางการแพทย์ร่วมกับพันธมิตรให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่หลายหลาย ทั้งการเปิดศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี รถทันตกรรมเคลื่อนที่ โครงการความร่วมมือให้บริการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ศูนย์จัดเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต”

ทั้งนี้ การจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้

ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) (HUMANICA) ผู้นำในการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล (HR) และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจ ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2567

สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) (HUMANICA) เป็นหนึ่งในรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลด้าน ESG ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ของกิจการ

นายสุนทร เด่นธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มุ่งมั่นในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ผ่านความริเริ่มใหม่ ๆ รวมถึงโครงการที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ ด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ในการขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการลูกค้า อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานด้านจริยธรรม และการกำกับดูแลกิจการ โดยตระหนักเป็นอย่างดีว่ากลยุทธ์ ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน  และความยั่งยืน เป็นสิ่งที่แยกจากกันมิได้ ตลอดจนมุ่งมั่นทำงานเพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าด้วยโซลูชั่นที่ช่วยยกระดับธุรกิจและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น”

ทั้งนี้ การจัดอันดับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่กันในกระบวนการประเมิน

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG Emerging เป็นครั้งแรกในปี 2563

การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ประกันภัยเชิงรุกสู่ระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน ประจำปี 2567 “การประกันภัยกล้วยหอมทอง” โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ณ หอประชุมอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา

สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประกันภัยการเกษตรกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยให้เป็นกลไกในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่ ๆ หรือการนำผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่แล้วมาต่อยอดหรือขยายผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการประกันภัยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ กล้วยหอมทอง

ดังนั้น ในปี 2567 จึงได้ลงพื้นที่อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อสำรวจแหล่งเพาะปลูกกล้วยหอมทองรายใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลในพื้นที่สำนักงาน คปภ. ภาค 4 (นครราชสีมา) พบว่าอาชีพปลูกกล้วยหอมทองเริ่มจากการรวมตัวกันก่อตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในปี 2559 เกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่จากการปลูกมันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาปลูกกล้วยหอมทอง เนื่องจากกล้วยหอมทองมีราคาดี และกลายมาเป็นบริษัท แปลงใหญ่กล้วยหอมทองสุขไพบูลย์ จำกัด ต่อมาในปี 2564 ผลิตและส่งออกกล้วยหอมทองได้มาตรฐาน GAP รวมถึงมีโรงคัดบรรจุตามระบบ GMP เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ยกระดับมาตรฐานสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของราคาจึงสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกล้วย ประกอบกับมีบริษัทรับซื้อประกันราคาซื้อขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 19 บาท ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตกล้วยหอมทอง ณ ปัจจุบันยังไม่เพียงพอในการส่งออก กล่าวคือผลิตและส่งออกได้แค่ 5,000 ตัน ในขณะที่ความต้องการมีถึง 8,000 ตัน นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม และภัยลมพายุ ซึ่งนับวันภัยต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงมากขึ้นและยากต่อการป้องกัน ดังนั้น หากเกษตรกรได้นำระบบประกันภัยเข้าไปเป็นกลไกในการบริหารจัดการความเสี่ยงก็จะช่วยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

การลงพื้นของสำนักงาน คปภ. ครั้งนี้ นอกจากสำรวจแหล่งเพาะปลูกกล้วยหอมทองแล้ว ยังมีกิจกรรมเสวนาความรู้ด้านการประกันภัย หัวข้อ “ชาวสวนกล้วยหอมทองอุ่นใจ ใช้ระบบประกันภัยคุ้มครอง” โดยมีการออกบูธนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัย และให้ความรู้ด้านการประกันภัย จากภาคอุตสาหกรรมประกันภัย โดยมีเกษตรกรและชาวสวน
ผู้ปลูกกล้วยหอมทองในพื้นที่ อำเภอเสิงสาง เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ยกทัพกูรูด้านการลงทุน แนะวิธีบริหารพอร์ตรับวัยเกษียณ

ดร.สมพร  สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะผู้บริหาร  ร่วมถวายพระพรชัยมงคลวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (NBT)

X

Right Click

No right click