

ผลการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัย งวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 15,211.7 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 9.7 มีกำไรสุทธิ 1,534.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.2 ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,127.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 กำไรสุทธิ 844.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 พร้อมมุ่งเพิ่มศักยภาพการเติบโต พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 (เม.ย.-มิ.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,127.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 593.1 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 1.1
บริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 395.3 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.5 และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 988.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 844.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 7.93 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 15,211.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 906.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14.9 มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 860.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,766.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,534.3 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 9.2 และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 14.41 บาท
กรุงเทพประกันภัยมุ่งมั่นดูแลใส่ใจในทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการยกระดับนวัตกรรมการบริการที่เหนือความคาดหวัง สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยการมีเงินทุน เงินกองทุน สินทรัพย์ที่มั่นคงและแข็งแกร่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเเละขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล โปร่งใสและเป็นธรรม ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น เเละผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามปรัชญาในการดำเนินธุรกิจที่บริษัทฯ ยึดมั่นมายาวนานกว่า 77 ปี
SCB WEALTH เปิดตัว “No Gain No Pay” แนวคิดใหม่ของการลงทุน ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด นำร่องส่งกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 อายุ 8 เดือน เสนอขายวันที่ 14-28 สิงหาคมนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว กองทุนนี้ไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายและบริหารจัดการ หลังจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนภายใน 8 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.82 บาทต่อหน่วย กองทุนคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 2% แต่หากหลังจาก 8 เดือนมูลค่าหน่วยลงทุน ต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย ไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่นี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น
นายศรชัย สุเนต์ตา , CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ไว้วางใจให้ธนาคารบริหารสินทรัพย์ และมั่นใจในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพ มานำเสนอให้กับนักลงทุน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง จึงได้นำร่องเปิดตัว No Gain No Pay แนวคิดใหม่ของการลงทุน ที่ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน
SCB WEALTH ยึดมั่นในหลักการของ Open architecture ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน ล่าสุด เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1)บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว ในระหว่างวันที่ 14 - 28 สิงหาคม 2567 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
กองทุน TTARGET8M1มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ภายใน 5 วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้ คือ ภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า 10.60 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า 10.20 บาทต่อหน่วย
โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมาย ที่ราคาไม่ต่ำกว่า 10.82 ติดต่อกัน 3 วัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน แต่หากหลังครบระยะเวลา 8 เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาท ในอัตรา 0.5% และ หากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาท จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน ทั้งนี้ กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่ของการลงทุนนี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น
นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน มีดังนี้คือ 1) SCB CIO คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับ ศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และ ภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น และจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการ รวมถึง งบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง นอกจากนี้ แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดจะเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจเร่งขยายตัว 2) ดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภค หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ให้ร้านค้าลงทะเบียน วันที่ 1 ต.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มอาหาร เป็นต้น 3) กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์ โดยครม.ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้น ในดัชนี SET/mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา โดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เทียบปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทย และมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อย่างถูกจังหวะ
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ลุยต่อแผน KUBOTA NET ZERO EMISSION มุ่งมั่นสร้างโลกเกษตรที่ยั่งยืน ขยายองค์ความรู้เกษตรปลอดการเผา สู่นโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ จับมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดสระแก้ว ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ “สระแก้ว เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission" เป็นจังหวัดที่ 12 ดึงองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร แก้ปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในภาคการเกษตร ตลอดจนบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นภาวะโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวน ไปจนถึงมลพิษในอากาศอย่าง “ฝุ่นละออง PM 2.5” ซึ่งพบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเผาในพื้นที่การเกษตร สยามคูโบต้าจึงได้ดำเนินกิจกรรมโซลูชันเกษตรปลอดการเผาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อรณรงค์และพัฒนากระบวนการผลิตโดยวิธีการทำเกษตรปลอดการเผา ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุเหลือใช้หลังการเก็บเกี่ยว เช่น ฟางข้าว ตอซังข้าว และใบอ้อย ด้วยการนำเอานวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและองค์ความรู้ด้านการเกษตร ภายใต้องค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร มาปรับใช้”
ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2563 ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และสัมมนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการจัดลงนามความร่วมมือโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) ไปแล้ว 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดราชบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดหนองคาย และจังหวัดเลย ส่งผลให้ลดจุดการเผาในภาคการเกษตรในจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสร้างรายได้และคืนสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้พี่น้องเกษตรกร สยามคูโบต้าจึงได้ต่อยอดความสำเร็จมายังจังหวัดสระแก้วเป็นจังหวัดที่ 12 ทั้งนี้เรามุ่งหวังยกระดับโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) สู่เป้าหมาย KUBOTA NET ZERO EMISSION มุ่งมั่นสร้างโลกเกษตรที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ อย่างไรก็ดียังมีการเร่งศึกษาทดลองนวัตกรรมและเทคโนโลยี และโซลูชันการเกษตรต่างๆ เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ด้าน นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า “ความร่วมมือกันในโครงการ KUBOTA Net Zero Emission ถือเป็นประโยชน์อย่างมากต่อจังหวัดสระแก้ว เนื่องจากจังหวัดสระแก้วมีพื้นที่เกษตรกรรม คิดเป็นร้อยละ 70 ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งในปี 2566 พบว่าจังหวัดสระแก้วมีจุดความร้อนจากการเผา จำนวน 910 จุด เป็นจุดความร้อนภาคเกษตร 590 จุด จะเห็นได้ว่าเกษตรกรยังมีการเผาตอซังข้าวและเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อความสะดวกในการไถ เพราะหากไม่เผาการไถกลบทำได้ยากและมีค่าจ้างสูงกว่า อีกทั้งเกษตรกรมีเครื่องมือเครื่องจักรกลการเกษตรในการเตรียมแปลงเพาะปลูกไม่เพียงพอ เพราะส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยที่ยังขาดความเข้าใจถึงผลกระทบจากการเผาที่มีผลให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย
จังหวัดสระแก้วเชื่อว่าการลงนามในครั้งนี้จะเป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) การนำนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและองค์ความรู้ด้านการเกษตรมาปรับใช้เพื่อการทำการเกษตรลดโลกร้อน และลดปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เพื่อสร้าง “สระแก้ว เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission” ให้เกิดขึ้นได้จริง”

อย่างไรก็ตามสยามคูโบต้ายังคงมุ่งมั่นผลักดันแนวคิดเกษตรปลอดการเผาสู่การสร้าง “เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission” ด้วยการขยายพื้นที่ความร่วมมือของโครงการฯ ในปี 2567 เพิ่มอีก 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ยังมีการผลักดันองค์กรและสินค้าของคูโบต้าให้เป็นองค์กรที่มีนโยบายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหาแนวทางการแก้ไขประเด็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2573 พร้อมขยายผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission ภายในปี 2593 สอดรับกับเป้าหมายแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและเพื่อดำเนินตามนโยบายคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น ในการมุ่งสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกหรือ Global Major Brand (GMB)
บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ส่ง 10 สุดยอดเยาวชนฝีเท้าดี จากโครงการ KTAXA KYC Football Youth (U15) Academy ซีซั่น 4 บินลัดฟ้าเข้าแคมป์ฝึกอบรม เพื่อเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะทางด้านฟุตบอล ที่ LFC International Academy ประเทศอังกฤษ ที่ถือเป็นประสบการณ์สุดพิเศษของน้องๆ เยาวชน ที่ได้ตามความฝันของตนเอง และได้รับการเรียนรู้ทักษะฟุตบอลระดับโลก พร้อมกันนี้น้องๆ เยาวชนฝีเท้าดี ยังได้รับโอกาสแบบเอ็กซ์คลูชีพในการเยือนสนามฟุตบอล แอนฟีลด์ เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลของสโมสรลิเวอร์พลู พร้อมทริปท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษ อาทิ พระราชวังบักกิงแฮม หอคอยแห่งลอนดอน ฯลฯ โดย 10 เยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกมีรายนาม ดังนี้

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับทักษะฟุตบอลเยาวชนไทยสู่มาตราฐานสากล และสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีผ่านการออกกำลังกาย อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงพร้อมจะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่นของเยาวชนไทย และมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อสามารถก้าวเดินตามความฝันได้สำเร็จ
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดสุขภาพและความงาม “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เผยว่า “ยอดการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสุขภาพและความงามเติบโตมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะสถาบันความงามที่มียอดการเติบโตและยังมีการใช้จ่ายต่อเนื่อง จำนวนสมาชิกใช้บริการเพิ่มกว่า 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 สำหรับแผนการการตลาดในปีนี้ เคทีซีได้มีการลงพื้นที่ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจ (Empathy) ในมุมมองของพันธมิตรร้านค้าหมวดสุขภาพและความงาม โดยเฉพาะร้านค้าที่อยู่ในต่างจังหวัดเพื่อศึกษาความต้องการของร้านค้าแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่แตกต่างกัน ทั้งฐานที่ตั้ง กลุ่มลูกค้า กลยุทธ์การส่งเสริมการขายของร้านค้า หรือสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิต รวมไปถึงระบบการชำระเงิน เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงกระบวนการให้ดียิ่งขึ้น การลงพื้นที่ไปพูดคุยทำให้เราได้ใกล้ชิดและสามารถให้คำแนะนำกับเจ้าของธุรกิจได้โดยตรง รวมถึงสามารถให้คำปรึกษาและนำเสนอสิทธิพิเศษ อาทิ โปรแกรมผ่อนชำระ โปรแกรมมอบเครดิตเงินคืน โปรแกรมมอบคะแนนสะสม และโปรแกรมแลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน เพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายให้ร้านค้า อีกทั้งยังสามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกบัตรฯ ได้ในคราวเดียวกัน”
“เราถือว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนคือ การได้ประโยชน์ร่วมกันในทุกฝ่าย ปัจจุบันเคทีซีมีสิทธิพิเศษในหมวดสุขภาพและความงามครอบคลุมทั่วประเทศ กว่า 4,000 แห่ง สำหรับร้านค้าที่สนใจติดตั้งเครื่อง EDC หรือประสงค์จะมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรฯ สามารถติดต่อผ่าน 02 123 5000 และสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ที่มองหาสิทธิพิเศษ สามารถศึกษารายละเอียดร้านค้า สถาบันความงามได้ที่ www.ktc.co.th/promotion/health-beauty”
เริ่มต้นแล้ววันนี้กับงานแสดงสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง อัดแน่นไปด้วยสินค้าและบริการคุณภาพเยี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ของเล่น เสื้อผ้า และอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงครบวงจร พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษที่จัดเต็มให้คุณได้เลือกช็อปกันอย่างจุใจ และการแข่งขันสัตว์เลี้ยง ประจำปี 2567 หรือ PET EXPO CHAMPIONSHIP 2024 พบกับความสนุกแบบเต็มอิ่มตลอด 4 วันเต็ม ทั้งงานประกวด และกิจกรรมการแข่งขันสัตว์เลี้ยง พลาดไม่ได้กับไฮไลท์สำคัญประกวดแมว “Meow in Wonderland” และการประกวด “หมาหน้าแปลก แต่ความรักไม่แปลก” รวมทั้ง Meet & Greet คุณต้าเหนิง พร้อมเพลิดเพลินกับสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงจากแบรนด์ชั้นนำ โดยพบกันระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม 2567 นี้ เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ฮอลล์ 6-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายสุรพล อุทินทุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในฐานะผู้จัดงาน “PET EXPO CHAMPIONSHIP 2024” เปิดเผยว่า การจัดงานในปีนี้ จัดขึ้นในธีม “Pet in Wonderland” “เพื่อนรักสี่ขาหรรษาในดินแดนมหัศจรรย์” สร้างสรรค์มาเพื่อให้สัตว์เลี้ยงและเจ้าของได้ร่วมกันสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในโลกแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากมายตลอดการจัดงาน โดยในปีนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้รักสัตว์เลี้ยงเข้าร่วมภายในงานประมาณ 70,000 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 64,539 คน
สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ภายในงาน PET EXPO CHAMPIONSHIP 2024 ปีนี้ มีการแข่งขันประชันความแสนรู้ และความสามารถของเหล่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยตลอด 4 วัน มีด้วยกันดังนี้
วันที่ 15 สิงหาคม 2567 : งานเปิดม่านด้วยพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมกิจกรรมสนุก ๆ ที่จัดเต็มตลอดทั้งวัน เช่น เกมฮาเฮ วิ่งลำบากจัง, นุดลากเลื่อนเพื่อนห้ามตก, ตาจ้องตา ไฮฟ์ไฟท์, รักนะจุ๊ฟจุ๊ฟ และการแข่งขันวิ่งข้ามรั้ว นอกจากนี้ยังมีการประชันเกมเหมียวยอดนักตบ และกิจกรรม DIY ถักปลอกคอสุดน่ารัก

วันที่ 16 สิงหาคม 2567 : สำหรับทาสแมวที่ชื่นชอบไม่ควรพลาดการแข่งขัน “เหมียวหม่ำ ๆ” by Katty Boss พร้อมการแข่งขันสำหรับสุนัข อาทิ การแข่งขันหมาน้อยลมกรด และการแข่งขันกลิ้งบอล นอกจากนี้จะได้สนุกกับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การประกวดแมว “Meow in Wonderland” ที่โซน Exotic Pet Land และการแข่งขัน The Star Search Groomer 2024

วันที่ 17 สิงหาคม 2567 : จัดเต็มกับการแข่งขันสุดแอดเวนเจอร์ พร้อมของรางวัลอีกเพียบ อาทิ การแข่งขัน My Dog Anywhere, การแข่งขัน Dog High Jump, การแข่งขัน Zig Zag Running, การแข่งขัน Dog Agility พร้อมชมการประกวด “หมาหน้าแปลก แต่ความรักไม่แปลก” by VetSynova และ Fashion Wonder Pets by Thonglor Pet Hospital การประกวดงูใหญ่ ที่โซน Exotic Pet Land และการประกวดกระต่าย หนูเควี่ และหนูแฮมสเตอร์มาตรฐานโลก
วันที่ 18 สิงหาคม 2567 : พบกับศิลปินดาราที่มาสร้างสรรค์ความสุขมากมาย อาทิ คุณต้าเหนิง, คุณเบลล่า, คุณภูวิน, คุณบุ๋นคุณเปรม และคุณหยินคุณวอ การประกวดงูใหญ่ โซน Exotic Pet Land การประกวดกระต่าย หนูเควี่ และหนูแฮมสเตอร์มาตรฐานโลก รวมถึงกิจกรรมการแข่งขันและการชิงรางวัลสุดพิเศษอีกมากมาย

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบชมเหล่าสัตว์เลี้ยงน่ารัก ๆ ปีนี้ผู้จัดงานได้จัดโซนเอาไว้ให้ชมความน่ารักของสัตว์เลี้ยงไว้เช่นเคย โดยโซนสัตว์ Pet Village สุดน่ารัก โดยสามารถมาสัมผัสน้อง ๆ และป้อนอาหารอย่างใกล้ชิด ทั้งป้อนอาหารนกแก้วในกรงขนาดใหญ่ ม้าแคระ แพะพันธุ์ปิ๊กมี่ และหมูแคระพอตเบลลี่ พร้อมพบกับความน่ารักของน้องบ็อบบี้ คาปิบาร่า ที่สำคัญยังมีการเปิดตัวแก๊งใหม่ที่มาโชว์ตัวครั้งแรก คือ ลิงมาโมเสท ลิงทามารินมือแดง และ Spot-Nosed Monkey รวมทั้งยังมีนกสวยงามอีกมากมาย
ขณะที่ โซนสัตว์พิเศษ (Exotic Pet) โซนนี้ ผู้จัดงานได้รวบรวมสัตว์พิเศษชนิดต่างๆ มากมายมาให้ชื่นชม โดยมีเพื่อนตัวใหม่ไม่ซ้ำปีที่แล้ว เริ่มจากแก๊งหางพอง ทั้ง ลิงทามารินมือทอง สกังก์ และโคอาติมุนดี แก๊งฟันแทะ ทั้ง กระรอกยักษ์มาร์คอต ซิปมังก์เผือก และกระรอกจิ๋วดอร์เมาส์ แก๊งสัตว์เลื้อยคลาน มีทั้ง เบียร์ดดราก้อน กิ้งก่าเคแมน และตุ๊กแกหนาม ส่วนแมลงและงู ได้รวบรวมไว้สารพัดชนิด ทั้ง งูเหลือมสีรุ้ง งูโวม่าไพธอน งูโบอาหางแดง แมงมุมทารันทูล่า และแมลงชนิดต่าง ๆ

ส่วนใครที่เป็นสายช็อปตัวยง เตรียมกระเป๋าสตางค์ให้พร้อม! เพราะภายในงานได้รวบรวมสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำมาไว้ครบภายในงานเดียว ทั้งแบรนด์ชั้นนำ และแบรนด์คุณภาพกว่า 450 บูธ พร้อมโปรโมชั่นและของแถมภายในงานอีกมากมาย เช่น อาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ อาหารเสริม แชมพูและผลิตภัณฑ์บำรุงขน อุปกรณ์ตัดแต่งขน เสื้อผ้าและเครื่องประดับ และอุปกรณ์และของเล่นพัฒนาทักษะ อีกทั้งยังมีบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและโรงพยาบาลสัตว์ รวมไปถึงการบริการทางด้านสุขภาพสำคัญสัตว์เลี้ยงที่รวบรวมเอาไว้ภายในงานอย่างครบครัน ตอบสนองกระแสการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนคนในครอบครัว หรือ Pet Humanization

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Pet Expo Championship 2024 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ฮอลล์ 6-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสามารถติดตามข่าวสาร และ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.petexpothailand.net เฟซบุ๊ก Petexpoclub, Twitter: @PetexpoclubTH1 หรือแอดไลน์ @petexpoclub
กรุงเทพประกันชีวิต เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกทั้งสิ้นจำนวน 1,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปี 66 เป็นผลจากช่องทางธนาคารที่มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเพิ่มขึ้น 62% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 814 ล้านบาท
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA เปิดเผยถึงผลดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ว่า บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 7,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวนทั้งสิ้น 1,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากไตรมาส 2 ของปี 2566 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อจำนวนทั้งสิ้น 5,653 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 814 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับปีแรกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 นั้น เป็นผลจากช่องทางธนาคารที่มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 62 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขณะที่ช่องทางตัวแทนมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2 นี้ช่องทางอื่นๆ มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกลดลงร้อยละ 24 จากธุรกิจประกันกลุ่มที่บริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาอัตรากำไรมากกว่าการแข่งขันด้านราคา
ทั้งนี้บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำนวน 308,881 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่ร้อยละ 5 จากการลดลงของสินทรัพย์ลงทุนจากกรมธรรม์ที่ครบกำหนด ทั้งนี้สินทรัพย์ลงทุนและรายการเทียบเท่าเงินสดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 97 ของสินทรัพย์รวม และบริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (CAR) ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ร้อยละ 410 จากการตีราคาสินทรัพย์และหนี้สิน โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ร้อยละ 140 อย่างมีนัยสำคัญ
“ในปี 2567 บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นปรัชญาการทำงานบนความ ‘ใส่ใจ’ ในทุกมิติ ด้วยความเข้าใจ จริงใจ และ การดูแลด้วยใจ พร้อมปลูกฝังทัศนคติให้กับบุคลากรและตัวแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ที่ดูแลใส่ใจลูกค้ามากกว่าแค่การประกันชีวิต (The Most Caring Brand) บริษัทได้เปิดตัวระบบสิทธิประโยชน์ใหม่ตามระดับเบี้ยประกันฯ ที่ผู้ถือกรมธรรม์ชำระให้กับบริษัท พร้อมรับสิทธิประโยชน์ใหม่ 5 ด้านตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นด้าน สุขภาพ การท่องเที่ยว ของขวัญในโอกาสพิเศษ คอร์สอบรมสัมมนา และการสร้างประสบการณ์พิเศษตามไลฟ์สไตล์สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ เพื่อเติมเต็มความสุขและยกระดับการบริการ
นอกจากนี้บริษัทได้สร้างความผูกพันธ์กับผู้ถือกรมธรรม์ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจส่งมอบความคุ้มครองเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินมามากกว่า 20 ปี และ กิจกรรมคอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 73 ปี BLA Feel Good Concert รวมไปถึงการพัฒนาการบริการและสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้สึกประทับใจและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ถือกรมธรรม์ตลอดอายุสัญญา” นายโชน กล่าว