December 16, 2025

นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) Zenex Property (RK) และอุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีนั้น ว่าตลาดโดยรวมในระยะสั้นจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากมีกลไกกระตุ้นภาคอสังหาฯ ของประเทศหลายอย่างที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว และอยู่ในขั้นตอนที่จะนำมาใช้ในอนาคต และเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ยังคงให้ความสำคัญกับภาคอสังหาฯ เพราะมีส่วนช่วยให้ GDP ของประเทศเติบโตขึ้น

“โจทย์หลักในขณะนี้คือความเร็วในการผลักดันให้นโยบายและโครงการต่างๆ ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเกิดเป็นรูปธรรม รวมถึงการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในวาระต่อไป ให้เดินหน้าต่อไปโดยไม่สะดุดเนื่องจากภาวะสุญญากาศทางการเมือง ดังนั้นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำไปสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด”

นายวรยุทธ กล่าวเสริมว่า การสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยของตัวเองเป็นภารกิจของรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม ดังนั้นทุกปีจึงมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ทั้งในฝั่งดีมานด์และซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม อย่างที่เห็นกันในปีนี้ รัฐบาลก็มีมาตรการที่ช่วยให้ประชาชนได้ซื้อหรือเช่าบ้านได้มากขึ้น อาทิ การลดค่าโอนและค่าจดจำนองบ้านและอาคารชุดที่ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท การลดหย่อนภาษีฯ สำหรับผู้ปลูกสร้างบ้านเอง หรือมาตรการด้านดอกเบี้ย ผ่านทางสถาบันการเงินของรัฐ เช่น สินเชื่อบ้าน Happy Home และ Happy Life ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และสินเชื่อบ้านธนาคารออมสิน หรือโปรโมชัน ‘ตามใจเลือกตามชอบ’ ของการเคหะแห่งชาติ หรือโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ไปจนถึงมาตรการผ่อนคลาย LTV หรือล่าสุด ธนาคารอาคารสงเคราะห์ยังได้จัดทำ ‘โครงการสินเชื่อบ้าน DD (ดี๊ดีย์)’ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหรืออาคารชุดกับดีเวลอปเปอร์ที่มีข้อตกลงร่วมกับธนาคารฯ โดยได้รับดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.80%

"สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่เข้าสู่ครึ่งปีหลังของปี 2567 ระดับดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดยังคงลดลง ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งปัญหาหลักที่ยืดยาวมาตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมาคือเรื่องหนี้ครัวเรือน จนปัจจุบันมีอัตราสูงกว่า GDP ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีของคนที่ต้องการซื้อบ้าน เพราะค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับเป็น 600 บาท ยังไม่ประกาศใช้ทำให้ต้นทุนวัสดุและค่าแรงงานก่อสร้างยังไม่ถูกปรับขึ้น ราคาบ้านก็ยังไม่ถูกปรับตาม ประกอบกับการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการค่อนข้างเข้มข้น ทำให้ผู้ซื้อได้เปรียบในการเลือกซื้อบ้านที่มีคุณภาพที่ดี ในราคาที่ยังไม่สูงมากนัก"

“โดยส่วนตัวมั่นใจว่ารัฐบาลใหม่จะยังคงยกประเด็นหนี้ครัวเรือนเป็นวาระสำคัญ และจะให้ความสำคัญกับการที่คนไทยได้เป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ในราคาที่เหมาะสม เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพชีวิตของคนไทยที่ดีขึ้น นอกจาก นี้ ยังหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์จะร่วมกันพิจารณาลดดอกเบี้ยหรือกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ระยะยาว เพื่อช่วยลดภาระและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กู้ในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อย เข้าถึงแหล่งเงินทุนและช่วยลดภาระหนี้” นายวรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย

บริษัท ดี พี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด (DP Survey) บริษัทในเครือ ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ บริษัท เมคทูวิน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTW เพื่อผลักดันการตลาดและการจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Deco ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด  โดยความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นส่งเสริมสวัสดิการพนักงานในเครือและขยายตลาดสู่หน่วยงานต่าง ๆ  เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนพลังงานสะอาด สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

โดยมีนายกลพัฒน์ รัตนาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ และนายก่องรัฐ พงษ์ยุพินพานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี พี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด  ร่วมกับ นายกฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมคทูวิน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTW และ บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด พร้อมด้วย นางสาวฐิดาภรณ์ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้

นายกลพัฒน์ รัตนาภรณ์ กล่าวว่า  “DP Survey เป็นบริษัทสำรวจภัยที่อยู่ในเครือบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีภารกิจหลักในการ บริหารจัดการสินไหมการประกันภัยทุกประเภท แบบครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจภัยและประเมินความเสียหายการตรวจสภาพทรัพย์สินก่อนเอาประกันภัย การเรียกร้องคู่กรณีและการดำเนินการทางกฎหมายให้กับบริษัทประกันวินาศภัยโดยใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ โดยการลงนามความร่วมมือครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะร่วมสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและเป็นส่วนหนึ่งการขยายตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำมาซึ่งความสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย”

นายกฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ กล่าวว่า “จากภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ทาง MTW จึงได้ผลักดัน Deco บริษัทในกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจประกอบ ผลิต และจำหน่ายจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ เดินหน้าขยายตลาดตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยเครือข่ายศูนย์บริการที่มีครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 100 แห่ง ตอบรับแนวโน้มการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น และด้วยการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ ซึ่งในปัจจุบัน Deco เป็นผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และมีโรงงานที่ทันสมัย เป็นฐานการผลิตรายใหญ่ที่สุดมีกำลังการผลิตสูงถึง 2 ล้านคัน/ปี ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต”

การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดและการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าไม่เพียงช่วยลดการปล่อยมลภาวะทางอากาศ แต่ยังตอบสนองความต้องการของสังคมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งความร่วมมือของทั้งสองบริษัทนี้ ได้นำแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) มาร่วมกันสร้างประโยชน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

กระทรวงดีอี และ ดีป้า ร่วมพูดคุยกับบรรดาผู้ประกอบการและดิจิทัลสตาร์ทอัพในพื้นที่ วางแผนหารือจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนเดินหน้าพัฒนา ‘Digital Khon Kaen Sandbox’ พื้นที่ส่งเสริมให้เกิดการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลภาคอีสาน อีกทั้งเน้นย้ำให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะ Big Data จากผู้ประกอบการไทย เพื่อช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรม ก่อนเยี่ยมชมกิจกรรมอัปสกิลดิจิทัลผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการในพื้นที่ พร้อมแนะผู้ประกอบการชูจุดเด่นภาคอีสานดึงดูดความสนใจผู้บริโภค

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม ‘Ignite Isan Digital Hub’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND พร้อมร่วมพูดคุยกับบรรดาผู้ประกอบการและดิจิทัลสตาร์ทอัพในพื้นที่เพื่อหารือแนวทาง แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ สะท้อนข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อนำไปใช้ต่อยอดการดำเนินธุรกิจ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยมี นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น ร่วมในกิจกรรม

“ภาคเอกชนของจังหวัดขอนแก่นถือว่ามีความเข้มแข็งและเป็นเอกภาพ อีกทั้งมีความพร้อมที่จะพัฒนาจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและโดดเด่นเป็นอย่างมากในพื้นที่ภาคอีสาน ด้วยเหตุนี้ กระทรวงดีอี และ ดีป้า จึงต้องการเชิญชวนจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน ร่วมหารือแนวทางการพัฒนา ‘Digital Khon Kaen Sandbox’ พื้นที่ส่งเสริมให้เกิดการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลภาคอีสาน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการนำมาตรการทางภาษีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกดึงดูดการลงทุน นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะ Big Data จากผู้ประกอบการไทย เพื่อช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งเป็นการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี โดย ดีป้า ยังได้ดำเนินการส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (ชุมชนโดรนใจ) และ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (สมาร์ทลีฟวิ่ง)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

พร้อมกันนี้ คณะได้เยี่ยมชมกิจกรรม ‘Digital Content-Driven E-Commerce Workshop: การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มยอดขายด้วยดิจิทัลคอนเทนต์’ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิจกรรมต่อยอดความสำเร็จของโครงการ CONNEXION ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้าใจในการใช้ดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อสร้างยอดขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพให้กับผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการในจังหวัดขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียงผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการหัวข้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการถ่ายภาพสินค้า การสร้าง Storytelling การ Live ขายสินค้า การเปิดร้านค้าใน Social Commerce อย่าง TikTok และ Facebook การใช้ข้อมูลวิเคราะห์ช่องทางขายสินค้าออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์ม eTailligence และการสร้าง Micro Influencer หน้าใหม่ให้กับท้องถิ่น

นายประเสริฐ กล่าวว่า ภายหลังจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าร่วมกิจกรรมพบว่า สินค้าและบริการของพี่น้องผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคอีสานมีเอกลักษณ์และมีศักยภาพในการเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ แต่ผู้ประกอบการกลับสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในหลากหลายด้าน เช่น ผู้ประกอบการหลายรายยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มยอดขายและวางแผนการตลาด ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นกิจกรรมในวันนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการเองจะต้องนำจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคอีสานมาใช้เป็นจุดขายเพื่อดึงดูดใจผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง

บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี โดย นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ได้มอบหมายให้ นายอนุพงษ์  เครืองาม รองประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ เข้าร่วมพิธีเปิดบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรกในจังหวัดยะลาโดยได้รับเกียรติจาก นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา  เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมพบกับสินค้าราคาประหยัด คุณภาพดี ที่บิ๊กซีคัดสรรเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า

“บิ๊กซี” ไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรกในจังหวัดยะลา เป็นสาขาที่ 168 ด้วยการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมที่มีความทันสมัย มีพื้นที่บริการขนาดใหญ่รวม 55,963.20 ตารางเมตร แหล่งรวมสินค้าอุปโภค บริโภคคุณภาพดี ราคาประหยัด หลากหลายกว่า 20,530 รายการ มาให้ลูกค้าเลือกซื้อตามความต้องการ และยังมีศูนย์อาหาร ร้านค้า ร้านอาหาร จากพันธมิตรมาเข้าร่วมเปิดให้บริการ ได้แก่ เคเอฟซี, สตาร์บัคส์, เดอะ พิซซ่า คอมปะนี และโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงโซน Playland ที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อให้เป็นสถานที่แห่งความสุขในทุกวันและของทุกคนในครอบครัว และบิ๊กซียังได้ร่วมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ได้มีโอกาสจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้า เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน พร้อมจุดศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงานจังหวัดยะลา มาใว้บริการลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกสบายของลูกค้าในพื้นที่

ขอเชิญพบกับกิจกรรมส่งเสริมการขายพิเศษต่างๆ เพื่อสร้างสีสันในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  โดยเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 20:30 น.

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จัดกิจกรรม"EXAT Give To Change" ประจำปี 2567

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เดินหน้าเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานเงินเดือน ด้วยการชวนลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี มาแบ่งออมเงินก่อนใช้ เพื่อมีเงินเก็บสำรองฉุกเฉินกับเงินฝากบัญชี ttb ME save เพียงฝากเงินวันนี้ รับดอกเบี้ยรวมโบนัสสูงสุด 2.4% ต่อปี

ทีทีบีมุ่งมั่นสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีในทุกมิติให้กับลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี โดยมอบสิทธิพิเศษอัตราดอกเบี้ยที่เหนือกว่าสำหรับการออมเงิน เพียงฝากเงินกับบัญชี ttb ME save ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 – 31 มีนาคม 2568 และมียอดเงินคงเหลือในบัญชีเพิ่มขึ้น 500 บาทจากเดือนก่อนหน้า (ไม่นับรวมยอดเงินจากการจ่ายดอกเบี้ย) รวมถึงมียอดเงินฝากมากกว่ายอดถอนในแต่ละเดือน รับสิทธิประโยชน์ดอกเบี้ยรวมโบนัสสูงสุดถึง 2.4% ต่อปี บวกเพิ่ม 0.2% ทุกลำดับขั้นของยอดเงินฝาก ME save (Tier Rate) จากอัตราดอกเบี้ยรวมโบนัสสำหรับลูกค้าทั่วไป ทั้งนี้ลูกค้าที่มีบัญชี ttb ME save อยู่แล้วก็สามารถรับดอกเบี้ยพิเศษนี้ได้โดยไม่ต้องทำการลงทะเบียน

อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี (รับเงินเดือนผ่านระบบจ่ายเงินเดือนของทีทีบี : ttb payroll)

ยอดเงินฝาก ดอกเบี้ยรวมโบนัส

 สำหรับลูกค้าบัญชีเงินเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป

100,000 บาทแรก 2.40% 2.20%

ส่วนที่เกิน 100,000 ถึง 1 ล้านบาท 1.80% 1.60%

ส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท ขึ้นไป 1.40% 1.20%

ttb ME save เป็นหนึ่งในบัญชีเงินฝากดิจิทัลที่ได้รับความนิยม เป็นบัญชีเพื่อออมเงินที่ตอบโจทย์นักออมรุ่นใหม่และพนักงานเงินเดือนอย่างแท้จริง ด้วยความโดดเด่นของรูปแบบการออมที่ง่าย ให้ดอกเบี้ยในอัตราสูง ไม่ต้องฝากประจำ ฝากถอนเมื่อไรก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ รับดอกเบี้ยพร้อมโบนัสในอัตราสูง เพียงมียอดเงินฝากมากกว่าถอนในแต่ละเดือน สามารถเช็คยอดดอกเบี้ยสะสมได้ทุกวัน และสามารถตั้งเป้าหมายการออมผ่าน Savings Goal ได้อีกด้วย

ลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี ไม่ได้มีดีแค่ด้านการออม แต่ยังได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าในทุกมิติด้านการเงินเพื่อให้พนักงานเงินเดือนได้มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้าน ครอบคลุมทั้งเรื่องกู้ยืม ลงทุนเพื่ออนาคต และมีความคุ้มครองที่อุ่นใจ ลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี ที่สนใจสามารถเปิดบัญชี ttb ME save เพื่อรับดอกเบี้ยรวมโบนัสสูงสุด 2.4% ต่อปี (ลูกค้าทั่วไปรับดอกเบี้ยสูงสุด 2.2% ต่อปี) ผ่านช่องทางง่าย ๆ ทางแอปพลิเคชัน ttb touch ผู้ช่วยทางการเงินส่วนตัว หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.ttbbank.com/link/payroll-me-prnews 

เอปสัน ยังคงมุ่งมั่นที่นำเสนอโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืนแก่ทุกองค์กรธุรกิจ รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้ประเทศ ล่าสุด เอปสันได้นำโซลูชั่นเพื่อธุรกิจค้าปลีกไปจัดแสดงที่งาน Amazing Green Fest 2024 ซึ่งเกิดจากร่วมมือของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ The Cloud เพื่อให้ความรู้และสร้างชุมชนที่จะช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องการท่องเที่ยวยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงในวงกว้าง

โซลูชั่นที่เอปสัน นำไปจัดแสดงในงาน ได้แก่  

  1. โซลูชั่นสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และโรงแรม ที่ต้องการความทันสมัยและความคล่องตัวในการใช้งาน ด้วยเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ Mobile point of sale (mPOS) Epson TM-m30II,
    TM-m30II-SL และ TM-m30III และเครื่องพิมพ์ใบเสร็จอย่างย่อขนาดพกพา Epson TM-P20II และ TM-P80II สามารถสั่งพิมพ์งานแบบไร้สายผ่านสมาร์ทดีไวซ์ น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  2. โซลูชั่นด้านบริหารจัดการคลังสินค้า ด้วย Epson ColorWorks C4050 เครื่องพิมพ์ฉลากประสิทธิภาพสูง พิมพ์งานเร็วถึง 100mm ต่อวินาที รองรับกระดาษได้หลายรูปแบบ Epson LabelWorks LW-C410 ตอบโจทย์การพิมพ์ทั้ง Barcode และ QR code ด้วยแอปพลิเคชั่น iLabel และซอฟต์แวร์ Label Editor พร้อมมีฟังก์ชั่นตัดฉลากอัตโนมัติ และ Epson LabelWorks LW-K400 เครื่องพิมพ์แบบพกพาพร้อมคีย์บอร์ด ทำให้ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการพิมพ์ฉลากในสำนักงาน รวมถึงไฟล์เอกสาร การเก็บเอกสาร บาร์โค้ด ซึ่งทุกรุ่น มีต้นทุนต่ำ เพราะพิมพ์ได้เท่าที่ต้องการ จึงไม่ต้องสั่งซื้อกระดาษเก็บไว้จำนวนมาก
  3. โซลูชั่นด้านการจัดการงานเอกสาร พบกับที่เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจที่ผสานความยั่งยืนเข้ากับประสิทธิภาพการพิมพ์ได้อย่างลงตัว รุ่น Epson WF-C5390 และ WF-M5899 มาพร้อมเทคโนโลยีHeat-Free ที่
    ไม่ใช้ความร้อนในการพิมพ์ ใช้พลังงานต่ำ และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ รวมถึงใช้วัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังถูกออกแบบระบบภายในให้สามารถใช้งานและบำรุงรักษาง่าย เพราะมีชิ้นส่วนอะไหล่ที่ต้องดูแลรักษาน้อย ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน จึงช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และประหยัดต้นทุนอีกด้วย

เอปสัน มั่นใจว่าทั้งสามโซลูชั่นนี้ นอกจากนำเสนอเรื่องความยั่งยืนให้แก่องค์กรธุรกิจท่องเที่ยว ยังช่วยยกระดับการให้บริการ สร้างความประทับใจ รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมลดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างแน่นอน พบกับโซลูชั่นเอปสันได้ที่งาน Amazing Green Fest 2024 ระหว่างวันที่ 15 - 18 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ บูธ E26 พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

เพราะความต้องการของผู้บริโภคเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบ เราเข้าใจว่าทุกคนมีความต้องการและความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป การออกแบบจึงไม่ได้มาจากแค่ความสวยงามหรือฟังก์ชันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง การสร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชอบความเงียบสงบหรือการพบปะสังสรรค์ บ้านของคุณควรสะท้อนตัวตนและทำให้คุณรู้สึกเป็นตัวเองในทุกๆ วัน

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง และมีนวัตกรรม แบรนด์อสังหาฯที่เติบโต ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 อย่างแข็งแกร่ง และมั่นคงของการดำเนินธุรกิจในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสร้างกลยุทธ์และวิธีคิดมาสู่การพัฒนาโครงการที่มีความ Personalized ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุดตามนิยามของครอบครัวที่เปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์เฉพาะ ได้สานต่อแนวคิด One size doesn’t fit all’ หลังประสบความสำเร็จจาก “บ้านคนโสด” และ “บ้านเดียวกัน” ที่  โครงการ เวนิว พระราม 9  รวมถึง  “บ้านเกมเมอร์” ที่โครงการ เวนิว ไอดี มอเตอร์เวย์ -พระราม 9 ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้าสร้างความฮือฮาให้กับตลาดได้ไม่น้อย

เช่นเดียวกันกับครั้งนี้ SC Asset รุกต่อธุรกิจ Engine 1 – ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายนี้พร้อม รับเทรนด์คนยุคใหม่ที่ต้องการบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น ให้ความสำคัญกับความมีเอกลักษณ์ และยอมรับในความหลากหลาย การออกแบบบ้าน #SCบ้านIntrovert และ #SCบ้านExtrovert  จึงเป็นภาพสะท้อนความต้องการในการพัฒนาที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตภายในบ้าน และการดำเนินชีวิตภายนอกบ้าน โดยในปีนี้พร้อมเผยโฉมบ้านซีรีส์ใหม่หนึ่งใน One size doesn’t fit all’ เพราะบ้านแบบเดียวไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับทุกคน เล่า insight ผู้บริโภคผ่านแบบ “บ้าน Introvert และ บ้าน Extrovert” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเรื่องการพัฒนาการออกแบบบ้านที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่มีความเฉพาะบุคคล ที่โครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี-พหลฯ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ราคาเริ่ม 7.99-15 ล้าน และในปีเดียวกันเตรียมพบกับแบบบ้าน Introvert ในโครงการ เวนิว ไอดี รามอินทรา-มีนบุรี ช่วงเดือนตุลาคม

นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาดของ SC Asset กล่าวถึง “การออกแบบบ้านซีรีส์ใหม่ล่าสุดอย่าง ‘บ้าน Introvert’ และ ‘บ้าน Extrovert’ เป็นการต่อยอดแนวคิด ‘One Size Doesn’t Fit All’ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดด้านการพัฒนาบ้านที่ออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคล ความพิเศษของแปลนบ้านซีรีส์นี้มาจากการเข้าใจ Insight ของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง โดยการสังเกตและศึกษาพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เพื่อนำมาพัฒนาเป็นบ้านที่ตอบโจทย์ทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล เราได้รับคำถามจากลูกค้าหลายรายที่ต้องการบ้านที่มีลักษณะเฉพาะ จากการศึกษาและเก็บข้อมูลเชิงลึก เราจึงพัฒนาบ้านในซีรีส์ ‘One Size Does Not Fit All’ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของทั้งผู้ที่มีลักษณะเป็น Introvert และ Extrovert ได้อย่างลงตัว"

สำหรับแบบบ้าน Introvert และ Extrovert ได้พัฒนารวมทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ แบบบ้าน Introvert จำนวน 3 แบบ และ Extrovert จำนวน 1 แบบ โดยในเดือนสิงหาคมนี้ ได้เปิดตัวแบบบ้านจำนวน 2 แบบ คือ C.A.L.M. (พัฒนาแบบมาจาก Restrained Introvert) และแบบบ้าน V.I.B.E.S. (พัฒนาแบบมาจาก Extrovert) ที่โครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี-พหลฯ และ เดือนตุลาคม 2567 นี้ จะเปิดตัว แบบบ้าน Introvert ที่เป็นบ้านแฝด ได้แก่ แบบบ้าน C.H.I.L.L. (พัฒนาแบบมาจาก Social Introvert) และ แบบบ้าน S.A.G.E. (พัฒนาแบบมาจาก Thinking Introvert) โดยการออกแบบสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์
ที่แตกต่างกัน

ทางด้านนายกานดิศักดิ์ รื่นใจชน หัวหน้าสายงานออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม SC Asset ได้อธิบายถึงแนวคิดในการออกแบบไว้ว่า “สำหรับ 2 แบบแรก ที่จะเปิดตัวก่อน ตั้งอยู่ในโครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี-พหลฯ โดย แบบบ้าน C.A.L.M. (พัฒนาแบบมาจาก Restrained Introvert): มีพื้นที่ใช้สอย 258 ตร.ม. เป็นบ้านขนาด 4 ห้องนอน , 4 ห้องน้ำ , 1 ส่วนรับประทานอาหาร, 1 ส่วนเตรียมประทานอาหาร, 1 ครัวไทย, 1 ห้องพักผ่อนบน และ 2 ที่จอดรถ

โดยรูปแบบของผู้มีไลฟ์สไตล์แบบ Introvert ประเภท Restrained Introvert** มีลักษณะคิดก่อนทำเสมอ มีความละเอียดรอบคอบ ชอบการวางแผน และไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ กิจกรรมที่สนใจมักจะเป็นกิจกรรมที่ต้องมีการวางแผน เช่น การเดินป่า ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร อ่านหนังสือ หรือการเก็บของสะสม การออกแบบพื้นที่สำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ จึงเน้นการสร้างพื้นที่ที่รองรับกิจกรรมต่าง ๆ ของทุกคนในบ้าน โดยให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่ส่วนตัวในพื้นที่ส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นมุมสำหรับนักสะสมบริเวณ Foyer ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในบ้านจะสัมผัสได้ถึงการเติมเต็มและการรีชาร์จพลังงานอย่างแท้จริง ในส่วนของพื้นที่ทำอาหารก็มีทั้ง Pantry ที่เชื่อมกับ Kitchen อย่างลงตัว ทั้งยังมีห้องทำงานที่ต้องการความเงียบสงบ มุมอ่านหนังสือ หรือพื้นที่สำหรับทำงานอดิเรก ทุกพื้นที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลาย และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามความสนใจของแต่ละคนในบรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว

ถัดมา คือ แบบบ้าน V.I.B.E.S. (พัฒนาแบบมาจาก Extrovert): มีพื้นที่ใช้สอย 325 ตร.ม. เป็นบ้านขนาด 4 ห้องนอน , 5 ห้องน้ำ , 1 พื้นที่รับประทานอาหาร, 1 พื้นที่ครัว, 1 ครัวไทย, 1 พื้นที่พักผ่อนชั้นดาดฟ้า และ 3 ที่จอดรถ

สำหรับแบบบ้าน V.I.B.E.S เป็นแบบบ้านที่พัฒนามาจากผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Extrovert มีลักษณะชอบเข้าสังคม รู้สึกมีพลังหรือเติมเต็มได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ชอบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เช่น ปาร์ตี้ การทำงานเป็นทีม หรือการพบปะกับผู้คนใหม่ ๆ พวกเขามักจะรู้สึกกระตือรือร้นและมีความสุขเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนอื่นและมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นหรือแบ่งปันความคิดของตนเอง สำหรับฟังก์ชันของแบบบ้านนี้ จึงเน้นไปที่การมีพื้นที่รองรับการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อการพบปะสังสรรค์ เริ่มตั้งแต่ห้องนั่งเล่นที่มีพื้นที่กว้างขวาง เชื่อมต่อพื้นที่รับประทานอาหาร และมีส่วน pantry เตรียมอาหาร ของว่าง รองรับการสังสรรค์ได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันที่ชั้น 2 ส่วนของ Bar และ Family Area ยังคงเชื่อมต่อกันทั้งในด้านการใช้งานและการทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดสังสรรค์เบาๆ หรือการประชุมทีมที่แฝงไปด้วยความสนุกสนาน รวมไปถึงฟังก์ชัน Rooftop ที่เปิดโล่งบนชั้นบนสุด สำหรับการจัดปาร์ตี้กับเพื่อนๆ และครอบครัว จะทำบาร์บีคิว ชมวิว หรือดูหนังตอนกลางคืนก็ทำได้ตลอดเท่าที่คุณต้องการ”

พบกับแบบบ้าน Introvert และ บ้าน Extrovert จำนวน 2 แบบ คือ C.A.L.M. และแบบบ้าน V.I.B.E.S. ได้ที่โครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี-พหลฯ ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่พร้อม Solar Roof, สระว่ายน้ําระบบเกลือ Free Form ขนาด 30 เมตร, ฟิตเนส, Co-Working Space, Kids Room, สวนส่วนกลางพร้อมสนามเด็กเล่น, และระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐาน SC ASSET นอกจากนี้ที่ตั้งโครงการอยู่ในทําเลศักยภาพ ติดถนนพหลโยธิน (โรงกษาปณ์) ใกล้ทางด่วนดอนเมือง โทลล์เวย์ เพียง 500 เมตร ใกล้แหล่งอํานวยความสะดวกมากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานศึกษา การคมนาคมที่สะดวกทั้งรถยนต์ส่วนตัวและระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าสถานีรังสิต (สีแดง) เพียง 5 นาที* และ สถานีแยก คปอ. (สีเขียว) 15 นาที* สอบถามข้อมูลเพิ่ม http://www.scasset.com หรือโทร. 1749

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มุ่งตอบโจทย์ด้านการต่อยอดความมั่งคั่งครบทุกมิติให้กับกลุ่มลูกค้า Wealth ผ่านบัตรเครดิต ttb reserve พร้อมโซลูชันจัดการค่าใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศได้อย่างคุ้มค่าและสะดวกยิ่งขึ้น เพื่อวางแผนการศึกษาส่งต่ออนาคตที่ดีที่สุดให้บุตรหลาน ด้วยบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ เพิ่มความมั่งคั่งและช่วยต่อยอดความสำเร็จทางการเงินไม่มีที่สิ้นสุด

นางสาวกนกวรรณ เพชรพิสิฐโชติ ประธานกลุ่ม บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกรรมธนาคาร และความมั่งคั่งทางการเงิน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผย แผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และความเป็นผู้นำในการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรแก่กลุ่มลูกค้า Wealth โดยธนาคารตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ จึงออกแบบโซลูชันความมั่งคั่งครบทุกมิติและผลิตภัณฑ์ที่ดูแลแบบองค์รวม ผ่านบัตรเครดิต ttb reserve ตอกย้ำความเป็น Total Wealth Solution” ที่สามารถส่งต่อความมั่งคั่งและเตรียมความพร้อมทางการเงินด้านต่าง ๆ เพื่อต่อยอดความสำเร็จสู่ชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

เพื่อให้กลุ่มลูกค้า Wealth สามารถส่งต่อความมั่งคั่งและเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับการศึกษาต่อต่างประเทศของบุตรหลานให้ก้าวสู่ความสำเร็จที่ไปได้ไกลขึ้น ธนาคารได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีผลิตภัณฑ์ที่ง่าย สะดวก และปลอดภัย พร้อมเป็นตัวช่วยสำคัญให้ลูกค้าสามารถบริหารความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ที่อาจทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นได้ จึงได้ออกผลิตภัณฑ์ที่สามารถสะสมความมั่งคั่งผ่านบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) ประเภทออมทรัพย์แบบ e-Saving สกุลเงิน USD ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 4.1% ต่อปี* สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชี FCD e-Saving สกุลเงิน USD ใหม่ ผ่านแอป ttb touch ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2567 และยังรองรับถึง 5 สกุลเงินหลัก ได้แก่ USD, EUR, AUD, GBP และ JPY

สำหรับการโอนเงินชำระค่าใช้จ่ายการศึกษาที่ต่างประเทศ สามารถแลกเงิน และโอนเงินด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ สะดวก ผ่าน แอป ttb touch ค่าธรรมเนียมเริ่มต้นเพียง 150 บาท ปลายทางรับเงินเต็มจำนวน* วงเงินสูงสุดถึง 4 ล้านบาทต่อวัน และหากโอนผ่านแอป ttb touch  ด้วยสกุลเงิน USD ไปสหรัฐอเมริกา (USA) และสกุลเงินGBP ไปสหราชอาณาจักร (UK)  ฟรี! ค่าธรรมเนียมการโอนเพื่อการศึกษา ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2567  

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้เลือกเพื่อวางแผนการเงิน เช่น บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ ประเภทฝากประจำ 6 เดือน สกุลเงิน USD ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 5.00% ต่อปี และสกุลเงิน GBP ที่ให้ดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี โดยสามารถติดต่อเปิดบัญชีได้ที่ ทีทีบีทุกสาขา

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามียอดการโอนเงินต่างประเทศเพื่อการศึกษาเติบโตขึ้นถึง 66% และยอดการเปิดบัญชี FCD ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยสกุลเงินบาท โตขึ้นถึง 284% ธนาคารเชื่อว่าความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนหากมีการวางแผนบริหารจัดการที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้

ในด้านการลงทุนระยะยาว ธนาคารยังได้ตระหนักถึงการลงทุนที่ปลอดภัยท่ามกลางตลาดที่ผันผวน โดยมีทีม Investment Office ให้คำปรึกษากับลูกค้าในการวางแผนและจัดพอร์ตการลงทุน จากแนวโน้มตลาดทั้งในและต่างประเทศโดยเน้นการลงทุนที่ปลอดภัยด้วยผลิตภัณฑ์ทางเลือกการลงทุนอย่างหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งจำกัดความเสี่ยง มุ่งเน้นรักษาเงินต้นแต่ยังมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าสามารถส่งต่อความมั่งคั่งให้กับบุตรหลานได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ หากมีแผนการเดินทางไปต่างประเทศ ธนาคารยังมีบัตรเครดิต ttb reserve เป็นบัตรเครดิตใบเดียวที่ตอบโจทย์การใช้งานในต่างประเทศ ที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยน 2.5% ทำให้หมดกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เมื่อบุตรหลานใช้จ่ายในต่างประเทศ และรับคะแนนสะสมรายปีสูงสุด 180,000 คะแนน เมื่อมียอดรวมผลิตภัณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด พร้อมรับเอกสิทธิ์เหนือระดับอีกมากมาย

“ทั้งนี้  ธนาคารเชื่อว่าโซลูชันความมั่งคั่งครบทุกมิติและผลิตภัณฑ์ที่ดูแลแบบองค์รวม ผ่านบัตรเครดิต ttb reserve จะสามารถช่วยตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Wealth ได้เป็นอย่างดี และช่วยลูกค้าวางแผนเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งได้อย่างไร้กังวล เพื่อให้มีชีวิตทางการเงินดีขึ้นอย่างแน่นอน” นางสาวกนกวรรณ กล่าว

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.ttbbank.com/link/pr/ttbreserve/fcdesaving

https://www.ttbbank.com/link/pr/ttbreserve/pro-ott

https://www.ttbbank.com/link/pr/ttbreserve/fcdproduct

https://www.ttbbank.com/link/pr/ttbreserve/stn

สนใจเปิดบัญชีออนไลน์ได้ง่ายๆผ่าน แอป ttb touch https://www.ttbbank.com/link/ttbreserve/openacc/fcdesaving

สนใจโอนเงินผ่านแอป ttb touch https://www.ttbbank.com/link/pro-ott-jul24

สามารถดูข้อมูลอัตราดอกเบี้ยเงินตราต่างประเทศได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/rates/foreign-currency-deposits


*อัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ ประเภทออมทรัพย์ แบบ e-Saving สกุลเงิน US Dollar สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดา อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 5 ก.ค. 67 อัตราดอกเบี้ยปกติ 2.10% ต่อปี (เปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศของธนาคาร) และรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มอีก 2.0% ต่อปี ณ วันทำการที่ 5 นับจากวันเปิดบัญชีและฝากเงินสำเร็จ รวมเป็น 4.10% ต่อปี โดยวันที่เปิดบัญชีสำเร็จจนถึงวันทำการที่ 4 รับอัตราดอกเบี้ยปกติตามประกาศของธนาคาร สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่ผ่าน แอป ttb touch ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 67 – 30 ก.ย. 67 รับดอกเบี้ยพิเศษ ถึงวันที่ 30 พ.ย. 67 เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด สามารถเรียกดูข้อมูลอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันได้ทางเว็บไซต์ธนาคาร

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารจะหักค่าธรรมเนียมการโอน 150 บาท จากบัญชี และจะคืนค่าธรรมเนียมเข้าบัญชีที่ถูกหักค่าธรรมเนียมภายใน 3 วันทำการ

  • การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงเป็นการลงทุนที่มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลสําคัญ ลักษณะและหลักทรัพย์อ้างอิงของหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง จากหนังสือชี้ชวน Factsheet ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • เงื่อนไขและการพิจารณาบัตรเครดิตเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ใช้เท่าที่จำเป็น และชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 7% - 16% ต่อปี

 

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 ด้วยรายได้จากการขายรวม 2,441 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 88,425 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 650 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 23,547 ล้านบาท) และกำไรสุทธิ 69 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 2,489 ล้านบาท) บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและมาตรการควบคุมต้นทุน เดินหน้าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ยกระดับการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งจัดสรรงบประมาณการลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) มีความคืบหน้าจากโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Sequestration: CCUS) ในสหรัฐฯ ที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas: CSG) ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งใน Scope 1 2 และ 3 ในขณะเดียวกัน เรายังผลักดันการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ยกระดับการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ (Digitalization) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบนิเวศภายในบ้านปู รวมทั้งมีการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายโอกาสด้านการขายและการตลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานในอินโดนีเซีย และสหรัฐฯ”

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ BKV Corporation (BKV) ได้ขายสินทรัพย์ในธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำบางส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในแหล่งก๊าซธรรมชาติมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 132 ล้านเหรียญสหรัฐ การขายสินทรัพย์ในครั้งนี้ทำให้ BKV ยังคงวินัยทางการเงินที่ดีและสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทรัพย์สินที่มีผลตอบแทนสูงกว่า ส่วนโครงการ Ponder Solar โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ในแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส มีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2567 โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ BKV จะบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 2 จากธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำในธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง ทั้งนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของ BKV จะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโดยตรงและทางอ้อม ลดการพึ่งพาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอก และใช้พลังงานที่ผลิตเองจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น โครงการ Ponder Solar และการดำเนินโครงการ CCUS เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งของบริษัทและของบริษัทอื่นๆ

สำหรับผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน มุ่งควบคุมประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด โดยตั้งเป้าลดต้นทุนในธุรกิจเหมืองที่ 5 - 3.0 เหรียญสหรัฐต่อตัน และในธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ 0.06 - 0.07 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุต ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ BKV ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลางกับ ENGIE Energy Marketing NA, Inc. และ Kiewit Infrastructure South Co. โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้มาพร้อมกับก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลางของ BKV มาจากการดำเนินโครงการ CCUS และเมื่อได้รับการรับรองจาก American Carbon Registry แล้ว คาดว่าจะสามารถส่งมอบก๊าซดังกล่าวได้ภายในสิ้นปี 2567

  • กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานยังคงสร้างผลกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในสหรัฐฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 288 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple II ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ

  • กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในครึ่งแรกของปี 2567 ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ได้ลงนามสัญญาใหม่เพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับพันธมิตรในประเทศไทยในหลากหลายอุตสาหกรรม กำลังผลิตรวม 9 เมกะวัตต์ และมีกำลังผลิตที่ดำเนินการแล้วเพิ่มขึ้น 4.1 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 100 เมกะวัตต์ ขณะที่มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop PPA) ในอินโดนีเซีย จำนวน 10 เมกะวัตต์ ธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เริ่มเดินหน้าสายการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของโรงงาน SVOLT Thailand และส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ชุดแรกให้กับผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย ขณะที่การก่อสร้างโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) ในญี่ปุ่น มีความคืบหน้าตามแผนถึง 97% สำหรับธุรกิจอีโมบิลิตี้ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ได้เข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและเดินหน้าขยายเส้นทางการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ให้บริการรับส่งแล้วมากกว่า 13 ล้านเที่ยว ในขณะที่ธุรกิจการบริหารจัดการพลังงาน เดินหน้าเพื่อการขยายระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางในเฟส 2 ของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี และยังได้ลงนามในสัญญาบริการจำนวน 25 สัญญาให้แก่ SB Design Square ในจังหวัดภูเก็ตด้วย นอกจากนั้น หน่วยงาน Corporate Venture Capital ยังได้เข้าลงทุนใน enspired ผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการซื้อ-ขายพลังงานไฟฟ้า เป็นระบบข้อมูลที่มีการซื้อ-ขายเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มและระบบอัตโนมัติที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับการดำเนินงานในธุรกิจแบตเตอรี่และการซื้อขายพลังงานของบ้านปู เน็กซ์

“ด้วยพอร์ตพลังงานที่ครบวงจรและผสมผสานทั้งพลังงานรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่อย่างสมดุลของบ้านปูในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เราตั้งเป้าให้แต่ละกลุ่มธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่งเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคง สร้างคุณค่าที่ยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียและร่วมขับเคลื่อนโลกให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน” นายสินนท์ กล่าวปิดท้าย


*หมายเหตุ: คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ที่ USD 1: THB 35.6601 และ ไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ USD 1: THB 36.7083

X

Right Click

No right click