December 16, 2025

ดีป้า และ COM7 BUSINESS ประกาศความร่วมมือด้านการขับเคลื่อนบัญชีบริการดิจิทัลและอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย อำนวยความสะดวกผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปที่มองหาเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีมาตรฐาน ในราคาที่สมเหตุสมผลได้โดยเหมาะสมกับบริบทของตนเอง ผู้ประกอบการดิจิทัลสามารถขยายตลาดภาคเอกชน และเข้าสู่ตลาดภาครัฐได้ง่ายขึ้น พร้อมปูพรมนำเสนอรายชื่อของผู้ประกอบการดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลและรายละเอียดต่าง ๆ บนหน้าจอของร้าน BaNANA ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำให้ประชาชนที่สนใจได้เลือกสรร

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และนายภาคภูมิ เสตะรัต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายงานปฏิบัติการสาขา บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 BUSINESS ประกาศความร่วมมือด้านการขับเคลื่อนบัญชีบริการดิจิทัลและอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย โดยมี นางสาวพรเพ็ญ แก้วสุระพล Education & Enterprise Director และ นายสิทธิวัจน์ เวชยาพันธุ์ Head of Cloud & Enterprise Solution COM7 BUSINESS พร้อมด้วย นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ และ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ร่วมเป็นสักขีพยาน

ผศ.ดร.ณัฐพล เปิดเผยว่า บัญชีบริการดิจิทัล คือหนึ่งในกลไกยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทยที่มีการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย เป็นตัวช่วยในการคัดกรองผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเป็นไปตามข้อกำหนดตามมาตรฐาน dSURE (ดีชัวร์) หรือ Digital Sure ที่ ดีป้า กำหนดขึ้นสำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน อาทิ มาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน และมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มั่นใจข้อมูลถูกจัดเก็บในประเทศ ไม่รั่วไหล อีกทั้งมีการระบุราคาที่ชัดเจน เชื่อถือได้ และเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมบัญชีกลาง

นอกจากนี้ บัญชีบริการดิจิทัลยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัล อีกทั้งสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200% ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการให้บริการประชาชน สามารถจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลโดยเลือกใช้วิธีเฉพาะเจาะจงโดยไม่จำกัดวงเงิน ซึ่งเงื่อนไขเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2566 กระทรวงการคลัง

สำหรับความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และ COM7 BUSINESS ในครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนที่กำลังมองหาโซลูชันสามารถเข้าถึงและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่มีมาตรฐาน ในราคาที่สมเหตุสมผลได้โดยเหมาะสมกับบริบทของตนเอง ขณะเดียวกันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการดิจิทัลที่สามารถขยายตลาดภาคเอกชน และเข้าสู่ตลาดภาครัฐได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลแล้วมากกว่า 400 รายการสินค้าและบริการผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากบัญชีบริการดิจิทัลแล้ว ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวยังมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกม ซึ่ง ดีป้า และ COM7 BUSINESS เล็งเห็นว่า การขยายตัวของอุตสาหกรรมเกมจะเป็นแรงผลักดันให้ตลาดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) เติบโตตาม ดังนั้น ดีป้า และ COM7 BUSINESS จะเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมควบคู่ไปกับตลาดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ อีกทั้งร่วมสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่ง

ด้าน นายภาคภูมิ กล่าวว่า ความร่วมมือกับ ดีป้า ในครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบัญชีบริการดิจิทัล และดึงดูดให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลสามารถเข้าถึงบัญชีบริการดิจิทัลได้โดยง่ายผ่านการนำเสนอรายชื่อของผู้ประกอบการดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีบริการดิจิทัล รวมถึงรายละเอียดของเทคโนโลยีต่าง ๆ บนหน้าจอของร้าน BaNANA ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยที่ใช้บริการคลาวด์ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องในประเทศ เช่น Amazon Web Services ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด

ทั้งนี้ ดีป้า ยังมีโครงการดี ๆ อย่าง โครงการ CONNEXION ที่มุ่งยกระดับองค์ความรู้ พัฒนาชุดทักษะใหม่ด้านดิจิทัลให้กับคนไทย โดยเฉพาะผู้ว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานให้มีความพร้อมต่อการประกอบอาชีพใหม่ในยุคดิจิทัล และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยอย่าง คอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะประกอบอาชีพอื่น ๆ ในสายอย่าง ออแกไนเซอร์ นักออกแบบ นักพากย์ นักเล่าเรื่อง เป็นต้น

และอีกหนึ่งโครงการกับ เปิดเมือง เปิดท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิทัล กับการพัฒนา ThailandCONNEX เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรูปแบบ Business to Business (B2B) ในลักษณะ Wholesales สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สามารถเข้าถึง นำเสนอสินค้าและบริการสู่ผู้ให้บริการท่องเที่ยว (Online Travel Agents : OTAs) ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการเช่า ยานพาหนะเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ThailandCONNEX กว่า 1 แสนราย มีสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวกว่า 2 แสนรายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

Alipay+ (อาลีเพย์พลัส) โซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดน และการพัฒนาธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ดำเนินการโดย Ant International (แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล) เดินหน้ารุกตลาดโลกด้วยแคมเปญฤดูร้อนสุดยิ่งใหญ่ ที่เริ่มขึ้นพร้อมกับงานฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (UEFA EURO 2024) พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายการฟื้นตัวเต็มรูปแบบของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในสิ้นปีนี้1

Alipay+ เป็นพันธมิตรด้านการชำระเงินอย่างเป็นทางการของ UEFA EURO 2024™ ซึ่งเชื่อมต่อกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet) และแอปธนาคารชั้นนำ รวมถึงพันธมิตรในยุโรปอย่าง Bluecode และ Tinaba กับร้านค้ากว่า 400,000 แห่งทั่วยุโรป โดยในช่วง EURO 2024 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม:

  • ร้านค้าที่รับชำระเงินผ่าน Alipay+ ในยุโรป มียอดธุรกรรมของนักท่องเที่ยวที่จ่ายผ่านพันธมิตร e-wallet ของ Alipay+ เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งพันธมิตรหลายรายเป็นผู้นำด้านการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือในเอเชีย นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จ่ายด้วยแอปธนาคารในประเทศของตนเองผ่าน Alipay+ ก็เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในช่วง EURO 2024
  • นักท่องเที่ยวที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นประจำจากจีน ฮ่องกง ยุโรป มาเลเซีย และเกาหลีใต้ เป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักที่ขับเคลื่อนกระแสการท่องเที่ยวในยุโรป ทั้งในแง่จำนวนการทำธุรกรรมและมูลค่าการจับจ่าย
  • นอกจากการช้อปปิ้งแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมใช้แอป e-wallet ของประเทศตัวเอง จ่ายที่ร้านขายยา และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ผ่าน Alipay+ โดย Alipay+ ได้ขยายฐานพาร์ทเนอร์ร้านค้าเพื่อตอบรับความต้องการด้านการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
  • การใช้จ่ายข้ามประเทศในช่วง EURO 2024 ที่เมืองที่เป็นเจ้าภาพอย่าง เบอร์ลินและมิวนิก เพิ่มขึ้นมาก จากแคมเปญส่งเสริมการใช้บริการ Alipay+ ทั้งในกลุ่มผู้ค้าและผู้บริโภค ทำให้ยอดธุรกรรมผ่าน Alipay+ ในเยอรมนีเพิ่มขึ้นถึง 73% และจำนวนร้านค้าที่รับชำระเงินผ่าน Alipay+ ก็เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

คุณ Douglas Feagin, President, แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 สะท้อนให้เห็นถึงพลังของกีฬาในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกัน และผลักดันให้เกิดการเติบโตของการท่องเที่ยวข้ามประเทศอย่างน่าทึ่ง ซึ่งยอดธุรกรรมผ่าน Alipay+ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงดังกล่าว เป็นผลลัพธ์เชิงบวกที่เห็นได้ชัดเจน ร้านค้าและพาร์ทเนอร์ของเราในยุโรปมีความพร้อมปรับตัวเข้ากับเทรนด์การจ่ายเงินแบบดิจิทัลใหม่ ๆ อยู่เสมอ เราจะเดินหน้าขยายเครือข่ายร้านค้าที่รองรับ Alipay+ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกต่อไป พร้อมเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายยิ่งขึ้น”

Alipay+ จัดแคมเปญซัมเมอร์ระดับโลกรับฤดูร้อน

ซัมเมอร์นี้นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินด้วยแอปชำระเงินของประเทศตัวเอง ผ่าน Alipay+ ได้แล้วที่ร้านค้ากว่า 90 ล้านแห่ง ใน 66 ประเทศทั่วโลก โดยเครือข่ายพาร์ทเนอร์ร้านค้าของ Alipay+ นั้นขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อร้านค้ากับลูกค้าของพาร์ทเนอร์ด้านการชำระเงินกว่า 30 ราย

มีการคาดการว่ายุโรปจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก Alipay+ จึงได้วางแผนขยายตลาดและเพิ่มฐานลูกค้าให้มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากกระแส UEFA EURO 2024 ด้วยการจัดแคมเปญร่วมกับพันธมิตร ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวใช้แอปชำระเงินของประเทศของตัวเอง พร้อมทั้งมอบโปรโมชันพิเศษให้กับลูกค้า ณ ร้านค้าชั้นนำในจุดหมายปลายทางหลักในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และเยอรมนี

นอกจากร้านค้าปลีกแล้ว Alipay+ ยังมุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในประเทศนั้น ๆ เช่น มอบดีลพิเศษให้นักท่องเที่ยวที่ร้านขนาดเล็กในย่านไชน่าทาวน์ในมิลาน โดยยังร้านค้าขนาดเล็กอีกหลากหลายร้านในยุโรปที่กำลังมาเป็นส่วนหนึ่งของฐานพาร์ทเนอร์ร้านค้าของ Alipay+ นอกจากนี้ Alipay+ ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวด้วยการผนึกกำลังกับแอปเรียกรถแท็กซี่ FREENOW บุกตลาดยุโรป 7 ประเทศ พร้อมเปิดตัวบริการขอคืนภาษีแบบดิจิทัล ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถรับเงินคืนภาษีผ่านแอป Alipay+ ได้ทันทีที่ร้าน

นักท่องเที่ยวจากจีน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไทย สามารถสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดคุ้มที่ร้านค้ากว่า 2 ร้านแห่งในประเทศญี่ปุ่นได้แล้ววันนี้ กับ Alipay+ โดยนักท่องเที่ยวจะได้รับส่วนลดพิเศษที่ร้านค้ากว่า 300,000 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นในสนามบิน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าระดับพรีเมียม ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์/เครื่องใช้ไฟฟ้า และร้านขายสินค้าความงาม

นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินผ่าน Alipay+ ได้อย่างสะดวกสบายทั่วยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน

Alipay+ มอบความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ AlipayHK, GCash, Touch 'n Go eWallet และ TrueMoney ในเกาหลีใต้ ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษร่วมกับพันธมิตรชั้นนำมากมายตลอดช่วงฤดูร้อน ซึ่งครอบคลุมทั้งร้านค้าปลอดภาษี ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก ตลาดท้องถิ่น และร้านสะดวกซื้อ รวมไปถึงร้านค้าปลอดภาษี และห้างสรรพสินค้าที่ดำเนินการโดย Hyundai, Shilla, Shinsegae, Lotte World, ZeroPay Jeju market และ Olive Young

ในเกาหลีใต้ Alipay+ ก็ขยายการให้บริการในภาคการขนส่ง ช่วยให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวสะดวกยิ่งขึ้น บนเกาะเชจู ผู้ใช้งาน AlipayHK, GCash, Touch ‘n Go eWallet และ TrueMoney ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของ Alipay+ สามารถชำระค่าโดยสารรถบัสด้วยได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนยังสามารถจองตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางทั่วประเทศ ผ่านมินิโปรแกรมของ Korail บนแอป Alipay ได้อีกด้วย

ความร่วมมือกับ ZeroPay ซึ่งเป็นระบบ QR code แห่งชาติของเกาหลีใต้ครั้งนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินผ่าน Alipay+ ได้ที่ร้านค้ากว่า 1.9 ล้านแห่งทั่วประเทศ

Alipay+ ยังร่วมมือกับพันธมิตรยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวจีนให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ด้วยการขยายพื้นที่เครือข่ายร้านค้าที่รองรับการชำระเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (International Consumer-Friendly Zone Program) ครอบคลุมเมืองสำคัญอย่างเฉิงตู ฉงชิ่ง ปักกิ่ง กวางโจว และเซี่ยงไฮ้ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวในจีนสามารถชำระเงินที่กว่า 80 ร้านค้า ในจีนได้สะดวกสบายกว่าที่เคย ด้วยการเชื่อมโยงบัตรเครดิตระหว่างประเทศของตนเองกับแอป Alipay หรือผ่านวิธีชำระเงินของพันธมิตร Alipay+ อื่น ๆ ที่มีมากถึง 12 ราย

Alipay+ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผู้ใช้ AlipayHK, Touch ’n Go eWallet, GCash และ TrueMoney สามารถซื้อแพ็คเกจการเดินทางราคาพิเศษกับร้านค้าที่รองรับการชำระเงินผ่าน Alipay+ ได้ทั่วภูมิภาคนี้ นอกจากนี้การผนึกกำลังกับระบบ QR Code แห่งชาติในประเทศอย่างสิงคโปร์ ยังช่วยขยายฐานร้านค้าให้ครอบคลุมถึงธุรกิจ และผู้ค้าขนาดเล็ก ช่วยให้นักท่องเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ของวัฒนธรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวจีน Alipay+ จึงได้นำเสนอนวัตกรรมและแคมเปญใหม่ ๆ ผ่าน Alipay หนึ่งในพันธมิตรด้านการชำระเงิน เปิดตัวแคมเปญสุดพิเศษกับร้านค้าชั้นนำกว่า 30 แห่งในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัล รีเทล, เดอะมอลล์ กรุ๊ป และคิง เพาเวอร์ในประเทศไทย Pavilion and Sunway Velocity ในมาเลเซีย รวมถึง Jewel, Resorts World Sentosa และ Mandai ในสิงคโปร์ เพื่อมอบสิทธิพิเศษต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน Alipay+ ก็ได้ยกระดับ Alipay+ D-hub และ Amazing Thailand e-card ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผ่านแอปพลิเคชัน Alipay เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ร้านค้า และโปรโมชั่นมากยิ่งขึ้น

“บิ๊กซี” ตอกย้ำการเป็นผู้นำจุดหมายของนักท่องเที่ยว (Tourist destination) เดินหน้าส่งเสริมท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดประสบการณ์การช้อปปิ้งสุดว้าวอีกครั้ง กับกิจกรรมออนไลน์รูปแบบใหม่ ภายใต้แคมเปญ “Big C Tourist Privileges” ที่จะมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดพิเศษ!!! 3 กิจกรรม “Snap Keep Go” ให้กับนักท่องเที่ย ชาวต่างชาติ ได้รับความคุ้มค่าและความสะดวกสบายในรูปแบบออนไลน์ได้ง่ายๆ เพียงสแกน QR Code ที่ป้ายสื่อประชาสัมพันธ์ที่สาขา Big C Tourist ได้แก่ สาราชดำริ, รัชดาภิเษก, ภูเก็ต 2, เชียงใหม่ 2, พัทยา และที่สนามบิน ก็ได้รับสิทธิพิเศษ ดังนี้

  1. Snap (สแน็บ) เซฟเก็บคูปองดิจิตอลส่วนลดสุดว้าว จากแบรนด์ดัง รวมมูลค่าส่วนลดกว่า 1,100 บาท สามารถใช้ได้ทุกสาขา* แบบไม่ต้องลงทะเบียนและไม่จำกัดสิทธิ์
  2. Keep (คีบ) เข้ามาเก็บข้อมูลรายการสินค้าสุดฮิตที่ต้องซื้อที่ Big C ใน Must Have Item ไม่ให้คุณพลาดสินค้าของฝากที่ต้องซื้อในทริปนี้
  3. Go (โก) นำทางไปสาขา Big C Tourist ทั้ง 57 สาขา ง่ายๆ ทั่วประเทศ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น

ทั้งหมดนี้ที่ “Big C Tourist Privileges” มาลองเปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป เช็กโปรโมชันดีๆ ทุกวันเพิ่มเติมได้ที่ www.bigc.co.th หรือ เฟซบุ๊ก Big C https://www.facebook.com/BigCBigService บิ๊กซีคอลแชทช้อป ไลน์หรือโทร มาช้อป จัดส่งภายในวัน คลิกแอดไลน์สาขาใกล้บ้าน https://corporate.bigc.co.th/callchatshop 

พฤกษา ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมในโซนกรุงเทพตอนเหนือ พร้อมชวนชาวรามอินทรามาสัมผัสบรรยากาศจริงครั้งแรก กับโครงการ แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา (Chapter One All Ramintra) Stylish Condo ใหม่ จากพฤกษา พร้อมเปิดให้ชม 7 กันยายน 2567 นี้

นาย ภัคริน ทัตติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา เป็นคอนโดที่ตั้งใจพัฒนาขึ้น เพื่อให้สอดรับกับดีมานด์และไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายในทำเลนี้โดยเฉพาะ สะท้อนกำลังซื้อลูกค้าเรียลดีมานด์ในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ทำเลติดรถไฟฟ้าย่านรามอินทราที่ยังมีอยู่อย่างเหนียวแน่นได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มเปิดให้ลูกค้าปัจจุบันที่จองซื้อห้องชุดแล้ว ได้เข้าชมพื้นที่ส่วนกลาง และตรวจรับมอบห้องชุดไปแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี และจะพร้อมเปิดให้ลูกค้า และผู้ที่สนใจโครงการเข้าชมทุกพื้นที่ ในงาน #ALLREADY ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2567 นี้เป็นต้นไป

นางสาว ปัทมา ปิยะมณีพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความพิเศษและแตกต่างของแชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา คือ การส่งมอบการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพและมีความสุข ตามแนวคิดหลัก “Live well Stay well - อยู่ดี มีสุข” โดยผสานเข้ากับคอนเซ็ปต์ของโครงการ ‘ALL: All-time / Living / Lifestyles’ ที่ได้มุ่งมั่นตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกของเวลาในการเดินทาง (All-time) ของทำเลที่ใกล้ทั้งรถไฟฟ้า และทางด่วน พร้อมทั้งการอยู่อาศัยอย่างมีสไตล์ทั้งพื้นที่ส่วนกลาง และในยูนิตพักอาศัย (Living) ที่ออกแบบในสไตล์ Dutch Aesthetic จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ห้องชุดมีให้เลือกตามโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลาย ตกแต่งให้ครบทั้งห้อง ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.39 ล้านบาท และพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบเพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ (Lifestyles) ที่ถูกบรรจุไว้เต็มพื้นที่ตัวอาคาร 8+1 ชั้น

แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 3 อาคาร มีจำนวนห้องพักอาศัย 624 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 24-34.9 ตร.ม. โครงการติดถนนใหญ่รามอินทรา ใกล้ MRT สถานีลาดปลาเค้า เพียง 250 เมตร เชื่อมต่อกับ Interchange BTS สายสีเขียวเพียง 2 สถานี ใกล้เซ็นทรัล รามอินทรา และบิ๊กซี รามอินทรา และทางด่วน รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำ โรงพยาบาล สถานที่ราชการหลายแห่ง จึงเป็นที่นิยมทั้งกลุ่มลูกค้าที่ลงทุนปล่อยเช่า และอยู่อาศัยเอง

ทั้งนี้ โครงการแชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา ยังได้รับรางวัล “BCI Asia Top Developers Awards 2024จาก BCI Asia ศูนย์กลางข้อมูลธุรกิจก่อสร้างในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมอบให้กับโครงการที่โดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบโครงการ ทำเลที่ตั้ง และความคุ้มค่าอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถนัดหมายกับน้องใส่ใจ Chat Bot ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์ เพื่อลงทะเบียนเยี่ยมชมโครงการ พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษต่าง ๆ สำหรับลูกบ้านพฤกษาเพิ่มเติมได้ที่ Line Official: @PRUKSA เพจเฟซบุ๊ค Pruksa Family Club เว็บไซต์ www.pruksa.com หรือโทร.1739

BAFS ประกาศผลการดำเนินงาน BAFS Group ไตรมาส 2/2567 โดยมีรายได้รวม 830.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 43.4 ล้านบาท พุ่งทะยานขึ้น 295% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Aviation ท็อปฟอร์มดันรายได้เข้าเป้า สอดรับท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง เคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาทต่อหุ้น 3 ก.ย. นี้
 
ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยว่า การดำเนินการของ BAFS Group ในไตรมาสที่ 2/2567 ยังคงเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวม 830.6 ล้านบาท โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 398.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากธุรกิจกลุ่ม Aviation เป็นหลัก จากภาพรวมกำไรขั้นต้นที่ขยายตัวตามปริมาณน้ำมันอากาศยานที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากการเดินทางทางอากาศยานโดยนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ปัจจัยจากต้นทุนทางการเงินสุทธิที่ลดลง 1% จากการที่กลุ่มบริษัทมีการจ่ายชำระเงินกู้ยืมอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ใน Q2/2567 มีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 43.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 295% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 4%
 
โครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/2567 BAFS Group แสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเงินตามกลยุทธ์ขยายการลงทุนผ่านการดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยมีรายได้อันเป็นรายได้ก่อนหักรายการระหว่างกัน จากกลุ่ม Aviation 664.9 ล้านบาท กลุ่ม Power 70.2 ล้านบาท และกลุ่ม Utilities 108.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากค่าบริการขนส่งน้ำมันภาคพื้นดินและจัดเก็บน้ำมัน ของบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อจำกัด (BPT) ที่เติบโตสูงขึ้นถึง 27% ตามปริมาณขนส่งน้ำมันรวมทุกผลิตภัณฑ์ของโครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือ (NFPT) ทั้งนี้ BPT จะเริ่มดำเนินการต่อเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมันโครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันสระบุรี-อ่างทอง ภายในปี 2567 โดยล่าสุด บาฟส์ ได้ชำระเงินเพิ่มทุน จำนวน 470 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ BAFS เพิ่มขึ้นจาก 71.39% เป็น 74.46%
 
สำหรับภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีแรก BAFS Group มีรายได้รวม 1,696 ล้านบาท กำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 126.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 39% สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2567) ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท เพิ่มขึ้น 25% จากรอบที่ผ่านมา โดยการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 21 สิงหาคม 2567 และให้กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 3 กันยายน 2567  สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและเสถียรภาพการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

สอนนักเรียนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน สู่คลังอาหารชุมชน

นีลเส็นเปิดเผยข้อมูลล่าสุด เม็ดเงินโฆษณาไตรมาส 2 ปีนี้เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่ารวม 29,908 ล้านบาท ชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตของอุตสาหกรรมโฆษณาไทย โดยทีวียังครองแชมป์สื่อหลักของไทย ด้วยสัดส่วนการใช้ลงเงินโฆษณาสูงถึง 51% ย้ำบทบาทแกนหลักกลยุทธ์การตลาด

สื่อที่มีการเติบโตสูงสุดคือ สื่อโรงภาพยนตร์ โต 48% ในไตรมาส 2 หนังดังขนทัพเข้าโรงกันอย่างคึกคักและสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้เวลากับกิจกรรมดูหนังมากขึ้น

 

ภาพรวมอุตสาหกรรม - อุตสาหกรรมยาสีฟันผงาดเป็นผู้นำด้านการลงทุนโฆษณาในไตรมาส 2 ด้วยงบประมาณรวม 917 ล้านบาท เติบโต 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามมาด้วยอุตสาหกรรมเครื่องดื่มน้ำอัดลม ด้วยงบโฆษณา 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศยังคงเติบโตต่อเนื่อง ด้วยงบโฆษณา 515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%

อุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง - อุตสาหกรรมสินค้าแบรนด์เนมและวิตามินอาหารเสริมเติบโตอย่างโดดเด่นในไตรมาส 2 โดยสินค้าแบรนด์เนมมีการลงทุนด้านโฆษณาเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 124% รวมเป็นมูลค่า 220 ล้านบาท ขณะที่วิตามินอาหารเสริมเติบโต 112% มูลค่างบโฆษณา 466 ล้านบาท

ผู้ประกอบการสินค้าแบรนด์เนมหันมาให้ความสำคัญกับสื่อนอกบ้าน (OOH) มากขึ้น โดยใช้สัดส่วนงบโฆษณาในไตรมาส 2 ถึง 80% โดยข้อมูลจาก Nielsen Consumer & Media View (CMV) พบว่า คนในกรุงเทพฯและปริมณฑล กว่า 91% เข้าถึงหรือสังเกตเห็นสื่อกลางแจ้ง ทำให้สื่อช่องทางนี้เป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนักช้อปในเมือง

 

รัญชิตา ศรีวรวิไล, Nielsen Thailand Commercial Lead “การทุ่มงบโฆษณาของกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมสะท้อนเทรนด์สินค้าไฮเอนด์มาแรงในไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง และความสำคัญของการเลือกสื่อที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง Nielsen Ad Intel สามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี”

ข้อมูลจาก Nielsen Consumer & Media View (CMV) ยังสามารถย้ำและยืนยันถึงความนิยมสินค้าหรูหราในกรุงเทพฯ โดยพบว่าคนกรุงเทพกว่า 40% ชื่นชอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับแบรนด์เนมที่มีประวัติชื่อเสียงยาวนาน นอกจากนี้ ยังมีคนกรุงเทพกว่า 38% ยินดีจ่ายเงินซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้ดีขึ้น 

อย่างไรก็ตาม บางอุตสาหกรรมกลับมีการลดงบโฆษณาลง อาทิ อุตสาหกรรม e-marketplace ที่ลดลงถึง 63% ในไตรมาส 2 และอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมที่ลดลง 36%


 *Source: Nielsen CMV, July 2023-June 2024, base: All people 12+; Nielsen Ad intel, Jan-Jun 2024

คณะผู้บริหารระดับสูงบริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS) นำโดย นายสิรวิชญ์ โชติเทวัญ รองประธานสายกิจการต่างประเทศ ตัวแทน ดร.ปัญญา โชติเทวัญ และ ดร.มนูญศรี โชติเทวัญ ร่วมเข้าประชุมหารือโครงการความร่วมมือทางด้านวิชาการและการฝึกงาน/สหกิจศึกษา กับคณบดีคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ คณบดีคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ คณบดีคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ณ ห้องประชุม 2209 คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ เพื่อร่วมปรึกษาแนวทางต่อยอดพัฒนาขยายสายพันธุ์ไก่สหฟาร์ม ที่วางเป้าเพิ่มจำนวนอีกนับล้านตัว ภายใน 2 ปีนี้ พร้อมวางแผนพัฒนาสายพันธุ์ปลาดุกไทย เพื่อเตรียมส่งสินค้าใหม่บุกตลาดต่างประเทศ

พร้อมกันนี้สหฟาร์มยังเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคลากร เยาวชนไทย ให้เติบโตก้าวไกลในเวทีโลก และสามารถเป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าในการช่วยสร้างความมั่นคงให้กับประเทศต่อไป โดยผ่านการมอบเงินสนับสนุนการดำเนินงานของแต่ละคณะ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้แก่ มอบทุนการศึกษาให้กับคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี มอบเงินสนับสนุนกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ และเงินสนับสนุนการวิจัยระบบบำบัดน้ำเสียให้คณะวิทยาศาสตร์ อีกทั้งมอบเงินสนับสนุนการวิจัยการพัฒนาการเลี้ยงปลาดุกให้คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ ตลอดจนมอบเงินสนับสนุนกิจกรรมประชุมวิชาการระดับชาติให้คณะศิลปศาสตร์

นอกจากนี้คณะผู้บริหารสหฟาร์มยังเข้ามอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีกับรองศาสตราจารย์ ดร. วีระพล ทองมา เนื่องในโอกาสที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้อีกวาระหนึ่ง ณ ห้องประชุมรวงผึ้ง ชั้น 5 สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เมื่อเร็วๆ นี้

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้เข้าถึงที่อยู่อาศัย ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้กำหนดจัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ ชลบุรี” ระหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม 2567 ณ เซ็นทรัล ศรีราชา พบกับโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษมากมาย อาทิ “สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเดือนที่ 1-6 คงที่ 1.99% ต่อปี ฟรี ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดจำนองร้อยละ 0.01 (วงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท)”  และพิเศษ!! ช่วง GOLDEN MINUTE รับดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.99% ต่อปี

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี  ยังคงเดินหน้าสนับสนุนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ด้วยการส่งเสริมให้คนไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ ธอส. ได้สะดวกมากขึ้น และมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น จึงได้จัดงาน ““บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ ชลบุรี” เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในพื้นที่จังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์และส่งเสริมการให้สินเชื่อที่อยุ่อาศัยแก่ผู้ที่มีรายได้น้อยและปานกลางตามนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของธนาคาร ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

สำหรับโปรโมชั่นพิเศษเพื่อทำให้คนไทยมีบ้าน สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เดือนที่ 1 - 6 คงที่เท่ากับ 1.99% ต่อปี  เดือนที่ 7 – 36 คงที่เท่ากับ 3.19% ต่อปี  ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา ลูกค้าสวัสดิการ *MRR-1.00% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย *MRR-0.50% ต่อปี ชำระหนี้ *MRR สำหรับหลักประกันในการยื่นกู้ต้องอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้ว เท่านั้น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) ลูกค้าสวัสดิการ 4.82% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย 5.14% ต่อปี ชำระหนี้ 5.45% ต่อปี  พิเศษ! ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดจำนองร้อยละ 0.01 และพิเศษแบบสุด ๆ สำหรับลูกค้าภายในงานเท่านั้น!! จะได้พบกับช่วง Golden Minute อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 1.99% ต่อปี เปิดจองสิทธิ์ผ่าน Mobile Application : GHB ALL GEN ในวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2567 ระหว่างเวลา 15.00-15.15 น. จองก่อนได้ก่อน กรอบวงเงินจำกัดและเงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินทำนิติกรรมสูงสุด 3 อันดับแรก รับเครื่องฟอกอากาศ 1 เครื่อง (อันดับละ 1 เครื่อง) อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ของ ธอส. นำมาเสนอได้แก่ สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดนาคราช ราคาหน่วยละ 1,000 บาท อายุสลาก 3 ปี ผลตอบแทนหน้าสลาก1.00% ต่อปี (เมื่อฝากครบกาหนด) พิเศษ ลุ้นรับรางวัลใหญ่สูงสุดมูลค่า 2 ล้านบาท สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว Plus ราคาหน่วยละ 5,000 บาท อายุสลาก 2 ปี ผลตอบแทนหน้าสลาก 1.15% ต่อปี พิเศษ ลุ้นรับรางวัลใหญ่สูงสุดมูลค่า 1 ล้านบาท  สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ Plus Phase 2 ราคาหน่วยละ 50,000 บาท อายุสลาก 2 ปี ผลตอบแทนหน้าสลาก 1.25% ต่อปี พิเศษ ลุ้นรับรางวัลใหญ่สูงสุดมูลค่า 3 ล้านบาท  สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพราวพิมาน Plus ปี 2566 ราคาหน่วยละ 10 ล้านบาท อายุสลาก 2 ปี ผลตอบแทนหน้าสลาก 2.00% ต่อปี พิเศษ ลุ้นรับรางวัลใหญ่สูงสุดมูลค่า 1 ล้านบาท

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ใช้บริการผลิตภัณฑ์การเงินของ ธอส. ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด จะได้รับของที่ระลึกฟรีอีกมากมาย โดยงานบ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ ชลบุรี มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม 2567 ณ เซ็นทรัล ศรีราชา โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร.  0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th 

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 กรุงเทพมหานครขอเชิญคลินิก สถานพยาบาลร้านยา เอกชน สมัครเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมให้บริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับโครงการ “30 บาท รักษาทุกที่ กรุงเทพมหานคร” ซึ่งจะคิกออฟอย่างเป็นทางการ ในวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2567 พร้อมเร่งปรับปรุงระบบรองรับ ลงทะเบียนง่าย จ่ายเงินคืนเร็ว หากข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์

สปสช.มีความตั้งใจในการยกระดับการให้บริการระบบสาธารณสุขเพื่อประชาชน ให้เข้าถึงบริการสุขภาพภายใต้นโยบาย “ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ บัตรประชาชนใบเดียวรักษาที่หน่วยบริการนวัตกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งสามารถรักษาที่หน่วยบริการปฐมภูมิ สปสช. จึงขอเชิญชวนหน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย คลินิกเวชกรรม, คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์, คลินิกทันตกรรม, คลินิกเทคนิคการแพทย์,  คลินิกการแพทย์แผนไทย , คลินิกกายภาพบำบัด และ ร้านยา GPP+ ร้านยาคุณภาพ ร่วมสมัครเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

สำหรับหน่วยบริการเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเตรียมเอกสารสมัครดังนี้ ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน (แบบ ข.ย.5) สำหรับร้านยา ส่วนสถานพยาบาลประเภทอื่นไม่ต้องใช้เนื่องจากเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพแล้ว, หนังสือมอบอำนาจและเอกสารผู้รับมอบอำนาจ (กรณีมีมอบอำนาจ), บัญชีธนาคารพร้อมสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (Book Bank) โดยชื่อบัญชีต้องตรงกับชื่อหน่วยบริการ หรือนิติบุคคล หรือชื่อผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล สพ.7 โดยไม่ต้องวางหลักประกันสัญญา และประกาศขึ้นทะเบียนและลงนามนิติกรรมภายใน 5 วันทำการ

ทั้งนี้ สปสช. ได้เร่งทำการปรับปรุงระบบเพื่อรองรับทั้งในส่วนการขึ้นทะเบียนและการเบิกจ่าย  เพื่อให้สามารถลงทะเบียนง่าย จ่ายเงินคืนเร็ว  หากข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมกันนี้ยังได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อให้ข้อมูล เชิญชวน และอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนทันทีให้กับหน่วยบริการนวัตกรรมที่สนใจทั่วกรุงเทพฯ

คลินิก สถานพยาบาล ร้านยา เอกชน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่สนใจ สามารถยื่นเอกสารสมัครขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้แล้ววันนี้! แบบ One Stop Service ผ่านทางเว็บไซต์ https://ossregister.nhso.go.th/#/public-portal หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร สายด่วน สปสช. 1330 กด 5  

X

Right Click

No right click