December 16, 2025

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพื่อวางแนวทางสร้างองค์กรสู่ยุคใหม่ โดยบอร์ดมีมติแต่งตั้ง นางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) ซึ่งมีผลวันที่ 16 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ตามที่ได้มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานในช่วงครึ่งปีหลังของ LPN นี้ นับว่าอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมตามแนวทางที่บริษัทวางไว้ โดยนางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ จะดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) แทนนายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการบริษัท ให้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่  16 สิงหาคม 2567

สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน (Revenue) อยู่ที่ 3,785 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 6% (YoY) จากครึ่งปีแรก 2566 ที่ 3,564 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท และมีกําไรสะสมตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าว ทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่นๆ ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ได้ในระยะยาว

ชาบูชิ (Shabushi) จัดเซอร์ไพรส์ เปิดโปรฯ สุดปัง Shabushi ALL-STAR SERIES #เสิร์ฟตัวท็อปเต็มสายพาน ยกขบวนวัตถุดิบชั้นยอดที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของนักกิน สายชาบู – ชาบู มาให้บริการเป็นพิเศษเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พลาดไม่ได้กับหนึ่งในเมนูตัวท็อป “เนื้อปลาแซลมอน” ชิ้นโต...เต็มปากเต็มคำ เสิร์ฟไม่อั้นบนสายพานแบบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และยังอร่อยได้เต็มที่กับน้ำซุปหลากสไตล์ เลือกได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็น ชาบู - ชาบูซุป น้ำซุปน้ำใส, คุโรซุป น้ำซุปน้ำดำ, หรือ น้ำซุปน้ำต้มยำ รสชาติจัดจ้าน พร้อมเมนูปกติอื่น ๆ อาทิ เนื้อเซอร์ลอยด์, เนื้อฮารามิ, หมูสไลซ์, เบคอน, กุ้ง, หมึก, และอีกมากมายล้นสายพาน ทั้งซูชิและอาหารรับประทานเล่นสไตล์ญี่ปุ่น รวมแล้วกว่า 80 รายการ ในราคาเริ่มต้นเพียงคนละ 399 บาท+* (รวมเครื่องดื่ม, ผลไม้, และ ไอศกรีม) ที่ ชาบูชิ ทุกสาขา ตั้งแต่ 8 – 31 สิงหาคม 2567 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

ติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย คลิกแฟนเพจ OISHI Restaurant Thailand : www.facebook.com/oishigroup หรือค้นหา ชาบูชิ สาขาใกล้ ๆ คุณ คลิกเว็บไซต์โออิชิฟู้ด : www.oishifood.com 


*หมายเหตุ : อัตราค่าบริการบุฟเฟต์ราคาเริ่มต้นอาจแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่/สาขา โดยสามารถตรวจสอบราคาเพิ่มเติมได้ที่ คลิก https://bit.ly/shabushi-buffet

สยามคูโบต้า โดยนายจูนจิ โอตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส และนายได วาตานาเบ้ Director and Executive Vice President คูโบต้าคอร์ปอเรชั่น ญี่ปุ่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในภาคการเกษตร กับ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนางจันทิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนของธุรกิจและภาคเกษตรกรรมไทย ผ่าน 3 โซลูชัน Green Energy ศึกษาการใช้เทคโนโลยีระดับสูงและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต Green Innovative Product พัฒนานวัตกรรมสินค้าและโซลูชันการทำเกษตร และ Green Farming พัฒนาโซลูชันการเพาะปลูกไปจนถึงการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรมไทยสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ เพิ่มการเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ตลอดจนลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้จาก Agri Waste เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาที่พักอาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดี พร้อมส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัย ‘Livable Living Experience’ ให้เป็นบ้านที่ ‘น่าอยู่’ สำหรับทุกคน ล่าสุด กวาดยอดขายจากแคมเปญใหญ่ ฉลองครบรอบ 35 ปี “ลดฟ้าฟาด” ไปกว่า 1,000 ล้าน ตอกย้ำความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพของสินค้า และบริการ ทั้งก่อน – หลังการขายอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งเดินหน้าสร้างยอดขายตามเป้าหมายปี 2567

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า “ปี 2567 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีความผันผวนจากหลากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ หนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นถึงระดับ 90 - 93% / ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ / นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม LPN ก็ยังคงต้องเดินหน้าตามกลยุทธ์ที่ต้องการสร้างความสมดุลในการเติบโตให้กับองค์กร (Rebalancing Business Growth) ในระยะยาว โดยในปี 2567 มุ่งไปในเรื่องการระบายสินค้าที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ มาแปลงเป็นมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าทั้งด้านสินค้า และบริการ โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price Strategy) เข้าแข่งขันเพื่อระบายสินค้าพร้อมอยู่ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม (Inventory) ที่มีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ปี 2567 LPN จะได้ยอดขายตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 11,000 ล้านบาท โดยเติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับยอดขายในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม เราได้จัดแคมเปญใหญ่ฉลองครบรอบ 35 ปี “ลดฟ้าฟาด” ซึ่งกวาดยอดขายไปกว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่ายอดขายดังกล่าวจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ภายในเดือนสิงหาคมนี้”

สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในทำเลศักยภาพ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษที่ไม่ควรพลาด จาก LPN ผ่านช่องทาง Facebook Page: LPN Connect หรือ LINE OA: @LPNdev หรือสอบถามเพิ่มเติม/นัด หมายเข้าเยี่ยมชมโครงการได้ที่ โทร. 02- 689 -6888 หรือ www.lpn.co.th  

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ “Transform to Innovate : Key Incentives for a Thriving Tech Economy” ร่วมกับนายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย และนายธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานกรรมการกำกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ดำเนินรายการโดยนายนภพัฒน์จักษ์ อัตตานนท์ บรรณาธิการบริหาร WorkpointToday ในงาน Techsauce Global Summit 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ผ่านมา

โอกาสนี้ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งยังมีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก เนื่องจากมากกว่า 99% ยังค้าขายในประเทศเป็นหลัก และ 2 ใน 3 ของ SMEs ไทยยังขาดทักษะและความพร้อมที่จะพัฒนากระบวนการทำงานที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลปรับปรุงกิจการให้แข่งขันได้ในระดับสากล จึงถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องเร่งส่งเสริมให้ SMEs ไทยเข้าไปอยู่ในวงจรการค้าระหว่างประเทศ มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยทางรอดคือ การ Go Green หรือ Go Digital เพื่อเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเดิม เช่น การท่องเที่ยวมูลค่าสูงและการเกษตรอัจฉริยะ หรือเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งนี้ EXIM BANK มีบริการครบวงจรเพื่อสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ไทยในการยกระดับกระบวนการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลก

เปิดเกมรุกตลาดใหญ่ “Sleep Economy เศรษฐกิจการนอน” เมกะเทรนด์มาแรงรับสังคม “นอนไม่ดี” สถิติคนไทย “นอนกรน” เสี่ยง “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” ภัยเงียบคุกคามคนไทยกว่า 3 ล้านคน

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ Green Insurer คว้าอันดับ 1 ในเอเชียอาคเนย์ 8 ปีซ้อน ด้านความรับผิดชอบต่อองค์กร (CR) จากการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนด้านความรับผิดชอบต่อองค์กรของกลุ่มแอกซ่า (AXA Sustainability Index 2022) ด้วยคะแนนสูงสุดในเอเชียถึง 78 คะแนน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ในฐานะผู้นำด้านบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม “Green Insurer” และเป็นการตอกย้ำจุดยืนของบริษัทฯ ในการสนับสนุนให้ทุกคนร่วมกันเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์ และความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ผ่านโครงการระยะยาวต่างๆ อาทิ โครงการปลูกป่า จำนวน 110,000 ต้นทั่วประเทศไทย จากการลดการใช้กระดาษจากทุกภาคส่วนทั้งพนักงาน ฝ่ายขาย รวมถึงการเลือกรับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกของลูกค้า ซึ่งสามารถสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 990,000 กิโลกรัม/ปี และโครงการ Save Our Sea ที่สนับสนุนการอนุบาลเต่าทะเล ปลูกป่าชายเลน และการให้ความรู้ด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลกับเยาวชนไทย พร้อมทั้งโครงการ Save Our River ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนเรือไฟฟ้า (EV boat) และติดตั้งถังขยะรีไซเคิล เพื่อช่วยการจัดการขยะจากต้นทางก่อนไหลลงสู่แม่น้ำ และทะเล  บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายในการช่วยลดขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 43 ตันต่อปีจากการจัดการขยะบนเรือ

โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตลอดมา พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป สำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมติดตามกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ของบริษัทฯ ได้ที่ https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers หรือ สอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ด้วยการเพิ่มโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุ ชิ้นส่วนด้านอากาศยาน และอวกาศ เพื่อเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ โดยการเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกอนาคต

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาลที่มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก และยังเป็น S-Curve ใหม่ ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต รวมทั้งเศรษฐกิจอวกาศยังเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีอวกาศ จึงช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลก และก้าวนำประเทศคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ามาสร้างโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจอวกาศให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยจะพัฒนาเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ และขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ในหลากหลายมิติ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเข้ามาเติมเต็มการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศอย่างยั่งยืนในอนาคต

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า หนึ่งในการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คือการมุ่งเน้นด้านการวิจัยและนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนเศรษฐกิจกระแสหลักของประเทศ โดย อว. ตั้งเป้าขยายผลการใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาต่อยอดการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม จึงให้ความสำคัญในการส่งเสริม การสร้างและสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน Startup SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเพื่อก้าวสู่ภารกิจด้านกิจการอวกาศของไทย โดยได้มอบหมายให้ GISTDA เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และเพื่อขยายระบบโครงสร้างอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ โดยหน่วยงานรัฐและเอกชนทุกภาคส่วนจะมีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเข้าสู่ Global Value Chain ด้านอวกาศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขานรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ด้วยการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ผ่านลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ กับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ โดยใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในมิติต่าง ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตโดยการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจอวกาศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลก พร้อมยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุและชิ้นส่วนด้านอากาศยานและอวกาศ สนับสนุนการเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาผู้ประกอบการร่วมกันแล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ อุปกรณ์ กลไกต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่อไปอีกด้วย

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวว่า GISTDA มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ด้วยการสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ซึ่งปัจจุบันได้นำมาประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น การลงนามครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ GISTDA จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและผลักดันการใช้ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน GISTDA ได้ตระหนักถึงความสำคัญและแนวโน้มของเศรษฐกิจอวกาศใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขพบว่าทั่วโลกมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 8.1 มูลค่าสูงราว 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกที่มีมูลค่าสูงกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากการศึกษาวิเคราะห์ของ GISTDA พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจที่ต่อยอดจากการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอวกาศ มากกว่า 35,600 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี จึงสะท้อนได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยได้อีกมากในอนาคต ดังนั้น GISTDA จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ บุคลากร ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ที่จะสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอวกาศสู่ภาคเอกชน ตลอดจนการดำเนินงานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างสรรค์ธุรกิจอุตสาหกรรมอวกาศใหม่ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศต่อไป ดร.ปกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024

โดยผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลกเผยว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม

  • ธุรกิจขนาดเล็ก และร้านค้ารายย่อยในกรุงปารีสมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 26% จากผู้ถือบัตรวีซ่าในช่วงสุดสัปดาห์แรกของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก
  • ยอดการใช้จ่ายในกรุงปารีสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงละคร และพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 159% ธุรกิจเครื่องอุปโภคบริโภค (อาหารและร้านขายของชำ) เพิ่มขึ้น 42% ร้านอาหารเพิ่มขึ้น 36% ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 21% และธุรกิจความบันเทิงต่างๆ เพิ่มขึ้น 18%
  • โดยชาวต่างชาติที่มีปริมาณการใช้จ่ายมากที่สุดมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา (29%) ในขณะที่สัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มมากสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 129%) และบราซิล (เพิ่มขึ้น 33%)
  • 78% ของการชำระเงินดิจิทัลจากบัตรที่มาจากต่างประเทศในกรุงปารีสเป็นการแตะเพื่อจ่าย (คอนแทคเลส) โดยเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ยอดจองเที่ยวบินไปกรุงปารีสก่อนโอลิมปิกเริ่ม สูงขึ้น 39% เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566[1]
  • จำนวนนักเดินทางไปยังกรุงปารีสที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เพิ่มขึ้นถึง 120% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน[2]
  • จำนวนนักเดินทางต่างชาติไปยังกรุงปารีสที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 64%) ตามด้วยนักเดินทางจากเยอรมนี (เพิ่มขึ้น 61%) และสเปน (เพิ่มขึ้น 27%)
  • การใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเมืองต่างๆ ที่มีจัดการแข่งขันกีฬานอกกรุงปารีส ได้แก่ แซ็งเตเตียน (Saint-Etienne) เพิ่มขึ้น 214%, ลีล (Lille) เพิ่มขึ้น 100%, และมาร์เซย์ (Marseille) เพิ่มขึ้น 38%

ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก

ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล

ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง

วีซ่า เปิดตัวแอป Visa Go เพื่อเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมการแข่งขันและนักท่องเที่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในช่วงการจัดการแข่งขัน โดยผู้มาเยือนสามารถดาวน์โหลดแอป Visa Go ได้ที่ https://go.paris.visa.com/home


[1] ตัวเลขรวมถึงเที่ยวบินไปกรุงปารีส ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 (เทียบกับปีก่อน) และอย่างน้อย 45 วันก่อนการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์

[2] ผู้ถือบัตรวีซ่าของสหรัฐอเมริกา

X

Right Click

No right click