December 16, 2025

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดบ้านจัดกิจกรรม 7 Kids Club ประจำเดือนสิงหาคม  ต้อนรับน้อง ๆ โรงเรียนอนุบาลบ้านครู กว่า 40 คน  ตะลุยร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น จำลองขนาดจิ๋ว เสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ความสุข ความสนุกสนานอย่างเต็มอิ่ม และพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์กับกิจกรรมพิเศษต้อนรับวันแม่  ชวนเด็กๆ รังสรรค์ของขวัญคิ้วท์ๆ บอกรักแม่ฉบับเซเว่น  ณ ธาราพาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี

ภายในงาน นายอำพา ยงพิศาลภพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด บริษัทในกลุ่มซีพี ออลล์ พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงานให้การต้อนรับคณะครูและน้องๆ จากโรงเรียนอนุบาลบ้านครูอย่างอบอุ่น ถือเป็นภาพบรรยากาศที่น่ารักสดใสและเปี่ยมด้วยความสุขของทุก ๆ คน

สิ่งที่เด็กๆ ได้มาสัมผัสและร่วมสนุกไปกับกิจกรรม 7 Kids Club ประกอบด้วย ฐาน 7 Kids Club: เซเว่น อีเลฟเว่นจำลอง ที่ให้เด็ก ๆ ทุกคนได้สวมบทบาทเป็นพนักงานเซเว่นฯ สุดน่ารัก  อาทิ พนักงานแคชเชียร์, พนักงานเติมสินค้า, พนักงานชง All Café, พนักงาน Chef,  พนักงาน Delivery โดยในกิจกรรมมีพี่เลี้ยงคอยดูแลและมอบประสบการณ์ที่สนุกสนานอย่างใกล้ชิด  ฐาน 7 Art: พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์กับกิจกรรมพิเศษต้อนรับวันแม่  ชวนเด็กๆ รังสรรค์ของขวัญคิ้วท์ๆ บอกรักแม่ฉบับเซเว่น พร้อมทั้งได้เสริมสร้างทักษะศิลปะด้วยกิจกรรม “หน้ากากแห่งความฝัน” ให้เด็ก ๆ สร้างหน้ากากไว้สวมใส่ด้วยการปั้นดินเบาเรืองแสงตามจินตนาการ

ซีพี ออลล์ดำเนินธุรกิจตามปณิธานองค์กร Giving and Sharing  มุ่งมั่นเคียงคู่ชุมชน สร้างสรรค์สังคมยั่งยืน สร้างชุมชนอุ่นใจ สำหรับกิจกรรม “ซีพี ออลล์ เปิดบ้านชวนน้องตะลุย 7 Kids Club” จะจัดขึ้นทุกเดือนตลอดทั้งปีเพื่อให้เด็ก ๆ อนุบาลถึงประถมต้นที่สนใจได้มาทำกิจกรรม เสริมความสุข สนุก และสร้างแรงบันดาลใจไปกับพี่ๆ ผู้บริหาร พนักงานซีพี ออลล์-เซเว่น ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาดูแลน้องๆ ทุกคน

เดินหน้าสร้างโอกาสจากปัญญาประดิษฐ์ ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ส่งเสริมคนไทยให้มีสุขภาพดี ด้วยเชื่อว่า การมีสุขภาพที่ดี คือ ความมั่งคั่งที่แท้จริง ตามแนวคิด ‘Health is Wealth’ ผ่านแคมเปญ “STEP UP, START NOW : สุขภาพดีกว่าเดิม แค่เริ่มไปด้วยกัน” เดินหน้าสนับสนุนงานวิ่ง ซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง สนามที่ 2  ของปีนี้ชวนเหล่านักวิ่ง มาวิ่ง ฟิน กิน เที่ยว ระยองฮิ!! บนเส้นทางเลียบชายหาดแหลมเจริญ หาดแสงจันทร์ และหาดสุชาดา ส่งเสริมคนไทยท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ตอบรับเทรนด์ Eco Sport Tourism ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “กิจกรรมซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง ถือเป็นงานวิ่งสนามที่ 2 ของปีนี้ ที่ พรูเด็นเชียลฯ ให้การสนับสนุนและเชิญชวนคนไทยมามีสุขภาพที่ดีไปด้วยกัน เพราะเราเชื่อว่า การมีสุขภาพที่ดี จะเป็นรากฐานของความมั่นคงในชีวิต เราจึงสานต่อแคมเปญ “STEP UP, START NOW : สุขภาพดีกว่าเดิม แค่เริ่มไปด้วยกัน” ซึ่งเปิดตัวไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้เราได้เริ่มต้นสนามแรกกันไปกับงานแรก “SCENIC HALF MARATHON CHANTHABURI 2024” ซึ่งมีเหล่านักวิ่งให้ความสนใจและร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก”

“พรูเด็นเชียล ประเทศไทย สนับสนุนงานวิ่งชั้นนำระดับประเทศอย่าง ซีนิคมาราธอนซีรีย์ (Scenic Marathon Series) ในสนาม 5 แลนด์มาร์ก 4 จังหวัดท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ด้วยมุ่งหวังว่า อยากส่งเสริมให้คนไทยและสมาชิกในครอบครัว มีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม พร้อมสอดแทรกแนวคิดเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติควบคู่ไปด้วย ตอบรับเทรนด์ Eco Sport Tourism ที่กำลังมาแรงในตอนนี้  ภายใต้การจัดกิจกรรมที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล” นายบัณฑิต กล่าวเสริม

สำหรับงาน “ซีนิคมาราธอนซีรีย์” (Scenic Marathon Series)  เป็นรายการวิ่งภายใต้มาตรฐานสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ และ World Athletics ซึ่งจะจัดขึ้นใน 5 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ 4 จังหวัดในประเทศไทยต่อเนื่องตลอดปี ได้แก่ จันทบุรี ระยอง กระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ ในรูปแบบ Eco-sport Tourism ที่นอกจากจะส่งเสริมเรื่องสุขภาพแล้ว ยังส่งเสริมการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น พร้อมทั้งสอดแทรกแนวคิดเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม​ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังได้นำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทั้งเติมความสนุกสนานและสนับสนุนสุขภาพมากมายมาร่วมภายในงาน “ซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง” อาทิ อุโมงค์น้ำโฉมใหม่ ซึ่งครั้งนี้ไซส์ใหญ่กว่าเดิมสองเท่า, บูธถ่ายรูป, กองเชียร์, โซนแช่เท้าสำหรับนักวิ่ง และของพรีเมียมที่ระลึก พร้อมมอบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฟรี! คุ้มครองนักวิ่งสูงสุดถึง 100,000 บาท เพื่อให้ความคุ้มครองและสร้างความอุ่นใจให้นักวิ่งภายในงาน รวมทั้งนำเสนอแผนการดูแลสุขภาพในราคาพิเศษให้ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ร่วมต้อนรับเดือนแห่งวันแม่ด้วยการสนับสนุนให้ผู้หญิงรู้เท่าทันและพร้อมรับมือกับโรคร้ายผ่านการตรวจสุขภาพในแคมเปญ HAPPY MOTHER’S DAY 2024” เพื่อมอบสุขภาพดีเป็นของขวัญให้คุณแม่ทุกช่วงวัย โดยจัดทำโปรแกรมตรวจสุขภาพราคาโปรโมชัน

  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Healthy Life (สำหรับคุณแม่อายุ 20 – 30 ปี) ราคา 4,900 บาท
  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Better Life (สำหรับคุณแม่อายุ 40 – 50 ปี) ราคา 8,900 บาท
  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Premium Life (สำหรับคุณแม่อายุ 50 ปีขึ้นไป) ราคา 15,900 บาท

นอกจากนี้ เมื่อซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพ ยังสามารถรับสิทธิ์แลกซื้อรายการตรวจเพิ่มเติมในราคาประหยัด อาทิ

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ราคา 590 บาท (จากปกติ 1,300 บาท)
  • วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ราคา 990 บาท (จากปกติ 1,700 บาท)
  • วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ราคา 1,500 บาท (จากปกติ 3 เข็ม 7,900 บาท)
  • วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม ราคา 2,990 บาท (จากปกติ 3,800 บาท)
  • ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกเพื่อค้นหาภาวะกระดูกพรุน ราคา 2,200 บาท (จากปกติ 5,200 บาท)
  • ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (HPV DNA) ราคา 2,790 บาท (จากปกติ 3,600 บาท)
  • ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน ราคา 1,990 บาท (จากปกติ 6,500 บาท)
  • ตรวจแคลเซียมและหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจ ราคา 1,990 บาท (จากปกติ 8,000 บาท)
  • ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ราคา 2,490 บาท (จากปกติ 8,500 บาท)
  • ฟอกสีฟัน ราคา 15,000 บาท (จากปกติ 18,000 บาท)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพและรับสิทธิ์แลกซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2567 และสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2567 รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก www.theptarin.com

นายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานเปิดงานสัมมนาธุรกิจโซลาร์เซลล์ “Healing the Future with MEA” สำหรับลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาลภาครัฐ จากกรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ปทุมธานี และหน่วยงานต้นสังกัด ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาในวันนี้ จำนวนกว่า 130 คน มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพลังงาน และพลังงานทดแทน ตลอดจนความสำคัญของงานบริการต่าง ๆ ของ MEA ที่พร้อมดูแลระบบไฟฟ้าให้เพียงพอ มั่นคง และมีเสถียรภาพ ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 5 โรงแรม ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพมหานคร 

รองผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้า มุ่งขับเคลื่อนพลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร โดยให้ความสำคัญกับการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคง และปลอดภัย ตลอดจนมีความพร้อมในการขับเคลื่อนองค์กรตามแผนงานด้านพลังงานของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดงานสัมมนา Healing the Future with MEA โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสนับสนุน แนวทางการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก เพื่อการบริหารจัดการพลังงาน การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตลอดจนเพื่อให้ความรู้ในด้านการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนติดตั้ง Solar System ในรูปแบบ Solar Rooftop Solar Carport และ Floating Solar  แนวทางการเชื่อมต่อ Solar System เข้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ MEA รวมถึงความรู้ด้านความปลอดภัย และการดูแลบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าภายในโรงพยาบาล ซึ่งมีการให้บริการครอบคลุมดูแลเรื่องการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าตามหลักวิชาการ ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตั้งแต่เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าจนถึงระบบไฟฟ้าภายใน โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมบริการให้คำปรึกษา หรือแก้ไขระบบไฟฟ้าขัดข้องตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งยังเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนา เพื่อยกระดับความพึงพอใจ และมาตรฐานการให้บริการด้านระบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นของ MEA

ทั้งนี้ลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล หรือหน่วยงานราชการอื่นที่สนใจบริการ MEA อาทิ บริการติดตั้ง Solar System บริการดูแลตรวจสอบระบบไฟฟ้า และธุรกิจ EV Charger พร้อมให้คำปรึกษาเบื้องต้น โดยสามารถติดต่อขอใช้บริการได้ที่ ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง ผ่านทาง MEA Call Center 1130 หรือสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียทางการต่าง ๆ ของ MEA ได้ที่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เตรียมผู้นำในยุคระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์

ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศจีนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและธุรกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การทำธุรกิจและการสื่อสารกับชาวจีนได้กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเรียนรู้ภาษาจีนจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ทั้งในด้านการค้า การศึกษา และการใช้ชีวิตประจำวัน

ที่มาของการจัดตั้งโรงเรียน

ดร. อรภัค สุวรรณภักดี อดีตนักวิชาการด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และนักเขียนชื่อดังด้าน Social Media มองเห็นถึงความสำคัญของภาษาจีนในโลกยุคปัจจุบัน ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสอนและการตลาดออนไลน์ ท่านได้ตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนฝานหรง ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนออนไลน์แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะภาษาจีนให้กับคนรุ่นใหม่

อาจารย์ ดร. อรภัค สุวรรณภักดี เดิมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และได้เรียนภาษาจีนเป็นเวลาหลายปี ได้เล็งเห็นแล้วว่าภาษาจีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกยุคปัจจุบัน และสำคัญต่อประเทศไทย และมีความสนใจที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้คนเข้าใจถึงภาษาจีนได้มากขึ้น จึงโดยเปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนออนไลน์

ในความเห็นของอาจารย์ ดร. อรภัค มองว่าในโลกยุคปัจจุบันสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตคนคือเทคโนโลยีและภาษา แม้ว่าในโลกปัจจุบันเครื่องแปลจะสามารถแปลภาษาได้เยอะมากแต่ไม่สามารถที่จะแปลในเรื่องของวัฒนธรรมได้ การใช้ภาษาจึงมีความสำคัญมากกับการเข้าใจถึงวัฒนธรรม จึงได้ต้องการนำชาวจีนที่อยู่ในประเทศจีนเข้ามาสอนคนไทยด้วยการใช้เทคโนโลยี platform ในการสอน

เป้าหมายของการจัดตั้งโรงเรียน

โรงเรียนฝานหรงมุ่งมั่นที่จะช่วยแก้ปัญหาการใช้ภาษาจีนที่คนไทยส่วนใหญ่ประสบ เช่น การอ่านออกเสียงไม่ชัดเจน และการไม่เข้าใจวัฒนธรรมจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ภาษาจีนเป็นภาษาสำคัญอันดับสองของโลกรองจากภาษาอังกฤษ โรงเรียนฝานหรงจึงถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ชาวไทยได้เรียนรู้และใช้ภาษาจีนอย่างมืออาชีพ

ปัญหาของการเรียนภาษาจีนและการแก้ไข:

- การอ่านออกเสียงภาษาจีนไม่ชัดเจน

- การพูดภาษาจีนไม่คล่องแคล่ว

- การสอบ HSK ไม่ผ่าน

- การใช้ภาษาจีนในธุรกิจไม่สำเร็จ

- หลักสูตรที่ไม่ตอบโจทย์กับอาชีพ

หลักสูตรของโรงเรียนฝานหรง

โรงเรียนของเรามีหลักสูตรหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียนทุกกลุ่ม:

- หลักสูตรภาษาจีนเพื่อธุรกิจ: สำหรับนักธุรกิจที่ต้องการพัฒนาทักษะการสื่อสารในสถานการณ์ธุรกิจจริง เพิ่มโอกาสและความมั่นใจในการติดต่อกับคู่ค้าชาวจีน

- หลักสูตรติวสอบ HSK: เตรียมความพร้อมในการสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน (HSK) ช่วยให้นักเรียนสามารถทำคะแนนได้สูงและมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาจากประเทศจีน

- หลักสูตรสนทนาภาษาจีน: พัฒนาทักษะการพูดและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน

- หลักสูตรที่ปรับแต่งตามอาชีพ: หลักสูตรที่ออกแบบเฉพาะสำหรับแต่ละอาชีพ ช่วยให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาจีนในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- หลักสูตรสำหรับประถมและมัธยม: หนังสือที่ใช้เรียนนั้นสามารถเลือกเรียนได้หลายชนิดตามตำราของจีนและสิงคโปร์

ข้อแตกต่างของโรงเรียนฝานหรง

- ครูผู้สอนผู้เชี่ยวชาญ: ครูส่วนมากของเราเป็นครูชาวจีนที่มาจากประเทศจีนโดยตรงและเป็นผู้ที่เข้าใจถึงวัฒนธรรมจีนในยุคปัจจุบันและการใช้ภาษาจีนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

- ก่อตั้งจากครูชาวจีนประมาณ 15 คน: โรงเรียนฝานหรงเริ่มก่อตั้งจากครูชาวจีนประมาณ 15 คนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสอนภาษาจีน

ทำไมควรเลือกโรงเรียนฝานหรง?

- หลักสูตรที่เน้นธุรกิจ: เรามีหลักสูตรที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับนักธุรกิจ ครอบคลุมคำศัพท์และสถานการณ์ที่พบได้บ่อยในโลกธุรกิจ ช่วยให้ท่านสามารถเจรจา ติดต่อสื่อสาร และทำข้อตกลงได้อย่างมั่นใจ

อย่าล้าสมัย! ในเวลานี้ ถ้าคุณอยู่ในประเทศไทยแล้วไม่เรียนภาษาจีน คุณอาจพลาดโอกาสสำคัญ เพราะประเทศจีนมีอิทธิพลมากมายต่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศไทย เรียนภาษาจีนกับโรงเรียนฝานหรงจะช่วยให้ท่านได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง

ฝานหรง แปลว่า 'เจริญรุ่งเรือง' โรงเรียนฝานหรงมุ่งหมายที่จะพัฒนาเด็กให้มีความเจริญรุ่งเรือง โดยที่เมื่อเด็กเจริญรุ่งเรืองแล้ว โรงเรียนก็จะเจริญรุ่งเรืองไปด้วย

โรงเรียนฝานหรงขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมพัฒนาทักษะภาษาจีนกับเรา ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่สำคัญที่สุดในการติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจในประเทศจีนและทั่วโลก

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมและสมัครเรียนได้ที่:

- Line: @fanronglanguage

- Facebook: @fanronglanguage

- อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

        

ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2567 มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 7.3%1 โดยมียอดขายมูลค่า 2.212 หมื่นล้านยูโร การเติบโตมีความสมดุลระหว่างมูลค่าและปริมาณ ด้วยการผสมผสานระหว่างการวิจัยและนวัตกรรมอันทรงพลังกับความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วยให้บริษัทฯ สามารถนำเสนอนวัตกรรมที่ล้ำยุคให้กับผู้บริโภค และตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในตลาดความงามของโลกที่ยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า “แรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของเราในตลาดเกิดใหม่ ยุโรป และอเมริกาเหนือ ช่วยทดแทนตลาดที่ซบเซาในจีน และสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยในธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดภาษีเพื่อการท่องเที่ยว เราเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง พลวัตที่ไม่เคยหยุดนิ่งของแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ตลอดจนการเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการโฆษณาเพื่อโปรโมทนวัตกรรมใหม่และแบรนด์ทั้ง 37 แบรนด์ของเรา เป็นแรงหนุนให้ลอรีอัล กรุ๊ป สามารถก้าวข้ามตลาดความงามระดับโลกได้อีกครั้ง

ในสภาพแวดล้อมที่ยังคงถูกกำหนดโดยความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ เรายังคงเห็นแนวโน้มที่ดีของตลาดความงาม และมั่นใจว่าพลังแห่งนวัตกรรมและความแข็งแกร่งของโมเดลแบบหลายขั้วของเราจะทำให้เราสามารถเอาชนะทุกความท้าทายและบรรลุเป้าหมายในการเติบได้ในปีนี้”

ผลการดำเนินงานตามแผนก

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโตขึ้น 5.7%1 ด้วยกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์หลากหลายช่องทาง (Omnichannel) การขยายตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งในอีคอมเมิร์ซ และการจัดจำหน่ายแบบคัดสรร การเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่คึกคักนี้ ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่: เคเรสตาส พรีเมียร์ (Kérastase Première) และ ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล (L’Oréal Professionnel) แอบโซลู รีแพร์ โมเลกุลาร์ (Absolut Repair Molecular)

แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค เติบโตขึ้น 8.9%1 ผลประกอบการครึ่งปีแรกตอกย้ำกลยุทธ์การทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงได้สำหรับทุกคน และกลยุทธ์ในการสร้างความพรีเมียมของแผนก แบรนด์หลักๆ ล้วนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีแบรนด์ความงามอันดับหนึ่งของโลกอย่าง ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับสองหลัก

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโตขึ้น 2.3%1 โดยมีการเติบโตแข็งแกร่งในยุโรป และขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลักในอเมริกาเหนือ รวมถึงในตลาดเกิดใหม่ โดยรวมแล้ว น้ำหอมยังคงเป็นหมวดหมู่ที่คึกคักที่สุด แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังเติบโตเหนือกว่าตลาดในทุกภูมิภาค ด้วยผลงานของแบรนด์กูตูร์ การฟื้นตัวของเมคอัพยังคงดำเนินต่อไป ด้วยแรงหนุนจากนวัตกรรมอันทรงพลังโดยอีฟ แซงต์ โลร็องต์ (Yves Saint Laurent) และอาร์มานี่ (Armani)

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโตขึ้น 16.4%1 โดยยังคงรักษาจังหวะการเติบโตแข็งแกร่งได้อย่างยอดเยี่ยม และเติบโตเหนือกว่าตลาดเวชสำอางซึ่งยังคงคึกตักต่อเนื่องแม้ว่าจะเผชิญกับภาวะการชะลอตัวลงในตลาดอเมริกา ลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ยังคงเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้สูงสุดให้กับแผนก อันเป็นผลมาจากความสำเร็จของนวัตกรรมล้ำยุคอย่าง “เมลา บี3” (MelaB3)  ซึ่งจัดการกับปัญหาเม็ดสีผิวเฉพาะจุดโดยใช้ Melasyl™ นวัตกรรมส่วนผสมสิทธิบัตรล่าสุดจากลอรีอัล กรุ๊ป

ผลการดำเนินงานของภูมิภาค  SAPMENA–SSA เติบโตขึ้น 15.2%

ในเอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาใต้ตอนใต้ ซึ่งประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในภูมิภาคนี้ มีการเติบโตครอบคลุมทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์และแผนก และทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า โดยในส่วนของมูลค่านั้น ได้รับแรงหนุนจากการผสมผสานระหว่างส่วนผสมและราคาอย่างสมดุล ประเทศที่ทำรายได้หลักๆ ได้แก่ กลุ่มออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์  ไทย ซาอุดีอาระเบีย และอินเดีย

แผนกเวชสำอางมีผลงานโดดเด่นที่สุด ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเซราวี เช่นเดียวกับแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ที่ขับเคลื่อนโดยลอรีอัล ปารีส และการ์นิเย่ เช่นเดียวกับแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง ที่มี YSL Beauty เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม น้ำหอมยังคงเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุด ด้วยแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเติบโตแข็งแกร่งจากความสำเร็จของแผนกเวชสำอางและแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้รับแรงหนุนจากการสร้างความพรีเมียมทั้งในกลุ่มผู้บริโภคและช่างผมมืออาชีพ

ดูรายงานผลประกอบการได้ที่ www.loreal-finance.com

ผลงานด้านงานวิจัย เทคโนโลยีความงาม และดิจิทัล

  • แผนกวิจัยและนวัตกรรม ลอรีอัล กรุ๊ป ร่วมกับมหาวิทยาลัยออริกอน ประสบความสำเร็จในการพัฒนาต้นแบบการพิมพ์ผิวหนังชีวภาพที่เลียนแบบผิวหนังมนุษย์เป็นครั้งแรก ผลลัพธ์จากนวัตกรรมสร้างผิวหนังนี้ช่วยให้สามารถสร้างโครงสร้างที่เหมือนผิวหนังได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของลอรีอัล กรุ๊ป ด้านนวัตกรรมและความงามที่ไม่ทดลองกับสัตว์
  • ลอรีอัล กรุ๊ปได้จัดแสดงนวัตกรรมความงามมากมายที่งานวีว่า เทคโนโลยี ในกรุงปารีส อาทิ เทคโนโลยีเพื่อการบำรุงผิวหน้า Renergie Nano-Surfacer|400 Booster จากลังโคม, เครื่องวิเคราะห์ผิว Derma-Reader จากคีลส์, เครื่องวิเคราะห์สุขภาพเส้นผม My Hair [iD] - Hair Reader จากลอรีอัล โปรเฟสชันแนล, ผู้ช่วยความงามส่วนตัว Beauty Genius จากลอรีอัล ปารีส และ CREAITECH เครื่องมือสำหรับผลิตคอนเทนต์ความงามด้วย Gen AI
  • งาน Cannes Lions International Festival of Creativity 2024 มอบรางวัลกรังด์ปรีซ์ สาขาการตลาดสื่อสังคมออนไลน์และอินฟลูเอนเซอร์ ให้กับเซราวี พร้อมกับรางวัลคานส์ ไลออนส์ อีกเก้ารางวัล ทำให้เซราวีเป็นหนึ่งใน 10 แบรนด์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในงาน

ผลงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

  • มูดี้ส์ ได้ให้คะแนนการประเมินด้าน ESG แก่ลอรีอัล กรุ๊ป 74 คะแนนจาก 100 คะแนน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรมความงามอย่างมาก คะแนนดังกล่าวตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนของลอรีอัล กรุ๊ปไปสู่รูปแบบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและครอบคลุมมากขึ้น ด้วยการตั้งเป้าการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ท้าทาย
  • ลอรีอัล กรุ๊ปได้รับรางวัล RoSPA (ราชสมาคมเพื่อการป้องกันอุบัติเหตุ) รวม 69 รางวัล จากไซต์งาน 70 แห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ด้านสุขภาพและความปลอดภัย
  • เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโปรแกรม L’Oréal for the Future บริษัทฯ ได้นำ EcoDesignCloud ของ Eviden มาใช้ สำหรับวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสื่อ ณ จุดขายและสื่อส่งเสริมการขาย
  • มูลนิธิลอรีอัลและยูเนสโกประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลทุนวิจัย ลอรีอัล-ยูเนสโก เพื่อสตรีในด้านวิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติครั้งที่ 26 เพื่อเป็นเกียรติแก่ผลงานวิจัยบุกเบิกด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม นับตั้งแต่มีการก่อตั้งโครงการนี้ ผู้ได้รับรางวัลทุนวิจัยสตรี 7 คนจาก 132 คน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวิทยาศาสตร์

 

ด้วยความเชื่อที่ว่า “ต้นทางดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี” และเล็งเห็นว่า พนักงาน คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กรและเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย EGCO Group จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพ เป็นทั้งคนเก่ง คนดี และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม และมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยสร้าง “Happy Workplace” พัฒนาพนักงานให้มีศักยภาพและมีความสุขในการทำงาน

นางนันทกา โมกขาว ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องตามค่านิยมหลัก (Core Values) ของ EGCO  Group คือ 'T-R-I-E-S'  ได้แก่ Teamwork ทำงานเป็นทีม Result-Oriented มุ่งผลสำเร็จของงาน Innovation คิดเชิงนวัตกรรม Ethics & Integrity ซื่อสัตย์ โปร่งใส และ Stakeholder Concerns ใส่ใจผู้มีส่วนได้เสีย ควบคู่ไปกับการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ  มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม โดยได้เสริมสร้างรูปแบบการทำงานและส่งเสริมสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับการใช้ชีวิตของพนักงานในสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม อาทิ

  • กระตุ้นและส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อมสนับสนุนทุกการริเริ่มขับเคลื่อนสิ่งใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น เช่น โครงการประกวดนวัตกรรม EGCO Group INNERGY ซึ่งเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้เสนอและประชันไอเดียนวัตกรรม พัฒนาองค์กรให้เติบโตก้าวหน้า พร้อมสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจใหม่
  • สนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ด้วยการเคารพในความแตกต่าง ไม่แบ่งแยก ไม่เลือกปฏิบัติ ควบคู่กับการดูแลด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน
  • ส่งเสริมให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ด้วยการ Re-skill และ Up-skill ผ่าน E-Learning Platform และการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมทั้งส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในองค์กรผ่านกิจกรรม Knowledge Sharing

  • ดูแลพนักงานให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี และมีประกันสุขภาพกลุ่มที่ครอบคลุม รวมทั้งมีบริการฟิตเนสภายในออฟฟิศ โดยมีอุปกรณ์ครบครัน หรือเลือกออกกำลังกายในแบบตัวเองได้ที่ศูนย์ฟิตเนสภายนอกออฟฟิศ พร้อมเทรนเนอร์ให้คำปรึกษา
  • ดูแลสุขภาพใจของพนักงานร่วมกับ iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต จัดให้มีจิตแพทย์คอยให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว พนักงานสามารถโทรปรึกษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีการรายงานชื่อหรือหน่วยงานให้ทางบริษัทฯ ทราบ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่บันทึกเวลาเข้า-ออกทำงาน และสามารถ ‘Work from Anywhere’ ได้ 1 วันต่อสัปดาห์

  • เพิ่มความสุขในการทำงาน โดยจัดให้มี Co-working Space พื้นที่ส่วนกลางในบรรยากาศสบาย ๆ สำหรับให้พนักงานได้นัดพูดคุยเรื่องงาน พบปะสังสรรค์ หรือพักผ่อนหย่อนใจ โดยมีกิจกรรมให้เลือกมากมาย เช่น เล่นเกม ดูหนัง นวดผ่อนคลาย อ่านหนังสือ เป็นต้น

  • สนับสนุนการร่วมกิจกรรมเพื่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ด้านพลังงานในเยาวชนผ่าน “ศูนย์เรียนรู้โรงไฟฟ้าขนอม” การร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติผ่านการดำเนินงานของ “มูลนิธิไทยรักษ์ป่า” โครงการ Khanom Model ปลูกผักอินทรีย์ปลอดสารพิษเพื่อส่งมอบให้ชุมชน โครงการเยี่ยมผู้สูงอายุและคนพิการในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโก กิจกรรมจิตอาสาพี่เลี้ยงค่ายเยาวชนเอ็กโกไทยรักษ์ป่า เป็นต้น

EGCO Group ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ไม่มุ่งเพียงผลประโยชน์หรือผลกำไรสูงสุดเป็นหลักเท่านั้น แต่คำนึงถึงความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยดำเนินธุรกิจควบคู่ไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม (ESG) และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย รวมถึงพนักงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน EGCO Group ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไป” นางนันทกากล่าว

X

Right Click

No right click