December 05, 2025

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “ในปี 2568 บริษัทมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารอยู่ที่ 714,755 ล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปี และสูงกว่าอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทและมีการเติบโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าอุตสาหกรรม 6% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม” (ข้อมูล ณ ก.ย. 68)

“กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กองทุนกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้–สะสมมูลค่า (KFSMART-A) มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 35,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้–สะสมมูลค่า (KFAFIX-A) ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 39,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง”

“นอกจากนี้ ในปี 2568 บลจ.กรุงศรี ยังได้รับรางวัลจากสถาบันชั้นนำระดับสากลรวมทั้งสิ้น 13 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลจากสถาบันในประเทศ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลจากสถาบันต่างประเทศอีก 8 รางวัล ครอบคลุมทั้งรางวัลบริษัทจัดการกองทุนรวมดีเด่น รางวัลการบริหารกองทุนตราสารหนี้ และรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมประเภทต่างๆ สะท้อนถึงศักยภาพ ความเป็นมืออาชีพ และความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบริษัท” (ข้อมูล ณ พ.ย. 68)

“สำหรับแผนธุรกิจปี 2569 บริษัทยังคงมุ่งพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาวะตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของกองทุนสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนรายใหญ่ พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งยกระดับประสบการณ์ใช้งานผ่าน @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง”

“ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 2569 นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลายประเด็นมีความชัดเจน เช่น การผ่อนคลายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจประเทศหลักจะฟื้นตัวแตกต่างกัน แต่ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางขยายตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อใกล้ระดับเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคและปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่าจ้างและนโยบายของรัฐบาลใหม่”

“ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวจากทิศทางการลดดอกเบี้ย ซึ่งเหมาะกับการทยอยลงทุนของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกมาจากการเติบโตของเทคโนโลยีและ AI รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการยุติการลดขนาดงบดุลของเฟด (QT) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโลก แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการเมืองฝรั่งเศสที่อาจนำไปสู่วิกฤติในยุโรป และการแทนที่แรงงานด้วย AI ที่ส่งผลต่อการว่างงาน”

“ธีมการลงทุนเด่นในปี 2569 ได้แก่ หุ้นกลุ่ม AI, หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนด้าน AI และการลดภาษี, หุ้น Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่แพง, และหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว กองทุนเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ KFGDIV, KFHEALTH, และ KFCHINA-T10PLUS ซึ่งคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกลุ่มเติบโตสูง และได้แรงหนุนจากทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปี 2569”

“เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออกที่ปรับตัวดี และภาคการผลิตที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าคาด แม้ยังมีปัจจัยต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความล่าช้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจเทคโนโลยี ด้านตลาดหุ้นไทยปี 2569 ยังคงน่าสนใจจากระดับราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบภูมิภาค และอัตราเงินปันผลมากกว่า 4% ต่อปี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ออกมาดี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ผลประกอบการเด่น กองทุนหุ้นไทยแนะนำ ได้แก่ KFENS50 และ KFTSTAR”

“บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยประเมินว่าเฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ประกอบกับเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำและอาจติดลบในปี 2568 จึงมีโอกาสที่ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1–2 ครั้งสู่ระดับ 1.00–1.25% ภายในครึ่งแรกของปี 2569 กองทุนตราสารหนี้ที่น่าสนใจ ได้แก่ KFSMART-A และ KFAFIX-A ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงน่าสนใจ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้คุณภาพสูง โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำคือ KF-CSINCOME ที่กระจายการลงทุนทั่วโลกได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับสภาวะตลาดที่ยังผันผวน”

“โดยสรุปการจัดพอร์ตปี 2569 บลจ.กรุงศรี แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงที่สุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนทองคำควรมีสัดส่วน 5–10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ในระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนำการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว” นายศิระ กล่าว

BYD ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของทีมชาติไทย เดินหน้าสานต่อพันธกิจ “ชาร์จพลังฟุตบอลไทย” ต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมมือกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดโครงการ “AFC ‘B’ Coaching Certificate Course by BYD” หลักสูตรพัฒนาโค้ชฟุตบอลระดับ B License โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับโค้ชจำนวน 24 คนจากทั่วประเทศ

โครงการนี้มุ่งสร้างเครือข่ายโค้ชคุณภาพ เพื่อยกระดับศักยภาพบุคลากรในลีกระดับ T2 และ T3 ให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานสากล พร้อมต่อยอดสู่การพัฒนานักฟุตบอลไทยในอนาคต นอกจากสนับสนุนในด้านเทคนิคแล้ว BYD ยังตั้งเป้าเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนของวงการฟุตบอลไทย ด้วยแนวคิด “Charge the Power of Thai Football” ที่เชื่อว่า “พลัง” ไม่ได้มาจากเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังมาจาก
“คน” ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนา

โอกาสสำคัญในการยกระดับมาตรฐานโค้ชไทยสู่สากล จำนวนจำกัดเพียง 24 คนเท่านั้น (ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ผ่านการคัดเลือก) โดยแบ่งการคัดเลือกจากสโมสรในไทยลีก 3 ทั่วประเทศ เป็นจำนวน 6 โซน โซนละ 4 คน

คุณสมบัติผู้สมัคร

  1. ผู้ฝึกสอน สัญชาติไทย (เท่านั้น)
  2. สำหรับผู้ฝึกสอนนักฟุตบอล หรือ อดีตนักฟุตบอล (ที่ทำทีมรุ่นอายุ 16–21 ปี)
  3. ผ่านการอบรมผู้ฝึกสอนระดับ C Coaching Certificate และมีประกาศนียบัตรรับรองโดย AFC
  4. มีประสบการณ์ฝึกสอนอย่างน้อย 1 ปี และยังคงทำหน้าที่ฝึกสอนอยู่ในปัจจุบัน
  5. มี Log Book ในช่วง 1 ปี หลังจบการอบรมระดับ C Coaching Certificate
  6. สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าอบรม รวมไปถึงสามารถลงเป็นผู้เล่นได้ในการปฏิบัติ (ภาคสนาม)
  7. เข้าอบรมได้ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดในกรอบเวลาที่ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนด
  8. มีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการอบรมที่ดี ให้เกียรติ มุ่งมั่น ใฝ่เรียนรู้
  9. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอล
  10. มีความสามารถในการสอนฟุตบอลในระดับรากหญ้า / เยาวชน / ทีมสมัครเล่น
  11. มีความสามารถในการอ่านและเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้
  12. เป็นผู้มีพฤติกรรม จริยธรรมที่ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม (ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)

Additional Documents (แจ้งส่งเป็นไฟล์ PDF เท่านั้น)

  1. บัตรประชาชน
  2. Log Book ระยะเวลาย้อนหลัง 3 เดือน (ในสถานการณ์ทำงานย้อนหลังจริงก่อนถึงวันสมัคร)
  3. ประวัติส่วนตัว
  4. หนังสือรับรองจากต้นสังกัด
  5. ใบ CERTIFICATE C Diploma
  6. ใบ CERTIFICATE ด้านอื่นๆ
  7. ใบรับรองแพทย์และอาการบาดเจ็บที่มีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือนนับจากวันสมัครเรียน

เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 12 ธันวาคม 2568 โดยจะประกาศรายชื่อในวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะต้องยืนยันสิทธิ์ภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2568 สามารถกรอกใบสมัครได้ที่ https://edu.fathailand.org/login (ต้องส่งหลักฐานการอบรมผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น) ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไขการสมัครได้ทางช่องทางของสมาคมฯ และ BYD Thailand

วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย เดินหน้ากลยุทธ์ Global Partnership ตอกย้ำจุดยืนในการเป็น Beauty & Wellness Destination ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับโลกไว้ในที่เดียว ล่าสุดประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Elixir (อิลิคเซอร์) แบรนด์ Anti-Aging สกินแคร์อันดับ 1 ในญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านคอลลาเจนมายาวนานกว่า 40 ปี จากเครือ Shiseido เข้าเสริมทัพเพื่อยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์บิวตี้ให้ครบทุกมิติ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหานวัตกรรมการบำรุงผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

การจับมือกันของสองผู้นำในตลาดครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของวัตสันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับสากลเข้าสู่ตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาประสบการณ์การชอปปิงที่เหนือกว่า โดยเฉพาะในเซกเมนต์ Anti-Aging ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังมีศักยภาพและการเติบโตสูงในประเทศไทย ผนวกกับแบรนด์ ELIXIR เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการวิจัยคอลลาเจนจากประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 40 ปี ซึ่งช่วยยกระดับมาตรฐานและเติมเต็มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ Premium Skincare เพื่อเพิ่มทางเลือกที่มั่นใจได้ให้กับลูกค้าของวัตสันให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

คุณนวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง ELIXIR ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความคึกคักให้วงการบิวตี้ไทย แต่ยังตอกย้ำกลยุทธ์ของเราในการก้าวสู่การเป็น Beauty & Wellness Destination ที่คัดสรรแบรนด์ระดับโลกที่มีศักยภาพและได้รับการยอมรับในระดับสากลมาสู่มือผู้บริโภคชาวไทยโดยตรง รวมถึงมองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดสกินแคร์ระดับพรีเมียม ที่ลูกค้ามีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและมาพร้อมเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเราคาดว่าด้วยความเชี่ยวชาญกว่า 40 ปีของ ELIXIR จะช่วยมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงให้แก่ลูกค้า ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

คุณปาริชาติ วีระเสถียร Managing Director at Shiseido เผยว่า “ELIXIR เป็นแบรนด์สกินแคร์ที่อยู่ภายใต้เครือ Shiseido โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย ดังนั้นเราจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับวัตสัน ประเทศไทย เพื่อขยายฐานสู่ผู้บริโภคชาวไทยผ่านเครือข่ายร้านค้าที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ Premium Skincare ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีคอลลาเจน เพื่อให้ผู้บริโภคมีผิวที่เฟิร์มกระชับและอ่อนเยาว์ สวยเปล่งปลั่งแบบ Pearl Glow Skin ซึ่งเราหวังว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับผลลัพธ์ของผิวที่ดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวาตามแบบฉบับ ELIXIR”

ทั้งนี้ ELIXIR เป็นแบรนด์ Skincare ที่โดดเด่นด้าน Anti-Aging ชั้นนำที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในญี่ปุ่น ด้วยปรัชญาการดูแลผิวที่เน้นการทำงานร่วมกับ “คอลลาเจน” ภายในผิว เพื่อคงความยืดหยุ่นและอ่อนเยาว์ โดยมีผลิตภัณฑ์เด่นที่ได้รับความนิยม แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย (Anti-Aging), ผลิตภัณฑ์เพิ่มความกระจ่างใส (Brightening) และผลิตภัณฑ์ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับรูขุมขน (Purifying & Smoothing) อาทิ ELIXIR The Serum เซรั่มเนื้อบางเบาที่จะช่วยปลุกผิวคุณให้แลดูอ่อนเยาว์เปล่งปลั่ง, ELIXIR Total V Firming Cream ครีมฟิ้นบำรุงผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ในทุกมิติ มาพร้อม TOTAL V-Technology และ ELIXIR Day Care Revolution SPF50+ PA++++ ผลิตภัณฑ์กันแดดพร้อมบำรุงผิวในขั้นตอนเดียวสูตรเฉพาะของแบรนด์ เพื่อการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผสาน 3 คุณประโยชน์จากไพร์เมอร์ กันแดด และมอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวไว้อย่างลงตัว ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ ELIXIR ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคทั่วเอเชียในฐานะสกินแคร์ที่ให้ผลลัพธ์จริงในกลุ่ม Anti-Aging ระดับพรีเมียม

ร่วมสัมผัสประสบการณ์การฟื้นบำรุงผิวระดับพรีเมียมผ่านช่องทางออนไลน์ของวัตสัน ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันลูกค้ายังสามารถทดลองประสบการณ์จริงได้ที่ร้านวัตสันทั้ง 6 สาขา (สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาสยามสแควร์, สาขาเซ็นทรัลเวสเกต, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ และ สาขาซีคอนศรีนครินทร์) และในอนาคตมีแพลนที่จะขยายแบรนด์ ELIXIR ไปยังสาขาอื่นเพิ่มเติม เพื่อยกระดับประสบการณ์ความงามให้เข้าถึงง่ายและครอบคลุมยิ่งขึ้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store

กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล และ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมการประชุม Asian Actuarial Conference 2025 (AAC 2025) โดย นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานลูกค้าและการตลาด พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ในฐานะ นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย (SOAT) ได้กล่าวเปิดงาน Asian Actuarial Conference (AAC) 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ไอคอนสยาม ฮอลล์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั่วเอเชียและนานาประเทศ ภายใต้ธีม “Generative Actuarial Intelligence: Insights, Innovation, and Sustainable Value for Tomorrow”

โอกาสนี้ นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “การเติบโต ความเสี่ยง และผลตอบแทน: การกำหนดเส้นทางสำหรับธุรกิจประกันภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการสร้างสมดุลระหว่างโอกาสการเติบโตและการบริหารความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่ยั่งยืน นอกจากนี้ นายซานจิต ไมนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล และ นางสาวนิโคล เหงียว ผู้อำนวยการ พรูเดนซ์ ฟาวน์เดชัน ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ประกันชีวิตยั่งยืนเพื่อการเติบโตที่ครอบคลุม” ย้ำถึงความสำคัญของการลดช่องว่างด้านความคุ้มครองและบทบาทของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในการสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า รวมทั้ง นายอิฎฐ์ อภิรักษ์ติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาองค์กร ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์และอนาคตของธุรกิจประกันภัย: การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรม กฎระเบียบ และความรับผิดชอบ” โดยเน้นบทบาทของเทคโนโลยี AI ในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและรักษามาตรฐานความน่าเชื่อถือ

 

DSGPay บริษัทฟินเทคระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการชำระเงินและรับชำระเงินระหว่างประเทศ Multi-Currency Virtual Accounts และบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange) ได้รับอนุมัติใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริการรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Payment License) จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างเป็นทางการ

การได้รับใบอนุญาตในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ DSGPay ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เข้มแข็งทั่วภูมิภาคเอเชีย ใบอนุญาตดังกล่าวเปิดโอกาสให้ DSGPay สามารถให้บริการรับชำระเงินในนามของร้านค้าในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME และองค์กรธุรกิจไทยสามารถรับชำระเงินจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านช่องทางการชำระเงินแบบเรียลไทม์และรหัสคิวอาร์ (QR Code) ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ผู้ประกอบการ SME ไทยสามารถรับเงินจากลูกค้าต่างประเทศเข้าสู่บัญชีธนาคารในประเทศไทยได้โดยตรง ภายใน 1 วันทำการ ทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็ว คุ้มค่า และลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อเทียบกับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่อาจใช้เวลานานถึง 7 วันทำการ

โครงสร้างระบบการรับชำระเงินของ DSGPay ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกิจทุกขนาด

  • ผู้ประกอบการ SME สามารถใช้ DSGPay Mobile App เพื่อเข้าถึงการรับชำระเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างสะดวก
  • ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สามารถเชื่อมต่อระบบการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้อย่างราบรื่น
  • องค์กรขนาดใหญ่ ที่มีธุรกรรมจำนวนมากสามารถเชื่อมต่อผ่าน ระบบ API แบบเรียลไทม์ ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และปรับขยายได้ตามความต้องการ

โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบการรับชำระเงินระหว่างประเทศของ DSGPay ซึ่งพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี API-Driven Platform รองรับการทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์หลายช่องทาง ทั้งการชำระเงินผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) และ Virtual Accounts พร้อมรองรับระบบ Open Banking ครอบคลุมทั่วเอเชีย

คุณ Dwight Willis ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการของ DSGPay กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย การได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริการรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Payment License) ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของเรา ใบอนุญาตนี้จะช่วยให้ DSGPay สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยแก่ผู้ประกอบการ SME และองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นใจ ภายใต้กรอบการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้กับผู้ซื้อจากต่างประเทศ เป้าหมายของเราคือ ทำให้การรับชำระเงินระหว่างประเทศเป็นเรื่องง่าย โปร่งใส และรวดเร็ว เช่นเดียวกับการชำระเงินภายในประเทศ”

การอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เสริมศักยภาพพอร์ตใบอนุญาตด้านการกำกับดูแลของ DSGPay ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย รวมถึงในประเทศฮ่องกงและออสเตรเลีย โดยเมื่อรวมกับบริการ Multi-Currency Virtual Accounts ระบบการรับชำระเงิน และบริการโอนเงิน SWIFT และ Local Payout ที่รองรับมากกว่า 30 สกุลเงิน ธุรกิจไทยจะสามารถเข้าถึงโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทั้งในประเทศและระดับสากล

DSGPay ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ที่ประเทศออสเตรเลียและฮ่องกง ภายใต้ชื่อแบรนด์ DollarSmart Global โดยเริ่มต้นจากการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ และพัฒนาเป็นบริษัทฟินเทคระดับโลกที่ให้บริการครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ SME องค์กรขนาดใหญ่ และบุคคลทั่วไป

ด้วยใบอนุญาต E-Payment License ที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย DSGPay พร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจไทยเชื่อมต่อกับลูกค้าทั่วโลก รับชำระเงินจากต่างประเทศ และรับยอดเงินเป็นสกุลเงินบาทได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่ปลอดภัย เชื่อถือได้

DSGPay มุ่งมั่นขยายเครือข่ายบริการการรับชําระเงินที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลในระดับสากลอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งมอบโครงสร้างทางการเงินที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และสามารถปรับขยาย เพื่อรองรับธุรกิจที่กําลังเติบโตได้ในตลาดสากล

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัด “งานมอบรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจดีเด่น ปี 2568” คัดเลือก 10 หน่วยงานที่โดดเด่นจาก 284 หน่วยงานที่ให้บริการในระบบ BDS เชิดชูพันธมิตรเสริมแกร่ง SME พัฒนาและยกระดับศักยภาพให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุน SME ในระบบ bds.sme.go.th กว่า 260 ล้านบาท โดยมี SME ได้รับการพัฒนาแล้วกว่า 20,000 ราย จากบริการให้เลือกใช้กว่า 1,100 บริการ

ดร.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานฯ รักษาการผู้อำนวยการ สสว. ประธานในงาน กล่าวถึงการดำเนินงานของโครงการ “ตลอดการดำเนินการ 2 ปี (2567-2568) ที่ สสว. และเครือข่าย BDSP ได้ร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เราได้ดำเนินงานโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2568) มีผู้ประกอบการเข้าร่วมระบบถึง 22,544 ราย โดยมีผู้ให้บริการ (BDSP) จำนวน 284 หน่วยงาน นำเสนอบริการรวม 1,102 บริการ และได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อยกระดับ SME ไปแล้วกว่า 260 ล้านบาท โดยในปีนี้มีรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจดีเด่น ปี 2568 ใน 4 ด้าน ได้แก่ รางวัลด้านการดำเนินงาน, รางวัลด้านสร้างเครือข่าย, รางวัลด้านการสร้างบริการที่ผู้ประกอบการสนใจ และรางวัลด้านการประสานงาน อีกทั้ง ยังได้เพิ่มรางวัลให้สำหรับหน่วยงานผู้ให้บริการที่โดดเด่นอีก 2 รางวัล คือ รางวัลน้องใหม่มาแรง : Rising Star Award และรางวัลขวัญใจมหาชน : People’s Choice Award”

สสว. เล็งเห็นความสำคัญกับหน่วยงานผู้ให้บริการ SME หรือที่เราเรียกว่า Business Development Service Provider: BDSP ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง มีบทบาทสำคัญในการช่วยกันผลักดันและยกระดับให้ SME ไทยตลอดมา และเพื่อเป็นการขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้พยายามทุ่มเทความช่วยเหลือเพื่อให้ SME มีโอกาสในการเติบโต พัฒนา หรือต่อยอดจากธุรกิจได้ ผ่านยกระดับ 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพทางธุรกิจ ด้านการพัฒนาและบริหารจัดการธุรกิจ ด้านการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการ และด้านการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและการตลาด

สำหรับ 10 หน่วยงานที่ได้รับรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจดีเด่น ปี 2568 ซึ่งแสดงถึงผลงานอันโดดเด่น ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้:

- รางวัลด้านการดำเนินงาน: Operational Excellence Award ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

- รางวัลด้านสร้างเครือข่าย: Collaboration & Networking Excellence Award ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

- รางวัลด้านการสร้างบริการที่ผู้ประกอบการสนใจ: Service Excellence Award ได้แก่ มูลนิธิเพื่อพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสถาบันอาหาร

- รางวัลด้านการประสานงาน : Coordination Excellence Award ได้แก่ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ

- รางวัลน้องใหม่มาแรง : Rising Star Award ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- รางวัลขวัญใจมหาชน : People’s Choice Award ได้แก่ สมาคมสมาพันธ์ SME ไทย

“ขอแสดงความยินดีกับทุกหน่วยงานที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เราเห็นถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และพร้อมสนับสนุนของทุกหน่วยงานเสมอ และเชื่อมั่นว่ายังมีอีกหลาย ๆ หน่วยงานที่มีความพร้อมเช่นเดียวกัน โดยจะมีการรับสมัคร BDSP เพิ่มเติมอีก เพื่อให้ได้บริการที่ตอบโจทย์ ตรงใจ SME และผู้ประกอบการ SME ที่สนใจอยากขอรับการสนับสนุน ก็จะยังมีงบอุดหนุนตามขนาดของธุรกิจเช่นเดิม โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนที่กำลังเป็นที่สนใจจาก SME เช่นเดียวกัน”  ดร.ปณิตา กล่าวทิ้งท้าย

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือน แห่งประเทศไทย (CAAT) พร้อมด้วยนายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาเศรษฐกิจการบิน และผู้บริหารระดับสูงของ 8 สายการบินของไทย ได้แก่ สายการบินไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินเค-ไมล์ แอร์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ และสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ณ ห้องประชุมพระศิวะ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ บันทึกข้อตกลงนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการบินของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลก และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของภาคการบินของไทยที่จะสนับสนุนมาตรการสำคัญขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้แก่ มาตรการลดและชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการบินระหว่างประเทศ (CORSIA) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการนำร่อง เมื่อปี พ.ศ.2564 นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมการบินของไทยปรับตัวสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าวอีกด้วย

ความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการทำงานอย่างเข้มแข็งของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการและการสนับสนุนการใช้ SAF ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก CAAT ผู้แทน 8 สายการบิน และ สนข. ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่า การส่งเสริมการใช้ SAF ถือเป็นหัวใจหลักในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน ภายใต้กลไก CORSIA ที่กำหนดให้การใช้ SAF ที่เป็นไปตามมาตรฐานจะถูกนำมาคำนวณเพื่อหักลบกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้องทำการชดเชย โดยความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายปณิธานระยะยาวในการลดคาร์บอน (Long Term Global Aspirational Goal: LTAG) เพื่อให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

อย่างไรก็ดี CAAT ตระหนักถึงความท้าทายด้านต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ SAF ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการดำเนินงานของสายการบิน ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบทางการเงินจากการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีการพิจารณาแนวทางการแยกต้นทุนรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน (Carbon Surcharge) ในเส้นทางบินระหว่างประเทศตามความสมัครใจของสายการบิน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2569 ทั้งนี้การแสดงรายการค่าธรรมเนียมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นต้นทุนที่เกิดจากการลดและชดเชยการการปล่อยคาร์บอนของภาคการบินของไทย โดย CAAT จะดำเนินการตรวจสอบความโปร่งใสและให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปตามข้อกำหนดสากล

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวว่า “การลงนามความร่วมมือในวันนี้เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้ว่าประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นอุตสาหกรรมการบินสีเขียว (Green Aviation) ผ่านการสร้างความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืนในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงอากาศยานของประเทศ

การใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนตามมาตรฐานสากล แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระบบนิเวศการบินยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น CAAT จะเดินหน้าทำงานร่วมกับสายการบิน หน่วยงานรัฐ และภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Green Aviation ในภูมิภาค”

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) แถลงความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบให้แก่กลุ่มผู้ขับขี่รถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน ภายหลังได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เร่งประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายและลดภาระค่าใช้จ่าย ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้เวลาเพียง 7 วัน ในการหาข้อยุติและออกเป็น 5 มาตรการสำคัญในการช่วยเหลือไรเดอร์และไดรเวอร์ทั่วประเทศ โดยกำหนดกรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 2568-28 ก.พ. 2569

นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าวว่า “ประกาศเรื่องรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (รย.17 และ รย.18) ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ขับขี่กว่า 200,000 รายที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงฯ รับทราบถึงข้อกังวลและอุปสรรคหน้างาน ทั้งเรื่องเอกสารสิทธิ์ รถติดไฟแนนซ์ ค่าใช้จ่ายประกันภัยที่สูงขึ้น รวมถึงข้อจำกัดทางเทคนิคต่างๆ หลังจากรับข้อร้องเรียนมาแล้ว กระทรวงดีอีจึงไม่ได้นิ่งนอนใจและได้เร่งหารือกับกรมการขนส่งทางบก, ETDA  สถาบันการเงิน และภาคเอกชน จนได้แนวทางแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 5 มาตรการ เพื่อช่วยปลดล็อกผู้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันให้สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม”

สำหรับ 5 มาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อลดภาระและอำนวยความสะดวกให้แก่ไรเดอร์และไดรเวอร์ทั่วประเทศ มีรายละเอียดดังนี้

1. ลงทะเบียนสำหรับรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันผ่านช่องทางออนไลน์ ETDA

  • เปิดให้ลงทะเบียนแสดงเจตจำนงผ่านเว็บไซต์ https://driververify.mdes.go.th (ล็อกอินผ่าน Thai ID) ไปจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2569
  • เมื่อข้อมูลได้รับการยืนยันจากแพลตฟอร์ม ระบบจะออก “ใบรับแจ้งลงทะเบียน” (QR Code) เพื่อใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อยืนยันว่าอยู่ในระหว่างดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ
  • ผู้ขับขี่จะต้องดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะและทำใบขับขี่สาธารณะกับกรมการขนส่งทางบกให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 ก.พ. 2569

2. แก้ปัญหาไฟแนนซ์-ลีซซิ่ง-ประกันภัย

  • รถที่ติดไฟแนนซ์สามารถใช้สำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ยื่นจดทะเบียนแทนเล่มจริงตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบกไปจนวันที่ 28 ก.พ. 2569
  • เจรจาลดค่าธรรมเนียมกรณีเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทลีซซิ่งทุกราย โดยขณะนี้ได้รับความร่วมมือจาก ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เป็นรายแรก เหลือ 0.25% ต่อปี จากเดิม 1% ของยอดเงินคงเหลือตลอดสัญญา
  • สามารถใช้ประกันภัยเชิงพาณิชย์ชั้น 3 ได้ไม่จำเป็นต้องทำประกันชั้น 1 เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยได้ขอความร่วมมือกับบริษัทลีซซิ่งทุกราย ซึ่งทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) ให้การตอบรับเป็นรายแรก

3. กระทรวงดีอีเจรจากับกระทรวงคมนาคม แก้ปัญหาล่าช้า ปลดล็อกเงื่อนไขเอกสาร–เครื่องยนต์ ลดภาระการหาผู้รับรอง

  • แก้ปัญหาภูมิลำเนาของผู้ขับขี่ที่ต้องให้คณะกรรมการประจำจังหวัดเป็นผู้รับรอง โดยกรมการขนส่งทางบกจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้กรมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดสำหรับพิจารณารถที่ต้องการจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะทุกสัปดาห์จากเดิมประชุมเดือนละครั้ง
  • ขยายซีซีรถจักรยานยนต์ โดยให้นโยบายพิจารณาศึกษาเพื่อแก้กฎหมายเพิ่มขนาดเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์สาธารณะจากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 125 ซีซี ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับขนาดเครื่องยนต์ในปัจจุบัน คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 1 เดือน

4. พิจารณาแก้กฎหมายให้นำรถเช่ามาให้บริการสาธารณะผ่านแอปพลิเคชันได้

  • กระทรวงดีอีได้หารือกับกระทรวงคมนาคมแล้ว โดยกระทรวงคมนาคมเห็นชอบในหลักการแก้ไขกฎกระทรวง และอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมการขนส่งทางบก

5. มาตรการมอบเงินสนับสนุนพิเศษ

  • กระทรวงดีอีประสานแพลตฟอร์มผู้ให้บริการมอบเงินสนับสนุนพิเศษเพื่อเป็นกำลังใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยมี Grab และ LINE MAN ให้การตอบรับและพร้อมสนับสนุนเงินพิเศษ ซึ่งผู้ขับขี่จะได้รับเงินสนับสนุนตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาทต่อคน

นอกจากนี้ยังมีแนวทางในการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ หากพบผู้ให้บริการรายใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปล่อยปละละเลยให้รถที่ผิดกฎหมายและไม่ได้จดทะเบียนเป็นรถสาธารณะมาวิ่งให้บริการ กระทรวงดีอีพร้อมดำเนินการทันที

นายไชยชนก กล่าวทิ้งท้ายว่า “กระทรวงดีอีขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการช่วยกันหาทางออก จนได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันสั้น เป้าหมายของเราชัดเจนคือการคุ้มครองแรงงานดิจิทัลให้มั่นคง ควบคุมแพลตฟอร์มให้โปร่งใส และดูแลผู้ใช้บริการให้ได้รับความเป็นธรรม โดยกระทรวงดีอีจะเร่งเครื่องติดตามความคืบหน้าและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

 

ด้านนักกอล์ฟไทยอีก 6 คนทำผลงานยอดเยี่ยม เก็บประสบการณ์ล้ำค่า

Page 1 of 943
X

Right Click

No right click