ประเทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์’ (Complete Aged Society) ตั้งแต่ปี 2565 ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะภาคเอกชนไทยที่มีความมุ่งมั่นในปณิธาน "Giving and Sharing" จึงได้เดินหน้านโยบายสร้างงาน “ผู้สูงอายุ” เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีอาชีพ มีรายได้ มีคุณค่า มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุเกินกว่าร้อยละ 10 ตั้งแต่ปี 2564 และคาดว่าในปี 2578 จะมีผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อโครงสร้างประชากร แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ
เพื่อรองรับความท้าทายนี้ ซีพี ออลล์ จึงได้ริเริ่มนโยบายสร้างงานผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงแรงงาน จึงได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ (MOU) โดยใช้แพลตฟอร์มชื่อว่า “ไทยมีงานทำ” เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ได้ทำงานในสถานประกอบการ รวมทั้งเป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคง สร้างคุณค่าและความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง ตลอดจนเป็นการเพิ่มบทบาทและคุณค่า ด้วยการมีส่วนร่วมในเชิงเศรษฐกิจ ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในด้านสวัสดิการ
นางสาวนวล ชอบธรรม อายุ 80 ปี ชื่อเล่น นวล (พนักงานในร้านเรียกว่า ป้านวล) ตำแหน่ง แม่บ้านร้าน 7-Eleven สาขา สีลม 22 ทำงานที่นี่มาแล้วกว่า 12 ปี โดยมาสมัครเป็นพนักงานด้วยตัวเอง สิ่งที่ป้านวลได้รับจากการทำงาน คือความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง เพราะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีสุขภาพกายและใจที่ดี เพราะได้ขยับร่างกายตลอด มีน้องๆ ลูกๆ หลานๆ ในร้านให้ได้พูดคุยไม่เหงา มีเงินเดือน เลี้ยงดูตัวเองได้ หากใครผ่านมาแถวสีลมอย่าลืมแวะมาทักทายป้านวลกันด้วยนะ หรือผู้ที่สนใจร่วมงานกับ ซีพี ออลล์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ สามารถกดติดตามช่องทางต่างๆ Job CP ALL เพื่อไม่ให้พลาดตำแหน่งงานใหม่ๆ ได้ที่ https://linktr.ee/Job_CPALL
ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น มีนโยบายสร้างงานให้กับคนในทุกท้องถิ่น รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ตอบโจทย์เป้าหมายการสร้างงาน สร้างอนาคตให้กับคนไทย ตามปณิธานองค์กร Giving and Sharing มุ่งมั่นเคียงคู่ชุมชน สร้างสรรค์สังคมยั่งยืน ปัจจุบันซีพี ออลล์มีพนักงานกว่า 200,000 คนกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีงานที่มั่นคง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ จำกัด หรือ บบส.อารีย์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ มูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทั้ง 3 หน่วยงานร่วมมือกันในการพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้วิธีการระงับข้อพิพาททางเลือก เช่น การไกล่เกลี่ยการอนุญาโตตุลาการ และกระบวนการอื่น ๆ ที่สามารถช่วยลดภาระของศาลและส่งเสริมความสงบสุขในสังคม ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานและประชาชน
พิธีลงนามความร่วมมือครั้งนี้ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เป็นการลงนามระหว่าง BAM โดย นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กับ มูลนิธิ ส.พ.ส. โดย นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส) เป็นผู้ลงนาม
พร้อมกันนี้ บบส.อารีย์ โดย นายสันธิษณ์ วัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ มูลนิธิ ส.พ.ส. โดย นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส) เป็นผู้ลงนาม
ทั้ง 3 หน่วยงานมั่นใจว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการใช้วิธีการระงับข้อพิพาททางเลือก ในระดับที่กว้างขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน กลุ่มลูกค้าของบริษัท และองค์กรต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ต้องการหาทางออกจากข้อพิพาทโดยไม่ต้องพึ่งพากระบวนการชั้นศาล แต่สามารถหาข้อยุติร่วมกันจนเป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
นางสาวศิริพร เลิศสัตยสุกใส รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล มอบรางวัลพิเศษ 40 ล้านบาท ให้แก่ นายดนัย สุคนธโรจน์ ลูกค้าธนาคารออมสิน สาขาเดอะมอลล์ บางแค กรุงเทพฯ โดยเป็นผู้โชคดีถูกรางวัลพิเศษจากสลากออมสิน 1 ปี งวดที่ 607 หมวดอักษร J หมายเลขสลาก 0566264 จากแคมเปญแจกสะเทือนได้ลุ้นเฮงถึง 3 ต่อ ซึ่งเป็นการออกรางวัลพิเศษครั้งที่ 2 ครั้งสุดท้าย โดยมีผู้บริหารร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ในโอกาสนี้ ธนาคารได้จัดทีมโค้ชออม เพื่อช่วยแนะนำผู้ถูกรางวัลในการบริหารจัดการเงินอย่างคุ้มค่า และให้มีเงินออมเพียงพอในยามเกษียณ สำหรับสลากออมสินพิเศษ 1 ปี หน่วยละ 100 บาท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด เมื่อฝากครบกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 0.25 บาท นอกจากนี้ ยังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวม 12 ครั้ง ผู้สนใจสามารถฝากสลากออมสินได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และแอป MyMo
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ประกาศความสำเร็จสมาร์ตโฟน HONOR X9c Series ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดสมาร์ตโฟน ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดทะลุเป้าสูงสุดถึง 7.4 เท่า นับตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายและเปิดให้พรีออเดอร์ในช่องทางอีคอมเมิร์ซชั้นนำครบทุกแพลตฟอร์ม โดยความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมล้ำสมัยของ HONOR
สำหรับบรรยากาศการรับสมาร์ตโฟน HONOR X9c Series เป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่วันแรกของการเปิดจำหน่าย ลูกค้าจำนวนมากแสดงความตื่นเต้นและให้ความสนใจอย่างล้นหลามทั้งหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ โดยความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นของ HONOR ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างดียิ่งขึ้นในอนาคต เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่ตรงใจและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า
HONOR ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราอย่างอบอุ่นและต่อเนื่องเสมอมา ความไว้วางใจจากทุกท่านคือแรงขับเคลื่อนสำคัญ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบทุกท่านอีกครั้งในกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความประทับใจจาก HONOR ในอนาคตต่อไป
HONOR X9c Series เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างดีไซน์อันโดดเด่น เทคโนโลยีล้ำสมัย และประสิทธิภาพการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ โดยสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและคุณสมบัติสุดล้ำ ด้วยการใช้วัสดุเกรดพรีเมียม แข็งแรง ทนทาน โดดเด่นด้วยหน้าจอและตัวเครื่องกันกระแทกรอบด้าน ผสานการใช้งานอึดสะใจด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมระบบกล้อง AI อัจฉริยะ และระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ที่รองรับการถ่ายภาพในทุกสภาพแสง ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
HONOR X9c 5G มีจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ววันนิ้ โดยมีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีม่วงไทเทเนียม (Titanium Purple), สีดำไทเทเนียม (Titanium Black) และ สีเขียวหยก (Jade Cyan) เป็นเจ้าของได้ในราคา 10,990 บาท ติดตามรายละเอียดและซื้อสินค้าได้ที่เว็ปไซต์ทางการ HONOR Thailand และ HONOR X9c Smart มีสีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีเขียว (Ocean Cyan) และสีดำ (Midnight Black) ในราคาเพียง 8,999 บาท สั่งซื้อสินค้าได้ผ่านทางเฉพาะช่องทางออนไลน์ Shopee: https://bit.ly/4gVOOzl
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จัดพิธีสรุปโครงการ 72 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 หลังดำเนินการครบแล้วเสร็จทุกโครงการภายในปี 2567
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เปิดเผยว่า กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ได้จัดพิธีสรุป 72 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายหลังจากได้ดำเนินการแล้วเสร็จครบทุกโครงการเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจาก นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธี ณ อาคารบิ๊กซี เฮ้าส์ สำนักงานใหญ่
เนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จึงดำเนินโครงการ 72 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยน้อมนำแนวพระราชดำริ พระราชปณิธาน และพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุข เป็นแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว
“กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ได้ดำเนินการจัด 72 โครงการ ผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างกว้างขวางและรอบด้าน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและความร่วมมือในสังคม ทั้ง 9 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต พัฒนาสังคม และจิตใจ 2. ด้านการส่งเสริมศาสนา และวัฒนธรรม 3. ด้านการสร้างถาวรวัตถุ และสิ่งสาธารณประโยชน์ 4. ด้านการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 5. ด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 6. ด้านการส่งเสริมการศึกษา 7. ด้านการมหกรรมการแสดง การประกวด และนิทรรศการ 8. ด้านการจัดทำเอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์ วีดิทัศน์ และของที่ระลึก 9. ด้านอื่นๆ”
สำหรับ 72 โครงการเฉลิมพระเกียรติ ฯ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 72 โครงการ ได้แก่ บูรณะเจดีย์และฉัตร วัดพระธาตุดอยเวา จังหวัดเชียงราย, โครงการสวดเจริญพระพุทธมนต์ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, โครงการสนับสนุนอาหารว่างและน้ำดื่มพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุฯ จากประเทศอินเดีย, โครงการบริจาคข้าวสาร, โครงการบริจาคโต๊ะเพื่อโรงเรียนขาดแคลน, โครงการส่งเสริมสุขภาพเด็กไทย เติบโต แข็งแรง ร่วมกับ UNICEF, โครงการวันผู้สูงอายุ และวันแห่งครอบครัว, โครงการบริการตัดฟรีแก่ประชาชนทั่วไป, โครงการสนับสนุนน้ำดื่มจุดอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์
นอกจากนี้ ยังมีโครงการบริจาคสารปรับปรุงดินจากกากอุตสาหกรรม บำรุงสวนสาธารณะในกรุงเทพมหานคร, โครงการบริจาคชุดนักเรียนเพื่อโรงเรียนขาดแคลนช่วงเทศกาลเปิดเทอม, โครงการวัดความรู้สอบบาลีแก่พระภิกษุและสามเณรไทย, โครงการความรู้นี้...พี่ให้น้องปฐมวัย, โครงการบรรพชาหมู่, โครงการช้าง บีบ มือ, โครงการเก็บขยะชายหาดทะเล, โครงการปล่อยสัตว์ทะเลคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ, โครงการบริจาคนมกล่องให้โรงเรียนเนื่องในวันดื่มนมโลก, โครงการ English Campus เพื่อเยาวชนทั่วประเทศ, โครงการจุดรับอุทิศร่าง เพื่อนักศึกษาแพทย์, โครงการพ่นยากันยุงให้ชุมชน, โครงการสร้างฝายทดน้ำ, โครงการโสตศิลป์ สืบสานดนตรีไทย รวมพลังเยาวชนดนตรีไทย ร่วมสรรเสริญพระบารมี 72 พรรษา, โครงการซุ้มเฉลิมพระเกียรติ จุดเทียนชัย ถวายพระพร, และโครงการมอบผ้าอ้อมแก่เด็กและคนชรา โดยโครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือร่วมแรงจากภาครัฐและพันธมิตรคู่ค้า
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี กล่าวเสริมว่า สำหรับการดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ทั้ง 72 โครงการ ที่ได้จัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 ได้รับความร่วมมือจากจิตอาสาที่ร่วมกันสร้างประโยชน์ให้กับสังคม จำนวน 27,820 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทุ่มเทเวลาการดำเนินงาน รวมกว่า 81,550 ชั่วโมง โดยผลการดำเนินโครงการนี้สามารถช่วยเหลือและส่งต่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก
ตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าเผชิญสถานการณ์ Oversupply และความต้องการพื้นที่ฟื้นตัวอย่างจำกัด โดยคาดว่าอุปสงค์พื้นที่สำนักงานให้เช่าในปี 2024-2025 จะกลับมาฟื้นตัวได้เล็กน้อยราว +1% ถึง +2%YOY ต่อปี จากอุปสงค์ของบริษัทในประเทศที่ฟื้นตัวช้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับการทำงานรูปแบบ Hybrid workplace และ Office-based hybrid workplace ที่ยังคงกดดันให้ความต้องการพื้นที่ใหม่มีแนวโน้มทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นได้เพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าความต้องการพื้นที่ใหม่จะมาจากบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ ที่ทยอยกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งมักสนใจพื้นที่ให้เช่าในโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งมีอยู่น้อยรายเป็นหลัก ขณะที่อุปทานใหม่ก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับที่มากกว่าอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปทานใหม่ในปี 2024 และ 2025 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องราว +2.5% ถึง +4.5%YOY ต่อปี ซึ่งสถานการณ์ Oversupply และอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างจำกัดยังคงกดดันให้อัตราค่าเช่าในปี 2024-2025 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
ส่วนตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า มีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าอุปสงค์พื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในปี 2024-2025 จะขยายตัว +2.5% ถึง +3.5%YOY ต่อปี ตามการขยายตัวของอุปทานใหม่ โดยเฉพาะโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มักเป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีศักยภาพในการดึงดูดผู้เข้าใช้บริการ (Traffic) ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง ประกอบกับกำลังซื้อในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ยังคงมีความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกในโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มักเป็นโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อุปสงค์พื้นที่ค้าปลีกให้เช่าโดยรวมยังเผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้การขยายตัวในระยะต่อไปยังเป็นไปอย่างจำกัด ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของธุรกิจค้าปลีกยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 และความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนอุปทานใหม่ในปี 2024-2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น +5% ถึง +8%YOY ต่อปี และคาดว่าอัตราค่าเช่าในปี 2024-2025 ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก อยู่ที่ราว +1% ถึง +2%YOY ต่อปี
การแข่งขันในตลาดยังมีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มผู้เล่นรายใหญ่เป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน และกรุงเทพฯ ชั้นกลางบางพื้นที่ ที่มีความหนาแน่นของอุปทานสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ ได้แก่ 1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง 2) สร้างความแตกต่าง และยกระดับคุณภาพของพื้นที่ หรือโครงการ เช่น เพิ่มความหลากหลายของประเภทผู้เช่า หรือรูปแบบของพื้นที่เช่าในโครงการ ปรับปรุงพื้นที่ และการให้บริการ 3) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนการพัฒนาโครงการ และ 4) ให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
Industry overview
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งในรายงานฉบับนี้ครอบคลุมธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่า และธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง โดยผู้ประกอบการพื้นที่ให้เช่ารายใหญ่มีความได้เปรียบในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงการขยายสาขา ทำให้สามารถสร้างการรับรู้ของแบรนด์ไปในวงกว้าง จึงมีความสามารถในการแข่งขันดึงดูด Traffic และความต้องการพื้นที่เช่าได้มากตามมา ทำให้การแข่งขันในตลาดกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งมีอยู่น้อยราย เช่น AWC, CPN, J, MBK, PLAT, S ขณะที่ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กส่วนใหญ่ยังเน้นพัฒนาโครงการขนาดกลาง-เล็ก และจำเป็นต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านอื่น ๆ ทดแทน
ธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่า และธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ได้รับผลกระทบในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์, การจำกัดการเดินทางเข้า-ออกประเทศ, Work from home ไปจนถึง มาตรการ Social distancing ซึ่งส่งผลให้ความต้องการพื้นที่เช่าในช่วงเวลาดังกล่าวชะลอตัวลง และมีการทยอยยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการพื้นที่ให้เช่ารายกลาง-เล็กที่ขาดสภาพคล่องทยอยเลิกกิจการไปในปีต่อ ๆ มา ขณะที่ผู้ประกอบการพื้นที่ให้เช่ารายใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการรายกลางบางส่วนที่ยังรักษากิจการไว้ได้ ส่วนใหญ่หันมาปรับลดอัตราค่าเช่า เพื่อรักษาผู้เช่าให้อยู่ในโครงการต่อไป โดยเป็นการทำสัญญาทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง ตั้งแต่ 1-3 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 บรรเทาความรุนแรงลง และผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2022 ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่า และธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ารายใหญ่ ซึ่งมีอยู่น้อยรายเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะโครงการของผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงอย่าง CPN และ S ที่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในอัตราที่สูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่น ๆ จนถึงปัจจุบัน ส่วนโครงการของผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กยังคงเผชิญข้อจำกัดในการฟื้นตัวของธุรกิจ
ธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นอย่างมาก จากการปิดกิจการของบริษัทในช่วงดังกล่าว ประกอบกับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 จากเดิมที่เป็นการทำงานที่ออฟฟิศ มาเป็นรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid workplace หรือการสลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศและจากที่ไหนก็ได้ ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าลดลง โดยพื้นที่สำนักงานให้เช่าได้ (Occupied space) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2023 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 8.0 ล้านตารางเมตร จากระดับ 8.4 ล้านตารางเมตรในปี 2020 ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid workplace รวมถึงในปัจจุบัน ที่ปรับรูปแบบมาเป็น Office-based hybrid workplace ซึ่งกำหนดให้มีสัดส่วนจำนวนวันที่ต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศมากกว่าจำนวนวันที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้ ก็จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในระยะต่อไป
สำหรับอุปทานใหม่ของพื้นที่สำนักงานให้เช่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2020-2023 ยังขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ยราว +1.0% ต่อปี ขณะที่ในช่วงเวลาดังกล่าว พื้นที่สำนักงานให้เช่าได้กลับหดตัวเฉลี่ยราว -1.5% ต่อปี ทำให้เกิดสถานการณ์ Oversupply ในปัจจุบันสูงถึง 1.5 ถึง 2 ล้านตารางเมตร กดดันให้อัตราการปล่อยเช่า (Occupancy rate) ลดลงอย่างต่อเนื่อง และอัตราค่าเช่าไม่สามารถฟื้นตัวได้ โดยอัตราค่าเช่าในภาพรวมหดตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020-2023 เฉลี่ย -6% ต่อปี
ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าสามารถฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ แม้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงที่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ ที่เป็นข้อจำกัดในการออกไปจับจ่ายใช้สอย หรือรับประทานอาหารนอกบ้าน รวมถึงการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ Traffic ชะลอตัวในระยะสั้น แต่เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย Traffic ก็กลับมาฟื้นตัวได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าได้ (Occupied space) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2020-2021 ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 7.5 ล้านตารางเมตร และทยอยเพิ่มขึ้นเป็น 7.6 และ 7.9 ล้านตารางเมตรในปี 2022 และ 2023 ตามลำดับ ขณะที่อุปทานตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ายังเผชิญสถานการณ์ Oversupply ในปัจจุบันอยู่ที่ราว 3-5 แสนตารางเมตร แม้ยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อุปทานใหม่ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะต่อไป ทั้งนี้อัตราค่าเช่าในภาพรวมแม้จะหดตัวลง -3%YOY ในปี 2021 แต่ในปี 2022-2023 สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เฉลี่ย 4% ต่อปี
รูปที่ 1 : บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประเภทธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่า และธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า เป็นหลัก
Industry outlook and trend
ธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2024 และ 2025 ยังเผชิญแรงกดดันจากความต้องการพื้นที่เช่าที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่าที่ควร
SCB EIC คาดว่าพื้นที่สำนักงานให้เช่าได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2024-2025 จะกลับมาฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อยราว +1% ถึง +2%YOY ต่อปี มาอยู่ที่ระดับราว 8.1-8.3 ล้านตารางเมตร หลังจากหดตัว -4%YOY ในปี 2023 เนื่องจากความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าใหม่ที่ยังมีแนวโน้มไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่าที่ควร โดยเฉพาะจากบริษัทในประเทศที่ฟื้นตัวช้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับการทำงานรูปแบบ Hybrid workplace และ Office-based hybrid workplace ที่ยังคงกดดันให้ความต้องการพื้นที่ใหม่ของทั้งบริษัทในประเทศและบริษัทต่างชาติยังมีแนวโน้มทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นได้เพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าความต้องการพื้นที่ใหม่จะมาจากบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่ทยอยกลับเข้ามาลงทุนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ความต้องการพื้นที่ใหม่จากบริษัทต่างชาติยังเผชิญความท้าทาย จากการแข่งขันดึงดูดการลงทุนที่เข้มข้นจากประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN โดยตัวเลขเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Inflow FDI) ของไทยในช่วงปี 2021-2023 เฉลี่ยอยู่ที่ปีละราว 3.4 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าของอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ปีละราว 4.3-6.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้บริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ส่วนใหญ่สนใจทำเลใจกลางเมือง หรือไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก และนิยมพื้นที่ให้เช่ามาตรฐานสูงเกรด A และ A+ เป็นหลัก ซึ่งมักเป็นโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย เช่น AWC และ S
สำหรับความต้องการพื้นที่จากบริษัทในประเทศส่วนใหญ่คาดว่ายังมาจากการย้ายสำนักงาน ซึ่งมีทั้งการย้ายเข้าสู่พื้นที่ใหม่ในทำเลใจกลางเมืองของบริษัทขนาดกลาง-ขนาดใหญ่ และการย้ายออกจากทำเลใจกลางเมืองเพื่อลดค่าใช้จ่ายการเช่าพื้นที่ลงของบริษัทขนาดกลาง-ขนาดเล็ก รวมถึงบริษัทที่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid workplace หรือ Work from anywhere
ทั้งนี้ยังต้องติดตามแนวทางการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่า และอาจส่งผลให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในระยะต่อไป โดยเฉพาะจากบริษัทข้ามชาติ ยังมีความไม่แน่นอนสูง เช่น บริษัทข้ามชาติอาจชะลอแผนการลงทุนในบางอุตสาหกรรมเพื่อรอความชัดเจนของนโยบาย รวมถึงการลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยที่อาจมีความเสี่ยงชะลอตัวจากนโยบาย America First ที่จะทำให้มีการโยกย้ายการลงทุนหรือฐานการผลิตกลับไปสหรัฐฯ และส่งผลให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าของบริษัทข้ามชาติลดลง อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า อาจมีโอกาสของการลงทุนย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติออกจากประเทศที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูง โดยเฉพาะจีน ที่อาจย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยมากขึ้น และส่งผลให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าจากบริษัทในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในด้านอุปทานตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังมีแนวโน้มเผชิญสถานการณ์ Oversupply จากอุปทานใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้นในระดับที่มากกว่าอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปทานใหม่ในปี 2024 และ 2025 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องราว +2.5% ถึง +4.5%YOY ต่อปี มาอยู่ที่ระดับราว 10.1-10.4 ล้านตารางเมตร โดยเฉพาะจากโครงการขนาดใหญ่เกรด A และ A+ ทำเลใจกลางเมือง ซึ่งแม้ผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มชะลอแผนการเปิดโครงการใหม่ออกไปมากขึ้น แต่คาดว่าจะยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์ Oversupply คลี่คลายลงได้ในระยะสั้น จากอุปทานสะสมเดิมที่อยู่ในระดับสูง จึงต้องติดตามสถานการณ์ Oversupply ต่อไป ทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง
จากแนวโน้มความต้องการพื้นที่เช่าที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่าที่ควร และมีอยู่อย่างจำกัด ประกอบกับอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่ายังมีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้ประกอบการรายกลางและเล็กจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ด้านราคามากขึ้น ขณะที่อัตราค่าเช่าของผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งมีอยู่น้อยรายมีแนวโน้มทรงตัวหรือขยายตัวเล็กน้อย กดดันอัตราค่าเช่าในภาพรวมของปี 2024-2025 ให้ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องราว -2% ถึง -4%YOY ต่อปี
รูปที่ 2 : อุปสงค์และอุปทานของพื้นที่สำนักงานให้เช่าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CBRE
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก
CBRE : https://www.cbre.co.th/services/transform-business-outcomes/consulting/research-and-consulting
ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2024-2025 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามการเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ กำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
SCB EIC คาดว่าพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2024 และ 2025 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวในปี 2023 ราว +2.5% ถึง +3.5%YOY ต่อปี มาอยู่ที่ระดับราว 8.1-8.4 ล้านตารางเมตร โดยความต้องการพื้นที่ใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุปทานใหม่เป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่าง CPN, MBK, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด หรือกลุ่มบริษัทในเครือ เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ที่มักจะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถดึงดูดผู้เช่าที่มีคุณภาพสูง และมีการบริหารจัดการความหลากหลายของประเภทผู้เช่าได้เป็นอย่างดี จึงมีศักยภาพในการดึงดูด Traffic ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างต่อเนื่อง โดยกำลังซื้อในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้มากขึ้นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังเป็นปัจจัยหนุนให้เกิด Traffic และดึงดูดผู้เช่าเข้าสู่พื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ในโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่กลุ่มดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความต้องการพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ายังเผชิญความเสี่ยงที่ทำให้อัตราการขยายตัวในระยะต่อไปยังเป็นไปอย่างจำกัด ได้แก่ 1) เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า กดดันการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่าง 2) การกลับมาและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 และ 3) ความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจกดดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว
ในด้านอุปทาน ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังมีแนวโน้มเผชิญสถานการณ์ Oversupply จากอุปทานใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้นในระดับที่มากกว่าอุปสงค์ โดยอุปทานใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว +5% ถึง +8%YOY ต่อปี หรือกว่า 6-7 แสนตารางเมตรในช่วงปี 2024-2025 ยังคงทำให้สถานการณ์ Oversupply ไม่สามารถคลี่คลายลงได้ในระยะสั้น ทำให้คาดการณ์ว่าอัตราค่าเช่าในปี 2024-2025 ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนักเพียงราว +1% ถึง +2%YOY ต่อปี โดยมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าเช่าโครงการขนาดใหญ่ของผู้เล่นรายใหญ่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และกรุงเทพฯ ชั้นกลางที่ Traffic ยังหนาแน่นเป็นหลัก ขณะที่อัตราค่าเช่าของโครงการในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ ในภาพรวมยังมีแนวโน้มทรงตัว จากความต้องการพื้นที่เช่า และต้นทุนการประกอบธุรกิจที่ต่ำกว่าในพื้นที่ใจกลางเมือง และกรุงเทพฯ ชั้นกลาง อย่างไรก็ตาม อัตราค่าเช่าในโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ อาจมีแนวโน้มขยายตัวได้เล็กน้อย จากความต้องการพื้นที่เช่าที่สูงกว่าโครงการของผู้ประกอบการรายอื่น ๆ
รูปที่ 3 : อุปสงค์และอุปทานของพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CBRE
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก
CBRE : https://www.cbre.co.th/services/transform-business-outcomes/consulting/research-and-consulting
Competitive landscape
ในระยะต่อไป การแข่งขันในตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังมีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มผู้เล่นรายใหญ่เป็นหลัก โดยอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางอุปสงค์ที่ยังมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้การแข่งขันยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน และกรุงเทพฯ ชั้นกลางบางพื้นที่ ที่มีความหนาแน่นของอุปทานสูง
ผู้ประกอบการพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ารายใหญ่ ซึ่งมีจำนวนน้อยราย ยังคงความได้เปรียบในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงการที่มีขนาดลดลงมาตามความเหมาะสมของพื้นที่ ประกอบกับจุดแข็งด้านแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก ทำให้ยังสามารถดึงดูด Traffic และความต้องการพื้นที่เช่าได้มาก ทำให้ผลประกอบการของผู้ประกอบการพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ารายใหญ่ยังมีแนวโน้มขยายตัว ส่วนผู้ประกอบการพื้นที่ค้าปลีกขนาดรองลงมายิ่งจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ผู้ประกอบการพื้นที่สำนักงานให้เช่ารายใหญ่ซึ่งมีอยู่น้อยราย ยังมีแนวโน้มเผชิญสถานการณ์ความต้องการพื้นที่เช่ามีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และมีอยู่จำกัด ประกอบกับสถานการณ์ Oversupply ที่กดดันจากทั้งอุปทานใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่คุณภาพสูงเกรด A และ A+ ด้วยกันเอง ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอุปทานเดิมที่ยังไม่สามารถปล่อยเช่าพื้นที่ได้ ทั้งที่เป็นโครงการขนาดใหญ่คุณภาพสูง และโครงการที่มีขนาดเล็กหรือมีคุณภาพต่ำกว่าซึ่งมีอัตราค่าเช่าที่ต่ำกว่า ทำให้ผลประกอบการยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างจำกัด และจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับปัจจัยกดดันรอบด้าน เช่นเดียวกับผู้ประกอบการพื้นที่สำนักงานให้เช่าขนาดรองลงมาที่ยิ่งจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาผลประกอบการ โดย SCB EIC มองว่า กลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าควรเน้นให้ความสำคัญในระยะข้างหน้า ได้แก่
สำหรับผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยนอกจากการพัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังต้องสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้างความแตกต่างของโครงการ เช่น มีรูปแบบการทำสัญญาเช่าพื้นที่ที่ยืดหยุ่น เน้นเจาะกลุ่มผู้เช่าพื้นที่เฉพาะกลุ่ม อย่างพื้นที่สำนักงานให้เช่าขนาดกลาง-เล็กที่เจาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าขนาดกลาง-เล็กที่เจาะกลุ่มผู้เช่าพื้นที่ที่สอดคล้องไปกับศักยภาพของทำเลนั้น ๆ เช่น ผู้ค้า Street food ในทำเลที่มีนักท่องเที่ยวสูง
ภาคผนวก
ภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประเภทธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่า และธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า เป็นหลัก
หมายเหตุ : * รายได้รวม และกำไรขั้นต้น คำนวณจากรายได้ และต้นทุนจากการให้เช่าและให้บริการอาคารพาณิชยกรรม ของบริษัทเท่านั้น
** กำไรสุทธิ คำนวณจากรายได้ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งรวมถึงรายได้อื่นนอกจากรายได้จากการให้เช่าและให้บริการอาคารพาณิชยกรรมของบริษัทด้วย
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลัักทรััพย์์แห่่งประเทศไทย
สัดส่วนรายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประเภทธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่า และธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าเป็นหลัก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024
หมายเหตุ : รายได้รวมคำนวณจากรายได้ และต้นทุนจากการให้เช่าและให้บริการอาคารพาณิชยกรรม ของบริษัทเท่านั้น
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลัักทรััพย์์แห่่งประเทศไทย
เชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ
นักวิเคราะห์อาวุโส
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
พฤกษา ฉลองความสำเร็จในการดำเนินโครงการ “วนพลัส รีไซเคิล” ปี 2567 ที่ได้ร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะในชุมชน และสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มลูกบ้านของพฤกษา 31 โครงการ รวมกว่า 9,666 ครอบครัว ร่วมคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลตามมาตรฐาน นำโดย นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) นางสาวจิตชญา ตู้จินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และนายชนัมภ์ ชวนิชย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด โดยในปีนี้ได้รวบรวมขยะรีไซเคิลเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ได้กว่า 2,302 กิโลกรัม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 8,204 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ (kgCO2e) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 859 ต้น
การดำเนินโครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของพฤกษาและพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม 5 องค์กร ได้แก่ บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด, บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไททัน อินโนเวชัน จำกัด และบริษัท บี เอส กล๊าสรีไซคลิ่ง จำกัด ซึ่งช่วยพัฒนาระบบการจัดเก็บและรีไซเคิลขยะให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
ความสำเร็จของโครงการในปีนี้สะท้อนถึงการดำเนินงานตามพันธกิจด้าน ESG ของพฤกษา ซึ่งมุ่งเน้นสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นลดปริมาณขยะ ลดโลกร้อน โดยพฤกษาจะเดินหน้าสานต่อความสำเร็จนี้ เพื่อขับเคลื่อนชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 พฤกษาจึงขอขอบคุณลูกบ้านและพันธมิตรทุกภาคส่วนที่ร่วมกันสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างโลกที่น่าอยู่ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของพวกเราทุกคน
ปับลิซิส กรุ๊ป ประเทศไทย (Publicis Groupe Thailand) กลุ่มเน็ตเวิร์คเอเจนซี่ด้านการสื่อสารการตลาดชั้นนำของประเทศ ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโฆษณาที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและรวดเร็ว จึงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าติดอาวุธแก่คนรุ่นใหม่ที่จะกลายมาเป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพของวงการโฆษณาและสื่อสารการตลาดในประเทศไทย ให้มีความเข้าใจในโลกแห่งการสื่อสารที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเข้าใจในการใช้เครื่องมือรวมถึงวิธีการสื่อสารบนแพลตฟอร์มต่างๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ จึงได้ร่วมมือกับ สาขาวิชาการโฆษณาและการสื่อสารตราสินค้า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อออกแบบและร่วมสอนวิชาเลือกใหม่ที่มีชื่อว่า Unlock The Winning Campaign พร้อมดึงความเป็น Power of One ของปับลิซิส กรุ๊ปฯ สร้างคลาสที่มัดรวมความรู้แบบครบลูป ช่วยเสริมทักษะและศักยภาพให้แก่นิสิตเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นคนโฆษณาแห่งอนาคต
คุณเจนคณิต รุจิรโมรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ปับลิซิส กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เราเชื่อในการเสริมศักยภาพให้กับคนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถเพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนวงการโฆษณาไปข้างหน้า และจากความร่วมมือระหว่างปับลิซิส กรุ๊ปฯ และจุฬาฯ ในครั้งนี้ เรามอบโอกาสที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้กับนิสิตคณะนิเทศฯ เพื่อให้เรียนรู้จากมืออาชีพที่มีประสบการณ์จริงแบบ End–to-End ด้วยเนื้อหาที่ครบถ้วนในทุกกระบวนการทำแคมเปญสื่อสารการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ก้าวข้ามขอบเขตของห้องเรียนแบบดั้งเดิม”
ด้านอาจารย์ ดร. พลอยพิณ ชื่นธีระวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า “การที่แวดวงอุตสาหกรรมโฆษณานั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความรู้ในตำราเรียนอาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะทำให้นิสิตของเราสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ได้ นักโฆษณารุ่นใหม่จึงควรได้รับประสบการณ์ตรงและข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในวงการที่เผชิญกับโจทย์ที่มีความซับซ้อนและเงื่อนไขในการสร้างแคมเปญให้กับแบรนด์ต่าง ๆ อย่างช่ำชอง ซึ่งปับลิซิส กรุ๊ปถือเป็นขุมพลังแห่งความรู้และประสบการณ์ดังกล่าว เมื่อได้ร่วมออกแบบการเรียนการสอบกับสถาบันการศึกษาอย่างคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะช่วยเชื่อมช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างทฤษฎีและปฏิบัติได้อย่างแท้จริง”
ปลดล็อคกลยุทธ์ในการสร้างแคมเปญแห่งชัยชนะ
ในความร่วมมือครั้งนี้ ปับลิซิส กรุ๊ปฯ ได้ออกแบบโปรแกรมที่มีชื่อว่า Unlock the Winning Campaign – An Insider's Guide to Brand Communication Excellence โดยจะมีทั้งสิ้น 16 คลาส ซึ่งนิสิตจะได้ใช้เวลา 48 ชั่วโมงกับผู้เชี่ยวชาญในการสร้างแคมเปญจากปับลิซิส กรุ๊ป กว่า 20 ท่าน ผลัดเปลี่ยนกันให้ความรู้ เพื่อที่นิสิตจะได้เรียนรู้เนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรม การวางแผนสื่อและการซื้อสื่อ โลกของโซเชียลมีเดีย การนำเสนองานและการเล่าเรื่อง งานประชาสัมพันธ์และการจัดการกับ KOL งาน CRM และการจัดการดาต้า รวมถึงการแชร์ประสบการณ์ชีวิตเอเจนซี่ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยปับลิซิส กรุ๊ปในครั้งนี้จะสามารถ สร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความหลงใหลในอุตสาหกรรมโฆษณา และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มีต่อสังคม ธุรกิจ และอาชีพของตนเองในอนาคต พร้อม ให้ความรู้ โดยจะมอบประสบการณ์ตรงอันล้ำค่าที่ไม่สามารถหาได้ในห้องเรียนอื่นๆ ตลอดจน เสริมพลัง เพื่อเตรียมความพร้อมให้นิสิตมีทักษะและความมั่นใจที่จะสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกวงการโฆษณาในอนาคต
“ความร่วมมือระหว่างปับลิซิส กรุ๊ป ประเทศไทยและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรที่มีเป้าหมายเดียวกันในการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ โดยการแบ่งปันความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เรามี สะท้อนให้เห็นว่าการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโฆษณาอย่างปับลิซิส กรุ๊ป ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่คนรุ่นต่อไปที่จะพร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น สามารถคว้าโอกาสที่รออยู่ข้างหน้าและพร้อมที่จะเป็นบุคลากรคุณภาพในสายอาชีพนี้ได้เป็นอย่างดี” คุณเจนคณิต กล่าวปิดท้าย