

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 8 จากซ้าย แถวที่สาม) และ คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด (คนที่ 9 จากซ้าย แถวที่สาม) นำทีมคณะผู้บริหาร พนักงาน และฝ่ายขายจิตอาสา ร่วมเดินหน้าสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน ผ่านกิจกรรมปลูกข้าว พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์ไฟแสงสว่างระบบโซลาร์เซลล์และพันธุ์ปลานานาชนิด ภายใต้โครงการ “แผ่นดินทองเพื่อน้องๆ บ้านนานา ปีที่ 18” ณ. มูลนิธิพันธกิจเด็กและชุมชน บ้านนานา อ. แม่สาย จ. เชียงราย ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทฯ จัดทำอย่างต่อเนื่อง และช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืน โดยสามารถช่วยสร้างผลผลิตข้าวให้แก่ชุมชนเพิ่มขึ้น จาก 2,000 ก.ก. ต่อปี เป็นมากกว่า 7,000 ก.ก. ต่อปี

กิจกรรมแผ่นดินทองเพื่อน้องๆ บ้านนานา เป็นกิจกรรมที่ตอกย้ำปรัชญาการทำกิจกรรมเพื่อสังคมของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ที่มุ่งเน้น “การให้โอกาส ไม่ใช่เพื่อการกุศล – Opportunity, not Charity” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนให้เด็กทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุข ทั้งยังสามารถแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง รวมทั้งสร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชน พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจ และจุดประกายให้หลายๆ ชุมชนของไทย เชื่อว่าทุกคนทำได้ หรือ Know You Can โดยบริษัทฯ พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เข้าร่วมประชุมรับมอบนโยบายการดำเนินงานจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รวค.) และ นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม(รชค.) ณ หอประชุมราชรถสมโภช อาคารราชรถสมโภช กระทรวงคมนาคม

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมีผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมรับมอบนโยบายอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้รับมอบนโยบายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1) การเร่งรัดและเปิดใช้งานการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ให้ทันตามแผนการก่อสร้างที่วางไว้ เพื่อคืนการจราจรและการเดินทางขนส่งแก่ประชาชน ภายใต้การกำกับการดำเนินงานก่อสร้าง พร้อมทั้งให้กำชับผู้รับจ้างและผู้รับเหมาถึงเรื่องความปลอดภัยและมาตรการการลงโทษเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้ง ติดตามความคืบหน้าการเชื่อมต่อระหว่างทางพิเศษกาญจนาภิเษก และทางยกระดับ ทล.35 (M82) เพื่อให้พร้อมเปิดให้บริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2568

2) การดำเนินการก่อสร้างโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของจังหวัด ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการเดินทางในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดย รวค. เตรียมลงพื้นที่ภูเก็ตภายในเดือนตุลาคม 2568 เพื่อพบปะประชาชนและภาคธุรกิจ รวมถึงหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ต่อไป
โอเอซิส พรีเมียม เจลน้ำหอมปรับอากาศ สูตรธรรมชาติ บูมทั่วอาเซียน ผู้บริโภคยกให้เป็นแบรนด์ยอดนิยมที่เลือกซื้อ หอมสม่ำเสมอยาวนาน ด้วยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมอบประสบการณ์ความหอมเหนือระดับให้บ้านของคุณ
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย ตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้าใจทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า พร้อมเดินหน้าสร้างความคุ้มค่าแบบจัดเต็ม โดยล่าสุดเอาใจสมาชิกวัตสันคลับและลูกค้าวัตสัน ด้วยโปรโมชันสุดพิเศษแห่งปี "จับคู่ จ่ายครึ่ง คละได้" ” เพียงจับคู่สินค้าใดๆที่มีสติกเกอร์ 2 ชิ้น จ่ายแค่ครึ่งเดียว!! จะบิวตี้ ของใช้ส่วนตัว หรือไอเท็มเพื่อสุขภาพ ก็จับคู่ได้แบบตามใจสุดๆ กว่า 1,500 รายการ เพื่อมอบประสบการณ์ชอปปิงที่สนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์ จับคู่สินค้าแบบคละได้ทั้งหน้าร้านและวัตสันออนไลน์ตามความต้องการแบบปล่อยจอย ไม่มีกั๊ก

ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 22 ตุลาคม 2568 ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความคุ้มค่า ได้ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศ และวัตสันออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน - 22 ตุลาคม 2568 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store
ท่ามกลางสมรภูมิการตลาดดิจิทัลที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว BUZZEBEES ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้าน Full Funnel Marketing Platform ด้วยการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ทางการตลาดที่ครบวงจร ตั้งแต่การดึงดูดลูกค้าใหม่ (Acquisition) ไปจนถึงการรักษาฐานลูกค้าเก่าอย่างยั่งยืน (Retention) ตอกย้ำวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้เล่นหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
ความสำเร็จของ BUZZEBEES มาจาก 3 ธุรกิจหลักที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ได้แก่ Buzzebees Loyalty & Engagement, Hive Commerce และ Mediabuzz ซึ่งแต่ละธุรกิจต่างเป็นผู้นำในตลาดของตัวเองและมีจุดแข็งที่โดดเด่น

แพลตฟอร์ม CRM Loyalty & Engagement ที่ทรงพลังด้วย AI
Buzzebees Loyalty & Engagement เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ด้วยการเป็นผู้ให้บริการระบบ CRM และ Loyalty ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด โดยปัจจุบันได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจชั้นนำทั้งระดับองค์กร (Enterprise) และ SME กว่า 3,000 แพลตฟอร์ม ทั้งในไทย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และกัมพูชา

คุณณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES) กล่าวว่า "BUZZEBEES ไม่ได้เป็นแค่บริษัทที่ให้บริการ Loyalty Platform เหมือนในอดีต แต่เราสร้างโครงสร้างพื้นฐานในโลกดิจิทัลที่ช่วยให้ทุกธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน" จุดเด่นสำคัญของแพลตฟอร์มนี้คือการก้าวสู่การเป็น AI-Powered Loyalty Platform ที่ยกระดับประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจ เช่น:
นอกจากนี้ BUZZEBEES ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และเชื่อมต่อโลกออฟไลน์สู่โลกออนไลน์ (Offline-to-Online) ได้อย่างไร้รอยต่อ

Hive Commerce: E-Commerce Enabler ที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2025
สำหรับธุรกิจที่ต้องการบุกตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มตัว Hive Commerce คือคำตอบ ด้วยการเป็น E-Commerce Enabler แบบครบวงจรที่ให้บริการตั้งแต่การตลาด การบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์, Live Commerce ไปจนถึง Fulfillment Service ครอบคลุมทั้งแพลตฟอร์ม Brand.com และ Marketplace ชั้นนำอย่าง Lazada, Shopee และ TikTok ด้วยสถานะการเป็น Certified Enabler จากทุกแพลตฟอร์ม Hive Commerce จึงได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Tipco, Kate, I.P.One และไทยน้ำทิพย์ รวมถึงแบรนด์ต่าง ๆ อีกมากมาย
ในปี 2567 ที่ผ่านมา Hive Commerce ประสบความสำเร็จในการสร้าง GMV สูงสุด เติบโตขึ้นเกือบ 50% โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok ที่ทำยอดขายเติบโตสูงสุดเป็นเท่าตัว สำหรับปี 2568 นี้ Hive Commerce ตั้งเป้าผลักดันยอดขายให้แบรนด์เติบโตสูงสุดถึง 10 เท่า และตั้งเป้าสู่การเป็น E-Commerce Enabler อันดับ 1 ของประเทศไทย
Mediabuzz: ก้าวใหม่ของ Digital Marketing ที่ขับเคลื่อนด้วย Influencer และ Affiliate
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่เสริม Ecosystem ให้แข็งแกร่งคือ Mediabuzz หน่วยธุรกิจด้าน Digital Marketing ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์การตลาดที่แตกต่างจากเอเจนซี่ทั่วไป โดยมุ่งเน้นการสร้าง Conversion ที่แท้จริงผ่าน KOL และ Influencer ที่วัดผลได้ โดยมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก และจ่ายเงินเมื่อมียอดขาย
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว BUZZEBEES ได้เข้าซื้อกิจการ Insightout ซึ่งเป็นเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านครีเอทีฟและ Digital Marketing รวมถึงเข้าซื้อกิจการ ‘ติดโปร’ ผู้บริหารเพจด้าน Affiliate อันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งส่งผลให้ Mediabuzz ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในปี 2025 ด้วยการคว้ารางวัลระดับภูมิภาคมากมาย เช่น Shopee Best Performance และ Lazada SEA Awards 2025 ในสาขา Thailand Affiliate of the Year

นอกจากนี้ Mediabuzz ยังมุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัว “CREATE” แพลตฟอร์ม Affiliate Marketing ที่รวบรวม Creator ทั่วประเทศ และมีระบบการจ่ายงาน Affiliate ให้ Creator โดยใช้ Data & AI เพื่อสร้างโอกาสในการทำรายได้แม้สำหรับ Creator รายเล็ก โดยขับเคลื่อนด้วย 3 แนวคิดหลัก:
เพียง 1 เดือนหลังการเปิดตัว CREATE สามารถสร้าง GMV ได้เกือบ 100 ล้านบาท ผ่านเครือข่าย Creator กว่า 300 คน และมุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์ม Creator & Affiliate อันดับ 1 ของประเทศไทย

ก้าวสู่ระดับสากล: เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของ BUZZEBEES
นอกจากการเติบโตในประเทศแล้ว BUZZEBEES ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันให้บริการใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และกัมพูชา โดยในปัจจุบัน BUZZEBEES มีแพลตฟอร์มพันธมิตรกว่า 3,000 แพลตฟอร์ม และมีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มกว่า 200 ล้านบัญชี
คุณไมเคิล เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BUZZEBEES กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ Buzzebees ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทคือ ‘Connecting the World’ เราต้องการเชื่อมโยงธุรกิจทุกขนาดให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนยั่งยืน และตั้งเป้าหมายที่จะสร้าง Ecosystem ทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปีนี้ เราเติบโตอย่างมากจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ Buzzebees Loyalty & Engagement, Hive Commerce และ Mediabuzz เราได้สร้าง Ecosystem ทางการตลาดที่ครบวงจร ครอบคลุมทุก Funnel ตั้งแต่การดึงดูดลูกค้า การสร้างประสบการณ์การซื้อ ไปจนถึงการรักษาลูกค้าในระยะยาว เพื่อเป็นผู้นำ Marketing Platform อันดับ 1 ของประเทศไทยและภูมิภาค และยกระดับมาตรฐานการตลาดดิจิทัลของไทยสู่เวทีโลก”
สำหรับเป้าหมายในปี 2568 นี้ BUZZEBEES ได้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตถึง 3.4 พันล้านบาท เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและธุรกิจระดับโลก และมีแผนในการร่วมพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศอีกด้วย
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย เดินหน้าเสริมผลิตภัณฑ์ความงามจากแบรนด์พันธมิตรรายใหม่ เพิ่มความหลากหลาย และยกระดับประสบการณ์ชอปปิงให้เหนือกว่า เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งและไม่หยุดนิ่งในการสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค ล่าสุดร่วมแสดงความยินดีและให้การต้อนรับ บริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ Estée Lauder Companies เข้าร่วมเป็นพันธมิตรรายสำคัญกับวัตสัน ประเทศไทย โดยประเดิมความร่วมมือด้วยผลิตภัณฑ์ The Ordinary (ดิ ออดินารี่) แบรนด์สกินแคร์ระดับโลกสัญชาติแคนาดาที่ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้เลือกจากแค่โฆษณา หรือโปรโมชั่น แต่เลือกจาก “ส่วนผสมที่ใช่” และ “ราคาที่ซื่อสัตย์” คอนเซ็ปต์นี้จึงที่ทำให้ The Ordinary กลายเป็นแบรนด์สกินแคร์ระดับโลกที่ครองใจสาวกบิวตี้ทั่วโลก เตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ณ ร้านวัตสัน 19 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงวัตสันออนไลน์

การผนึกกำลังกันของสองผู้นำในครั้งนี้ นำโดย นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ และเนติ มีนมณี ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อ วัตสัน ประเทศไทย ร่วมด้วย ทิพาภรณ์ อูนากูล Country GM, Estee Lauder Company (Thailand) นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้าของวัตสันในกลุ่มสกินแคร์ให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น ยังตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ของวัตสันที่ต้องการให้ลูกค้าทุกคนได้รับประสบการณ์ชอปปิงที่ดีที่สุดเมื่อเข้ามาร้านวัตสัน ด้วยการเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับสากลในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของวัตสันในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับวงการสุขภาพและความงามอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังมีการจัดงาน Science on Wheels - The Road to Watsons อีเวนต์ Pop-Up ของ The Ordinary ที่จับมือวัตสัน เปิดโอกาสให้เหล่าสาวกบิวตี้เมืองไทยก้าวเข้าสู่พื้นที่ Skincare Truck ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นบ้านเคลื่อนที่ของนักวิทยาศาสตร์สกินแคร์ยุคใหม่ พร้อมกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมาย ณ เซ็นเตอร์พอยท์ สยามสแควร์ ระหว่างวันที่ 26 – 27 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา
| สหรัฐ |
สหรัฐฯ เผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย หลังทรัมป์ยกระดับสงครามการค้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 2 ขยายตัว 3.8% QoQ annualized สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.3% ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 กันยายน 2568 ปรับลดลงสู่ 2.18 แสนราย ต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนร่วงลงสู่ 55.1 จากเดือนก่อนที่ 58.2 ขณะที่เงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE เดือนสิงหาคมเร่งขึ้นสู่ 2.7% YoY ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 เดือน
ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ 30-50% รถบรรทุกขนาดใหญ่ 25% และผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม 100% ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะถัดไป เมื่อประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่รายงานออกมาดีกว่าคาดอาจทำให้เฟดต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของความเชื่อมั่นและการชะลอตัวอย่างชัดเจนของตลาดแรงงาน รวมทั้งผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้า คาดว่าจะส่งผลเชิงลบมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นเฟดจึงมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ในการประชุมที่เหลือของปีนี้

| ญุี่ปุ่น |
การเลือกตั้งผู้นำ LDP คนใหม่ หนุนความเชื่อมั่นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นลดลงสู่ระดับ 48.4 จาก 49.7 ในเดือนก่อน ซึ่งหดตัวแรงที่สุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ PMI ภาคบริการเบื้องต้นชะลอลงเล็กน้อยจาก 53.1 สู่ 53.0 ส่วนอัตราเงินเฟ้อกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ทรงตัวที่ 2.5% YoY
ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น โดยภาคการผลิตหดตัวแรงและการส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันการบริโภคในประเทศยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งหัวหน้าพรรครัฐบาล (LDP) ที่จะมีขึ้นวันที่ 4 ตุลาคม คาดว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ เช่น นโยบายปรับลดภาษี รวมถึงการมอบเงินสนับสนุนแก่ครัวเรือนในประเทศ ซึ่งหากนโยบายต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไปอาจเพิ่มโอกาสที่ BOJ จะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้

| จีน |
ภาวะอุปทานส่วนเกินและตลาดแรงงานที่เปราะบางยังคงกดดันเศรษฐกิจจีน กำไรภาคอุตสาหกรรมในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพียง 0.9% YoY จาก -1.7% ในช่วง 7 เดือนแรก ส่วนอัตราการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาว (อายุ 16-24 ปีไม่รวมนักเรียน) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 18.9% ในเดือนสิงหาคมจาก 17.8% ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ดัชนี PMI ย่อยด้านการจ้างงานในภาคการผลิตและนอกการผลิตในเดือนสิงหาคมยังคงอยู่ในโซนการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 30 ที่ 47.9 และ 45.6 ตามลำดับ
กำไรภาคอุตสาหกรรมล่าสุดยังคงสะท้อนถึงแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและภาวะอุปทานส่วนเกิน แม้จีนได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่คาดว่าต้องอาศัยเวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน อีกทั้งประสิทธิผลของมาตรการอาจถูกลดทอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้ธุรกิจจีนต้องคงราคาสินค้าในระดับต่ำเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่เครื่องชี้ด้านการจ้างงานสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างอุปทานแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล (นักศึกษาจบใหม่) กับอุปสงค์แรงงานที่อ่อนแอจากภาคธุรกิจซึ่งกังวลกับการขยายการลงทุน นอกจากนี้ คำตัดสินของศาลสูงจีนที่ห้ามหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมตั้งแต่ 1 กันยายน อาจทำให้ธุรกิจบางส่วนต้องลดการจ้างงานจากต้นทุนที่สูงขึ้น

| เศรษฐกิจไทย |
การคลังที่อ่อนแอและการเติบโตที่เผชิญปัจจัยลบสร้างแรงกดดันต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ขณะที่ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯฉุดการส่งออกชะลอตัว
ฟิทซ์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่เชิงลบ ปัจจัยฉุดจากภาคการคลังที่อ่อนแอลงและการเมืองที่เปราะบาง ล่าสุดบริษัทฟิทซ์ เรnติงส์ แม้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+ แต่ได้ปรับลดแนวโน้มลงจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” เนื่องจาก (i) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มภาคการคลังที่ได้รับผลพวงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ประกอบกับ (ii) ปัจจัยลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ผลจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก การฟื้นตัวที่ล่าช้าของภาคท่องเที่ยว และภาระหนี้ครัวเรือน
การปรับลดแนวโน้มอันดับความเชื่อถือลงสู่เชิงลบของฟิทซ์ เรตติ้งส์ล่าสุด หลังจากที่ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มไปก่อนหน้าในช่วงปลายเดือนเมษายนนั้น สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างด้านการคลังและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในระยะสั้น รัฐบาลได้เตรียมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสนับสนุนการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคส่งออก สำหรับในระยะกลางถึงยาว ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการลดการขาดดุลทางการคลังหรือการรักษาวินัยการคลัง เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะและบรรเทาความเสี่ยงในการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต

มูลค่าส่งออกเดือนสิงหาคมเติบโตชะลอเหลือเลขหลักเดียวในรูปเงินดอลลาร์ และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรูปเงินบาท กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 27.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่ 5.8% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 5.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาหดตัวโดยได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันทางด้านราคา อาทิ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ขณะที่หดตัวในตลาดสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 223.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.3%
การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมชะลอลงชัดเจน หลังจากเริ่มมีการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯเติบโตเหลือเพียง 12.8% YoY ชะลอลงจากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 30% ในช่วง 7 เดือนแรก สะท้อนว่าปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าได้ทยอยสิ้นสุดลง และการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในเดือนสิงหาคมยังทำให้มูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -5.5% YoY สถานการณ์ดังกล่าวกดดันรายได้ผู้ส่งออกในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่มีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อยหรือใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) เป็นหลัก ทั้งนี้ แรงกดดันทั้งจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท มีแนวโน้มทำให้บทบาทของภาคส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้
