

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมหารือนัดพิเศษกับเครือข่ายพันธมิตรในแวดวงอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น สมาคมไทยไอโอที สมาคมการค้าผู้ประกอบการเทคโนโลยี สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย สมาคมดิจิทัลคอนคอนเทนต์ไทย สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย สมาคมระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด สมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย เพื่อรวบรวมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ก่อนนำมาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางการทำงานของ ดีป้า ในการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมดิจิทัล อีกทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศต่อไป โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้โดยพร้อมเพรียง ณ อาคารสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สำนักงานใหญ่) ซอยลาดพร้าว 10 เขตจตุจักร

ทั้งนี้ ผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้เสนอความคิดเห็นและมุมมองด้านการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น
ภาคอุตสาหกรรมเห็นพ้องว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้าน Cloud, Data Center รวมถึงมาตรฐาน IoT ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้านอื่น ๆ เพื่อรองรับการลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการดึงดูดงานสร้างสรรค์ เช่น ภาพยนตร์หรือดิจิทัลคอนเทนต์ให้อยู่ในประเทศแบบครบวงจร
ที่ประชุมสะท้อนว่า ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสาย AI, MarTech และดิจิทัลคอนเทนต์ ต้องการการสนับสนุนที่ช่วยสร้างความได้เปรียบ เช่น การลดข้อจำกัดด้านกฎหมาย การสนับสนุนให้เกิด IP ไทย การสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ การเปิดพื้นที่ทดสอบ (POC) โดยมีรัฐช่วยเป็นผู้รับรองความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน SMEs ต้องเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวสู่เทคโนโลยีใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ยังขาดความพร้อม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่าง Demand-Supply ที่ต้องเร่งแก้ไข

ภาคอุตสาหกรรมระบุว่า ไทยยังมีจำนวนผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี เช่น AI ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง อีกทั้งบัณฑิตจบใหม่จำนวนมากยังไม่มีงานทำ เพราะทักษะไม่ตรงตามความต้องการของตลาด จึงเสนอให้มีการพัฒนาทักษะเชิงลึก การสร้างแรงงานฝีมือ และการกระจายโอกาสให้เยาวชนจากต่างจังหวัดเข้าถึงอุตสาหกรรมได้มากขึ้น
ผู้ประกอบการและกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ต้องการพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เช่น Meet up เวิร์กชอป หรือกิจกรรมสร้างความร่วมมือ โดยเสนอให้ ดีป้า ทำให้พื้นที่ขององค์กรเป็น Digital Hub ที่เปิดกว้างให้ชุมชนดิจิทัลเข้ามาใช้ได้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือใหม่ ๆ

เสียงส่วนใหญ่สะท้อนว่า ภาครัฐยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก การยื่นข้อเสนอช้า และการพิจารณาเอกสารใช้เวลานาน ทำให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กเข้าถึงได้ยาก พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐยอมรับความเสี่ยงในการล้มเหลวของนวัตกรรม ไม่ใช่มองว่าการสนับสนุนทุกโครงการต้องประสบความสำเร็จเสมอ เพราะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องมีพื้นที่สำหรับความผิดพลาดเพื่อเติบโต
หลายภาคส่วนต้องการให้หน่วยงานรัฐทำงานร่วมกับสมาคมมากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ เช่น งานระดับนานาชาติ เพื่อให้สมาคมมีบทบาทตัดสินใจอย่างแท้จริงและสะท้อนความต้องการของอุตสาหกรรมได้ชัดเจน
ผู้ประกอบการจำนวนมากสะท้อนว่าปัญหา Credit Term ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้กฎหมายกำหนด 45 วัน แต่หลายธุรกิจยังปฏิบัติไม่ได้จริง ส่งผลต่อสภาพคล่องของ SMEs จึงเสนอให้มีมาตรการช่วยเหลือ หรือแนวทางเพื่อให้ระบบการชำระเงินเป็นธรรมและสอดคล้องกับความเป็นจริงของอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมเกมสะท้อนว่า ไทยยังมีศักยภาพสูง สามารถดึงงานและการลงทุนจากต่างชาติได้ หากมีการผลักดันเชิงระบบ โดยที่ประชุมมีการเสนอว่าไทยควรใช้ความสำเร็จของงาน gamescom x Thailand Game Show 2025 ที่จัดในไทยเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงดูดนักลงทุน ครีเอเตอร์ และแรงงานต่างชาติให้เข้ามาทำงานในประเทศ นอกจากนี้ รัฐควรกระจายกิจกรรมและโอกาสไปยังภูมิภาค เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในต่างจังหวัดเข้าสู่อุตสาหกรรมเกมมากขึ้น พร้อมเปิดให้สมาคมและภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทตัดสินใจร่วมกับภาครัฐในการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ เพื่อให้การขับเคลื่อนสอดคล้องกับความต้องการจริงของอุตสาหกรรม อันสะท้อนความต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคอนเทนต์–เกมของภูมิภาคในอนาคต

“เสียงสะท้อนทั้งหมดชี้ชัดว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการปรับกฎเกณฑ์ให้ทันสมัย เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน ไปจนถึงการสนับสนุนความเสี่ยงของนวัตกรรมใหม่” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
Dr.Tallsters สถาบันเพิ่มความสูงด้วยนวัตกรรมอันดับ 1 ของเอเชีย จัดงาน "Exclusive Star Growth - สูง บุคลิกดี อนาคตไกล" ฉลองความสำเร็จของน้องๆ กว่า 30 ท่านที่ผ่านการเข้าร่วมโปรแกรมเพิ่มความสูงและได้ผลลัพธ์จริง โดยความสูงเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 5 เซนติเมตรขึ้นไป พร้อมกิจกรรมเวิร์กชอป "Powerful Presence & Exclusive Portfolio" เพื่อยกระดับบุคลิกภาพและเสริมความมั่นใจเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่สดใส อีกทั้งมอบประกาศนียบัตรและโล่แห่งความภาคภูมิใจให้กับน้องๆ ที่โรงแรม เอทัส ลุมพินี เมื่อวันก่อน

ดร.บัณลักข ถิรมงคล ผู้อำนวยการ สถาบันเพิ่มความสูง Dr.Tallsters กล่าวว่า “ที่ Dr.Tallsters เราไม่ได้เน้นแค่การเพิ่มความสูงเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์รวม เราเชื่อว่าความสูงพร้อมบุคลิกภาพที่ดี จะเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสและความสำเร็จในชีวิต งานวันนี้เป็นการยืนยันว่า Dr.Tallsters คือ ของจริง เรามีเคสจริงที่ช่วยให้น้องๆ สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ หลายคนสูงขึ้นมากกว่า 10 เซนติเมตร และมีสถิติความสูงจากสถาบันถึง 32 cm ด้วยเทคนิคของสถาบันฯ “Aerodynamic Exercise” ที่กระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน ผสมผสานการปรับโครงสร้างและกระดูกด้วยศาสตร์ไคโรแพรคติกแพทย์จากสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ทำให้เรามีผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งโปรแกรมของเรามีอัตราความสำเร็จสูงถึง 84.78% จากการดูแลมาแล้วมากกว่า 10,000 เคส เราใช้วิธีธรรมชาติ ไม่ฉีดยา ไม่ผ่าตัด ปลอดภัย มีทีมผู้เชี่ยวชาญถึง 3 ด้านคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ศาสตร์ไคโรแพรคติกแพทย์ วิทยาศาสตร์การกีฬา ไปจนถึงนวัตกรรมการกระตุ้นความสูง ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความยั่งยืน ปลอดภัย และเป็นธรรมชาติ และเราภาคภูมิใจมากที่ได้เห็นน้องๆ เติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ
เราเข้าใจว่า ผู้ปกครองทุกคนต้องการให้ลูกมีโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต และความสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่นใจและเปิดโอกาสให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการศึกษา การประกอบอาชีพ หรือแม้แต่ความมั่นใจในการเข้าสังคม Dr.Tallsters มีประสบการณ์กว่า 20 ปี มีนวัตกรรมที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว และมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลน้องๆ อย่างใกล้ชิดและเป็นระบบ วันนี้น้องๆ ที่มาร่วมงานคือสักขีพยานของความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริง”

ไฮไลท์ของงานในครั้งนี้คือ เวิร์กชอป "Powerful Presence & Exclusive Portfolio" ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและปรับบุคลิกภาพให้กับน้องๆ ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มความสูงแล้ว เวิร์กชอปประกอบด้วยการฝึกสอนและปรับท่าทางการเดิน การยืน การนั่ง และการโพสท่าถ่ายภาพพื้นฐานสำหรับทั้งหญิงและชาย โดยมุ่งเน้นให้น้องๆ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์เข้าเรียนต่อ การนำเสนองาน การเข้าสังคม หรือแม้กระทั่งการถ่ายภาพในโอกาสต่างๆ ประโยชน์ที่น้องๆ ได้รับ มีทั้งการเรียนรู้การแสดงออกที่เหมาะสมและน่าประทับใจ การรู้จักจุดเด่นของตัวเองและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การสร้างความมั่นใจในการยืนหน้าผู้คน และที่สำคัญคือการได้สัมผัสประสบการณ์การถ่ายภาพในสตูดิโอจากช่างภาพมืออาชีพ เหมือนน้องๆ เป็นดารา นางแบบ-นายแบบ และยังได้รับภาพถ่ายกลับบ้านไปพร้อมกับของขวัญพิเศษมากมาย
ปิดท้ายงานด้วยพิธีมอบประกาศนียบัตร "Certificate of Star Growth" ให้แก่น้องๆ ทุกคน และการมอบโล่แห่งความภาคภูมิใจพิเศษให้กับน้องๆ ที่สูงขึ้นเกิน 10 เซนติเมตรขึ้นไป เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นต่อไป

นางสาวพรรณรังสี เต็มแสวงเลิศ CEO บริษัท สตรองผลลัพธ์ คอร์ป จำกัด กล่าวเสริมว่า "เวิร์กชอปที่เราจัดในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแบบองค์รวมที่เรามุ่งเน้น เพราะเมื่อน้องๆ สูงขึ้นแล้ว พวกเขาต้องมีบุคลิกภาพและความมั่นใจที่จะใช้ความสูงนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเดินที่สง่างาม การยืนที่มั่นใจ การนั่งที่ถูกต้อง และการแสดงออกที่เหมาะสม จะช่วยเสริมให้ความสูงที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นจุดแข็งที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขเท่านั้น"
Dr.Tallsters ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นมากกว่าสถาบันเพิ่มความสูง เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นใจ พัฒนาบุคลิกภาพ และเปิดโอกาสให้กับเด็กและวัยรุ่นไทยทุกคน เพื่อให้พวกเขามีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป งาน "Exclusive Star Growth" ในครั้งนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการยกระดับบริการแบบองค์รวม ที่จะทำให้น้องๆ ทุกคนที่มาใช้บริการกับ Dr.Tallsters ไม่ได้แค่สูงขึ้น แต่ยังได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และทักษะที่จะนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวพรรณรังสี กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ปกครองที่สนใจให้บุตรหลานเข้าร่วมโปรแกรมเพิ่มความสูงกับ Dr.Tallsters สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนามการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือร่วมสร้างอนาคตไทยด้วยเทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผ่านโครงการสหกิจศึกษา นิสิตจะมาปฏิบัติงานจริงในโครงการแผนงานต่างๆ ในองค์กรที่มีทั้งในปัจจุบันและที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ของนิสิตก่อนจบการศึกษา

รวมถึงการส่งเสริมทักษะด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Cybersecurity, Data Science, Data Engineering, Software Development เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือตลาดแรงงานในอนาคต และร่วมกันสนับสนุนโครงการกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ให้เข้าถึงคนทุกกลุ่มทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายและศูนย์บริการ ของNT ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เมื่อวันพุธที่ 8 ตุลาคม 2568 ณ เรือนจุฬานฤมิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท กรุงเทพฯ
นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ภายใต้นโยบาย "พม.ใกล้คุณ" โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ เพื่อให้กลุ่มเปราะบางได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงมี และสามารถ "ตั้งหลักใหม่" เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง โดยมี นางสาวสนธยา บุณยภูษิต อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. คนพิการ ครอบครัวคนพิการ องค์กรคนพิการ อาสาสมัคร เครือข่ายเอกชน เข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายกันตพงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่สูงและยืดเยื้อ และการดูแลแบบ "บ้านสองวัย" ที่ผู้สูงอายุต้องเลี้ยงดูเด็กแทนพ่อแม่วัยทำงาน ซึ่งส่งผลต่อช่องว่างระหว่างวัย อีกทั้งคนพิการต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าคนทั่วไป ทั้งค่าดูแลอุปกรณ์ และการเดินทาง มีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ความยากจนซ้ำซ้อน

ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมุ่งขับเคลื่อนงานตามนโยบาย "พม.ใกล้คุณ" ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานใกล้ชิดประชาชนและปัญหา โดยใช้หลัก 3H คือ Heart Head Hand ด้วยการทำด้วยใจ คิดด้วยสมอง แล้วยื่นมือมาช่วยเหลือกัน ตามมาตรการ "เร่งสร้างคุณภาพชีวิตคนพิการ" เพื่อส่งเสริมให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วย 4 Quick Win ได้แก่ 1) เร่งทบทวนหลักเกณฑ์ประเมินความพิการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการ 1,000 บาท ถ้วนหน้า 3) ปูพรมลงพื้นที่สำรวจข้อมูล เพื่อส่งมอบกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทความพิการ และ 4) พัฒนาแนวทางการกู้ยืมเงินกองทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดจะทำให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระหนี้สิน และมีโอกาสสร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน

นายกันตพงศ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" นั้น เป็นหนึ่งในภารกิจของการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาทักษะอาชีพ เชื่อมโยงตลาดแรงงาน และเปิดเวทีให้คนพิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมืออย่างยิ่งจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งภายในงานนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิธีเปิดงานฯ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน การลงนามบันทึกความร่วมมือ "ด้านการเสริมสร้างโอกาสการจ้างงานและการประกอบอาชีพ" การมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านคนพิการของกรม พก. และรางวัล "We Can Do" เชิดชูคนพิการต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่สังคม ตลาดอาชีพและสินค้าคนพิการกว่า 300 ร้านค้า เวทีเสวนาและเวิร์กชอปสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ การสาธิตอาชีพเชิงสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง อาทิ เก่ง ธชย, นัน อนันต์ ไมค์ทองคำ และไรอัล กาจบัณฑิต และการแสดงความสามารถของคนพิการ วงดนตรีคนพิการ S2S ถ่ายทอดบทเพลงแห่งแรงบันดาลใจ ภายใต้แนวคิด "ความพิการไม่ใช่อุปสรรคของความสามารถ"

นายกันตพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มุ่งหวังให้งานครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้คนพิการมีงานทำ แต่ยังเป็นเวทีที่แสดงให้สังคมได้เห็นคุณค่าของคนพิการที่มีศักยภาพและความสามารถไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแค่ต้องการโอกาสที่เหมาะสม โดยกระทรวง พม. พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจ ให้โอกาสแก่คนพิการ ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ และก้าวสู่ชีวิตใหม่อย่างมั่นคง สู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พร้อมเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการบิวตี้ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญด้วยการจับมือกับ ELCA ประเทศไทย ในเครือเอสเต ลอเดอร์ เจ้าตลาด Prestige Beauty ระดับโลก เปิดตัว The Ordinary อย่างเป็นทางการบนชั้นวางวัตสันเป็นครั้งแรก การผนึกกำลังของสองยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมความงามครั้งนี้ เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมจากห้องแล็บสู่มือผู้บริโภคไทย พร้อมยกระดับมาตรฐานความงามและการเข้าถึงสกินแคร์คุณภาพระดับโลกให้กว้างไกลยิ่งขึ้น การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อสกินแคร์ในประเทศไทย แต่ยังตอกย้ำจุดยืนของวัตสันในการเป็นปลายทางแห่งความงามที่ครบครัน The Ordinary โดดเด่นด้วยปรัชญา “ความจริงใจต่อผิว” ใช้ส่วนผสมออกฤทธิ์ที่ตรงจุด พิสูจน์ผลลัพธ์ได้จริง การเข้ามาของแบรนด์จึงเปรียบเสมือนการ ปักหมุดความงามชิ้นสำคัญที่ทำให้พอร์ตโฟลิโอของวัตสันครบเครื่องกว่าเดิม และเสริมศักยภาพให้โดดเด่นครบทุกมิติ

คุณนวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ The Ordinary เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัววัตสัน การร่วมมือครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูง ความมุ่งมั่นของวัตสันในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้ลูกค้าเข้าถึงสกินแคร์คุณภาพระดับโลกจากแลปสู่มือลูกค้าได้อย่างง่ายดาย”

คุณทิพาภรณ์ อูนากูล Country GM, Estee Lauder Company (Thailand) กล่าวเสริมว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกับวัตสัน ประเทศไทย ผู้นำตลาดสุขภาพและความงามที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่งและสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ เราเชื่อว่าการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเราที่วัตสันจะเป็นการเปิดประตูใหม่ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกับสกินแคร์ที่พิสูจน์ผลลัพธ์ได้จริงและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น”

สำหรับ The Ordinary เป็นสกินแคร์จากแคนาดา ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและสร้างชื่อเสียงในระดับสากล ด้วยจุดยืนชัดเจนในการนำเสนอส่วนผสมอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใสด้านข้อมูลและราคา โดยใช้สารออกฤทธิ์ที่เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เชื่อถือได้ โดยมีผลิตภัณฑ์ไฮไลต์อย่างเซรั่ม Niacinamide 10% + Zinc 1%, Hyaluronic Acid 2% + B5 และ Glycolic Acid 7% Exfoliating Toner ที่ครองใจผู้บริโภคทั่วโลก จนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์สกินแคร์ที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพในราคาที่เข้าถึงได้ สามารถร่วมสัมผัสการปรนนิบัติผิวและเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ The Ordinary ได้แล้ววันนี้ที่ร้านวัตสันทั้ง 19 สาขา หรือทางวัตสันออนไลน์
โชว์ซอฟต์พาวเวอร์อาหารและแฟชั่นไทย สร้างอนาคตใหม่ให้ SMEs คาดดึงคน 30,000 รายเข้างาน กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท
วัตสัน แบรนด์สุขภาพและความงามชั้นนำของ เอเอส วัตสัน กรุ๊ป ประกาศแผนเชิงกลยุทธ์ ปฏิวัติเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic Beauty) ด้วยการเร่งขยาย JCprogram แบรนด์สกินแคร์ระดับคลินิกโดยศัลยแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นไปทั่วภูมิภาคเอเชีย
จากความสำเร็จของการเปิดตัว JCprogram ในวัตสัน จีนเมื่อปี 2564 ทำให้ JCprogram ครองแชมป์แบรนด์ Aesthetic Beauty อันดับหนึ่งของวัตสัน จากนั้นได้ขยายสู่วัตสัน ไต้หวันในปี 2567 และภายในไม่กี่เดือนหลังเปิดตัวที่ฮ่องกงเมื่อพฤษภาคม 2568 JCprogram ก็กลายเป็นแบรนด์เอ็กคลูซีฟด้านความงามชั้นนำในวัตสัน ตอกย้ำความต้องการของลูกค้าที่มองหาผลิตภัณเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic Beauty Solutions) ที่มากกว่าแค่การดูแลผิวทั่วไป จากความสำเร็จครั้งนี้ จึงเป็นแรงผลักดันให้วัตสันเร่งขยายตลาดเชิงกลยุทธ์สู่ไทยและมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงด้านเวชศาสตร์ความงาม
ในงานเปิดตัว JCprogram อย่างเป็นทางการที่มาเลเซีย วัตสันได้ต้อนรับ ดร. โนบุทากะ ฟุรุยามะ (Dr. Nobutaka Furuyama) ผู้ก่อตั้งแบรนด์และศัลยแพทย์ความงามชื่อดังจากญี่ปุ่น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความร่วมมือสุดเอ็กซ์คลูซีฟระหว่างแบรนด์กับวัตสัน รวมถึงความสำเร็จในการขยายตลาดสู่ภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ภายในงานยังส่งต่อประสบการณ์ใหม่ของการสปาผิวหน้าให้แก่บรรณาธิการความงาม จัดแสดงนวัตกรรมความงามอันล้ำสมัย พร้อม พรีวิวผลิตภัณฑ์สำหรับแขกที่เข้าร่วมงาน รวมถึงข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะสมาชิกในช่วงเปิดตัว เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเชิงเวชศาสต์ความงาม และเพิ่มคุณค่าที่เหนือกว่าให้กับกลุ่มคนรักแบรนด์ความงามของวัตสัน

คุณแครีน โล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Health & Beauty Asia จาก AS Watson Group กล่าวว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็วและการเป็นผู้นำตลาดของ JCprogram แสดงให้เห็นความต้องการของตลาดต่อผลิตภัณฑ์ความงามที่มีผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์รองรับ โดยวัตสันวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อคว้าโอกาสครั้งสำคัญของการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกด้านความงาม พร้อมมอบนวัตกรรมล้ำสมัยที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้”
การปฏิวัติ Aesthetic Beauty ด้วย 3 เทรนด์เปลี่ยนโฉมตลาดความงาม
การเปิดตัวครั้งนี้ ตอบรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาด ท่ามกลางการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเวชศาสต์ความงามโลก (Global Aesthetic Beauty Sector) จาก 19.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เป็น 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2576 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่สูงถึง 7.5%*
เวชศาสต์ความงามกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเปลี่ยนความชื่นชอบของลูกค้าจากการเข้าคลีนิค ไปสู่โซลูชันความงามที่ซับซ้อนขึ้น และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเชิงวิทยาศาสตร์ การพัฒนานี้ขับเคลื่อนด้วย 3 เทรนด์หลัก ได้แก่

ปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยี JCprogram ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเอเชีย
เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาด วัตสันจึงจับมือเป็นพันธมิตรกับจิยูกาโอกะ คลินิก (JIYUGAOKA CLINIC) เปิดตัว JCprogram แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับคลินิกจากญี่ปุ่น ตอบโจทย์เทรนด์ความงาม Aesthetic Beauty ผ่านเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมสุดล้ำ “Seamless Aesthetic Replication” ก่อตั้งโดย ดร.โนบุทากะ ฟูรุยามะ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น "ศัลยแพทย์ไมโคร-เอสเธติกชั้นนำแห่งเอเชีย" (Micro-Aesthetic Surgeon) ซึ่ง JCprogram ผสานประสบการณ์คลินิกความงามกว่า 30 ปีเข้ากับวิทยาศาสตร์การดูแลผิวที่ล้ำสมัยได้อย่างลงตัว
โดย JCprogram นำเสนอ 3 ทรีตเมนต์

นวัตกรรมจาก JCprogram ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงการดูแลด้านความงามระดับพรีเมียมได้ทั่วเอเชีย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการปรนนิบัติผิวที่มีประสิทธิภาพสูง ผ่านการดูแลตัวเองที่บ้านได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และคุ้มค่า
วัตสันพร้อมใช้โอกาสในตลาดเวชศาสตร์ความงามผ่านเครือข่าย 8,000 สาขาทั่วโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด มอบนวัตกรรมความงามที่ช่วยให้ลูกค้า "Look Good Do Good Feel Great" และยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม
กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) โดยนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย จัดโครงการชี้แจงทำความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชีและการชำระหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัยแก่บุคลากร สำนักงาน คปภ. จังหวัดพังงา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจของ กปว. ในการบริหารจัดการกรณีบริษัทประกันภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย
การจัดโครงการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการชำระบัญชีและการจัดการหนี้สินของบริษัทประกันภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ โดย กปว. ได้อธิบายแนวทางการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. จังหวัดพังงา สามารถนำข้อมูลไปเผยแพร่และถ่ายทอดแก่ประชาชนและเจ้าหนี้ในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเข้าใจง่าย นอกจากการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของกองทุนประกันวินาศภัยแล้ว กองทุนประกันวินาศภัยยังได้ชี้แจงแนวทางการบริหารจัดการหนี้สิน รวมถึงวิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่าง กปว. และสำนักงาน คปภ. จังหวัดพังงา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย

ในพื้นที่ การมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชีของกองทุนประกันวินาศภัย จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ สำนักงาน คปภ. จังหวัดพังงา สามารถปฏิบัติหน้าที่และให้คำปรึกษาประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการประชาสัมพันธ์เชิงรุกของกองทุนประกันวินาศภัย ที่มุ่งเน้นการสื่อสารข้อมูลอย่างถูกต้อง ชัดเจน และเข้าถึงง่ายแก่ประชาชน ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย กปว. มีความเชื่อมั่นว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับระบบประกันภัย รวมทั้งทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยทั้งในชีวิตและธุรกิจ
กปว. ยืนยันว่าหากเกิดกรณีบริษัทประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย กองทุนประกันวินาศภัยจะเข้ามาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยอย่างเต็มที่ อันเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงและความเชื่อมั่นแก่ประชาชนต่อไป