สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดงานกาชาด ประจำปี 2567 โดย นายสมยศ ธนพิรุณธร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารเข้าเฝ้ารับพระราชทานเกียรติบัตรผู้ให้การสนับสนุนการจัดงาน พร้อมร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ณ พลับพลาพิธีหน้าห้องสมุดประชาชน สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที ตระหนักถึงภารกิจสำคัญของสภากาชาดไทยในการดำเนินภารกิจบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรคแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสและผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนและสร้างสังคมที่เปี่ยมสุข ดังนั้นเอ็นทีในฐานะผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงมีความภูมิใจที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมและนำรายได้จากการออกร้านสมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทยมาโดยตลอด
สำหรับร้านกาชาดเอ็นทีในปีนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โดยนำเสนอแนวคิด “น้ำพระทัย ใต้ร่วมพระบารมี สู่เอ็นทีจิตอาสา เพื่อสังคม” ที่ออกแบบตกแต่งภายนอกอาคารให้มีความสวยงามด้วยโทนสีเหลืองโดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พื้นที่ภายในร้านจัดแบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่
โซนเฉลิมพระเกียรติ “น้ำพระทัย ใต้ร่มพระบารมี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ 10 และร่วมถวายพระพรเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 โดยนำเสนอข้อมูลโครงการที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญและพระราชทานน้ำพระทัยสู่ปวงชนชาวไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านสังคมสงเคราะห์และด้านบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ
โซน “เอ็นทีจิตอาสา สร้างสุขแก่ปวงประชา ด้วยน้ำพระทัย ใต้ร่มพระบารมี” จัดแสดงนิทรรศการโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร อาทิ โครงการ “ถุงน้ำใจเอ็นที” ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ โครงการเพาะพันธุ์ดี NT Youth Club กิจกรรมเอ็นทีทำมากกว่าที่เห็น...เป็นมากกว่าหน้าที่
โซน “เอ็นที Co-Working Space and Business Structure” นำเสนอการจำลองพื้นที่ทำงานเพื่อตอบสนองและรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสามารถทำงานได้ในรูปแบบ Work from Anywhere
โซน “เล่าขานผ่านภาพ ด้วยน้ำพระทัย ใต้ร่มพระบารมี” พื้นที่สำหรับถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
โซน “เอ็นทีส่งสุข สนุกอย่างมีสันทนาการ” ร่วมสนุกกับเกม “ลุ้นปั๊บ รับโชค” กับคูปองชิงโชคใบละ 20 บาท
แวะเยี่ยมชมและร่วมกิจกรรมลุ้นโชคเพื่อสมทบทุนสภากาชาดไทยร่วมกับร้านกาชาด NT ได้ที่บูธเลขที่ 6.12 บริเวณประตูทางเข้า 1 สวนลุมพินี กรุงเทพฯ ได้ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 22.00 น.
ห้าดาว (FIVE STAR) เปิดตัว 'ชีสซี่จ๊อ (Cheesy Jor)' หรือ ไก่จ๊อรสชีส เมนูน้องใหม่! จะเป็นยังไงเมื่อเมนู “ไก่จ๊อ” เมนูท๊อประดับตำนานของห้าดาว กลับมาพลิกโฉมความอร่อยรูปแบบใหม่ เพิ่มรสชาติความนัวด้วยเชดดาชีสอย่างลงตัว อิ่มง่ายๆ ได้โปรตีนจากเนื้อไก่คุณภาพสูง ห่อฟองเต้าหู้ทอดเสิร์ฟร้อนๆ กรอบนอกนุ่มใน กลิ่นชีส หอม อร่อยเนื้อไก่เน้นๆทุกคำ รับรองความฟินจนหยุดไม่ได้! เหมาะกับทุกมื้อ ทุกโอกาสสำหรับทุกคน ในราคาพิเศษ 25 บาท (ปกติ 30 บาท) ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2568 สินค้ามีจำนวนจำกัดต่อวัน ช้าหมด อดนัว!!
ใครที่อยากลิ้มลองความอร่อยของ 'ชีสซี่จ๊อ' สามารถหาซื้อได้ที่ ร้านไก่ย่างห้าดาวทุกสาขา หรือ Star Delivery : https://fivestar.in.th/deliverylocation/ รวมถึง Grab food : https://bit.ly/3DYox0o, LINE MAN : https://bit.ly/3TywErg และ True Food : https://bit.ly/smTF เราพร้อมเต็มเติมให้มื้ออาหารธรรมดา ให้กลายเป็นมื้อพิเศษ
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร คว้ารางวัลระดับเอเชีย Sustainability Rising Star จากเวที Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards 2024 หรือ ACES Awards 2024 ตอกย้ำการเป็นผู้นำบริษัทประกันชีวิตที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ตามหลักแนวคิดบูรณาการ GRC สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ผ่านกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนด้วยกลยุทธ์ Happy Ps ได้แก่
MIS หรือ สาขาสารสนเทศเพื่อการบริหาร เป็นอีกหนึ่งสาขาที่วันนี้คนทำงานจากหลากหลายสาขาให้ความสนใจเข้าศึกษาต่อ “รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล” อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ สาขาสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า กลุ่มคนที่มาเรียน MIS มีหลากหลายอาชีพและจบจากหลากหลายสาขา ทั้งวิศวะ ศิลปศาสตร์ ทันตแพทย์ แพทย์ บริหาร ฯลฯ เนื่องจากเป็นความรู้ด้านการบริหารจัดการ การเรียนรู้เรื่องธุรกิจ การบริหารองค์กร ฯลฯ
โดยภาพการศึกษาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นผู้บริหารระดับสูงหันมาเรียนเพิ่มเติมมากขึ้น ทั้งแบบ Degree และ Non- Degree เพื่ออัปตัวเองเพราะหากไม่ปรับตัวเขาจะอยู่ในองค์กรไม่รอด นอกจากนี้ จะเห็นว่าเด็กอายุ 20 ปลายๆ ก็หันมาเรียนมากขึ้นเช่นกัน เพราะเทคโนโลยีไปเร็วมาก เด็กจึงสนใจศึกษาเพี่อพัฒนาตัวเองให้เติบโตเพื่อองค์กรจะได้เลือกเขา
“การเรียน MIS เราจะบอกเด็กเลยว่า จบจากเราคุณจะเป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้บริหารที่รู้เรื่องเทคโนโลยี เข้าใจการบริหารงานที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องหรือขั้นต่ำต้องเป็น Project Manager ต้องสามารถควบคุม Project ได้”
สำหรับการปรับปรุงรายวิชาใน MIS นั้นมีการปรับตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี อย่าง วิชา Business Strategy X AI innovation เป็นวิชาใหม่ จะเห็นว่า AI มีความจำเป็นต่อการบริหารกลยุทธ์และกำลังมาแรง โดยแนวคิดในการปรับหลักสูตรจะคง Key word ที่ว่า Digital Citizenship เพื่อให้เด็กคุ้นชินก่อนออกไปทำงาน เด็กจะต้องได้เรียนกับเครื่องมือที่ดี เทคโนโลยีที่ดีและทันสมัย ไม่อย่างนั้นจะก้าวสู่ตลาดแรงงานในต่างประเทศไม่ได้หรือเมื่อก่อน ChatGPT ไม่มีคนพูดถึงตอนนี้คนพูดถึงมากในช่วงหลังปี 2020 ซึ่งความรู้เหล่านี้ไม่มีทางตกยุค
“เทคโนโลยีปัจจุบันทำให้การทำอะไรทำได้ง่ายขึ้น อย่าง การเขียน Coding สมัยก่อนต้องเขียนครบบรรทัด 10 ปีต่อมาพิมพ์นิดหน่อยระบบจะเติม Coding ที่สมบูรณ์ให้กับเรา แต่ปัจจุบันพิมพ์แล้วระบบเติมให้ไม่พอยังตรวจให้ด้วยว่าเราพิมพ์ผิดตรงไหน”
เด็ก MIS นอกจากจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว เขายังได้เทคนิคหลายอย่างเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องเรียนภายใต้ Key Word 3 คำ คือ Explore Before Expense การเรียนในห้องเรียนแบบเดิมที่เน้นการจดจะถูกเปลี่ยนมาเป็นการเรียนแบบให้เด็กได้ทำกิจกรรม ได้แก้ปัญหา เพื่อให้เขามีส่วนร่วม ซึ่งรูปแบบใหม่นี้ทำให้เด็กได้รู้เทคนิค เข้าใจกระบวนการจากหลากหลายองค์กร ที่สำคัญการเรียนในห้องเรียนจะถูกจัดให้เป็นลักษณะ Design Thinking นอกจากนี้ MIS ยังมี Artifacts ไว้รองรับเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่มี ทำให้เด็กมีโอกาสได้ทดลองได้ใช้งานจริง
รศ.ดร.จงสวัสดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญของ MIS คือ การส่งเด็กไปแข่งขันหรือสอบเพื่อให้ได้ Global Certificate ซึ่งถือเป็นอาวุธเสริมที่ MIS ส่งเสริมให้กับเด็ก นอกจากนี้ การที่เด็กสามารถเรียน Major ได้หลาย Major ทำให้เขามีอาวุธที่แข็งแกร่งขึ้น
“เด็กเราบางคนได้ 2 Major 5 Global Certificate เขาจะได้เปรียบคนอื่นตอนสมัครงานหรือถ้าทำงานแล้วบริษัทจะคัดคนออก เขาจะถูกเลือกให้อยู่ เพราะเขามีอะไรที่เหนือกว่า ตอนโควิดมีให้เห็นแล้ว เด็กมาขอบคุณเรา เขาได้ทำงานต่อเพราะ Global Certificate ที่เราให้เขาไปสอบ ด้วยการออกทุนค่าสมัครสอบให้ 50% ซึ่งบางครั้งแพงกว่าค่าเล่าเรียนที่เขาจ่ายกับเราอีก และเด็กที่ได้ Global Certificate เขาไม่ต้องสอบ Final ในวิชานั้น ตรงนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เด็กแข่งขันกัน เขาจะรู้สึกว่าเขาแพ้ไม่ได้ เด็กของเราบางคนก็ได้เงินเดือนเพิ่มเป็น 6 หลักเมื่อจบ MIS เพราะเราติดอาวุธให้เขาเยอะ เขาพร้อมจะขึ้นเป็นผู้บริหารที่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการให้กับคนที่ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง”
แม้ว่า MIS จะเน้นรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่สำหรับวิชาพื้นฐาน อย่าง บัญชี การเงิน HR การตลาด ฯลฯ ยังคงมีสอนเพราะการจะเข้าใจตลาดได้ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่ง MIS ก็มีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้เป็นรูปแบบ E-learning ส่วนวิชาด้านเทคโนโลยีจะเป็นวิชาเลือก
“ถึงวิชาพื้นฐานจะเรียนในระบบ E-learning แต่เด็กก็ต้องเข้าชั้นเรียน เพื่อที่ไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ถามได้ อาจารย์จะทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับเด็ก เราต้องการดึงเด็กให้สูงขึ้น ดังนั้น อาจารย์ของเราก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย”
รศ.ดร.จงสวัสดิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำเร็จของเด็กว่า “เด็กถือเป็น Key Success Factor ของคณะ ถ้าเด็กทำได้ดีก็เป็นการประชาสัมพันธ์คณะ สิ่งที่เราทำอยู่ คือ Human Center Design หรือการให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ถ้าเด็กประสบความสำเร็จก็เป็นการโฆษณาคณะไปในตัว”
เรื่อง / ภาพ: กองบรรณาธิการ
ปัญหาที่อยู่คู่กับธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่และหลีกเลี่ยงได้ยากมาก นั่นคือ ปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งอาจลุกลามไปถึงธุรกิจ หรือส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวด้วยกันเอง ทว่า ความขัดแย้งนั้นย่อมเกิดมาจากความไม่พอใจภายในครอบครัวก่อน ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวสามารถรับมือกับความท้าทายดังกล่าว และเติบโตได้อย่างยั่งยืน รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล รองอธิการบดีสายงานธุรกิจองค์กร มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ผู้ก่อตั้ง FAMZ ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับแนวทางธุรกิจครอบครัวที่ผู้ประกอบการควรโฟกัส เพื่อการเติบโตและการส่งต่อธุรกิจอย่างราบรื่นอย่างน่าสนใจ
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า การบริหารธุรกิจครอบครัวจะราบรื่นปราศจากความขัดแย้งในครอบครัว
หากว่าไม่มีความขัดแย้งเลยนั้นย่อมเป็นความปรารถนาอันสูงสุดของทุกธุรกิจครอบครัว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งนี้ ขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก การเลี้ยงดู การเตรียมการเพื่อ “ดับไฟตั้งแต่ต้นลม” อย่างเป็นระบบ ฯลฯ เนื่องจากธุรกิจครอบครัวมีโครงสร้างความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกว่าธุรกิจทั่วไป ขณะเดียวกัน สมาชิกครอบครัวก็มักมีบทบาทหลากหลายในองค์กร เช่น เจ้าของ ผู้บริหาร หรือพนักงาน ฯลฯ ดังนั้น หากเกิดปัญหานี้จึงมักมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงบรรยากาศความตึงเครียดในการทำงาน ประสิทธิภาพขององค์กร ฯลฯ ดังนั้น จึงควรจัดการปัญหานี้ตั้งแต่สมาชิกยังเล็ก หรือตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนยากเกินควบคุม และกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกครอบครัวกับพนักงานมืออาชีพในองค์กร
ในทางปฏิบัติ ก่อนที่จะเกิดเป็น “ความขัดแย้ง” นั้นจะมีความรู้สึกที่จัดได้ว่าเป็น “ความไม่พอใจ” ขึ้นมาก่อน ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อคนๆ นั้นรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ได้รับการยอมรับ หรือถูกเอาเปรียบ การรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่สมาชิกครอบครัวบางคน จนอาจทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่สมาชิกที่เหลือ ความไม่ชัดเจนในการแบ่งผลประโยชน์ การขาดโอกาสในการแสดงความสามารถ หรือแม้แต่ประสบการณ์ที่เลวร้ายเพียงครั้งเดียว และสะสมเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ฯลฯ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่พอใจได้ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไขก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างกันมากขึ้นๆ และลุกลามไปถึงการทำให้สมาชิกในองค์กรขาดแรงจูงใจและลดความสามารถในการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
แล้วผู้นำธุรกิจครอบครัวควร “ผ่าทางตัน” อย่างไร
เริ่มได้ด้วยการเปิดใจตนเองให้กว้าง และหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงก่อน
หนึ่ง ก้าวออกจากมุมมองของตัวเอง เนื่องจากความไม่พอใจจะถูกเก็บเอาไว้ด้วยการสร้าง “อัตตา” (Ego) ความยึดมั่นถือมั่นว่า สิ่งที่กำลังคิด/ทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และต้องการหลีกเลี่ยงการรับผิดชอบ โดยมักหลงลืมข้อเท็จจริงอื่นๆ ดังนั้น จึงต้องเปิดใจเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมด หรือการมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือมีสมมติฐานใดบ้างที่เกี่ยวกับบุคคลหรือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ? มีสิ่งใดที่การกระทำหรือไม่ได้กระทำของเราที่อาจส่งผลต่อปัญหานี้?
สอง – ทำไมจึงเกิดปัญหานี้ ด้วยการหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง โดยอาจจะดูจากการกระทำ พฤติกรรม หรือสถานการณ์เฉพาะที่นำไปความไม่พอใจ เช่น คนๆ นั้นไม่สามารถรับผิดชอบงานหรือปฏิบัติงานได้ตามที่คาดหวังไว้ใช่หรือไม่? คนๆ นั้นที่สร้างความไม่พอใจกำลังบั่นทอนอำนาจของเรา หรือมีพฤติกรรมที่แสดงถึงความไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่? พร้อมทั้งหาสาเหตุของความรู้สึกไม่สบายใจว่ามาจากใคร สถานการณ์ใด ขอบเขตหรือสาระสำคัญของเรี่องนี้คืออะไร เพื่อปรับปรุงการตระหนักรู้ในตนเอง และเพิ่มประสิทธิภาพการเป็นผู้นำ
สาม – ต้องให้เวลาตนเองฟื้นฟู “พลัง” ด้วย การรับมือกับความไม่พอใจในธุรกิจครอบครัวนั้นจะทำได้ไม่ดีนัก หากว่า ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่เราเองรู้สึกหมดพลังหรืออ่อนล้า ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาด้วยว่า ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการเผชิญกับความเครียด หรือเป็นเพราะเราหมดพลังอยู่หรือเปล่า? หากว่า “ใช่” – ก็ควรให้เวลากับตัวเอง เพื่อฟื้นฟูพลังงานและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
สี่ – มุ่งแก้ไขปัญหา เนื่องจากความไม่พอใจมักเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ขอบเขตของใครบางคนถูกละเมิด หรือความต้องการบางอย่างของบางคนไม่ได้รับการตอบสนอง และลองคิดดูว่า จะจัดการกับปัญหานั้นอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น การเลือกที่จะพูดคุยกับพนักงานเพื่อทำความเข้าใจมุมมองของผู้บริหาร และใช้ข้อมูลนั้นๆ เพื่อพัฒนาการสื่อสารและนโยบายที่ทีมยอมรับได้ดีกว่าเดิม แทนการสื่อสารกับพนักงานขณะที่มีอารมณ์ขุ่นมัว ฯลฯ
ที่สำคัญ การสนทนาอย่างเปิดเผยและจริงใจสามารถช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดและจัดการกับข้อขัดแย้งได้ และอย่าปล่อยให้ปัญหาดำเนินไป เพราะจริงๆ แล้ว เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงบุคคลหรือสถานการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจได้โดยตรง แต่เราสามารถดำเนินการเชิงรุกเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์หรือสถานการณ์เหล่านั้นได้ เช่น ลองกำหนดช่วงเวลา "โฟกัส" เพื่อแจ้งส่งสัญญาณว่าไม่ว่าง หรือใช้สัญลักษณ์ง่ายๆ เช่น การปิดประตูห้องหรือสวมใส่หูฟัง เพื่อบอกว่า เรากำลังต้องการพื้นที่ส่วนตัว
ห้า – การขอคำแนะนำจาก “ตัวช่วย” การใช้ “ตัวช่วย” ก็มีได้หลายประเภท อาทิ ที่ปรึกษา เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนที่ไว้วางใจ ซึ่งอาจช่วยให้ได้มุมมองระยะยาว และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้ เนื่องจาก การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ก็จะช่วยทำให้เราได้เห็นสถานการณ์ในมุมมองใหม่ๆ อีกด้วย
ในทางปฏิบัติ เราสามารถใช้กลไก/ระบบอะไร เพื่อแก้ไขความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัวได้หรือไม่
การแก้ไขความขัดแย้งสามารถทำได้ทั้งในเชิงโครงสร้างและในเชิงกระบวนการ ตรงนี้อาจดูเป็นหลักการเชิงทฤษฎี แต่สามารถกล่าวให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือ
สำหรับกลไกเชิงโครงสร้าง ธุรกิจครอบครัว สามารถดำเนินการได้ผ่านสภาครอบครัว ซึ่งสามารถใช้เป็นเวทีอย่างเป็นทางการสำหรับการหารือข้อขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจ เพื่อสร้างความโปร่งใสและการยอมรับร่วมกัน ผ่านการประชุม การตัดสินใจร่วมกันโดยใช้วิธีการลงมติหรือการไกล่เกลี่ย,ธรรมนูญครอบครัว การกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางการดำเนินงานในองค์กรกระบวนการตัดสินใจในประเด็นสำคัญๆ เพื่อป้องกันข้อขัดแย้งในอนาคต ด้วยการทำเป็นลายลักษณ์อักษร และสามารถอัปเดตให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับกลไกเชิงกระบวนการ สามารถทำได้ด้วยการวางกรอบการดำเนินการสำหรับการแก้ไขข้อขัดแย้งที่ชัดเจนเป็นระบบ เช่น ระบุขั้นตอนสำหรับการส่งเรื่องเข้าสู่สภาครอบครัว เกณฑ์การใช้ตัวกลางภายนอก และหลักในการตัดสินใจ ฯลฯ จากนั้นก็ต้องกำหนดวิธีการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น จะเลือกใช้ตัวกลางที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในข้อขัดแย้ง เพื่อไกล่เกลี่ยอย่าง สภาครอบครัว หรือตัวกลางที่เป็นบุคคลภายนอก เช่น ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว มีบทบาทสำคัญในการช่วยจัดการข้อขัดแย้งที่ซับซ้อน, การจัดประชุมวาระพิเศษหรือการประชุมเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้ง หรือหากไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีต่างๆ ข้างต้นก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้อาจครอบคลุมตั้งแต่การปรึกษาทนายความ การร่างเอกสารทางกฎหมาย การยื่นคำร้องต่อศาล จนถึงการอนุญาโตตุลาการ
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันมิให้ปัญหาลุกลามบานปลาย เราอาจใช้การพัฒนาทักษะการจัดการข้อขัดแย้งให้กับสมาชิกครอบครัว อย่างเช่น การฟังเชิงลึก (Active Listening) การพัฒนาทักษะการเจรจาเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างข้อตกลงที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ เช่น การพัฒนาทีม การจัดรีทรีตครอบครัว (Family Retreats) ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อสานสัมพันธ์อันดีภายในธุรกิจครอบครัวในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ เราก็ควรติดตามผลของการแก้ไขข้อขัดแย้ง การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ เช่น ระดับความพึงพอใจของสมาชิกครอบครัว ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ การปรับปรุงกลไกให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทบทวนธรรมนูญครอบครัวและกระบวนการจัดการข้อขัดแย้งอย่างสม่ำเสมอ
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณพงศ์ธร วัธนนัย Head of Talent Acquisition & Management and Culture (คนขวา) เข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณรางวัลองค์กรที่สนับสนุนการจ้างงานคนพิการ ประจำปี 2567 “ระดับดี” เนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2567 จากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยได้รับเกียรติจาก คุณโชคชัย วิเชียรชัยยะ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (คนซ้าย) เป็นประธานในการมอบรางวัล เพื่อเชิดชูเกียรติองค์กรที่มุ่งมั่นในการสร้างโอกาสการทำงานให้แก่คนพิการอย่างต่อเนื่อง และพร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเท่าเทียม
รางวัลดังกล่าวตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และยอมรับความแตกต่างที่หลากหลายของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ ภายใต้วัฒนธรรมองค์กร Inclusive Workplace ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของ AXA’s Employer Brand Promise คือ “ปลุกศักยภาพในตัวพนักงาน มุ่งสู่ความสำเร็จ” ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น และดูแลกันตลอดไป
โรช ไทยแลนด์ ตอกย้ำการเดินทางแห่งนวัตกรรมการรักษาและวัฒนธรมองค์กร ภายใต้ผู้บริหารคนใหม่ แมทธิว ไซมอน โคตส์ (Matthew Simon Coates – Matt Coates) ประจำประเทศไทย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว ด้วยพื้นฐานความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และประสบการณ์กว่ายี่สิบปีในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยาและค้นคว้าและวิจัย ทำให้ แมทธิว พร้อมก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนการเข้าถึงนวัตกรรมทางการรักษา พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วน
ภายใต้แนวคิด “การเดินทางแห่งนวัตกรรมการรักษา และวัฒนธรรมของ โรช ไทยแลนด์ เพื่อสังคมไทย” โรช ไทยแลนด์จัดงานแถลงข่าว เพื่อแนะนำ แมทธิว ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ โรช ที่มีต่อการวิจัยและพัฒนาผ่านการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวขององค์กร (Agile Organisation) และการผลักดันความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมสุขภาพ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงยานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น
เบื้องหลังการพัฒนายาแต่ละตัว กับความทุ่มเทของโรช
การพัฒนายาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยต้องอาศัยความทุ่มเทและการทำงานร่วมกันในระบบเครือข่ายทั่วโลกของโรช โดย โรช มีแผนเพิ่มทุนลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ปีละ 5% โดยปี 2569 จะใช้เงินลงทุนถึง 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เปลี่ยนชีวิตคนไข้ไปในทางที่ดีขึ้น โดยโรช ไทยแลนด์ ได้นำการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 ,2 หรือ 3 เข้ามาลงทุนในประเทศไทย มากกว่า 6 ร้อยล้านบาทในช่วง 22 ปีที่ผ่านมา (786 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2567)
กว่ายา 1 ตัวจะได้รับการอนุมัติ ต้องอาศัยความทุ่มเทมหาศาล โดยเฉลี่ยใช้เวลามากกว่า 7 ล้านชั่วโมง ในการศึกษาค้นคว้าและพัฒนา ผ่านมากกว่า 6 พัน การทดลอง ใช้นักวิจัยมากถึง 400 กว่าคน เพื่อให้แน่ใจถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา โดยทั่วไป มียาน้อยกว่า 12% ที่เข้าสู่การวิจัยในมนุษย์ แล้วสามารถพัฒนาจนได้รับการอนุมัติจาก FDA เพื่อพร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โรชได้ให้การรักษาผู้ป่วยชาวไทยไปแล้วมามากกว่า 3 ล้านคน อีกทั้งยังมียากว่า 13 รายการ ที่อยู่ในรายชื่อบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งยืนยันถึงบทบาทของโรชในฐานะพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในระบบการดูแลสุขภาพของประเทศไทย
บทบาทสำคัญของประเทศไทยในวิสัยทัศน์ระดับโลกของโรช
ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญในภารกิจของโรชที่มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยในประเทศไทย โดยโรชสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ให้เข้าร่วมงานวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการรักษาโรคด้วยยานวัตกรรมใหม่ๆ และ นำเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมการดูแลผู้ป่วยในการวิจัยมาให้แพทย์ได้ทำงานวิจัยพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งทำให้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยานวัตกรรมให้คนไข้ไทยในทางหนึ่งด้วย
จากข้อมูลที่ศึกษาโดย Deloitte การลงทุนทำงานวิจัยคลินิกทุก 1 บาทที่ลงทุน ประเทศไทยได้รับประโยชน์ 3 บาท
นอกจากนี้ การทำวิจัยในประเทศไทยช่วยเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ของนักวิจัยและแพทย์ผู้ดูแล เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้น โรชยังทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ ในการเผชิญกับปัญหาสุขภาพในอนาคต
พลังแห่งความร่วมมือ: วัฒนธรรมของการทำงานที่คล่องตัว ในแบบ Agile Way of Working
หัวใจสำคัญของความสำเร็จของโรช คือแนวทางที่ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก จากผลสำรวจของพนักงานปี 2567 ที่ ไรช ไทยแลนด์ พนักงานมีความภูมิใจอย่างมากในการทำงานในองค์กรสูงถึง 92% ในปีนี้ ด้วยโครงสร้างและการทำงานแบบ Agile หรือ การทำงานที่สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัว เป็นแนวทางการทำงานแบบคล่องตัว ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัว และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรที่มีความใส่ใจตั้งแต่พนักงานไปจนถึงครอบครัวพนักงาน
แมทธิวกล่าวว่า “จากประสบการณ์ในการทำงานระดับ Global ด้วยการวางวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการให้อำนาจในการตัดสินใจ จะนำพาไปสู่การทำงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน และสำหรับ โรช ไทยแลนด์ เรามีการทำงานแบบ Outcome Based Planning เป็นการทำงานโดยมุ่งที่ผลลัพธ์ในทุกๆ 90 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายในระยะสั้นนี้ มีการวิเคราะห์ และสามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนให้ทันกับเหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพื่อให้ผลลัพธ์ของเป้าหมายองค์กรระยะยาวสำเร็จได้”
การส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ความเท่าเทียม และความร่วมมืออย่างเปิดกว้าง ช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และปรับตัวเข้ากับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อสังคมไทย โรชทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสามารถในการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้และส่งเสริมความรู้ด้านการดูแลสุขภาพการอยู่ร่วมกันในสังคมผ่านโครงการต่างๆ
ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ: โรชร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการพัฒนาการเข้าถึงยานวัตกรรมและการวินิจฉัยที่ล้ำสมัยอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อพัฒนาแนวความรู้เกี่ยวกับการประเมินเทคโนโลยีทางสุขภาพแก่ชมรมผู้ป่วยกว่า 20 ชมรม และ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพในประเทศผ่านงานวิจัยและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
ความรับผิดชอบต่อสังคมไทย: โรชตอบแทนสังคมผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพและการศึกษาของชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น กิจกรรม โรช ชิลเดรนส์วอล์คซึ่งจัดขึ้นทุกปีแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนเด็กในชุมชน
อิทธิพลเชิงบวกต่อสังคมไทย:
ในเยาวชนไทย โรชส่งเสริมในการให้ความรู้เรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม DE&I (Diversity, Equity and Inclusion) ในโรงเรียนต่างๆ ในกลุ่มคนวัยทำงาน โรชมีโครงการ Cancer Care Connect: ตรวจเร็ว รักษาไว ห่างไกลมะเร็ง ที่ช่วยเชื่อมโยงข้อมูลแลความรู้เมื่อเผชิญกับโรคมะเร็ง ในกลุ่มนักเรียนและนักศึกษามหาลัย โรชเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ 35-40 คน ต่อปี เข้ามามีประสบการณ์ทำงานที่โรช
มุ่งสู่อนาคต: วิสัยทัศน์สำหรับวันข้างหน้า
แมทธิวเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของโรชในของการดูแลสุขภาพของคนไทย โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ด้วยคำกล่าวที่สร้างแรงบันดาลใจว่า “ถ้าอยากไปเร็ว ให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปไกล ให้ไปด้วยกัน” (When you run alone, you run fast. When you run together, you run far) แมทธิวอธิบายว่า “ระบบการดูแลสุขภาพเป็นระบบที่ต้องพึ่งพาการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ความคิดที่สร้างขึ้นในโรชเพียงลำพังนั้นอาจพัฒนาได้เร็วกว่า แต่อาจเอื้อประโยชน์แก่ผู้ป่วยอย่างจำกัด ในทางกลับกัน ความคิดที่ถูกพัฒนาร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่างๆ อาจใช้เวลานานและซับซ้อนกว่า แต่ท้ายสุดจะสามารถส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ป่วย และสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยได้”
บริษัท บริษัท คิง สแควร์ สวีท จำกัด จำกัด ในเครือสหพัฒน์ พร้อมเดินหน้าโครงการ “ดุสิต สวีท คิงสแควร์ กรุงเทพฯ” โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม เป็นอาคารสูง 28 ชั้น ประกอบไปด้วยเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 94 ห้อง และโรงแรม 60 ห้อง บนทำเลศักยภาพย่านพระราม 3 โดยได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์และพิธีลงเสาเอกอย่างเป็นทางการ เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นสิริมงคลและนิมิตหมายอันดีในการเริ่มต้นการก่อสร้างโครงการ
โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และคุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมทั้งได้รับเกียรติจากผู้บริหารองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ:
นายจักรกฤษณ์ สันติรัตนกุล กรรมการ บริษัท คิง สแควร์ สวีท จำกัด กล่าวว่า เครือสหพัฒน์เล็งเห็นความต้องการ ของกลุ่มผู้พักอาศัยทั้งผู้ปกครอง นักเรียนและผู้คนย่านพระราม 3 จึงตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการฯ พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เพื่อสร้างความเป็นอยู่และสังคมที่ดี ภายใต้แนวคิด “Community of Kindness” ที่จะทำให้ย่านพระราม 3 รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบและสมบูรณ์ในทุกด้าน เพื่อดึงดูดผู้คนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมให้เข้ามาอยู่อาศัยและใช้ชีวิตร่วมกัน โดยดึง 2 พาร์ทเนอร์ “โตคิว คอร์ปอเรชั่น” และ “ดุสิตธานี” ร่วมกันพัฒนา "ดุสิต สวีท คิงสแควร์ กรุงเทพฯ" โครงการเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสมัยใหม่ ด้วยการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสานเอกลักษณ์ ความเป็นไทยเข้ากับมาตรฐานความทันสมัยได้อย่างลงตัว พร้อมห้องพักมาตรฐานระดับสากลด้วยงบประมาณ การลงทุนมากกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโครงการ “คิง สแควร์” มิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย KingsQuare Residence (คอนโดมิเนียม), KINGSQUARE Community Mall และ Dusit Suites KINGSQUARE Bangkok (เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และโรงแรม)
กรุงศรีโดดเด่นในฐานะบริษัทไทยเพียงแห่งเดียวที่คว้ารางวัลระดับ Platinum จากเวที The Asset ESG Corporate Awards 2024 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดที่ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยงานมอบรางวัลจัดโดยนิตยสาร The Asset ณ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกย่ององค์กรที่มีผลงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ผ่านกระบวนการประเมินที่เข้มงวดตามมาตรฐานสากล
นอกจากนี้ นายพูนสิทธิ์ ว่องธวัชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน ESG ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ยังเป็นผู้บริหารท่านแรกและท่านเดียวของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “Best Sustainability Officer” ซึ่งสะท้อนบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกรุงศรีและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียมาอย่างยาวนาน ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านความยั่งยืนของธนาคาร
ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรีในพันธกิจการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีจุดยืนเพื่อความยั่งยืน โดยธนาคารยังคงมุ่งสร้างคุณค่าร่วมให้แก่สังคม สิ่งแวดล้อม และทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
เคทีซี เผยเทรนด์ช้อปออนไลน์ 2567 โตต่อเนื่อง จับมือพันธมิตร Shopee, Lazada และ TikTok Shop สนับสนุนการใช้จ่ายผ่านร้านค้าต่างๆ ในทุกแพลตฟอร์ม พร้อมมอบส่วนลดสูงสุด 1,212 บาท เพื่อแบ่งเบาภาระสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี รับช่วงเทศกาลแห่งความสุข
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ในประเทศไทย ปี 2567 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความนิยมในการช้อปออนไลน์ของคนไทยที่เติบโตไม่หยุดยั้ง โดยสมาชิกมีพฤติกรรมการช้อปที่ถี่มากขึ้น ปัจจุบันมีการช้อปออนไลน์ต่อเดือนเฉลี่ยสูงถึง 4-6 ครั้ง โดยคาดว่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ของปี 2567 นี้ ในหมวดออนไลน์ช้อปปิ้งจะเติบโตสูงถึงกว่า 20%”
“จากข้อมูลการใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตเคทีซี หมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2567 ได้แก่ สินค้าความงาม (Beauty) สุขภาพ (Health) อุปกรณ์มือถือ (Mobile & Tablet) ของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน (Home & Living) โดยมีหมวดใหม่อย่าง “Hobbies” ก้าวขึ้นมาติดอันดับใน 5 หมวดสินค้าขายดีเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแส Art Toy ที่กำลังเป็นที่นิยม และในช่วงส่งท้ายปี 2567 นี้ เคทีซีจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce ในประเทศไทย โดยร่วมกับ 3 พันธมิตรอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ทั้ง Shopee, Lazada และ TikTok Shop เพื่อมอบสิทธิพิเศษร่วมกัน ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ช้อปออนไลน์ที่คุ้มค่าและสะดวกสบาย สำหรับสมาชิก บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD)”
โปรโมชั่นร่วมกับ Shopee ยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายไปกับแคมเปญ “Shopee 12.12 ลดใหญ่วันเกิด” โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) รับส่วนลด 1,212 บาท เมื่อ ช้อปขั้นต่ำ 9,999 บาทต่อรายการ บัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด และสมาชิกบัตรกดเงินสดเคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด รับส่วนลด 400 บาท เมื่อมียอดซื้อขั้นต่ำ 2,800 บาทต่อรายการ สามารถเก็บโค้ดส่วนลดที่แอป Shopee เฉพาะวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เท่านั้น
โปรโมชั่นร่วมกับลาซาด้า (Lazada) ในช่วงแคมเปญ Lazada 12.12 สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ดและสมาชิกบัตรกดเงินสดเคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด สามารถรับส่วนลด 1,000 บาท เมื่อมียอดช้อปครบ 6,999 บาทต่อ
รายการ โดยสามารถเก็บคูปองส่วนลดผ่านแอป Lazada ช้อปได้ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2567 (เริ่มเวลา 20.00 น.) - 14 ธันวาคม 2567 และรับส่วนลด 300 บาท เมื่อมียอดช้อปครบ 1,799 บาท สำหรับบัตร KTC ทุกประเภท
โปรโมชั่นร่วมกับ TikTok Shop สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ และบัตรกดเงินสดเคทีซี พราว ยูเนี่ยนเพย์ สามารถรับส่วนลด 50 บาท เมื่อช้อปผ่าน TikTok Shop ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม 2567 – 13 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ต้องกรอกโค้ดส่วนลดหรือเก็บคูปอง
ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดโปรโมชันช้อปออนไลน์ได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/shoponline-1212 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว