December 22, 2024

RXV Wellness Village Sampran (อาร์ เอกซ์ วี เวลเนส วิลเลจ สามพราน) อาณาจักรสุขภาพแห่งสามพราน ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำวงการ Wellness มิติใหม่ ชวนเปลี่ยนมุมมองต่อช่วงเวลาแห่งการดูแลสุขภาพ ให้กลายเป็นความสนุกทุกโอกาสที่ทำได้ตลอดทั้งปี ประกาศแผนเตรียมจัดกิจกรรมไลฟ์สไตล์เชิงสุขภาพ (Wellness Activity) รูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถกลมกลืนไปกับโมเมนต์แห่งความสนุกในช่วงเทศกาลและทุกช่วงเวลาสุดพิเศษ ส่งเสริมการใช้เวลาร่วมกันของทั้งครอบครัว กลุ่มเพื่อน และคู่รัก ผสานหลักการของศาสตร์และศิลป์เข้าไปในกิจกรรมได้อย่างลงตัว ตั้งเป้าเป็น Wellness Community จุดหมายปลายทางสำหรับคนที่อยากมีสุขภาพดีแบบองค์รวมทุกมิติ พร้อมเดินหน้าดูแลสุขภาวะที่ยั่งยืนของทุกช่วงวัย สอดรับแนวคิด Everyone’s Wellness

นางสาวปิยรัตน์ ตัญจพัฒน์กุล รองกรรมการผู้จัดการด้านการบริการสุขภาพ บริษัท อาร์เอ็กซ์ เวลเนส จำกัด กล่าวว่า “หัวใจของ RXV Wellness Village คือการได้เป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนให้เกิดสุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัย ส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันด้วยศาสตร์ผสมผสาน นำเสนอในรูปแบบที่สนุกและเข้าใจง่าย ภายใต้การดูแลของผู้ชำนาญการ เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งคนไทยและนานาชาติ สอดคล้องกับทางนโยบายยุทธศาสตร์ของภาครัฐที่จะผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ Thailand Medical Hub

เราพบว่า หลาย ๆ คนมักจะแบ่งเวลาดูแลสุขภาพ ออกจากช่วงเวลาแห่งความสุข โดยเฉพาะในเทศกาลหรือโอกาสสำคัญต่าง ๆ เพราะมองว่าเป็นคนละเรื่องกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Wellness Community” เราอยากจะชวนทุกคนในสังคมมาเปลี่ยนมุมมองนั้น เพราะจริง ๆ แล้วความสนุกของชีวิตในทุกช่วงเวลา เราก็สามารถดูแลตัวเองและคนที่เรารักให้มีสุขภาวะที่ดีไปพร้อมกัน โดยกิจกรรมล่าสุดที่ RXV จัดขึ้นในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมา ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เรายังเตรียมจัดอีกหลากหลายกิจกรรมตลอดทั้งปี 2568 เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น มาร่วมสร้างวิถีชีวิตแห่งความสมดุลที่ยั่งยืนไปด้วยกัน”

จุดประกายด้วย เทศกาลงานลอยกระทง ภายใต้ธีม Flow Towards Harmony กิจกรรมการหวนกลับสู่แก่นแห่งวัฒนธรรมและสุขภาวะที่ยั่งยืน จัดขึ้นเมื่อกลางเดือน พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ อาร์ เอกซ์ วี เวลเนส สามพราน จังหวัดนครปฐม  ความพิเศษของกิจกรรมลอยกระทงที่ RXV คือการทำกระทงมันดาลา (Krathong Mandala) หรือ “กระทงศิลปะบำบัด” สร้างประสบการณ์ใหม่ชวนผู้เข้าร่วมพิจารณาความหมายที่แท้จริงของประเพณีไทยอันเก่าแก่ที่หลายคนอาจหลงลืมไป นั่นก็คือ การแสดงความสำนึกบุญคุณของแหล่งน้ำที่อุ้มชูชีวิตของเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ปลดปล่อยใจและกายให้สามารถละทิ้งสิ่งไม่ดีออกไป เพื่อโอบรับสิ่งใหม่อย่างเต็มเปี่ยม

โดยเป็นการนำเอาศิลปะบำบัดแบบ Mandala เข้ามาผสมผสาน เพื่อให้แขกในงานหวนกลับสู่แก่นของประเพณี ปลดปล่อยอารมณ์ผ่านการบรรจงเรียงดอกไม้ในกระทง ใช้ใจสื่อสารกับดอกไม้ มีเสียง Crystal Bowls พลังเสียงบำบัด นำมาเป็นท่วงทำนองประกอบ ที่คอยส่งเสริมให้เกิดความสงบ มีสมาธิ เหมาะสมกับการมุ่งกลับไปฟัง สื่อสาร และรู้จักตัวตนภายในมากขึ้น พร้อมเวิร์กชอป Tea for Sharing, Crystal for Pairing ใช้สัญชาตญาณในการเชื่อมต่อพลังงานดี ๆ จากหินคริสตัลที่ชอบ จับคู่กับชาที่เราเลือก เมื่อเลือกแล้ววงจรพลังงานจะถูกสร้างขึ้น รับพลังจากหินคริสตัลและส่งต่อไปยังชา   เวิร์กชอปนี้จึงจบลงด้วยการดื่มชาที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสมดุลและความสุข

นอกจากนี้ กระทงที่เสร็จสมบูรณ์ไม่ได้ถูกลอยลงไปในแม่น้ำ แต่มีการอธิษฐานและวางตั้งไว้ที่ริมน้ำ เพื่อแสดงความขอบคุณต่อสายน้ำ อีกทั้งยังเปรียบเสมือนการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากใจอีกด้วย ภายหลังวันงาน กระทงของแขกทุกคนได้ถูกคัดแยกแล้วแปลงเป็นปุ๋ยกลับสู่ธรรมชาติ ถือเป็นพิธีเฉลิมฉลองประเพณีลอยกระทงที่เข้าถึงแก่นแท้ ช่วยดูแลสุขภาพกายใจ และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เกรซ กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า นักแสดงชื่อดัง ร่วมแชร์ประสบการณ์การทำ Krathong Mandala เป็นครั้งแรก “เมื่อนึกถึงการลอยกระทง เราจะแค่ขอขมาพระแม่คงคา แต่การลอยกระทงแบบ Wellness ที่ RXV Wellness Village ครั้งนี้ เรียกว่าเป็นมิติใหม่ของการลอยกระทงสำหรับเกรซเลยค่ะ ทำให้มองการลอยกระทงเปลี่ยนไป เราได้ทำสมาธิ อยู่กับตัวเอง บำบัดด้วยเสียง การทำงานของเราที่ตารางงานแน่นอยู่เสมอ พอมีโอกาสหาเวลาว่างสั้น ๆ ช่วงเทศกาลได้ลองอยู่กับตัวเอง ใช้เวลากับครอบครัว และเพื่อน ๆ ใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้าง ทำให้รู้สึกสงบ ฮีลใจมากค่ะ เหมือนได้ชาร์จพลังงานรับสิ่งดี ๆ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพแสนอร่อย และที่ประทับใจที่สุด ที่นี่มีกิจกรรมด้าน Wellness 

หวานหวาน อรุณณภา พาณิชจรูญ  พิธีกรและนักแสดงสาวสายสปอร์ต พูดถึงความประทับใจจากการร่วมกิจกรรมว่า “หวานหวานเป็นสาย Active ชอบออกกำลังกาย ชีวิตในแต่ละวันไม่เคยหยุดนิ่ง ว่างเมื่อไหร่จะต้องหากิจกรรมทำตลอด สนุกมากค่ะกับกิจกรรมลอยกระทงของ RXV Wellness Village ปรับเปลี่ยนการฉลองเทศกาลของไทยให้มีความหมายมากขึ้น ส่วนตัวเชื่อว่าสุขภาพที่ดีเริ่มจากจิตใจของเรา เมื่อหันกลับมาโฟกัสกับตัวเอง ปล่อยวางความเหนื่อยล้าและสิ่งเร้ารอบกายให้ใจเย็น เหมือนได้ฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน เพื่อเริ่มต้นคิดและทำสิ่งใหม่ ๆ แม้จะเป็นเทศกาลรื่นเริงก็สงบได้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักการทำกิจกรรมให้ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และเข้าถึงการฉลองประเพณีของไทยแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วยค่ะ”

สำหรับเป้าหมายการผลักดันให้เกิด Wellness Community ทาง RXV Wellness Village ได้วางโรดแมปกิจกรรมเชิงสุขภาพตลอดปี 2568 ครอบคลุมเทศกาลต่าง ๆ ให้เป็นสถานที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ช่วยเติมเต็มความหมายของชีวิตในทุกช่วงเวลาแห่งความสุข ต่อเนื่องจากกิจกรรมลอยกระทงที่ผ่านมา ในเดือนธันวาคมนี้ พลาดไม่ได้กับกิจกรรมส่งความสุขท้ายปี สร้างสุขภาพดีแบบองค์รวม ภายใต้ธีม Discover Your Better Self ค้นพบตัวคุณที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม Aroma Enchantment Bottle ชวนทุกคนมาสร้างความตั้งใจให้เป็นไปได้กับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง และกิจกรรม Sunset Stretch สร้างสมดุลของร่างกายและจิตใจกับโยคะริมน้ำอำลาแสงแห่งปี 2567 เพื่อต้อนรับรุ่งอรุณใหม่ของปี 2568 ปิดท้ายด้วยเมนูอาหารที่อร่อยและสุขภาพดี อุดมไปด้วยโภชนาการและผักหลากสีดั่งสายรุ้ง ตามคอนเซ็ปต์ Rainbow Food

ภายใต้การบริหารของ บริษัท อาร์เอ็กซ์ เวลเนส จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ RAKxa Wellnes บางกระเจ้า ที่ประสบความสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงต่อยอดสู่ RXV Wellness Village Sampran ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาวะดีที่ ในทุกช่วงวัย โดยนำเสนอการให้บริการด้านสุขภาพในรูปแบบที่ทำได้ง่ายและสนุก ออกแบบโปรแกรมโดยผู้ชำนาญการด้านสุขภาพ มีเวลเนสทรีตเมนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของคนทุกวัย พร้อมด้วยศาสตร์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ศาสตร์ธรรมชาติบำบัดที่ผสานองค์ความรู้แบบตะวันออกรวมไปถึงแพทย์แผนไทย จีน อินเดีย เพื่อการดูแลแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกกิจกรรมเชิงสุขภาพ ทั้งมื้ออาหารตามหลักโภชนาการและที่พักท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติในพื้นที่สีเขียวกว่า 100 ไร่ของสวนสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง 45 นาที

จัดเต็ม บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-อาคารพาณิชย์ พร้อมดีไซน์ใหม่ สวยสุด คุ้มสุด สัมผัสรูปแบบชีวิตไม่ซ้ำใคร พรีเซล 14 - 15 ธ.ค.นี้ เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะชาวนครปฐม

ผลการศึกษาเผยข้อมูลเชิงลึกระบุ เด็กไทยมากกว่า 1 ใน 3 เสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ย้ำเด็กไทยมีความเสี่ยงในทุกพื้นที่ ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM  โดย นายธงชัย ชัยโลหกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายกำกับดูแลกิจการและบริหารความเสี่ยง เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2567”  (Human Rights Award 2024) ประเภทองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ในระดับ “ดีเด่น” จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยได้รับเกียรติจากพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้มอบรางวัล ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา  

รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ BAM ในการยกระดับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของ BAM ที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบูรณาการด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ การปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียด้วยความเสมอภาค (Equity) ความเท่าเทียม (Equality) และความเป็นธรรม (Fairness) การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน หรือ Human Rights Due Diligence (HRDD) ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่ธุรกิจของบริษัท

ทั้งนี้ BAM ได้ปฏิบัติตามหลักการดังกล่าว เพื่อเป็นต้นแบบในการดำเนินธุรกิจที่ยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน อันก่อให้เกิดผลดีและประโยชน์กับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การสร้างผลตอบแทน การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนได้เสีย การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี การสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างขวัญกำลังใจให้กับพนักงานและผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านทรัพยากรบุคคลที่ส่งผลในทางบวกต่อการสรรหา จูงใจ และรักษาพนักงานต่อไป

มูลนิธิเพื่อสถาบันการศึกษาวิชาการจัดการแห่งประเทศไทย (IMET) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้หวังผลกำไร มุ่งพัฒนาผู้นำที่เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศ ในปี 2568 เปิดรับสมัครผู้นำรุ่นใหม่เข้าร่วมโครงการ “IMET MAX” เพื่อสร้างศูนย์รวมผู้นำของชาติ หรือ “อุทยานผู้นำ” พร้อมบ่มเพาะผู้นำรุ่นใหม่ให้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำที่พร้อมทั้งความดีและความเก่ง  ตอบแทนคุณสู่สังคมไทย

 

 

โครงการ IMET MAX เดินหน้าสู่ปีที่ 7 โดย คุณธนพล ศิริธนชัย กรรมการมูลนิธิ IMET และประธานโครงการ IMET MAX มองว่า เมื่อผู้นำเติบโตขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง ย่อมมีคำถามและเผชิญปัญหาหลากหลายรูปแบบทั้งปัญหาส่วนตัว งาน หรือแนวคิดในการใช้ชีวิต ทำให้ต้องการกลไกที่ช่วยเป็นเข็มทิศ เปิดแนวคิดให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ซึ่งกลไกสำคัญคือ กระบวนการเรียนรู้แบบ Mentoring หรือ “กระบวนการช่วยคิด และ ชวนคิด” ผ่านการตั้งคำถาม อันเป็นกระบวนการเสริมสร้างปัญญาด้วยการสร้างมุมมอง “สะท้อนย้อนคิด” (Reflection) ถ่ายทอดความรู้ แนวคิด และประสบการณ์อันทรงคุณค่า เพื่อปลูกฝังผู้นำรุ่นใหม่ให้เป็นคนดี และคนเก่ง มองถึงการตอบแทนให้กับสังคม นั่นคือ มี Wisdom for Life and Social Values  

โดยได้รับเกียรติจาก 12 ผู้บริหารชั้นนำระดับประเทศ ที่อุทิศตนทำหน้าที่เมนเทอร์ (Mentor) ด้วยใจ โดยไม่รับผลตอบแทน เพื่อช่วยพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ หรือเมนที (Mentee) อย่างเต็มที่ ด้วยกระบวนการ Mentoring ในรูปแบบของ IMET MAX ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินการในแต่ละรุ่น จนหลอมเป็นกระบวนการกระตุ้นความคิด พูดคุย ตั้งคำถาม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุด คือ กระบวนการที่เกี่ยวกับ ‘ใจ’ และการสร้างพลังบวก อันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นรากฐานที่สนับสนุนให้ผู้นำรุ่นใหม่ฝ่าขีดจำกัดเดิม ก้าวไปสู่ผู้นำที่ดีและเก่ง พร้อม Pay it Forward ให้คนรอบข้างได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คุณเทวินทร์ วงศ์วานิช  รองประธานกรรมการ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเมนเทอร์ (Mentor) ของโครงการ IMET MAX รุ่นที่ 6 กล่าวว่า การตอบรับเป็นเมนเทอร์ของโครงการ IMET MAX มาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ หนึ่ง คำว่า Pay it Forward” ของโครงการ ที่มุ่งมั่นให้ทุกคนได้ส่งต่อความดีให้ผู้อื่น ซึ่งได้ใจอย่างมาก และสอง คือ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้นำรุ่นใหม่ ซึ่งในฐานะเมนเทอร์เองก็ได้เข้าใจวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ โดยในช่วงที่ได้ Mentoring กับเมนที พบว่า นอกจากทุกคนจะมีความเก่ง เชี่ยวชาญ และมีศักยภาพแล้ว ยังมีความตั้งใจที่จะแลกเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยเหลือสังคม สร้างความสงบสุขในวงกว้าง ทำให้มีความเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความดีและความคิดสร้างสรรค์

“หากเปรียบผมเป็นเชฟทำอาหาร อุปกรณ์ของผมคงเป็นชามสลัดกับช้อนส้อม ส่วนผสมคือเมนทีแต่ละคนที่เต็มไปด้วยความเก่ง ความเชี่ยวชาญ และความดี หน้าที่ของผมคือการคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน ด้วยการกระตุ้นคำถาม ชวนคิด และให้คำปรึกษา เพื่อให้ได้ ‘ซีซาร์สลัด’ ที่สมบูรณ์แบบ ซีซาร์หมายถึงความยิ่งใหญ่ของสลัด ที่ไม่เพียงผมจะรู้สึกว่าอร่อย แต่ทุกคนที่ได้สัมผัสจะรับรู้ได้ถึงความสด ความอร่อย และคุณค่าทางโภชนาการ” คุณเทวินทร์ กล่าว

 

คุณเข็มอัปสร สิริสุขะ หรือเชอรี่ ผู้ก่อตั้ง บริษัท สิริอัปสร จำกัด ในฐานะเมนทีรุ่นที่ 6 กล่าวว่า “สำหรับเชอรี่ การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าจะแวดล้อมในบริบทเดิมหรือองค์ประกอบใหม่ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นโลกคนละใบ เชอรี่เชื่อว่าเราสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด สิ่งสำคัญคือการแสวงหาโอกาสและนำพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รายล้อมด้วยผู้คนที่ ‘ถูกต้อง’ ซึ่งคำว่า ‘ถูกต้อง’ ในมุมมองของเชอรี่หมายถึง การอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องทั้งในแง่ขององค์ความรู้และความดีงาม ซึ่งนั่นคือ ผู้ที่เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง”

ผู้นำที่ทั้งเก่งและดีในสังคม สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกมหาศาลต่อสังคม การมีโอกาสได้เรียนรู้โดยตรงจากผู้นำที่ทั้งเก่งและดีอย่างใกล้ชิด ผ่านการพูดคุยที่อบอุ่น เป็นกันเอง และเต็มไปด้วยความเมตตาแบบพี่สอนน้อง ถือเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก ซึ่งโครงการ IMET MAX มอบโอกาสล้ำค่านี้ให้กับผู้นำรุ่นใหม่ที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างอุทยานผู้นำที่ส่งต่อองค์ความรู้ ความดีงาม และเครือข่ายที่เข้มแข็งในการพัฒนาศักยภาพและมิตรภาพไปด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศการเรียนรู้ที่อบอุ่น ปลอดภัย สนุกสนาน และสร้างสรรค์ในแบบครอบครัว IMET MAX

“เชอรี่เชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของคนกลุ่มนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยที่สอดคล้องไปกับ Wisdom for Life and Social Values ขอบคุณจริงๆ ที่มีโครงการที่ดีแบบนี้ค่ะ” คุณเชอรี่ กล่าวทิ้งท้าย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมามูลนิธิ IMET ได้สร้างอุทยานผู้นำผ่านโครงการ IMET MAX เปิดโอกาสการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับ เมนเทอร์ (Mentor) และเมนที (Mentee) รวมแล้วกว่า 234 คน ขยายครอบครัว IMET MAX ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งต่อประโยชน์สู่สังคมในวงกว้าง

 

โครงการ IMET MAX รุ่นที่ 7 ที่ได้รับเกียรติจาก 12 ผู้บริหารชั้นนำของประเทศที่ล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูงและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคมมาร่วมเป็นเมนเทอร์ (Mentor) ประกอบด้วย คุณขัตติยา อินทรวิชัย คุณจรีพร จารุกรสกุล รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คุณเทวินทร์ วงศ์วานิช คุณบรรยง พงษ์พานิช คุณพรรณี ชัยกุล คุณวรรณิภา ภักดีบุตร ดร.วิรไท สันติประภพ คุณวิบูลย์ ตวงสิทธิสมบัติ คุณวิชัย เบญจรงคกุล คุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ และคุณสมประสงค์ บุญยะชัย โดยจะมาให้คำชี้แนะ คำปรึกษา ช่วยคิด และชวนคิด รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ (Mentee) ให้เกิดการเรียนรู้ การพัฒนา และสามารถประยุกต์คุณค่าที่ตนได้รับให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคม

สำหรับการเปิดรับสมัครเมนที (Mentee) โครงการ IMET MAX รุ่นที่ 7 เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 มกราคม 2568 โดยจะคัดเลือกจากผู้นำรุ่นใหม่อายุระหว่าง 35-45 ปี ซึ่งมีความหลากหลายในกลุ่มอาชีพ ได้แก่ ผู้นำธุรกิจ ทายาทธุรกิจ ข้าราชการ บุคลากรองค์กรอิสระ และผู้นำองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม โดยจะต้องมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. เป็นผู้นำที่มีศักยภาพสูงสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมในวงกว้าง 2. เป็นคนดีที่มีคุณธรรมและจริยธรรม  3. ผู้สมัครมีคำถามสำคัญในชีวิตที่ยังไม่ได้รับคำตอบ และเชื่อว่ากระบวนการ Mentoring สามารถช่วยค้นหาคำตอบได้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง “อุทยานผู้นำ” ที่มีทั้งความดี และความเก่ง ส่งต่อคุณค่าที่ดีสู่สังคมได้

ผู้ที่สนใจสมัครเป็นเมนที (Mentee) ในโครงการ IMET MAX สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.imet.or.th/imetmax ผู้สมัครไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ โดยมูลนิธิ IMET จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - 14 มกราคม 2568

เดอะวิสดอมกสิกรไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ด้านการเงิน “Wealth Forum Thailand 2025” ในหัวข้อ “The New Frontiers of Investment Opportunity” ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุน นำโดย K Wealth ร่วมด้วยพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier ระบุเศรษฐกิจโลก ปี 2025 เตรียมรับแรงกระแทกจากนโยบายยุคทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะมาตรการกำแพงภาษีที่พุ่งเป้าที่จีน มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก สัญญาณสงครามการค้าขยายแนวรบ แนะกระจายความเสี่ยง ขยายพอร์ตลงทุนให้น้ำหนักหุ้นโลก โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นญี่ปุ่น ที่มีสัญญาณที่ดี พร้อมเสริมแกร่งด้วยกองทุนตราสารหนี้  

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ หลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 คาดว่าจะเห็นนโยบายเร่งด่วนใน 100 วันแรก ของโดนัล ทรัมป์ เช่น นโยบายการลดเงินสนับสนุนทางทหารกับชาติพันธมิตร นโยบายกีดกันผู้อพยพเข้าเมือง นโยบายด้านพลังงาน รวมถึงการลดภาษี ซึ่งโดยรวมแล้วจะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น รวมถึงการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะทำให้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามนโยบายของทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่​

“สงครามการค้าจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียรวมถึงไทยอย่างมากจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การตอบโต้ทางการค้าไปมา การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบจากโอกาสทางการค้าที่หายไป นอกจากนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 60% จะส่งผลกระทบทางอ้อมให้ประเทศต่างๆ ต้องเผชิญการไหลบ่าเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนที่ได้เปรียบด้านราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบอีกต่อหนึ่งต่อภาคการผลิตในแต่ละประเทศ​”

สำหรับเศรษฐกิจไทย นอกจากจะเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกแล้ว สงครามการค้าจะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า จากการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยเป็นอันดับที่ 12 ของคู่ค่าทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสินค้าส่งออกไทยที่จะเจอภาษีสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น หรือไทยอาจจะต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นปัจจัยลบต่อทิศทางดุลการค้าของไทยในระยะข้างหน้าให้เกินดุลได้ลดลง​

 

นโยบายยุค “ทรัมป์ 2.0 กระทบเศรษฐกิจ การค้าโลก และเงินเฟ้อ

มุมมองจาก Ms. Jin Yuejue Managing Director, Asia Head of the Investment Specialist Multi-Asset Solution group จาก J.P. Morgan Asset Management เห็นว่า "เศรษฐกิจโลกสดใสขึ้น แต่ยังมีหมอกปกคลุม" ด้วยความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่จาก “นโยบายทรัมป์ 2.0” หากทำให้เงินเฟ้อสหรัฐกลับมาสูงขึ้น โอกาสที่เฟดลดดอกเบี้ยในปีหน้า จำนวนครั้งลดลงจากที่ตลาดคาด ทำให้ราคาสินทรัพย์ผันผวนได้

Mr. Homin Lee, Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier มองว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้น แต่ในความเสี่ยงต่างๆ ยังมีโอกาส ใช้เป็นจังหวะในการลงทุนได้เช่นกัน

โดยทั้งสองเห็นสอดคล้องกันว่า นโยบายของโดนัล ทรัมป์ ในหลายนโยบายอาจจะไม่ง่ายนักต่อการดำเนินการเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ในหลายด้าน โดยเห็นว่า มีนโยบายที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงเงินเฟ้อ ได้แก่

  • นโยบายกีดกันแรงงานอพยพ นโยบายนี้อาจนำมาสู่การขาดแคลนแรงงงาน ส่งผลต่อค่าแรงที่จะต้องจ่ายเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะเริ่มดำเนินการในต้นปี 2568
  • จัดเก็บภาษีนำเข้าอัตราใหม่ เป็นนโยบายที่คาดว่า ทรัมป์จะเร่งให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์เสนอให้เรียกเก็บภาษีใหม่ในอัตรา 10-20% สำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยประเทศคู่ค้าที่เป็นเป้าหมายสำคัญของทรัมป์คือ จีน ที่ทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 10%เม็กซิโกและแคนาดาเป็น 25%
  • นโยบายการคลัง ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ซึ่งลดลงอย่างมากจากอัตราปัจจุบันที่ 21%

แนะเพิ่มน้ำหนักพอร์ตในหุ้นโลก สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังเป็นดาวรุ่ง

Mr. Homin Lee ให้คำแนะนำถึงหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ยังส่งสัญญานบวกต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นยุโรปยังคงทรงตัว ตราสารหนี้ระดับลงทุน Investment Grade หรือหุ้นกู้ High Yield ที่มี Credit Rating ที่ดี นอกจากนี้การลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) เช่น ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีในช่วงเวลานี้

Ms. Jin Yuejue แนะว่า "เน้นกระจายสินทรัพย์ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นโลก เช่น หุ้นสหรัฐ ขนาดกลางและเล็ก กับหุ้นญี่ปุ่น และลดน้ำหนักหุ้นยุโรป พร้อมกับเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้ เน้นที่มีคุณภาพสูง รวมถึงหุ้นกู้เอกชน"

 

เสริมแกร่งพอร์ต “โตกระจาย ไม่โตกระจุก” กระจายในหุ้นและตราสารหนี้ ทั้งไทยและต่างประเทศ

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า “ภาพรวมการลงทุนในปีหน้าของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติสมดุล ซึ่งตราสารทุน หรือตลาดหุ้น ของทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้ มีการปรับตัวขึ้นของหุ้นสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องกลับมามองที่ Valuation มากขึ้น เพราะตราบใดที่ความผันผวนยังคงอยู่ สิ่งที่จะช่วยให้เรารอดได้ คือ ความเหมาะสมของหุ้น ทั้งในตัวราคา และเป็นหุ้นที่มีคุณภาพ เติบโตได้ มีผลประกอบการที่ดี”

นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, รองกรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย กล่าวว่า “กองทุนรวมตราสารหนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี รวมถึงยืดอายุการถือครองตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 12 เดือน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว และลดความผันผวนของพอร์ตด้วย”

ด้านนายวีระพล บดีรัฐ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “การจัดสรรพอร์ตการลงทุน แนะนำแบ่งเป็น พอร์ตหลัก (Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว แบ่งสัดส่วนไว้ 70% ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เช่น หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นญี่ปุ่น หรือกองทุนผสม K-WealthPLUS Series โดยอีก 30% เป็นพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) เช่น กองทุน K-FIXEDPLUS  

 

K WEALTH แนะนำกองทุนที่น่าสนใจ

  • 70% Core Portfolio ประเภท Multi Asset เช่น กองทุน K-WealthPLUS Series: K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP  และ K-WPULTIMATE 
  • 30% Satellite Portfolio ประเภท Fixed Income เช่น กองทุน K-GINCOME-A(A), *K-FIXEDPLUS-A และ K-FIXED-A และประเภท Equity เช่น กองทุน K-VIETNAM, K-GINFRA-A(D) K-HIT-A(A), K-GHEALTH, K-USA-A(A) และ K-GOLD-A-(A)

คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุน ความเสี่ยงได้ที่หนังสือชี้ชวน และ ข้อมูลเพิ่มเติม www.kasikornasset.com 

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่, วิทยาลัยนานาชาติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (International College, Panyapiwat Institute of Management) ร่วมกับองค์กรพันธมิตร จัดงานประกาศผลการแข่งขัน PIM International Hackathon 2024 ทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษา หลังท้าชิงไอเดียธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้คอนเซปท์ “Sustainable Well-being towards Zero-Green-Clean Economy” โดยได้รับการสนับสนุนจาก HSBC Thailand - Mitsubishi Electric Factory Automation (Thailand) - Accenture Thailand - คณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง - ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) -  ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) - อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย - บริษัท ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ จำกัด (กองทุน ดิสรัปท์อิมแพค)

PIM International Hackathon 2024 มุ่งเน้นแนวคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่และมีความน่าสนใจด้าน การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ พลังงานหมุนเวียน การชดเชยคาร์บอน อาหารที่ปลอดภัย สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นส่วนหนึ่งในการค้นหาโซลูชันใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจากพลังสมองคนรุ่นใหม่ พร้อมมีโอกาสพัฒนาเป็นโมเดลธุรกิจหรือนวัตกรรมที่สามารถคืนคุณค่าแก่สังคมในอนาคต ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากจากเยาวชนทั้งไทยและต่างชาติส่งแข่งขันถึง 75 ไอเดีย โดยทีมที่ชนะเลิศจากการตัดสินของคณะกรรมการทรงคุณวุฒิ ได้รับรางวัลและทุนการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสมัยใหม่ หลักสูตรนานาชาติ (iMBE) Bachelor of Business Administration Program in Modern Business Entrepreneurship (International Program) และ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (ธุรกิจระหว่างประเทศ) หลักสูตรนานาชาติ Master of Business Administration Program in International Business (iMBA) รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท

ผลการแข่งขัน PIM International Hackathon 2024

ระดับอุดมศึกษา

รางวัลชนะเลิศ ทีม LOCOL จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย & มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ผลงาน : Premium, Low-Carbon Thai Beef, Savor Sustainability, Nourish Locally, And A Thriving Ecosystem.

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม ALPACA จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงาน : An application to enhance remote speech therapy using artificial intelligence.

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม MEDSAGE จาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ The University of Hong Kong
ผลงาน : Medical Sustainability And Green Environment. “Health Care ESG Management Platform

ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

รางวัลชนะเลิศ ทีม EUREKA! จาก โรงเรียนนานาชาติเอกมัย
ผลงาน : P2F Machine “Plastic Recycling Innovation for Sustainable Education”

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  ทีม WolffiaX จาก โรงเรียนอัสสัมชัญหลักสูตรภาษาอังกฤษ, โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ พัทยา, โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงเรียนสาธิตนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผลงาน : Rice Sprinkle made of Wolffia to provide enough nutrition to solve the food crisis in the poor nation, especially poor children

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม PACT จาก โรงเรียนนานาชาติโมเดิร์น กรุงเทพฯ
ผลงาน : PACT (Planetary Action for Carbon Transparency) Track Your Impact, Keep the Earth Intact

วิทยาลัยนานาชาติ พีไอเอ็ม ร่วมกับ บมจ.ซีพี ออลล์ ผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่างภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ร่วมกระตุ้นการปลูกฝังแนวคิดในระดับเยาวชน ให้เข้าถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม ผสานการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล ไอเดียใหม่ๆ เข้าใจการวางแผนโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว การพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล รวมทั้งได้สร้างค่านิยมให้กับเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญช่วยผลักดันเรื่องดังกล่าวให้ไปในทิศทางเชิงบวก ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ซีพี ออลล์ มุ่งหวังสร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถผ่านการศึกษา ภายใต้ปณิธาน “Giving & Sharing” มาอย่างต่อเนื่อง

พบกันใหม่ในปี 2025!

ติดตามบรรยากาศการแข่งขันย้อนหลังและกิจกรรมของวิทยาลัยนานาชาติ พีไอเอ็ม ได้ที่
PIM Inter Hackathon https://www.facebook.com/PIMInterHackathon
PIM International https://www.facebook.com/interprogrampim
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
Website : https://interprogram.pim.ac.th/

แกร็บฟู้ด ตอกย้ำผู้นำแพลตฟอร์มเดลิเวอรียอดนิยม เขย่าตลาดด้วยแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี “GrabFood Mega Sale ประกาศศักดา ลดใหญ่ใส่สุด” ผนึกพันธมิตรร้านอาหารทั่วประเทศหั่นราคา-แจกโค้ดส่วนลดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 90% ทุกชั่วโมงแบบไม่มีขั้นต่ำ พร้อมส่งดีลสั่งอาหารราคาพิเศษเริ่มต้น 19 บาทกว่า 16,000 ดีล มาพร้อมโปรโมชันพิเศษส่งฟรี 0 บาท จัดเต็มด้วยกิจกรรมการตลาด 360 องศา โดยเพิ่มสัดส่วนของสื่อออฟไลน์ถึงสองเท่า โดยเฉพาะสื่อกลางแจ้ง (Out-of-Home) และ สื่อโฆษณาเคลื่อนที่ (Transit Media) เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและตอกย้ำเรื่องความคุ้มค่าและปลุกกำลังซื้อในช่วงที่ผู้บริโภคเริ่มรัดเข็มขัดจากสถานการณ์เศรษฐกิจ เสริมทัพด้วยกลยุทธ์ Music Marketing ปรับลุคพรีเซนเตอร์ “เบลล่า ราณี” เป็นแรปเปอร์สาวในแคมเปญโฆษณาล่าสุด ชวนสั่งอาหารเป็นกลุ่มต้อนรับช่วงเทศกาลปลายปีที่คนนิยมสั่งอาหารมาเลี้ยงฉลองร่วมกัน หลังยอดใช้บริการฟีเจอร์ Group Order (สั่งอาหารแบบกลุ่ม) เติบโตขึ้นกว่า 90%

นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อสร้างสีสันให้กับตลาดฟู้ดเดลิเวอรีและปลุกกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายของปี แกร็บฟู้ดได้ส่งแคมเปญใหญ่ ‘GrabFood Mega Sale ประกาศศักดา ลดใหญ่ใส่สุด’ สร้างปรากฏการณ์คุ้มส่งท้ายปีเพื่อคืนกำไรให้กับผู้ใช้บริการ โดยเราได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรร้านอาหารทั่วประเทศ ทั้งกลุ่มเชนร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ร้านฮิตติดเทรนด์ ไปจนถึงร้านสตรีตฟู้ด หั่นราคาและมอบส่วนลดสูงสุดถึง 90%1 เพียงใส่โค้ด MEGA (ลดสูงสุด 80 บาท ไม่ต้องมียอดสั่งขั้นต่ำ) โดยจะมีการเติมโค้ดส่วนลดทุกชั่วโมง มาพร้อมดีลสั่งอาหารในราคาพิเศษภายใต้ซับแบรนด์ Hot Deals ที่เริ่มต้นเพียง 19 บาทกว่า 16,000 ดีล และโปรโมชันส่งฟรี 0 บาท ซึ่งถือเป็นโปรโมชันที่แรงที่สุดเป็นประวัติการณ์”

ภายใต้แคมเปญนี้ แกร็บฟู้ดเล่นใหญ่ใส่สุดจัดเต็มด้วยกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายแบบ 360 องศา ครอบคลุมทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ โดยได้เพิ่มสัดส่วนของการใช้สื่อออฟไลน์สูงขึ้นสองเท่า โดยเฉพาะสื่อกลางแจ้ง (Out-of-Home) ทั้งบิลบอร์ดและจอดิจิทัล พร้อมสื่อโฆษณาเคลื่อนที่ (Transit Media) เพื่อตอกย้ำเรื่องความคุ้มค่า (Affordability) ในช่วงที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัจจัยภายนอกต่าง ๆ

“นอกจากนี้ เรายังได้เสริมทัพด้วยการใช้กลยุทธ์มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง (Music Marketing) เพื่อสร้างการจดจำและการเข้าถึงแคมเปญผ่านเพลงแร็พติดหู โดยส่งแคมเปญโฆษณาล่าสุดที่ได้ปรับลุคพรีเซนเตอร์ ‘เบลล่า ราณี’ ให้กลายเป็นแรปเปอร์สาวเพื่อเจาะกลุ่ม Gen Z ชวนผู้ใช้บริการสั่งอาหารเป็นกลุ่มเพื่อฉลองร่วมกันในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะการใช้ฟีเจอร์ Group Order (สั่งอาหารแบบกลุ่ม) ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นหลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 โดยมียอดใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 90%2” นายพนมกร กล่าวเสริม

ติดตามรายละเอียดของแคมเปญ “GrabFood Mega Sale ประกาศศักดา ลดใหญ่ใส่สุด” ได้ที่ https://www.facebook.com/GrabFoodTH  

รับชมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ได้ผ่านทาง

    

 


หมายเหตุ

1เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

2เปรียบเทียบยอดใช้บริการสั่งอาหารแบบกลุ่มผ่านฟีเจอร์ Group Order ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคมกับช่วงก่อนหน้า

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก เพราะมองว่าปัจจัย Trump trade ได้ทยอยหมดไปแล้ว สำหรับปี 2025 มองว่าเงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปีเนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปอาจฟื้นช้าทำให้เงินยูโรอ่อน นอกจากนี้ มาตรการ Tariffs จะทำให้การค้าโลกชะลอ กระทบเศรษฐกิจในภูมิภาคทำให้ค่าเงินอ่อน อย่างไรก็ดี SCB FM มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยมองว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคำที่อาจสูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจไหลกลับเข้า EM ช่วงปลายปี อาจช่วยให้เงินบาทแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย SCB FM คาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อในไทยที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0

นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้เงินบาทในเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็วกว่าช่วงหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2016 ที่ Trump ชนะเช่นกัน แต่ SCB FM มองว่าปัจจัยเรื่อง Trump trade ล่าสุดได้จบไปแล้ว ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก สะท้อนจาก 1) เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าได้บ้าง หลังเลขเศรษฐกิจไทยออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ไตรมาส 3 และเลขการส่งออก 2) การแต่งตั้ง Scott Bessent เป็น รมว.คลังสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่านโยบายของ Trump จะไม่แข็งกร้าวมาก Treasury yields จึงปรับลดลงเร็ว และเงินดอลลาร์อ่อนค่า และ 3) ตลาดเริ่มชินกับการประกาศ Tariffs ของ Trump มากขึ้น โดยล่าสุด Trump ประกาศเตรียมขึ้น Tariffs จีน แคนาดา เม็กซิโก และกลุ่ม BRICS ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงบาทอ่อนค่า แต่การอ่อนค่ายังน้อยกว่าการประกาศครั้งก่อน ๆ และน้อยกว่าในปี 2017 (Trump 1.0) ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทจะยังผันผวนสูงแต่ไม่อ่อนค่ามาก โดยอาจอยู่ที่กรอบราว 34.00-35.00 ในช่วงที่เหลือของปีนี้

เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่อาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง โดยปัจจัยหลักที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อได้คือ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ทำให้เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า และเงินยูโรอาจยังอ่อนค่าต่อได้ 2) การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้เงินภูมิภาคอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินหยวนที่อาจอ่อนค่าเร็วเพราะ Trump อาจใช้ Executive orders เพื่อขึ้น Tariffs ต่อจีนได้เร็ว และ 3) การกีดกันทางการค้าที่น่าจะมีมากขึ้นอาจทำให้การค้าโลกชะลอลง กดดันเศรษฐกิจไทยและคู่ค้าสำคัญ ทำให้เงินบาทอ่อน โดยนายแพททริกมองว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า เงินบาทอาจอ่อนค่าแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงที่เหลือของปี อาจยังไหลออกต่อได้จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก และเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งทำให้เงินยังไหลเข้าสหรัฐฯ โดยข้อมูลล่าสุดขี้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ แม้ว่าจะเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทยในไตรมาสที่ 3 ก็ตาม

ในระยะยาว มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นผลจาก 1) การลดดอกเบี้ยของ Fed โดยนายแพททริกมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปี 2025 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าได้ 2) รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มขาดดุลการคลังมากขึ้น จากการลดภาษีและการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่า 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลกลับเข้า EM รวมถึงตลาดเอเชียและไทย 4) ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจสูงขึ้น และ 5) ราคาทองคำอาจปรับสูงขึ้นจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโลกที่อาจลดลง ซึ่งราคาทองที่สูงขึ้นจะช่วยดันให้เงินบาทแข็งค่าได้

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในระยะข้างหน้าจะสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เช่น เงินหยวน และเงินเยน โดยมองว่าเงินหยวนอาจอ่อนค่าต่อในปีหน้า จาก 1) เศรษฐกิจจีนน่าจะชะลอลงต่อ และมาตรการรัฐอาจมีจำกัด 2) ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยจะยังกว้าง นอกจากนี้ เงินหยวนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ Tariffs มากที่สุด แต่คาดว่า Market reaction อาจน้อยกว่าสมัย Trump 1.0 เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเคยชินกับภาษี ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Flight to quality flows) อาจน้อยลง 3) ทางการจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อเป็น Cushion ต่อการส่งออกที่แย่ลง สำหรับมุมมองเงินเยน นายวชิรวัฒน์มองว่า เงินเยนอาจยังเคลื่อนไหว Sideways ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังแข็งแกร่ง ทำให้ดอลลาร์ยังแข็งเทียบกับเยน แต่ในปีหน้าคาดว่า เงินเยนจะทยอยแข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่จะยังอยู่สูงตามค่าแรงญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการ Unwind carry trade ที่อาจทำให้เยนแข็งค่าเร็วกว่าคาด

ความผันผวนในระยะต่อไปอาจสูงขึ้น และแนวโน้ม Trade protectionism จากทางสหรัฐฯ อาจทำให้การใช้เงินหยวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้รับอิทธิพลจากนโยบายของ Trump ซึ่งมักจะโพสต์ผ่าน Social media จึงมองว่าการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนผ่านการทำธุรกรรม Forward และการหันมาใช้สกุลเงินภูมิภาค เช่น เงินหยวน หรือเงินเยน จะมีความสำคัญมากขึ้น โดยล่าสุดพบว่า สัดส่วนการใช้เงินหยวนผ่านระบบ Swift ปรับเพิ่มขึ้นเร็วในปี 2023 หลังจีนหันมาเน้นการค้าขายในภูมิภาคมากขึ้น และเงินหยวนอ่อนค่าในช่วงดังกล่าวทำให้ผู้ขายได้ประโยชน์มากขึ้น

สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย ตลาดมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมแรกของปีหน้า (เดือนกุมภาพันธ์) และตลาดมองว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงกลางปี 2025 ทำให้ Terminal rate จะลงไปที่ราว 1.75% อย่างไรก็ดี นายวชิรวัฒน์มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0

ดร.วุฒิพันธุ์ ตวันเที่ยง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมผู้บริหารและพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ “ BAM Save The Sea #2 (25th Anniversary) ” ร่วมปล่อยปลาฉลามกบกลับคืนสู่ธรรมชาติ โดยมี นาวาตรีโชคชัย ชูตระกูล หัวหน้าวิทยากรประจำชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ และทีมจิตอาสาหาดตะวันรอน พร้อมให้ความรู้และร่วมกิจกรรม ณ หาดตะวันรอน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศทะเลไทยให้มีความสมดุล และลดการสูญพันธุ์ของปลาฉลามบก  

 

X

Right Click

No right click