

Robert Walters Thailand ผนึก Ultimate Destiny และ Kuvera Capital จัด CEO Roundtable 2025 ภายใต้หัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพประเทศไทย” กรุงเทพฯ 26 กันยายน 2568 – Robert Walters Thailand บริษัทที่องค์กรทั่วโลกไว้วางใจในด้านโซลูชันการสรรหาและพัฒนาผู้บริหารและบุคลากรระดับสูง ได้จัดงาน CEO Roundtable 2025 ภายใต้แนวคิด “Unlocking Thailand’s Potential – Navigating Challenges and Seizing Opportunities” โดยเชิญผู้นำองค์กรและซีอีโอกว่า 40 ท่านจากบริษัทชั้นนำของไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ

งานในปีนี้ได้รับเกียรติจาก คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนักลงทุนผู้มากประสบการณ์ ร่วมเสวนาพิเศษเพื่อแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านโอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในอนาคต โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของผู้นำธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และร่วมผลักดันความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนของประเทศ
การจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นความร่วมมือสำคัญของ Robert Walters Thailand กับพันธมิตร 2 องค์กร ได้แก่ Kuvera Capital บริษัทด้านการลงทุนทางเลือกที่มุ่งสร้างคุณค่าระยะยาว และ Ultimate Destiny บริษัทที่ปรึกษาและฝึกอบรมระดับพรีเมียมที่ผสานภูมิปัญญาตะวันออกเข้ากับศาสตร์การพัฒนาองค์กรสมัยใหม่ โดยมีพันธกิจสำคัญในการเชื่อมโยง “คน – เป้าหมาย – ผลงาน” ให้เดินไปด้วยกันอย่างสมดุล คุณเชาวนนท์ คลังเปรมจิตต์ CEO & Founder ของ Ultimate Destiny กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในงานครั้งนี้ว่า “สำหรับ Ultimate Destiny เราเชื่อว่า ‘หัวใจของการเติบโต คือผู้คน’ ทุกองค์กรสามารถมีเทคโนโลยีหรือโมเดลธุรกิจที่แข็งแรงได้ แต่สิ่งที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง คือการเข้าใจมนุษย์และเชื่อมโยงพลังของคนเข้ากับเป้าหมายขององค์กร

การร่วมมือกับ Robert Walters Thailand ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเวทีแห่งการแลกเปลี่ยน แต่คือการสร้างพื้นที่ที่ทำให้ผู้นำธุรกิจมองเห็นคุณค่าของคนรอบตัวอย่างลึกซึ้งขึ้น Engagement ที่แท้จริงคือการทำให้คนรู้สึกว่ามีความหมาย มีพลัง และเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ที่จะเดินไปด้วยกัน
Ultimate Destiny มุ่งมั่นที่จะผสานศาสตร์แห่งภูมิปัญญาตะวันออกกับแนวทางการพัฒนาองค์กรสมัยใหม่ เพื่อให้ผู้นำไม่เพียงเข้าใจกลยุทธ์ แต่เข้าใจ ‘หัวใจของคน’ ที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์นั้นไปสู่ผลลัพธ์จริง เราเชื่อว่า หากเราสามารถเชื่อมโยง คน – เป้าหมาย – ผลงาน ได้อย่างสมดุล ประเทศไทยก็สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและปลดล็อกศักยภาพได้อย่างแท้จริง”
คุณปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “Robert Walters Thailand ไม่ใช่เพียงบริษัทที่องค์กรทั่วโลกไว้วางใจในด้านการสรรหาและพัฒนาผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังเป็นพันธมิตรที่มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบนิเวศด้านบุคลากรของประเทศไทย เรามุ่งเชื่อมโยงผู้นำทางความคิด ส่งเสริมความร่วมมือ และผลักดันโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่ง โดยยึดมั่นในพันธกิจหลักของเราในการเสริมพลังให้ผู้คนและองค์กรเติมเต็มศักยภาพอันเป็นเอกลักษณ์ (powering people and organisations to fulfil their unique potential)”
ทั้งนี้ Ultimate Destiny ขอขอบคุณ Robert Walters Thailand สำหรับการสนับสนุนที่ทรงคุณค่า ซึ่งทำให้งาน CEO Roundtable 2025 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และเป็นก้าวสำคัญของการสร้างความร่วมมือเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย
| สหรัฐ |
การปิดหน่วยงานราชการกระทบความเชื่อมั่น ขณะที่ข้อมูลล่าสุดยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการจ้างงานภาคเอกชนลดลง 32,000 ตำแหน่ง ในเดือนกันยายน ซึ่งย่ำแย่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 94.2 ขณะที่ผลจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ ทำให้ต้องเลื่อนการรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกันยายนออกไปชั่วคราว
วุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้ทันก่อนเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ส่งผลให้หน่วยงานหลายแห่งต้องปิดการดำเนินงาน หรือเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม แม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่สูงมากเมื่อพิจารณาจากการปิดหน่วยงานในอดีต อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อจนกดดันต่อรายได้และกำลังซื้อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ดัชนีชี้วัดที่สำคัญอื่นๆ เช่น การจ้างงานภาคเอกชน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึง PMI ภาคการผลิต ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) สู่ระดับ 3.50-3.75% ภายในสิ้นปีนี้

| ญี่ปุ่น |
แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอ ขณะที่ การเลือกตั้งผู้นำพรรค LDP เพิ่มความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยสู่ +14 ในไตรมาส 3 จาก +13 ในไตรมาส 2 ส่วนภาคบริการทรงตัวที่ระดับ +34 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายใหญ่มีแผนเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 12.5% YoY สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส ขณะที่ยอดค้าปลีกหดตัว -1.1% YoY ในเดือนสิงหาคม จากเดือนก่อนขยายตัว +0.4% นอกจากนี้ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรค LDP คนใหม่ ปูทางสู่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น
แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่ในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน รวมถึงภาคธุรกิจยังคงขยายแผนการลงทุน แต่เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆอ่อนแอลง เช่น การหดตัวของยอดค้าปลีก นอกจากนี้ นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการผลิต การส่งออก รวมถึงผลประกอบการของภาคธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตต่ำ ปัจจัยดังกล่าวสร้างความยากลำบากให้กับ BOJ ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำพรรค LDP คนใหม่อาจเพิ่มโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้

| จีน |
ภาคบริการยังหนุนเศรษฐกิจจีน ขณะที่ช่วงหยุดยาววันชาติคาดว่าจะช่วยทำให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจคึกคักมากขึ้น โดย PMI ภาคการผลิตขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 49.4 ในเดือนสิงหาคมเป็น 49.8 ในเดือนกันยายน แต่ยังอยู่ในโซนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่ PMI ภาคบริการยังขยายตัวแม้ชะลอลงเล็กน้อยจาก 50.5 เป็น 50.1 ส่วนยอดขายบ้านใหม่ในเดือนกันยายนขยายตัวเพียง 0.4% YoY จาก -17.6% ในเดือนสิงหาคม อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลท้องถิ่นอุดหนุนเงินกว่า 330 ล้านหยวนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงหยุดยาววันชาติจีนตั้งแต่ 1 ถึง 8 ตุลาคม
ภาคบริการยังหนุนเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีความสำคัญมากขึ้นภายหลังรัฐบาลขยายมาตรการหนุนการบริโภคภาคบริการเพิ่มเติมในเดือนกันยายน สำหรับภาคการผลิตเดือนล่าสุดเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังเผชิญแรงกดดันหลายด้านจากทั้งภาวะอุปทานส่วนเกิน การบริโภคที่อ่อนแอ และนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์โดยพื้นฐานยังคงอ่อนแอ และอุปสงค์บ้านใหม่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาวตามโครงสร้างประชากรที่หดตัวลง ขณะที่วันหยุดยาวในช่วงเฉลิมฉลองวันชาติจีนคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจในเดือนตุลาคมคึกคักมากขึ้น โดยรัฐบาลประเมินว่าการเดินทางทั่วประเทศจะสูงขึ้น 3.2% YoY สู่ระดับ 2.4 พันล้านทริป

เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจน คาดหนุนให้ธปท.ปรับลดดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคม มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำลดลงจากเดือนก่อน (-0.1% MoM sa) โดยการส่งออกไปสหรัฐฯลดลงเป็นเดือนแรกหลังภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัว (-0.2%) จากการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการบริโภคภาคเอกชนไม่มีการเติบโต (0%) โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและหมวดสินค้ากึ่งคงทนที่ลดลงจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.8% และ +2.7% ตามลำดับ)
เครื่องชี้ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมสะท้อนว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลายภาคส่วนในไตรมาส 3 มีทิศทางอ่อนแรงลงชัดเจน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นนัดแรกภายใต้การกำกับของผู้ว่าการ ธปท. ท่านใหม่ (นายวิทัย รัตนากร) วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจากปัจจุบันที่ 1.50% สู่ 1.25% เนื่องจากอุปสงค์ภายใน ประเทศชะลอลงอย่างมากทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนเอกชน ตลอดจนภาคการส่งออกที่เผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในช่วงต้นเดือนตุลาคมเสริมกับมาตรการการคลังระยะสั้นของรัฐบาลที่จะทยอยมีผลบังคับใช้เบื้องต้นตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนช่วยให้เศรษฐกิจรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิค

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น คาดช่วยประคองความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายในช่วงท้ายปี ล่าสุดรัฐบาลเตรียมดำเนินมาตรการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชนในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม) จำนวน 33 ล้านคน วงเงินราว 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจำแนกเป็น (i) การเติมเงินเในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ถือบัตรฯ 13.4 ล้านคน จากเดิม 300 บาทต่อเดือน เพิ่มให้อีกเดือนละ 850 บาท รวมเป็น 1,150 บาทเป็นเวลา 2 เดือน วงเงินรวม 2.2 หมื่นล้านบาท (ii) โครงการคนละครึ่งพลัส สำหรับประชาชนทั่วไปอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 20 ล้านคน วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท (รายละเอียดจะเข้า ค.ร.ม. สัปดาห์นี้) นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศและการลงทุน รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs
อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจข้างต้นคาดว่าจะช่วยพยุงความเชื่อมั่นและหนุนการใช้จ่ายในประเทศในปีนี้ให้ฟื้นตัวได้บางส่วน ขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว อาจช่วยหนุนให้จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นได้บ้าง ปัจจัยบวกเหล่านี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่อ่อนแรงได้ในระดับหนึ่ง โดยวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปี 2568 จะเติบโตที่ 2.1% อย่างไรก็ตาม การทยอยลดลงของผลเชิงบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า ประกอบกับผลเชิงลบที่มากขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจเติบโตชะลอลงเหลือ 1.3% จาก 3.0% ในช่วงครึ่งปีแรก

ธนาคารกสิกรไทย พลิกโฉม “บัตรเครดิตแพลทินัมกสิกรไทย” สู่ชื่อใหม่ “บัตรเครดิต KBank PLUSTINUM” พร้อมให้ลูกค้าได้ใช้จ่ายเพื่อรับความคุ้มค่าให้ “ชีวิต...พลัสได้ทุกวัน” โดยไม่ต้องรอดีลพิเศษ เป็นการรีแบรนด์ (Rebrand) ครั้งสำคัญด้วยการเปลี่ยนประสบการณ์การใช้จ่าย พร้อมยกระดับสิทธิพิเศษให้ลูกค้าได้ใช้ตรงกับไลฟ์สไตล์มากขึ้นกว่าเดิม เน้นให้ความคุ้มค่าในหมวดการใช้จ่ายที่ลูกค้าใช้บ่อย เช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า แฟชั่น และการเดินทางท่องเที่ยว
นางสาวผกาฉัตร เตชาบูรพานนท์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า บัตรเครดิต KBank PLUSTIUM เป็นกลุ่มบัตรที่มีศักยภาพการเติบโต ทั้งด้านการใช้จ่ายและจำนวนบัตร และด้วยไลฟ์สไตล์การจับจ่ายของลูกค้าที่เปลี่ยนไป จึงมีการรีแบรนด์ (Rebrand) ครั้งสำคัญนี้ ตั้งแต่ชื่อบัตรที่ใช้คำว่า พลัส (PLUS) เพื่อสะท้อนถึงสิทธิพิเศษที่ลูกค้าจะได้รับมากขึ้น พร้อมดีไซน์ใหม่ทันสมัยและสิทธิประโยชน์ที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้จ่ายที่คุ้มค่าในหมวดที่ลูกค้าใช้บ่อย เช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า แฟชั่น และการเดินทาง ซึ่งลูกค้าสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตใบนี้ได้ทุกวัน ไม่ต้องรอโปรโมชันพิเศษ ให้ชีวิต...พลัสได้ทุกวัน

“ชีวิต...พลัสได้ทุกวัน” กับสิทธิพิเศษใหม่ของบัตรเครดิต KBank PLUSTINUM

ทั้งนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้บัตรเครดิตแพลทินัมกสิกรไทยใบเดิมได้อย่างต่อเนื่อง และได้รับสิทธิพิเศษใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569
สำหรับลูกค้าใหม่ยังสามารถพลัสความพิเศษไปได้อีก เมื่อสมัครบัตรเครดิต KBank PLUSTINUM** รับคะแนน K Point เพิ่มอีก 3,000 คะแนน รวมรับ K Point สูงสุด 268,000 คะแนน (เมื่อใช้จ่ายตามที่กำหนด) และสามารถนำคะแนน K Point ไปเลือกแลกของแบรนด์ดังคุณภาพดี มูลค่าสูงสุด 39,900 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568
*ศึกษารายละเอียด ข้อจำกัด เงื่อนไขเพิ่มเติมที่ https://www.kasikornbank.com/k_46ohcry
**ศึกษารายละเอียด ข้อจำกัด เงื่อนไขเพิ่มเติมที่ https://www.kasikornbank.com/k_4pGWieL
ใช้เท่าที่จำเป็น และชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
เฮเฟเล่ ประเทศไทย สานต่อความสำเร็จในการเป็นผู้นำโซลูชันสำหรับบ้านและอาคาร ภายใต้แนวคิด Hafele Experience Center เปิดตัวสินค้าใหม่ล่าสุด พร้อมโซนจัดแสดงที่ได้รับการพัฒนาและปรับโฉมใหม่ ที่ Hafele Design Studio สุขุมวิท 64 โดยมาพร้อมการผสมผสานนวัตกรรม (Innovation) คุณภาพ (Quality) ดีไซน์ (Design) และการบริการที่เป็นเลิศ (Excellence Services) เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งมองหาทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
Mr. John Clare, Managing Director of HÄFELE (Thailand) Co., Ltd. and Regional Director South / South East Asia (RSA) เปิดเผยว่า “เฮเฟเล่ มุ่งสร้างสรรค์มากกว่าผลิตภัณฑ์ แต่คือการส่งมอบ Brand Experience ที่สะท้อนกลยุทธ์การเป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันบ้านและอาคาร ทุกหมวดหมู่ล้วนสะท้อน German Standard ที่ขึ้นชื่อทั้งนวัตกรรม ความทนทาน ความสวยงาม และฟังก์ชันการใช้งาน เราเชื่อว่าทุกนวัตกรรมควรตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน ดีไซน์ และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค การเปิดตัวสินค้าและโซนใหม่ครั้งนี้คือการยืนยันว่า เฮเฟเล่ พร้อมจะเป็นแบรนด์ที่ ‘Inspire Better Living’ และสร้างมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ภายในสตูดิโอ ได้มีการนำเสนอสินค้าและโซลูชันใหม่ในหลายมิติ พร้อมทั้งจัดสรรพื้นที่เพื่อแสดงสินค้าอย่างครบถ้วน อาทิเช่น




นอกจากโซลูชันด้านเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว Hafele ยังมี Lighting Solutions ที่ครอบคลุมทั้งงาน Technician และ Interior Design ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ยกระดับการใช้ชีวิตเหนือกว่าความสว่างทั่วไป โดยมุ่งเน้นให้ระบบไฟสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ทุกพื้นที่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอน หรือโซนพักผ่อนต่างๆ เพื่อเติมเต็มบรรยากาศการอยู่อาศัยอบอุ่น สวยงาม มีสุนทรียภาพมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Hafele ในการพัฒนาโซลูชันครบวงจร ที่ช่วยให้บ้านและอาคารก้าวสู่ยุค Smart Living อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ผสานดีไซน์ที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกมิติ
Hafele Design Studio จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่จัดแสดงสินค้า แต่คือ “แรงบันดาลใจแห่งการออกแบบ” ที่ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของแบรนด์ระดับโลกในการ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคให้เหนือกว่าเดิม ที่นี่เต็มไปด้วย โซนใหม่ สินค้าใหม่ และ ไอเดียการออกแบบ ที่ครบครันยิ่งกว่าที่เคย…ทุกมุมของ Hafele Design Studio ถูกออกแบบให้เป็น Experience Center ที่ผู้เข้าชมสามารถสัมผัส ทดลองใช้จริง และค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตได้แล้ววันนี้ที่ Hafele Design Studio สุขุมวิท 64, เชียงใหม่ และภูเก็ต
ติดตามข้อมูลข่าวสาร เฮเฟเล่ ประเทศไทยได้ที่ :
www.hafelethailand.com หรือ www.facebook.com/HafeleThailand
ท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจ หลายแบรนด์เลือกใช้กลยุทธ์การตลาดที่ซับซ้อนและพรีเซนเตอร์ชื่อดังเป็นตัวขับเคลื่อน แต่เส้นทางของ “เบบี้แอนด์มัมฯ” กลับแตกต่างออกไป ด้วยการยึดแนวทาง Education-driven Strategy มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้เรื่องการเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีภาวะมีบุตรยาก สู่การสร้างแบรนด์ที่เติบโตอย่างยั่งยืน จนสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 783 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายใหญ่ “ขจัดความไม่รู้เรื่องภาวะมีบุตรยากให้หมดไปจากสังคมไทย”

เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าจุดเริ่มต้นของ “เบบี้แอนด์มัมฯ” มาจาก “ครูก้อย - นัชชา ลอยชูศักดิ์” ที่เคยเผชิญภาวะมีบุตรยากด้วยตัวเอง และผ่านประสบการณ์การรักษาหลายวิธี จึงทำให้เข้าใจ Pain point ของผู้มีบุตรยากเป็นอย่างดี ปัญหาท้องยากเป็นความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจของผู้หญิงหลายคน เมื่อหันไปมองรอบตัว เห็นเพื่อนหรือพี่น้องต่างก็มีลูกกันหมด การที่ยังไม่มีลูกแม้จะพร้อมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเงินหรือความมั่นคงในชีวิต อาจก่อให้เกิดความรู้สึกตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งหลายครอบครัวที่เผชิญภาวะมีบุตรยากต่างเข้าใจดี
ด้าน ครูก้อย – นัชชา ลอยชูศักดิ์ กรรมการบริหาร บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า หลังจากเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก ตั้งแต่ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติแล้วเกิดการแท้ง และผ่านการรักษาทางการแพทย์หลายวิธี เช่น การทำ IUI และ ICSI ซึ่งไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ด้วยความเป็นครูวิทยาศาสตร์ ครูก้อยจึงศึกษางานวิจัยระดับนานาชาติเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์และโภชนาการเสริมภาวะเจริญพันธุ์ ทำให้ครูก้อยเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ และนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการดูแลตัวเอง

โดย ครูก้อย ระบุว่า “ผู้มีบุตรยากจำนวนมากยังขาดความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ โดยมีหลักการสำคัญ 2 ข้อ คือ 1. การดูแลตัวเอง 2. โภชนาการ การเข้าใจและปฏิบัติตามหลักเหล่านี้ช่วยให้สามารถวางแผนและดูแลร่างกายได้อย่างเหมาะสมให้พร้อมก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
ด้วยความตั้งใจที่จะ “ส่งต่อความรู้เตรียมตั้งครรภ์ให้กับผู้มีบุตรยาก” จึงสร้างเพจ BabyAndMom.co.th ขึ้นเพื่อเป็นช่องทางในการแชร์ประสบการณ์จริงของครูก้อยกับภาวะมีบุตรยากที่ต้องเผชิญและกระบวนการรักษาทุกขั้นตอน พร้อมให้ความรู้ในการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ ทั้งการบำรุง และดูแลสุขภาพในองค์รวม ครูก้อย นัชชา กล่าว
เจมส์ เรืองศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ปัญหาภาวะมีบุตรยากในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทั้งความเครียด การแข่งขันสูงขึ้น การแต่งงานช้า รวมถึงโภชนาการที่ไม่สมดุล ทำให้อัตราการมีบุตรยากเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลายครอบครัวต้องเข้าสู่กระบวนการแพทย์ แม้ว่าเทคโนโลยีด้านการเจริญพันธุ์จะก้าวหน้าเพียงใด ก็ยังไม่มีแพทย์หรือเครื่องมือใดรับประกันความสำเร็จได้ 100%
“ซึ่งตอนที่เริ่มต้นทำเพจ BabyAndMom.co.th ให้ความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก จริงๆ แล้วแทบจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะเรียกว่าเป็นเพจแรกๆ ที่มาจุดกระแสการพูดคุยเกี่ยวกับภาวะผู้มีบุตรยากก็ว่าได้ เพราะในเวลานั้นยังไม่มีคลังความรู้ที่ชัดเจนบนโลกออนไลน์ “เบบี้แอนด์มัมฯ คือผู้บุกเบิกเจ้าแรกในไทย ที่ทำให้สังคมเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์”

“สิ่งที่เบบี้แอนด์มัมฯ ทำแตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมที่อิงโชคลางหรือไสยศาสตร์ แต่ใช้ “วิทยาศาสตร์และงานวิจัย” มาเป็นแกนกลาง เมื่อผู้ติดตามนำความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติจริง ก็พบผลลัพธ์ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นจุดที่ทำให้มั่นใจว่า สิ่งที่ครูก้อยศึกษาค้นคว้า และสื่อสารต่อสังคมนั้นมาถูกทางแล้ว และต่อยอดสู่การก่อตั้งบริษัทในเดือนธันวาคม พ.ศ.2559 ด้วยเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเพื่อการเจริญพันธุ์ เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้มีบุตรยาก ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง จึงเป็นที่มาในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ทั้งโปรตีน วิตามิน และสมุนไพรเพื่อการเจริญพันธุ์ โดยยึดแนวคิดการตลาดเชิงให้ความรู้ (Education Marketing) เป็นหัวใจหลัก เพื่อเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ คือการช่วยเตรียมร่างกาย เสริมโภชนาการ และดูแลสุขภาพของทั้งฝ่ายชายและหญิงให้พร้อมที่สุดก่อนเข้าสู่กระบวนการแพทย์ เพื่อเตรียมวัตถุดิบตั้งต้นที่ดีไปเสิร์ฟให้แพทย์ เมื่อแพทย์มีวัตถุดิบตั้งต้นดี โอกาสความสำเร็จก็สูงตามมา” เจมส์ เรืองศักดิ์ กล่าว

จุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ตัวแรก “โปรตีนเฟอร์ตี้ (Ferty)” เกิดจาก Pain Point ของผู้ติดตามเพจ BabyAndMom ที่สะท้อนว่าผู้มีบุตรยากในไทยแทบไม่มีทางเลือกด้านวิตามินและอาหารเสริมที่คิดค้นและพัฒนามาเพื่อคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ “เรามองว่าเค้กก้อนนี้ยังไม่มีใครทำมาก่อน” เรียกตลาดนี้ว่า “ตลาดวิตามินอาหารเสริมเตรียมตัวก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์” โดยที่ผ่านมา ผู้มีบุตรยากมีเพียงสองทางเลือก คือดูแลสุขภาพด้วยยาจีนและสมุนไพรตามความเชื่อโบราณ หรือเข้าสู่การรักษาทางการแพทย์โดยตรง “แต่ยังไม่มีตลาดที่แท้จริงสำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์”
สิ่งที่ทำให้ตลาดนี้แตกต่างคือ “ผู้ที่ประสบปัญหามีบุตรยากมักมีความมุ่งมั่นและวินัยสูงในการดูแลสุขภาพของตนเอง” เมื่อมั่นใจว่ากำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาจะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของเบบี้แอนด์มัมฯ สามารถตอบโจทย์ดีมานด์ที่ยังไม่มีใครเข้าถึงได้อย่างแท้จริง จึงทำให้ “เบบี้แอนด์มัมเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดอาหารเสริมเพื่อผู้มีบุตรยากเจ้าแรกในประเทศไทย” และยังส่งเสริมให้เบบี้แอนด์มัมฯ เติบโตแบบก้าวกระโดดมีรายได้รวมกว่า 783 ล้านบาท (จากข้อมูลงบการเงินที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี พ.ศ. 2562–2567)
เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คุณค่าที่เบบี้แอนด์มัมฯ ได้รับกลับมานั้นอยู่เหนือกว่ายอดขายคือ ความภาคภูมิใจในการเป็น “ผู้ให้” และความสุขจากการได้มีส่วนร่วมสร้างชีวิตใหม่ให้ครอบครัวที่เฝ้ารอการมีบุตร ตัวอย่างเช่น คุณตู่-ปิยวดี มาลีนนท์ และคุณจุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา ที่แม้จะผิดหวังมาหลายครั้ง แต่ก็สามารถตั้งครรภ์สำเร็จภายใต้การแนะนำของ “ครูก้อย”ที่เน้นการให้ความรู้และการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนดัง แต่ยังรวมถึงผู้มีบุตรยากจากหลากหลายสาขาอาชีพรวมถึงวงการแพทย์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แนวทางนี้มีความน่าเชื่อถือทั้งในด้านตรรกะและหลักการทางวิทยาศาสตร์ ผลลัพธ์ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จึงทำให้เบบี้แอนด์มัมฯ ได้รับความไว้ใจและเชื่อมั่นจากผู้มีบุตรยากจากการออกมาเล่าประสบการณ์จริงผ่านรายการ “สักวันฉันจะเป็นแม่” ปรากฏการณ์นี้เองที่กลายเป็นพลังการบอกต่อ สร้างทั้งความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความผูกพันกับแบรนด์ โดยที่เบบี้แอนด์มัมฯ ไม่ต้องใช้งบประมาณจ้างพรีเซนเตอร์แม้แต่บาทเดียว ทุกเคสที่ออกสื่อเป็นเรื่องจริงทั้งหมด และเลือกเล่าด้วยตัวเอง ไม่ใช่การ Approach ให้ใครมาถือสินค้าเพื่อการโฆษณา
จุดแข็งของเบบี้แอนด์มัมฯ คือ “การนำวิทยาศาสตร์มาเป็นแกนกลาง ของผลิตภัณฑ์และบริการ” ซึ่งก่อนหน้านี้ในไทยยังไม่มีวิตามินหรืออาหารเสริมใดที่ออกแบบเฉพาะสำหรับผู้มีบุตรยาก “เมื่อเราเริ่มเป็น Trend Setter ในตลาดนี้ มันคือ Blue Ocean เพราะเราเริ่มจาก Core Value ด้านการให้ความรู้ (Education) เป็นหัวใจสำคัญ เพราะเมื่อผู้มีบุตรยากเข้าใจเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ก็จะเกิดการปฏิบัติตามด้วยความรู้และความเข้าใจ และก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากการใช้เพียงแรงจูงใจเชิงการตลาด (Motivation) ที่ต้องแข่งขันดึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ Education-driven นี้ทำให้เบบี้แอนด์มัมฯ เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ครูก้อย นัชชา เน้นย้ำว่า เป้าหมายหลักของ เบบี้แอนด์มัมฯ คือ ขจัดความไม่รู้เกี่ยวกับภาวะมีบุตรยากหมดไปจากสังคมไทย” ให้ผู้หญิงและครอบครัวได้เตรียมความพร้อมและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ไม่เพียงเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจเท่านั้น แต่ยังเพื่อส่งต่อแนวทางการดูแลสุขภาพที่ดีให้ทั้งแม่และลูกน้อยอีกด้วย
“ก้าวต่อไปของเบบี้แอนด์มัมฯ คือการเข้าถึงผู้หญิงตั้งแต่เริ่มวางแผนมีบุตร การเตรียมตัวจนถึงช่วงตั้งครรภ์ คลอดบุตร และต่อยอดไปสู่การให้ความรู้และบริการที่ครอบคลุมตลอดจนถึงช่วงวัยทอง” เจมส์ เรืองศักดิ์ กล่าวสรุป
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO จับมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) ประกาศจัดงาน “Bio Mart Hua Hin 2025” มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าชีวภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 1 - 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) มีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ BEDO กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่า BEDO มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ ซึ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไม่เพียงแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีชื่อเสียง แต่ยังเป็นคลังมหาสมบัติด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของประเทศ งาน BioMart Hua Hin 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงสินค้า แต่เป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ได้นำความหลากหลายทางชีวภาพมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์และบริการ
“เราต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้าง ‘รายได้’ ที่มั่นคงให้กับชุมชนได้จริง เป็นการเปลี่ยนต้นทุนทางธรรมชาติให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เราเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่แข็งแกร่งในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศไว้สำหรับคนรุ่นหลังต่อไปในอนาคต”

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวถึงบทบาทของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่โอบรับผู้คนและธรรมชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
“การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้นควบคู่ไปกับธรรมชาติ ที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้”
โดยในปีพ.ศ. 2570 ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) UNDP เตรียมร่วมมือกับ BEDO นำ Access and Benefit Sharing (ABS) มาสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างครอบคลุม และทำให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือองค์ความรู้ จะถูกแบ่งปันอย่างเป็นธรรม ซึ่งระบบนี้ช่วยปกป้องสิทธิของประเทศและชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและยั่งยืน
การจัดงานครั้งนี้ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยตรง คาดว่าจะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นมีช่องทางการตลาดที่เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริม ‘เศรษฐกิจชีวภาพ’ (Bio-economy) ตามนโยบายของประเทศที่มุ่งเน้นการนำทรัพยากรชีวภาพมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งงานนี้จะเป็นการนำเสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในมิติของการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยได้เลือกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดต้นแบบ

นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า “จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก มีทั้งพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ยาวสวยงาม อุทยานแห่งชาติทางบกและทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มีศักยภาพอันโดดเด่นทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่เป็นบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด, อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ที่มีระบบนิเวศทั้งทางบกและทางทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำและปากน้ำปราณบุรี ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนทางธรรมชาติที่ประเมินค่ามิได้ จึงเป็นความท้าทายในการพัฒนาโมเดลการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างจริงจัง เราสามารถเป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมสามารถเดินไปด้วยกันได้”

ภายในงาน “Bio Mart Hua Hin 2025” ผู้เข้าชมจะได้พบกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายภายใต้แนวคิด “ความหลากหลายทางชีวภาพที่เราไม่ค่อยรู้” ประกอบด้วย:

นอกจากกิจกรรมในตลาดแล้ว โครงการฯ ยังได้ริเริ่มกิจกรรมนำร่องสุดพิเศษ “BEDO Reach to Love: เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์” ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ แบบ One Day Trip ที่จะนำนักท่องเที่ยวไปสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไป โดยตลอดการเดินทางจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมให้ความรู้ อาทิ คุณเจท-อธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ นักวิจัยจากมูลนิธิโลกสีเขียว ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงและแมงมุม และคุณแวนชัย ประมาณ นักถ่ายภาพนกและสัตว์ป่าชื่อดัง เพื่อสร้างความเข้าใจและความผูกพันระหว่างนักท่องเที่ยวกับทรัพยากรท้องถิ่นอย่างแท้จริง และยังมี Influencer ชื่อดัง คุณเคธี เพจ Kethy and George และคุณนิว ชยพล จูเลียน พูพาร์ต ร่วมเดินทางสัมผัสประสบการณ์ที่น่าค้นหาและซาบซึ้งไปกับการท่องเที่ยวอย่างไรให้ยั่งยืน

การจัดงาน ‘Bio Mart Hua Hin 2025’ ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวชีวภาพให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยจะเป็นต้นแบบที่พิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งสามารถอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และตอกย้ำศักยภาพของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบายการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบและยั่งยืนของประเทศต่อไป
คุณชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) (คนที่ 4 จากซ้าย) เป็นประธานในพิธีถวายผ้าป่าสามัคคี ประจำปี 2568 ถวายแด่พระสงฆ์ พร้อมด้วย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต (คนที่ 3 จากขวา) คณะผู้บริหาร พนักงาน ของสำนักงาน คปภ. ตลอดจนผู้บริหารจากภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา เข้าร่วมพิธีดังกล่าว ณ วัดธรรมนิมิต อำเภอแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม โดยบริษัทฯ ได้ถวายจตุปัจจัยเพื่อสมทบผ้าป่าสามัคคี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยให้มีความเจริญมั่นคงสืบไป ตามนโยบายหลักขอบริษัทฯ ที่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัวสูท AIA MDRT 2026 ดีไซน์ใหม่ล่าสุด โดยแบรนด์ POEM แบรนด์แฟชั่นไทยชื่อดัง ตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพที่มีตัวแทน MDRT มากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ อีกทั้งกลุ่มบริษัทเอไอเอ ยังสามารถครองแชมป์บริษัทที่มีจำนวน MDRT มากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 แสดงถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของพลังตัวแทนเอไอเอ โดยสะท้อนออกมายังสูท AIA MDRT 2026 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Lines of Liability’ ลายเส้นซิลลูเอทที่ชัดเจนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรูหราด้วยการตัดเย็บอย่างประณีต และลาย Pinstripes ที่สื่อถึงความเป็นเลิศในวิชาชีพ และ Ombre หรือเทคนิคการไล่สีที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ช่วยสร้างมิติและความเป็นตัวตนให้กับชุดสูท AIA MDRT 2026 ซึ่งชุดสูทใหม่นี้รังสรรค์ขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติและยินดีกับความสำเร็จของตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้รับคุณวุฒิ MDRT 2026 รวมถึงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่พลังตัวแทนทุกคนให้มุ่งสู่การพิชิตคุณวุฒิ MDRT 2026 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมาย 5,000 MDRT และรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งของโลกได้อย่างต่อเนื่อง

นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ เป็นผู้นำในหลากหลายมิติ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และยูนิต ลิงค์ รวมไปถึงการบริการทั้งที่ผ่านช่องทางดิจิทัล และช่องทางตัวแทน ซึ่งเอไอเอ นับว่าเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีจำนวนตัวแทนมากที่สุดกว่า 55,000 คน ดังนั้นการสนับสนุนและผลักดันตัวแทนนั้น เอไอเอ เราได้มี Initiatives และโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่จะช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพให้กับพลังตัวแทนของเรา โดยเฉพาะการยกระดับตัวแทนสู่การเป็นตัวแทน MDRT เอไอเอ มีการสร้าง MDRT Ecosystem ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาด้านต่าง ๆ ได้แก่

“เรามีการมอบประสบการณ์ที่เงินหาซื้อไม่ได้ หรือ Money Can’t Buy Experience ให้แก่ตัวแทน MDRT โดยเฉพาะการมอบสูทดีไซน์พิเศษจากแบรนด์ดัง เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจที่เราทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเอไอเอได้มีการออกแบบสูทร่วมกับดีไซน์เนอร์ไทยและนักวาดภาพประกอบชื่อดังมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นระยะเวลา 5 ปีต่อเนื่องแล้ว และในปีนี้มีความพิเศษกว่าที่เคย เพราะเราได้ร่วมมือกับ POEM แบรนด์แฟชั่นชั้นนำของไทย เพื่อสร้างสรรค์สูทสำหรับ AIA MDRT 2026 โดยเน้นการออกแบบที่พิถีพิถัน ผสมผสานกับเอกลักษณ์ของ POEM เพื่อมอบเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจแก่ตัวแทนเอไอเอที่สามารถพิชิตคุณวุฒิ MDRT”

ด้าน นายชวนล ไคสิริ หรือ ณอน ดีไซน์เนอร์เจ้าของแบรนด์ POEM เผยถึงที่มาของสูท AIA MDRT 2026 ว่า “ที่มาของการดีไซน์สูทนี้ ผมตีความว่าคุณวุฒิ MDRT คือความสำเร็จ และมากไปกว่านั้น MDRT ยังคือความภาคภูมิใจด้วย เพราะฉะนั้นดีไซน์ของสูทจึงมาจาก ‘ความสำเร็จ’ ผนวกกับ ‘ความภาคภูมิใจ’ โดยเราต้องการให้สูทตัวนี้สื่อสารถึงความภูมิใจและความเป็นมืออาชีพของตัวแทน AIA MDRT ในเวลาเดียวกัน เราใช้คอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า ‘The Lines of Liability’ เป็นการทำโครงเสื้อสไตล์ Tailoring แบบสูทให้เป็น Power Suit และใช้เนื้อผ้า Pinstripes ซึ่งเป็นลายเส้นที่สื่อถึงความชัดเจนและซื่อตรง นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์ที่เป็นกิมมิกเล็ก ๆ ทำให้ทุกคนได้ตื่นเต้น คือสีของผ้าซับในของสูทสี Ombre ที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ POEM ซึ่งใช้เป็นโทนสีแดงของเอไอเอ แล้วไล่เฉดสีให้ดูหรูหรามีระดับและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
“สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจคือ เอไอเอไม่ได้มองว่า MDRT เป็นเพียงรางวัลแห่งความสำเร็จ แต่เป็นสัญลักษณ์ของมาตรฐานวิชาชีพระดับโลก ผมเลยอยากถ่ายทอดความหมายนี้ออกมาในรูปแบบของชุดสูทที่ทุกคนได้สวมใส่แล้วจะรู้สึกได้ถึงความพิเศษและคุณค่าของความสำเร็จ” นายชวนล กล่าวทิ้งท้าย