December 06, 2025

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยแบรนด์ CP ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และพันธมิตร MK Restaurants ร้านสุกี้อันดับ 1 ของไทย เปิดตัวเมนูใหม่ 'บะหมี่เกี๊ยวกุ้งซุปสุกี้ CP x MK' สร้างประสบการณ์ความอร่อยระดับตำนานใกล้บ้าน ในรูปแบบของอาหารพร้อมรับประทาน โดยมี นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ ซีพีเอฟ นางสาวกัญญนันทน์ เรืองสิทธวีร์ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส ด้านจัดซื้อ ซีพี ออลล์ พร้อมด้วย นางสาวทานตะวัน ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน

 

การเปิดตัวในครั้งนี้เป็นความตั้งใจของแบรนด์ CP ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าของสินค้าขายดี อย่าง 'เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ ซีพี' ที่ได้รับรางวัล Crystal Taste Award 2025 สุดยอดรางวัลความเป็นเลิศด้านรสชาติจาก International Taste Institute ประเทศเบลเยียม โดยการปรับเมนูให้ความอิ่มท้องมากขึ้น ด้วยเส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม มาผสานความอร่อยกับซุปผสม 'น้ำจิ้มสุกี้ MK' ต้นตำรับสูตรลับ รสชาติที่ทุกคนคุ้นเคยกันมายาวนาน จำหน่ายผ่านช่องทางการขายอย่าง ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความอร่อยได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

 

นางศุภรา ศรีบูรณ์ กล่าวว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์เรือธงของซีพีเอฟและร้านสุกี้ MK Restaurants อย่าง 'เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ ซีพี' ทำจากกุ้งเต็มตัวกุ้งใหญ่พิเศษ แป้งเกี๊ยวแผ่นบาง การันตีรสชาติด้วยรางวัลระดับนานาชาติ กับน้ำจิ้มสุกี้รสเด็ดสูตรลับเฉพาะของเอ็มเค เสริมด้วยศักยภาพของ 7-Eleven ในการจัดจำหน่าย ทำให้เมนู บะหมี่เกี๊ยวกุ้งซุปสุกี้ CP x MK สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์ความอร่อยที่คุ้มค่าผ่านเมนูอาหารที่มีโภชนาการหลากหลาย นอกจากนี้ เป็นการรวมความมงคลเข้าด้วยกัน เพราะเกี๊ยวกุ้งถือเป็นอาหารเสริมโชคลาภ เชื่อว่าช่วยดึงดูดทรัพย์ก้อนใหญ่ เปิดรับความเฮงตลอดปี มาจับคู่กับ MK ที่เพิ่งปล่อย Campaign MongKol Restaurants เมื่อช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นเมนู ดับเบิ้ลความมงคลได้เลย

 

นางสาวทานตะวัน ธีระโกเมน กล่าวว่า ความตั้งใจของ MK GROUP กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรีเทลมาอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมาย สร้างประสบการณ์การรับประทานสุกี้ MK ที่เป็นแบรนด์ในใจคนไทย ออกมาในรูปแบบใหม่ที่ง่าย สะดวก และมีคุณภาพ ทั้งน้ำจิ้มสุกี้ MK, ชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร และชุดบะหมี่หยกลูกชิ้นรวมมิตร เพื่อขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กับ CP ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของ MK GROUP เพื่อสร้างการเติบโตต่อกลุ่มธุรกิจรีเทล ด้วยการดึงรสชาติ ‘น้ำจิ้มสุกี้ MK’ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาเป็นส่วนผสมสำคัญที่จะช่วยชูความอร่อยของ ‘บะหมี่เกี๊ยวกุ้งของ CP’ ให้เป็นสินค้าที่เข้าถึงง่าย และสร้างการจดจำของผลิตภัณฑ์แก่ MK Restaurants ได้ดี บวกกับศักยภาพในการจัดจำหน่ายของ 7-Eleven คาดว่า ‘บะหมี่เกี๊ยวกุ้งซุปสุกี้ CP x MK’ จะได้รับการตอบรับที่ดีได้อย่างแน่นอน

 

สำหรับ ความร่วมมือฯ ครั้งนี้ ดำเนินภายใต้แนวคิด 'ลูกค้าสำเร็จ CP สำเร็จ' ของเครือซีพี ที่ร่วมผนึกกำลังกับพันธมิตรและคู่ค้า เพื่อส่งมอบเมนูอาหารคุณภาพรสชาติดีแก่ผู้บริโภค สามารถลิ้มลองความอร่อยของ 'บะหมี่เกี๊ยวกุ้งซุปสุกี้ CP x MK' ในราคา 69 บาท ได้แล้ววันนี้ ที่ร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ

เอปสันเปิดยุทธศาสตร์รุกตลาดปี 68 เน้นทุกจุด บุกทุกตลาด ด้วยการสร้างตลาดใหม่และเพิ่มไลน์สินค้า เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางจำหน่ายเพื่อรองรับ B2B และ B2C เสริมแกร่งงานบริการด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์และธุรกิจด้วยคุณค่าด้านความยั่งยืนและ ESG พร้อมตั้งเป้าเติบโตต่อในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 6%  

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย)​ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินงานในปี 2567 ว่า บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างระบบการขายของเอปสันในกลุ่ม B2B ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่มีการเติบโตมากที่สุด ได้แก่ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร กลุ่ม WorkForce Enterprise เครื่องพิมพ์ EcoTank เครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กลุ่ม T-Series และโปรเจคเตอร์ นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา เอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ EcoTank ที่มีส่วนแบ่ง 43% ในตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ ขณะที่ในตลาดโปรเจคเตอร์ เอปสันยังคงแข็งแกร่งด้วยส่วนแบ่งรวม 52% ส่วนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ในกลุ่ม Photo Proof ครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งที่ 32% เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องพิมพ์ป้ายและเครื่องพิมพ์สิ่งทอที่ครองส่วนแบ่งตลาด 30% เท่ากัน”

“ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ซึ่งมีทั้งสนับสนุนและท้าทายการเติบโตทางธุรกิจของเอปสัน โดยหนึ่งในเทรนด์หลักคือ Digital Transformation ในองค์กรภาครัฐ ที่กระตุ้นความต้องการโซลูชันการพิมพ์และโปรเจคเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพที่กำลังขยายตัวจะเพิ่มความต้องการโซลูชันการพิมพ์ที่คุ้มค่าและประหยัดต้นทุนมากขึ้น นอกจากนี้ กรอบแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ ESG (Environment, Social, Governance) จะช่วยเร่งให้ธุรกิจในประเทศไทยปรับตัวสู่การพิมพ์อย่างยั่งยืนมากขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน อีคอมเมิร์ซที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดย เฉพาะยอดขายสินค้าไอทีทางออนไลน์ที่เติบโตเร็วกว่าช่องทางออฟไลน์ ต้องเริ่มเผชิญกับต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากแพลทฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์ต่างปรับขึ้นค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องจับตา โดยเฉพาะนโยบาย Trump 2.0 ที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย การลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติในประเทศไทย”

“เอปสันได้ตั้งเป้าเติบโตของปี 2568 อยู่ที่ 6% โดยมีกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กรที่คาดว่าจะโดดเด่นที่สุด บริษัทฯ ยังคงขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าด้วยแนวทางในการปรับตัว (Adaptability) และการก้าวนำตลาดอย่างต่อเนื่อง (Stay Ahead) ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Innovation Offering หรือการนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า 2) Agility in Channel หรือการเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่าย 3) Enhanced Customer Service หรือการยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้า และ 4) Value Creation หรือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้เอปสันสามารถขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องพิมพ์ โปรเจคเตอร์ และโซลูชันทางธุรกิจ” นายยรรยง กล่าว

กลยุทธ์ข้อแรก Innovation Offering บริษัทฯ จะทั้งปกป้องตลาดที่เอปสันเป็นผู้นำอยู่ พร้อมกับมุ่งสร้าง S-Curve ใหม่ของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน 4 ด้าน (SEED) ได้แก่ Secure คือการรักษาคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และคุณค่าของผลิตภัณฑ์ Ensure คือการรักษาระดับราคาทั้งของตัวผลิตภัณฑ์และหมึกพิมพ์ให้สามารถทำตลาดได้ในราคาที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อราคา Expand คือ การขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ โอกาสทางธุรกิจ และโซลูชันใหม่ๆ และ Defend คือการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด รับมือกับการแข่งขัน และใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง

กลยุทธ์ที่สอง Agility in Channel เอปสันจะมุ่งพัฒนาช่องทางการขาย เพื่อรองรับทั้งตลาด B2C และ B2B โดยในส่วนของ B2C จะเน้นที่การทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อเจาะตลาดเมืองรอง พร้อมขยายช่องทางอีคอมเมิร์ซ ผ่านแพลตฟอร์มหลัก และแพลทฟอร์มของพันธมิตร ส่วนตลาด B2B บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการยกระดับความสัมพันธ์กับผู้ค้ารายใหญ่ พร้อมเพิ่มโซลูชันด้าน MPS หรือโซลูชั่นในการจัดการดูแลเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารอย่างครบวงจร และการขายโซลูชันแบบรวมเครื่องพิมพ์หลากรุ่น หรือ Mix Fleet Solution ไปจนถึงการพัฒนาการมีส่วนร่วมโดยตรงกับผู้ใช้งานในภาคการศึกษา การแพทย์ การผลิต และหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ เอปสันยังให้ความสำคัญกับการนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้า (Value Proposition) ในด้านความคุ้มค่า คุณภาพ ความทนทาน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์ผ่านการทำการตลาดคอนเทนท์และกับ KOL

สำหรับกลยุทธ์ที่สาม Enhanced Customer Service ประกอบด้วยกลไกสำคัญ 4 ด้าน โดยเริ่มจากการพัฒนาศักยภาพการให้บริการด้วยระบบสนับสนุนที่ทันสมัย ผ่าน 4 นวัตกรรม ได้แก่ New Integrated System ที่ช่วยติดตามและตรวจสอบการทำงานของทีมขายและฝ่ายบริการลูกค้าแบบเรียลไทม์ภายใต้ระบบเดียว ระบบ Live Video Support and Remote Diagnostics หรือการให้บริการสนับสนุนและตรวจสอบปัญหาจากระยะไกลผ่านวิดีโอแบบเรียลไทม์ ระบบ AI-driven Chatbots ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเพื่อการบริการอัตโนมัติแบบ 24 ชั่วโมง และหลักสูตรอบรม Customizable Training Course ที่ออกแบบให้เหมาะกับลูกค้ากลุ่มเล็กที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน และเน้นการฝึกปฏิบัติจริง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและความมั่นใจให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ เอปสันยังเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายศูนย์บริการด้วยการให้บริการแบบ On-site Service ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตจากเอปสันทั้งสิ้น 174 แห่งในทุกภูมิภาค พร้อมยกระดับคุณภาพการให้บริการและการเข้าถึงบริการให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า อีกทั้งบริษัทฯ ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว ผ่านโปรแกรม Coverplus Sales ที่นำเสนอประกันเพื่อขยายเวลาของตัวเครื่อง (Extended Main Unit Warranty) ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งที่มาพร้อมกับตัวผลิตภัณฑ์ หรือซื้อผ่านพาร์เนอร์ที่เป็นผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากเอปสัน หรือ ASP และผ่านเว็บไซต์ของเอปสัน รวมทั้งยังจะขยายระยะเวลาการจัดหาอะไหล่ให้กับลูกค้า B2B จากเดิม 5 ปี เป็น 7 ปี เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพ แม้สินค้าจะสิ้นสุดระยะเวลาการรับประกันแล้ว (O/W Repair)  

สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 กลยุทธ์สุดท้าย คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ หรือ Value Creation ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้าน ESG (Environment, Social, Governance) และความยั่งยืน เอปสันจะมุ่งสร้างมูลค่าที่ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแบรนด์และธุรกิจ แต่ยังช่วยเปิดโอกาสทางธุรกิจในการเข้าสู่ตลาดใหม่ที่ต้องการนวัตกรรมที่ได้มาตรฐานด้าน ESG ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีส่วนทำให้ผู้บริโภคได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยโลก อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนและสังคมไทย โดยบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น หัวพิมพ์เทคโนโลยี Heat-Free เครื่องพิมพ์ EcoTank นวัตกรรมการรีไซเคิลกระดาษ และเลเซอร์ โปรเจคเตอร์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ใช้วัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทฯ จะมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและสื่อสารคุณค่าของความยั่งยืน พร้อมส่งเสริมแนวทางการอนุรักษ์พลังงานและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านโครงการ EcoWaste การใช้วัสดุรีไซเคิล และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ขณะเดียวกันก็ยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือผ่านการจับมือกับ WWF เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนางสาวปวีณา ศรีตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ว่า ในปี 2568 เอปสันมีแผนที่จะทำการตลาดอย่างเข้มข้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เริ่มจากกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์ ที่บริษัทฯ ตั้งเป้าจะรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งไม่น้อยกว่า 45% ผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ รักษาฐานตลาดกลุ่มเครื่องรุ่น Entry ควบคู่กับการเร่งขยายตลาด Mid-High ด้วยเครื่องพิมพ์ EcoTank รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสอง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานระดับมืออาชีพได้ลงตัวยิ่งขึ้น และการสร้างแคมเปญ  “From Imagination to Reality” เพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพที่ได้รับจากแบรนด์เอปสัน โดยจะใช้กับการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์บนแพลตฟอร์ม Facebook TikTok และ YouTube

นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทย ยังจะเดินหน้าผลักดันเครื่องพิมพ์ EcoTank ทั้งสีและขาวดำ เข้าสู่ตลาดที่เคยเป็นพื้นที่ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ผ่านการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องถึงความคุ้มค่าที่เหนือกว่า ความประหยัด และความยั่งยืน พร้อมกับเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และสินค้าผ่านจุดแสดงและทดสอบการพิมพ์ เพื่อให้ลูกค้าได้ประทับใจกับคุณภาพสีที่ดีเยี่ยม การนำเสนอสินค้าหลากหลายรุ่นผ่านร้านค้าและแพลตฟอร์มออนไลน์ และการเข้าร่วมงาน Tech Expo และ Trade Show เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นและการขายสินค้า บริษัทฯ ยังได้ริเริ่มแคมเปญ “Go Live Genuine Hologram” ส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้หมึกแท้ของเอปสันอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาประสิทธิภาพ และอายุการทำงานของเครื่องพิมพ์เอปสัน โดยจะมีการเปิดตัวโฮโลแกรมรุ่นใหม่ทั่วภูมิภาคในไตรมาสสอง สำหรับยืนยันความเป็นของแท้ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถแยกผลิตภัณฑ์แท้จากของปลอมได้ง่ายขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าการเติบโตในกลุ่มธุรกิจ B2B ไว้ที่ 20%  ผ่านการผลักดันใน 3 ด้าน ประกอบด้วยการเร่งขยายพันธมิตรทางธุรกิจอย่างจริงจัง โปรแกรม E2E (End-to-End) ที่เน้นการดูแลลูกค้าเก่า ด้วยการตรวจเช็กฟรี เสนอโปรแกรมอัปเกรดหรือเทรดอิน และการสมัครสมาชิก เพื่อเพิ่มประสบ การณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และการนำเสนอโซลูชั่นที่ผสมผสานเครื่องพิมพ์เอปสันที่แตกต่างกัน (Mixed Fleet) เพื่อช่วยลดต้นทุนโดยรวม เสริมประสิทธิภาพด้วยซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน และส่งเสริมความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ

ในส่วนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เอปสันวางพันธกิจในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digitalization) ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ด้วยเทคโนโลยีอิงค์เจ็ท ที่เน้นคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการใช้งานที่ง่ายขึ้น พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยขับเคลื่อนกลยุทธ์ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การเร่งขยายการเติบโตในกลุ่มเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา การพัฒนาและขยายโซลูชันสินค้าให้ครอบคลุมทุกความต้องการ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ในธุรกิจการพิมพ์ผ้า พร้อมด้วยกลยุทธ์ SEED

สำหรับกลุ่มโปรเจคเตอร์ เอปสันตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดการศึกษา ด้วยการเสริมสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นในแบรนด์ผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดอบรม สัมมนา และเวิร์กช็อป พร้อมเปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ในกลุ่มสมาร์ทซีรีส์และเครื่องระดับกลาง ทั้งยังจะไฮไลท์จุดเด่นของโปรเจคเตอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานด้านการศึกษามากกว่าจอแสดงผลทั้งแบบธรรมดาและอินเตอร์แอคทีฟ (Flat/Interactive Flat Panel Display) พร้อมจัดแสดงโซลูชันการประชุมแบบไฮบริด และสุดท้ายคือการโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการพิเศษ โดยจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาโซลูชันที่ครบวงจรเพื่อนำเสนอ พร้อมเจาะตลาดองค์กรและโรงเรียนเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขยายโอกาสทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น

เอปสัน ประเทศไทย ยังตั้งเป้าที่จะขยายตลาดโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงในกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 43% เป็น 50% ภายในปีนี้ โดยจะมีการเปิดตัวแพ็คเกจเช่าโปรเจคเตอร์ความสว่างสูง เพื่อรองรับความต้องการของตลาด การนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบจุดเด่นของโปรเจคเตอร์กับจอแอลอีดีผ่านการอบรม เวิร์กช็อป และโซเชียลมีเดีย รวมถึงการสื่อสารผ่านแคมเปญ “See Ultra” เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าใจและเห็นภาพความแตกต่างระหว่างสองเทคโนโลยีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งยังจะดำเนินการต่อเนื่องในการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ต่อสาธารณะ ผ่านกิจกรรม Mapping ในอีเวนท์ที่สาธารณะ เพื่อเพิ่มการรับรู้และตอกย้ำความเชื่อมั่นในแบรนด์

ในส่วนโฮมโปรเจคเตอร์ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายใน 2 ปี ผ่านแคมเปญสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ “See Ultra – Go beyond the TV” ร่วมกับ KOL และการนำเสนอจุดแข็งของโปรเจคเตอร์ เช่น ความสว่างและความคมชัดระดับ Real 4K ผ่านทั้งแคมเปญการตลาดดิจิทัลและทัชพอยต์ออฟไลน์ ทั้งยังร่วมมือกับคู่ค้าในการจัดตั้งบูธแสดงประสิทธิภาพการฉายภาพของเลเซอร์โฮมโปรเจคเตอร์ และปรับปรุงสื่อส่งเสริมการขาย ณ จุดขายภายในร้านค้าปลีก เพื่อยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อที่น่าประทับใจสำหรับผู้บริโภค

นอกจากนี้ เอปสันยังเตรียมเปิดตัวโปรเจคเตอร์สำหรับใช้ร่วมกับเครื่อง Golf Simulation โดยร่วมมือกับ 3 ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์กอล์ฟซิมูเลชันชั้นนำ พร้อมจับมือกับพันธมิตรกอล์ฟในการส่งเสริมการขาย และขยายความร่วมมือกับซอฟต์แวร์กอล์ฟ สนามกอล์ฟ โรงเรียนกอล์ฟ และสถาบันกอล์ฟ ผ่านกิจกรรมร่วมต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบถ้วน ทั้งยังวางแผนเพิ่มการรับรู้ ด้วยการจัดแสดงสินค้าในงานนิทรรศการและอีเวนท์กอล์ฟ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ของโปรเจคเตอร์เอปสันในกลุ่มตลาดนี้

“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดปัจจุบันทำให้เอปสัน ประเทศไทยต้องปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ โดยที่ยังคงเป้าหมายทั้งในการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดที่เป็นอยู่ และสร้างตลาดใหม่ๆ เพื่อโอกาสทางธุรกิจ เอปสันเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน และพยายามสื่อสารถึงคุณค่าในด้านนี้ผ่านผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจไปสู่คู่ค้าและสังคมไทยมาโดยตลอด ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมรอบด้าน และคุณค่าด้านความยั่งยืนที่เอปสันยึดมั่นนี้จะไม่เพียงช่วยสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์เอปสันในระยะยาว พร้อมกับสร้างการเปลี่ยนแปลงในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน คุณภาพชีวิตในที่ทำงานและที่บ้านที่ดีขึ้นของคนไทย” นายยรรยง กล่าวสรุป

ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพและทันตสาธารณสุข เชิญชวนคนไทยทุกวัยดูแลสุขภาพช่องปาก เนื่องในวันสุขภาพช่องปากโลก (World Oral Health Day) วันที่ 20 มีนาคม 2568 พร้อมเผยข้อมูลจากสมาพันธ์ทันตแพทย์โลกว่า สุขภาพช่องปากที่ดีมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต ลดความเครียด และลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า

ตามที่สมาพันธ์ทันตแพทย์โลก (FDI World Dental Federation) ได้กำหนดให้วันที่ 20 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันสุขภาพช่องปากโลก (World Oral Health Day) ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ และทันตสาธารณสุข ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดกิจกรรม “World Oral Health Day 2025” ในประเทศไทย เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปาก โดยในปีนี้รณรงค์ภายใต้คำขวัญ "A Happy Mouth is a Happy Mind" สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพช่องปากที่ดีและสุขภาพจิตที่แข็งแรง เนื่องจากการมีสุขภาพช่องปากที่ดีไม่ได้หมายถึงแค่การมีฟันที่แข็งแรงและเหงือกที่สมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร การรับประทานอาหาร และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ลดโอกาสของการเกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า

จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรคในช่องปากเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่พบบ่อยที่สุดในประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาฟันผุ โรคเหงือก และการสูญเสียฟัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านี้ การดูแลสุขภาพช่องปากจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับความสนใจในทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็กที่ต้องได้รับการดูแลเพื่อให้มีพฤติกรรมการแปรงฟันที่ดี ไปจนถึงวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับภาวะเครียดและละเลยการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง รวมถึงวัยสูงอายุที่อาจมีปัญหาฟันสึกหรือสูญเสียฟัน ซึ่งส่งผลต่อการเคี้ยวอาหารและโภชนาการโดยตรง นอกจากนี้ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ดูแลเพื่อให้สามารถรักษาสุขภาพช่องปากได้อย่างเหมาะสม

สำหรับกิจกรรมวันสุขภาพช่องปากโลก “World Oral Health Day 2025” ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ได้เน้นสร้างการรับรู้และสนับสนุนให้ประชาชนมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น โดยรณรงค์และสร้างกระแสภายใต้แฮชแท็ก #WOHD25 และ #WOHDTH2025 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแชร์ข้อมูลและร่วมสนุกกับกิจกรรมออนไลน์ โดยมีกิจกรรมหลักที่จัดขึ้นทั้งก่อนหน้าและตลอดเดือนมีนาคม อาทิ การประกวดคลิปวิดีโอในหัวข้อ "A Happy Mouth is a Happy Mind" ซึ่งเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ และทันตแพทย์ ร่วมกันสร้างสรรค์สื่อรณรงค์เกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและสุขภาพจิต โดยผลงานที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ของทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และภาคีเครือข่าย รวมถึงกิจกรรมรณรงค์สุขภาพช่องปากในชุมชนและสถานศึกษา  ตลอดจนการสนับสนุนคลินิกทันตกรรมและโรงพยาบาลทั่วประเทศในการให้บริการตรวจสุขภาพช่องปากฟรีหรือในราคาพิเศษแก่ประชาชน 

นอกจากนี้ ยังได้เผยแพร่วิดีโอให้ความรู้ในหัวข้อ "สุขภาพช่องปากสำคัญกับ… อย่างไร?" โดยนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพช่องปากในสี่ช่วงวัย ได้แก่ วัยเด็ก วัยทำงาน ผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องได้รับการดูแลพิเศษ จากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพช่องปากในทุกช่วงชีวิต ผ่านทางโซเชียลมีเดียของทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และภาคีเครือข่าย   

รศ.ทญ.ดร.ศิริวิมล ศรีสวัสดิ์ นายกทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สมาพันธ์ทันตแพทย์โลก (FDI) ได้กำหนดแนวทางการรณรงค์เนื่องในวันสุขภาพช่องปากโลก ปี 2025 ภายใต้คำขวัญ “A Happy Mouth is a Happy Mind” ซึ่งทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ได้นำแนวคิดนี้ไปขยายต่อเป็นแนวคิดหลักของประเทศไทย คือ “Your Mouth’s Health is the Key to a Happier, Healthier, and More Confident You” หรือ “สุขภาพช่องปากที่ดีคือกุญแจสู่ความสุข ความมั่นใจ และสุขภาพที่แข็งแรง” เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากในทุกช่วงวัย ผ่านกิจกรรมและการรณรงค์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการจัดทำคลิปวิดีโอให้ความรู้ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

“สุขภาพช่องปากเป็นมากกว่าการมีฟันที่แข็งแรง แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพจิตของบุคคล ผู้ที่มีปัญหาฟันผุหรือโรคเหงือกมักจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยและเข้าสังคม หรืออาจเกิดภาวะซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่กำลังเริ่มต้นพฤติกรรมการดูแลช่องปาก วัยทำงานที่ต้องดูแลสุขภาพฟันและเหงือกเพื่อให้มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้สูงอายุที่ต้องใส่ใจสุขภาพช่องปากเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่าง ๆ หรือผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแลจากผู้ใกล้ชิด เพื่อให้สามารถมีสุขภาพช่องปากที่ดีและลดภาระของผู้ดูแล การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของฟันเท่านั้น แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่สุขภาพจิตที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นายกทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมวันสุขภาพช่องปากโลก (World Oral Heath Day) ของประเทศไทย พร้อมทั้งสนใจข่าวสารของทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ สามารถติดตามได้ที่ www.thaidental.or.th และ Facebook ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ หรือแฮชแท็ก  #WOHD25 และ #WOHDTH2025

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายทะเบียน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ คปภ. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกคำสั่งที่ 36/2567 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ให้บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (บริษัท) ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว หรือหาเงินทุนเพิ่มเติมตามกรอบระยะเวลา    ที่กำหนด ต่อมาได้มีคำสั่งที่ 44/2567 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ขยายระยะเวลาการเพิ่มทุนงวดแรก ไม่น้อยกว่า 95 ล้านบาท จากกำหนดเดิมวันที่ 20 ธันวาคม 2567 เป็นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในกำหนด

โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการเพิ่มทุนงวดที่ 2 จำนวนไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท ออกไปอีก 7 วันทำการ หรือไม่เกินวันที่ 11 มีนาคม 2568 เนื่องจากบริษัทได้รับเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องใช้เวลารวบรวมรายชื่อและค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยก่อนดำเนินการจดทะเบียน นายทะเบียนได้พิจารณาและเห็นว่า บริษัทมีความตั้งใจจริงในการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูทางการเงิน จึงได้ออกคำสั่งที่ 7/2568 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2568 อนุมัติขยายระยะเวลาให้จนถึงวันที่ 11 มีนาคม 2568 ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568

ปัจจุบัน บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2567 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนด หรือพบว่ามีการดำเนินการที่อาจฝ่าฝืนกฎหมาย สำนักงาน คปภ. จะดำเนินมาตรการทางกฎหมายที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม คำสั่งนายทะเบียนที่ 7/2568 ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ซึ่งยังคงได้รับความคุ้มครองและสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วน คปภ. 1186 หรือเว็บไซต์ www.oic.or.th 

  • จากแนวคิดของภาครัฐในการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสียออกจากระบบ โดยเฉพาะหนี้อุปโภคบริโภคของลูกหนี้รายย่อยที่เครดิตบูโร ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567 เอ็นพีแอลของหนี้ภาคประชาชนที่เครดิตบูโร (หนี้ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป) มีจำนวน 59 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ 1.2 ล้านล้านบาทนั้น สะท้อนการตระหนักของภาครัฐ เกี่ยวกับความซับซ้อนของปัญหาหนี้เสียที่ค้างอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น (รูปที่ 1) หลังจากผ่านวิกฤตมาหลายรอบ โดยเฉพาะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

  • หากเทียบกับกรณีที่คล้ายคลึงกันของไทยคือ การจัดตั้ง AMC และ TAMC หลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่มีหนี้เสียสูงถึง3% ของสินเชื่อรวมในเดือนพฤษภาคม 2542 หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท อันเกินกว่ากำลังของระบบสถาบันการเงินจะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้นนั้น ทำให้เกิดการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ของภาคเอกชนและภาครัฐตามมาตั้งแต่ปี 2540-2541 จนมีจำนวนกว่า 10 แห่ง เพื่อซื้อหนี้จากธนาคารแม่ แยกออกไปบริหารจัดการเฉพาะ ต่อมาจึงมีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) หรือ TAMC ในปี 2544 เพื่อซื้อหนี้ก้อนใหญ่ในช่วงปลายวิกฤตดังกล่าว ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท จากสถาบันการเงินไปบริหารเพื่อฟื้นฟูและ/หรือปิดจบหนี้

  • แม้จุดเริ่มต้นของแนวคิดการจัดตั้ง AMC ทั้งในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งและในครั้งนี้ มีความเหมือนกันตรงที่การมุ่งแยกหนี้เสียออกจากระบบ แต่กลับอยู่บนเงื่อนไขของเศรษฐกิจการเงินที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ในช่วงวิกฤตปี 2540 การจัดตั้ง AMC จะเน้นซื้อหนี้ทั้งธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตจากอานิสงส์ของเงินบาทอ่อนค่าที่ส่งผลดีต่อ FDI และการส่งออก ได้ช่วยให้ธุรกิจและครัวเรือนเห็นภาพรายได้ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในระยะเวลาดังกล่าว ยังเป็นช่วงแรกๆ ของตลาดการบริหารหนี้ และมีการแก้กฎหมาย มีการจัดตั้งศาลล้มละลายกลาง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้มีองค์ประกอบหลายด้านที่สนับสนุนการแก้ไขหนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ขณะที่ ปัญหาในรอบนี้แตกต่างออกไป นั่นคือ หนี้เอ็นพีแอลทั้งธุรกิจและรายย่อยจำนวนไม่น้อยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือจากทั้งธนาคารพาณิชย์และทางการ สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงทำให้ปัจจัยด้านรายได้ของธุรกิจและครัวเรือนไม่ชัดเจน ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จในการแก้ไขหนี้ นอกจากนี้ ตลาดการบริหารหนี้ก็มีความท้าทายมากขึ้นจากการที่หนี้ที่ไหลเข้ามาในระยะหลัง แก้ยากขึ้น อีกทั้งการระบายทรัพย์สู่ตลาดตามกระบวนการทางกฎหมาย ก็น่าจะใช้เวลาเช่นกัน ท่ามกลางผู้ซื้อและอำนาจซื้อที่จำกัด ดังนั้น แนวคิดในการจัดตั้ง AMC ในรอบนี้ จึงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปข้างต้นด้วย เพื่อออกแบบรูปแบบธุรกิจและกลไกการจัดการให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปมากขึ้น

  • นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่
    • เป้าหมายการแก้หนี้ที่เน้นหนี้รายย่อย จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากจำนวนบัญชีรายย่อยที่เครดิตบูโร มีจำนวนกว่า 9 ล้านบัญชี ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงหนี้เสียของสหกรณ์ นอนแบงก์ในธุรกิจลิสซิ่ง หรือนอนแบงก์ที่ไม่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร
    • ปัญหา Moral Hazard ของลูกหนี้ โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า การขายหนี้ให้ AMC บริหาร ลูกหนี้มีโอกาสได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ที่แตกต่างหรือผ่อนปรนกว่าเดิม โดยเฉพาะหาก AMC ซื้อหนี้ดังกล่าวมาในราคาที่ไม่สูง ซึ่งภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอย่างเช่นในปัจจุบัน อาจกระตุ้นให้ลูกหนี้ดีหรือลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหา เลือกปฏิเสธการจ่ายหนี้และกลายเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้น ซึ่งจะกลับมาทำให้เจ้าหนี้ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อระบบการเงินโดยรวม ดังนั้น การตีกรอบเงื่อนไขการรับซื้อหนี้ของลูกหนี้จากสถาบันการเงินให้มีความเหมาะสม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ระบบเครดิตของไทยยังยืนอยู่ได้ในอนาคต
    • การแก้หนี้ที่ยั่งยืนยังต้องอาศัยการแก้ไขจากฝั่งรายได้ ควบคู่กับการสร้างวินัยและวัฒนธรรมในการใช้จ่ายที่ถูกต้อง จึงจะเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืนที่แท้จริง

สุดท้าย การจัดตั้ง AMC จะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของระบบการเงินไทยในรอบนี้เพียงใด คงขึ้นกับการออกแบบ Business Model และรายละเอียดต่างๆ ที่จะตามมา ทั้งรูปแบบการจัดตั้ง แหล่งเงินทุน ราคาซื้อหนี้ เงื่อนไขส่วนแบ่งผลขาดทุนหรือกำไรจากการบริหารหนี้ ตลอดจน ระยะเวลาของโครงการว่าจะปิดตัวเมื่อบริหารหนี้จากการซื้อตามโครงการที่กำหนดเสร็จสิ้น หรือจะเป็น AMC ที่รับซื้อหนี้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่ดำเนินการอยู่จำนวนมากถึง 87 แห่งในปัจจุบัน เพราะจะมีผลต่อความร่วมมือในการขายหนี้ ผลกระทบต่อลูกหนี้ และเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม

Disclaimers

รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว

ข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎในรายงานวิจัยนี้ถือเป็นทรัพย์สินของ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) การนำข้อมูลดังกล่าว (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) ไปใช้ต้องแสดงข้อความถึงสิทธิความเป็นเจ้าของแก่ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) หรือแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ ทั้งนี้ ท่านจะไม่ทำซ้ำ ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ส่งต่อ เผยแพร่ หรือกระทำในลักษณะใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เป็นลายลักษณ์อักษรจาก KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี)


โดย: ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล

 

กรุงเทพประกันชีวิต จับมือธนาคารกรุงเทพ เปิดตัวประกันสะสมทรัพย์ใหม่ เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10” (Gain1st Saving 10X 15/10) เจาะกลุ่มคนทำงานโดยเฉพาะผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูง รวมทั้งเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่  ที่ต้องการสร้างความมั่นคงผ่านการวางแผนการเงิน ด้วยจุดเด่นจ่ายเบี้ยเพียง 10 ปี คุ้มครองถึง 15 ปี  ให้ผลประโยชน์เป็นเงินคืนทุกปี ปีละ 10% ของทุนประกัน และมีเงินคืนก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา ครอบคลุมความคุ้มครองชีวิต และเพิ่มเติมกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 1050% รวมผลประโยชน์สูงสุด 2,100%

นางลัดดาวัลย์ สิทธิวรนันท์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายช่องทางสถาบันการเงินและพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในทิศทางขาลง การวางแผนการเงินที่ดีจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งแบบประกัน “เกนเฟิสต์” (Gain 1st ) ถือเป็นแบบประกันสะสมทรัพย์ที่กรุงเทพประกันชีวิตและธนาคารกรุงเทพได้พัฒนาร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดยปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ Gain 1st  มีแบบประกันให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ  และเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าของธนาคารกรุงเทพโดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงาน ด้วยจุดเด่นด้านผลตอบแทนที่ได้มากกว่าเงินฝากและยังช่วยสร้างความมั่นคงทั้งการเงินและความคุ้มครองชีวิต ตอบโจทย์การวางแผนการเงินในระยะยาว 

“ในปีนี้ กรุงเทพประกันชีวิตและธนาคารกรุงเทพ จึงได้พัฒนาแบบประกันสะสมทรัพย์ตัวใหม่ล่าสุด เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10” เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่มีศักยภาพโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริหารระดับกลางถึงระดังสูงและเจ้าของธุรกิจซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ด้วยจุดเด่น คือการจ่ายเบี้ยประกันเพียง 10 ปี แต่ได้รับความคุ้มครองชีวิตถึง 15 ปี และได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนปีละ 10% ของทุนประกันภัย ในระหว่างปีที่ 1 – 14 โดยผลตอบแทนที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี เมื่อครบกำหนดสัญญารับเงินคืนก้อนใหญ่ 10X หรือ 1000% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย นอกจากนี้ ยังมีความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสูงสูด 1050% และเพิ่มเติมกรณีเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุสูงสุด 1,050% รวมความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตสูงสุด 2,100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10” เป็นแบบประกันที่เหมาะกับคนที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการวางแผนการเงิน อยากต่อยอดเงินที่มีอยู่ให้งอกเงยแต่ไม่อยากเสี่ยงกับการลงทุน อีกทั้งการเก็บเงินไว้ยังเสียโอกาสเมื่อประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทำให้มูลค่าเงินเก็บลดลง นอกจากนี้ ยังเหมาะกับกลุ่มคนที่กำลังวางแผนครอบครัวด้วยการสร้างความมั่นคงทางการเงิน  เพราะแบบประกันนี้สามารถเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จจากการการันตีเงินคืน และยังได้รับความคุ้มครองชีวิตสูงสุด 2,100%  สร้างความอุ่นใจให้ครอบครัวจากเงินชดเชยที่ช่วยผ่อนปรนภาระให้คนข้างหลัง และยังได้รับผลประโยชน์จากมาตรการทางภาษี โดยสามารถนำเบี้ยประกันมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลตามที่กรมสรรพากรกำหนดสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท” นางลัดดาวัลย์ กล่าว

 ด้าน นางสาวพรพิมล ตรงเที่ยงธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความผันผวนสูง ประกอบกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบของประเทศไทย ทำให้กลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวทั้ง 2 เจเนอเรชัน บิดามารดา และ บุตร กำลังมองหาช่องทางออมเงินในระยะยาวทดแทน เน้นให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและเสริมความมั่นคงมากขึ้น ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ เพื่อนคู่คิด ที่เข้าใจและพร้อมเคียงข้างการวางแผนด้านการเงินให้กับลูกค้าทุกกลุ่มมาตลอด 80 ปี จึงร่วมมือกับ กรุงเทพประกันชีวิต นำเสนอ “เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10”  เพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า ลดความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้น พร้อมรับความคุ้มครองชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันให้แก่คนในครอบครัว

“ลูกค้าในกลุ่มวัยกลางคนอายุ 45 ปีขึ้นไปที่ชีวิตเริ่มลงตัว มีกำลังซื้อและความสามารถออมได้สูง จึงต้องการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตในระยะยาว ปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งปกติ “เกนเฟิสต์” จะเป็นกลุ่มแบบประกันสะสมทรัพย์ยอดนิยมสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้อยู่แล้ว แต่ปีนี้ธนาคารมีผลิตภัณฑ์ใหม่ “เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10” เข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ปิดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาด ให้ความคุ้มครองชีวิตค่อนข้างสูงและความคุ้มครองเพิ่มเติมจากอุบัติเหตุ ซื้อได้ง่ายเพราะไม่ต้องตรวจและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ จึงเหมาะสำหรับกลุ่มคนทำงานไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท หรือเจ้าของกิจการที่กำลังมองหาเครื่องมือวางแผนการเงินในอนาคต เพื่อต่อยอดความมั่นคงในชีวิตได้อย่างมั่นใจ” นางสาวพรพิมลกล่าว

สำหรับผู้สนใจแบบประกัน เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10”  สามารถสมัครได้โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ และไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพได้ที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สาขาธนาคารกรุงเทพ หรือบัวหลวงโฟน โทร. 1333 หรือ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2777 8888 หรือ www.bangkoklife.com 

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เตรียมเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด HONOR X8c ที่มาพร้อมฟีเจอร์สุดล้ำ โดดเด่นทั้งด้านการถ่ายภาพ ความจุขนาดใหญ่ และดีไซน์สุดบางเบา ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกล้องหลังความละเอียดสูง 108MP พร้อม Ultra-clear Night Photograph รองรับการถ่ายภาพกลางคืนอย่างคมชัด และกล้องหน้าเซลฟี่ 50MP เสริมด้วย Selfie Light ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่สวยงามในทุกสภาพแสง อีกทั้งยังมี AI Eraser เทคโนโลยีลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว ตลอดจนพื้นที่การจัดเก็บเต็มพิกัด ความจุขนาดใหญ่พิเศษ 512GB สำหรับ HONOR X8c จะเปิดราคาในวันที่ 21 มีนาคม 2568 โดยวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น พร้อมโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อช่วงเปิดตัว

สุดยอดกล้องถ่ายภาพคมชัด 108MP พร้อม Ultra-clear Night Photograph

หนึ่งในไฮไลต์ที่ทำให้ HONOR X8c โดดเด่นเหนือสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน คือ ระบบกล้องอัจฉริยะที่ช่วยให้ทุกการถ่ายภาพเป็นเรื่องง่าย โดยกล้องหลักของ HONOR X8c มีความละเอียดสูงสุดถึง 108MP (f/1.75) และกล้อง Depth & Wide ความละเอียด 5MP (f/2.2) ที่ช่วยเก็บมิติภาพอย่างเป็นธรรมชาติและเต็มไปด้วยรายละเอียด โดยกล้องหลัก 108MP ให้ผู้ใช้ถ่ายภาพได้อย่างละเอียดสูงสุดและสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงถึง 1080P (Full HD) พร้อมฟีเจอร์การซูมดิจิตอลสูงสุดถึง 8 เท่า ซูมได้แบบไม่สูญเสียรายละเอียด สีสันคมชัดสมจริง

HONOR X8c ยกระดับการถ่ายภาพด้วยระบบ OIS (Optical Image Stabilization) ช่วยลดการสั่นไหวของกล้อง ทำให้การถ่ายภาพและวิดีโอคมชัดแม้ในสภาวะแสงน้อย หรือระหว่างการเคลื่อนไหว ทำให้ผู้ใช้ได้ภาพที่คมชัดและไม่เบลอ นอกจากนี้ ยังมาพร้อม Ultra-clear Night Photograph ที่ช่วยให้การถ่ายภาพในเวลากลางคืนสวยงามและสว่างชัดเจน ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพให้ดียิ่งขึ้น แม้ในที่ที่แสงน้อยหรือมีแสงน้อยมาก และยังมีฟีเจอร์ EIS (Electronic Image Stabilization) ที่ทำให้ทุกช็อตนิ่ง คมชัด เก็บโมเมนต์สำคัญได้แบบมือโปร

ในส่วนของกล้องหน้า HONOR X8c มาพร้อมกล้องหน้า 50MP (f/2.1) ที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายเซลฟี่โดยเฉพาะ ด้วยฟีเจอร์ Selfie Light ช่วยให้ภาพเซลฟี่ยามค่ำคืนสวยคมชัดยิ่งขึ้น โดยสามารถปรับแสงให้เหมาะสม ลดแสงสะท้อนในจุดที่สว่างเกินไป และเก็บรายละเอียดในที่มืดได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังเสริมด้วยฟีเจอร์ AI Wide Angle Selfie ช่วยปรับมุมมองภาพ (FOV) อัตโนมัติตามจำนวนบุคคลในเฟรม จากโหมด 78° สำหรับเซลฟี่เดี่ยว เปลี่ยนเป็นโหมด 90° เมื่อต้องการเก็บภาพกลุ่ม ให้ผู้ใช้ถ่ายเซลฟี่ได้สะดวก รวดเร็ว และคมชัด พร้อมสมดุลแสงที่ลงตัวในทุกช็อต

รีทัชภาพสวย ลบวัตถุได้ง่ายดายในคลิกเดียวด้วย  HONOR AI Eraser

HONOR AI Eraser เป็นหนึ่งในฟีเจอร์อัจฉริยะที่ช่วยให้ HONOR X8c โดดเด่นจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ ด้วยเทคโนโลยี AI อันล้ำสมัย ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การแก้ไขภาพที่มีวัตถุไม่พึงประสงค์ เช่น คนเดินผ่าน หรือสิ่งกีดขวางที่ทำให้ภาพดูไม่สมบูรณ์ เป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งการใช้งานฟีเจอร์นี้ไม่จำเป็นต้องมีทักษะรีทัชภาพหรือใช้แอปพลิเคชันเสริม เพียงแค่เลือกวัตถุที่ต้องการลบ แล้วแตะเพื่อลบออก ระบบ AI จะประมวลผลและลบวัตถุเหล่านั้นออกอย่างแนบเนียน โดยไม่ทิ้งร่องรอย หรือทำให้คุณภาพของภาพเสียหาย ไม่ว่าผู้ใช้จะถ่ายภาพ Portraitหรือภาพมุมกว้าง ก็สามารถปรับแต่งให้ดูสวยงามเป็นธรรมชาติได้ในทันที

 

พื้นที่เก็บข้อมูล 512GB และ RAM 16GB ช่วยให้ใช้งานได้ลื่นไหล

HONOR X8c มาพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลภายในขนาดใหญ่ถึง 512GB ช่วยให้จัดเก็บไฟล์ได้จุใจ รองรับภาพถ่ายมากกว่า 120,000 ภาพ และเพลงกว่า 48,000 เพลง โดยไม่ต้องกังวลว่าพื้นที่จะเต็มเร็วเกินไป ทั้งยังสามารถใช้งานสมาร์ตโฟนได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องคอยลบไฟล์เก่า หรือย้ายข้อมูลไปยังพื้นที่เก็บอื่นบ่อย ๆ

นอกจากนี้ ยังมาพร้อม RAM 16GB (8GB + 8GB Virtual RAM) ที่ช่วยให้การเปิดหลายแอปพร้อมกันเป็นไปอย่าง ลื่นไหล ไม่มีสะดุด ลดปัญหาแอปหน่วงหรือค้าง ให้คุณใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ ซึ่งการมี RAM ขนาดใหญ่เช่นนี้ ช่วยให้การทำงานแบบ มัลติทาสก์ลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแอปที่ใช้ทรัพยากรสูง เช่น เกมกราฟิกหนักหรือโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ ก็สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและไม่มีสะดุด และด้วยเทคโนโลยี HONOR Turbo RAM Expansion ที่ช่วยขยาย RAM เสมือน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่วยความจำ ให้คุณเปิดหลายแอปพร้อมกันได้โดยไม่รู้สึกถึงความหน่วง ฟีเจอร์นี้เหมาะสำหรับทั้งสายทำงานและสายเกมมิ่ง ที่ต้องการสมาร์ตโฟน แรง ตอบสนองไว และไม่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ

ดีไซน์บางเบา ทนทานระดับ IP64 และฟีเจอร์อื่นๆ แบบจัดเต็ม

ดีไซน์ของ HONOR X8c ได้รับการออกแบบให้มีความบางเบา สามารถพกพาได้สะดวก และให้ความรู้สึก พรีเมียมเมื่อถืออยู่ในมือ ตัวเครื่องผ่านมาตรฐานความทนทาน SGS ระดับ IP64 ที่ช่วยป้องกันน้ำกระเซ็นและฝุ่นละออง และยังมาพร้อมกับโครงสร้าง Reinforced Corners ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเครื่อง ทำให้ทนต่อแรงกระแทกจากการตกหล่นได้สูงถึง 1.8 เมตร บนพื้นแข็ง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนที่แข็งแรงและใช้งานได้ในทุกสถานการณ์

ด้านหน้าจอ รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ให้สีสันสดใส คมชัด และรองรับ Adaptive Brightness Control ช่วยปรับแสงอัตโนมัติ ลดอาการตาล้า นอกจากนี้ ยังมี Magic Capsule สำหรับการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ และ Magic Portal ที่ช่วยให้คัดลอกข้อมูล ข้ามแอปฯ ได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและโซเชียล โดยHONOR X8c ยังรันบน Android 15 + MagicOS 9.0 ที่ได้รับการปรับแต่งให้ เสถียร เร็ว และลื่นไหล และรุ่นนี้มีแบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh ที่สามารถใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด และยังรองรับ HONOR SuperCharge 35W ที่ช่วยให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-50% ได้ในเวลาเพียง 15 นาที ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนที่รองรับการใช้งานหนักตลอดทั้งวัน

 

HONOR X8c มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Mars Green (สีเขียว) โทนสีสดใสหรูหรา และ Moonlight White (สีขาว) ให้ความรู้สึกเรียบหรูและคลาสสิก จะวางจำหน่ายแบบ Online Exclusive เท่านั้น ผ่านช่องทาง HONOR Official Store ได้แก่ Shopee, Lazada และ TikTok Shop รอลุ้นราคาพร้อมกันในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 ที่จะมาพร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อภายในช่วงเปิดตัว

  • สั่งซื้อระหว่างวันที่ 21 - 27 มีนาคม 2568 รับฟรี Smart Watch Band 9 มูลค่า 1,699 บาท
  • สั่งซื้อระหว่างวันที่ 28 มีนาคม - 3 เมษายน 2568 รับฟรี หูฟัง Earbud X7 Lite มูลค่า 1,099 บาท

ของแถมมีจำนวนจำกัด รีบเป็นเจ้าของ HONOR X8c ได้ก่อนใคร แล้วสัมผัสกับเทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยให้ชีวิตของคุณสะดวกสบาย ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Shopee: https://bitly.cx/jvTSd Lazada: https://bitly.cx/G2ef และ TiktokShop: https://bitly.cx/Hvxo หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจจาก HONOR ได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เชิญคุณครูวิทยาศาสตร์เข้าร่วมเวิร์กช็อปออนไลน์ “การอบรมเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา และโครงการห้องเรียนเคมีดาว รุ่นที่ 12” โดยเลือกอบรมภาคทฤษฎีในวันที่ 19 เมษายน 2568 และอบรมภาคปฏิบัติในวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2568 ผ่านทางแอปพลิเคชัน Zoom เพื่อเรียนรู้เทคนิคการทดลองที่สามารถนำไปต่อยอดในชั้นเรียนได้จริง ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จะคัดเลือกและสนับสนุนค่าใช้จ่าย 5,000 บาท/คน สำหรับครู 15 ท่านที่มาจากโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการฯ โดยผู้ที่เข้าร่วมอบรมภาคปฏิบัติจะได้รับอุปกรณ์ทดลองเคมีแบบย่อส่วนที่ปลอดภัย ประหยัด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวม8 ชุดการทดลอง มูลค่ากว่า 4,000 บาท ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนจริงได้มากกว่า 20 ครั้ง พร้อมทั้งประกาศนียบัตรจาก สพฐ. และสามารถนับชั่วโมงวิทยฐานะได้เมื่อเรียนจบหลักสูตร

 

สมัครด่วนภายในวันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2568 ลงทะเบียนและชำระค่าสมัครผ่าน QR Code หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทร. 02-611-7656 ผู้สมัครต้องเข้าร่วมทดสอบระบบและชี้แจงรายละเอียดในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568

งานสัมมนา BOOTCAMP Classroom ภายใต้หัวข้อ “ปั้นธุรกิจเหนือใคร ยอดขายโตไว ด้วย LINE Official Account” ปิดฉากลงอย่างสวยงาม ท่ามกลางความสนใจจากผู้ประกอบการภาคเหนือที่เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ตลอดทั้งงานเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อนำแนวคิดไปปรับใช้จริง สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ

งาน BOOTCAMP Classroom ณ จังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนี้ จึงถูกจัดขึ้นเพื่อมอบความรู้แบบเจาะลึก ให้ผู้ประกอบการทั่วภาคเหนือได้นำความรู้ เทคนิคกลยุทธ์เด็ดไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้จริง โดยเริ่มจากการปูพื้นฐานสำคัญในหัวข้อสำคัญ "LINE OA ช่วยต่อยอดธุรกิจของ SME ได้อย่างไร" โดย คุณกวินทร์ สวัสดิ์ศรี หัวหน้าทีม LINE Official Account Campaign & Communication, LINE ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า LINE Official Account (LINE OA) เป็นตัวช่วยที่ SME ขาดไม่ได้ ไม่เพียงแค่ใช้สื่อสารกับลูกค้า แต่ยังเป็นช่องทางหลักในการปิดการขาย เพิ่มยอดขาย สร้างฐานลูกค้าประจำ และต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะวันนี้ แม้มีร้านดี สินค้าเด่น ก็อาจไม่เพียงพอ! กลยุทธ์ที่ใช่ และเครื่องมือที่ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ คือกุญแจสำคัญสู่การดึงลูกค้าให้อยู่หมัด

ตามด้วย การแบ่งปันประสบการณ์จาก 3 เจ้าของธุรกิจชั้นนำในภาคเหนือที่มาเล่าถึงเส้นทางสู่ความสำเร็จ อาทิ ธีรุตม์ วรรณฤมล เจ้าของแบรนด์ La.moon Cold Brew Coffee มาร่วมเผยเคล็ดลับในการสร้างแบรนด์กาแฟที่ครองใจคอกาแฟทั่วไทย ในขณะที่ ธนิต ชุมแสง ผู้ก่อตั้ง The View Village เล่าถึงกลยุทธ์ที่ทำให้ร้านอาหารกลายเป็นจุดเช็กอินยอดฮิตแห่งเมืองเชียงใหม่ และ ปทิตตา ศรีวิชัย ผู้บริหาร MORYING CLINIC ธุรกิจความงามที่เข้าใจลูกค้าแบบลึกซึ้งจนครองใจลูกค้ามากมาย และปิดท้ายด้วยเวิร์กช็อปแบบลงมือทำจริง เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจของตนเองผ่านเครื่องมือต่างๆ บน LINE โดยโค้ชป่อป้อ หนึ่งใน LINE Certified Coach ปี 2025 ได้นำทีมสอนการใช้งาน MyShop และ MyCustomer | CRM อย่างเจาะลึก เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสามารถเริ่มต้นใช้งานสองเครื่องมือสำคัญนี้ได้อย่างถูกต้องและเข้าใจ เพิ่มประสิทธิภาพการขายและบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าบน LINE OA ได้ทันที

 

ธุรกิจที่เติบโตต้องไม่หยุดพัฒนาและอัปเดตความรู้ใหม่ๆ งาน BOOTCAMP Classroom จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างศักยภาพให้ SME ไทย LINE for Business พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมความรู้ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศได้เข้าถึงกลยุทธ์และเครื่องมือสำคัญในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและกิจกรรมสัมมนาครั้งต่อไปได้ที่ LINE OA: @linebizth และ เฟซบุ๊กเพจ LINE for Business

ล่าสุด เดินหน้าสำเร็จอีกขั้น ประกาศล็อกเรือขนส่งครบตามแผน เพิ่มความมั่นคงด้านการขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาว

X

Right Click

No right click