

นายอรรถพล พิบูลธนพัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย เปิดเผยภาพรวมของตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในปี 2567 ที่แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2567 จำนวนตัวแทนและนายหน้าประกันภัยบุคคลธรรมดา รวมทั้งสิ้น 573,218 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.15 เมื่อเทียบกับปีก่อน จำนวนตัวแทนประกันชีวิต และตัวแทนประกันวินาศภัย มีจำนวนลดลงเล็กน้อย รวมทั้งสิ้น 232,799 รายและ 20,895 ราย ตามลำดับ แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนนายหน้าประกันชีวิต มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 131,022 ราย สำหรับนายหน้าประกันวินาศภัย ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยอยู่ที่ 188,502 ราย
สำหรับกระบวนการขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 281,518 ราย โดยแบ่งเป็นการออกใบอนุญาตใหม่ จำนวน 118,262 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 และการต่ออายุใบอนุญาต จำนวน 163,256 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและแนวโน้มการขยายตัวที่มั่นคงของธุรกิจประกันภัยในประเทศ
ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ตัวแทนประกันชีวิตจะย้ายค่ายระหว่างบริษัท ในอัตราที่สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัย รวมถึงเสถียรภาพของอุตสาหกรรมประกันภัย สำนักงาน คปภ. จึงออกมาตรการเชิงรุกในการกำกับดูแลและติดตามพฤติกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยกำชับให้บริษัทประกันภัย ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตัวแทนประกันชีวิตในสังกัดหากพบการย้ายค่ายบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือมีพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส หรือชักจูงให้ผู้เอาประกันภัยซื้อกรมธรรม์ใหม่โดยไม่พิจารณาความเสี่ยงที่แท้จริง บริษัทฯ จะต้องชี้แจงและปรับปรุงแนวทางบริหารทีมขายให้เหมาะสม พร้อมทั้งกำชับให้ส่งเสริมมาตรฐานจรรยาบรรณในการให้บริการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัย นอกจากนี้ ยังได้นำระบบ E-Licensing มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี RPA (Robotic Process Automation) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้กระบวนการออกและต่ออายุใบอนุญาตเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบใบอนุญาตของตัวแทนและนายหน้าประกันภัยผ่านแอปพลิเคชัน “คนกลาง ForSure” หรือเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. โดยเลือกหัวข้อ “ตรวจสอบใบอนุญาต” ก่อนการตัดสินใจซื้อกรมธรรม์
“การดำเนินมาตรการเชิงรุกดังกล่าว เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ. ในการปกป้องสิทธิของผู้เอาประกันภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ส่งเสริมมาตรฐานจรรยาบรรณในการให้บริการของคนกลางประกันภัย และส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในธุรกิจประกันภัย จึงขอเชิญชวนประชาชนติดตามข่าวสารและข้อมูลผ่านช่องทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัย” ผู้ช่วยเลขาธิการสายตรวจสอบคนกลางประกันภัย กล่าวในตอนท้าย
เศรษฐกิจโลกผันผวน เงินทุนไหลออก ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน และตลาดทุนไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ คุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเสท โปรแมนเนเม้นท์ จำกัด (APM) หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาการเงินชั้นนำ ที่มีประสบการณ์ในการนำธุรกิจเข้าจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ได้ให้เกียรติแบ่งปันมุมมองเชิงลึกถึงแนวโน้ม โอกาสและความท้าทาย ตลอดจนผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก สำหรับนักธุรกิจและนักลงทุน
MBA: บทความนี้ขออัพเดทความเห็นต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรมตลาดทุน และในสภาวการณ์เช่นนี้ โอกาส ความท้าทาย ของบริษัทที่ต้องการจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่จะต้องมีการปรับการแต่งตัวอย่างไร และที่สำคัญในฟากฝั่งของนักลงทุนที่เริ่มมีภาพสะท้อนของความไม่มั่นใจต่อพื้นฐานของกิจการที่เข้ามาจดทะเบียนหรือแม้แต่ภาวะการณ์ของตลาด ณ ขณะนี้ กล่าวอีกนัยคือ วัฏจักรของตลาดทุนไทย อยู่ในสถานการณ์ไหนในปัจจุบัน?
APM: ผมมองว่า มีหลายปัจจัย และปัจจัยก็มีหลายด้าน ถ้ามองในภาพเศรษฐกิจเราต้องยอมรับว่า เม็ดเงินการลงทุนมันเกิดการไหลกลับไปที่อเมริกา ซึ่งรวมถึงพวกสินทรัพย์ดิจิทัล ดิจิทัลแอสเซททั้งหลาย พวกบิทคอยน์ คริปโต ในกลุ่มนั้น รวมถึงทองคํา ถ้าถามว่าพื้นฐานมาจากอะไร ก็ต้องยอมรับว่านโยบายของทรัมป์ ซึ่งเค้าก็พยายามดึงเอาภาคการผลิต Productivity กลับเข้าประเทศ และต่อมาก็จะมีการกีดกันทางการค้า มีการให้ Privilege หรือสิทธิพิเศษ ในการที่จะ move ฐานผลิตกลับคืนเข้าไปที่อเมริกา ผลที่ตามมาจะทําให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ทั้งประเทศไทย และในทุกๆ ประเทศ ซึ่งอันนี้เป็นภาพใหญ่ ซึ่งรวมถึง Supply chain
ในส่วนของไทย อะไรที่มันกระทบจีน ไทยก็จะรับอานิสงส์ไปด้วย ฉะนั้นภาพมันก็มีการรับอานิสงส์ทั้ง 2 ทาง เราใช้จีนเป็นฐานผลิต เมื่อจีนไม่สามารถผลิตได้ Economy of scale มันทําให้ cost มันจะถูกดันเข้ามาทางนี้ อันนี้คือภาพหนึ่ง เป็นภาพใหญ่ เมื่อบวกกับเรื่องการเคลื่อนย้ายเงิน ตราสารทางการเงินที่ประเทศไทยมันไม่ได้ถูกกัน การมีช่องว่างกับ Global โดย Global มีตราสารการเงินใหม่ๆ บิทคอยน์ คริปโต โทเคน แต่ของไทยเรายังติดกับดัก ทั้งประเด็นข้อกฎหมาย ประเด็น พ.ร.บ. ที่ยังไม่ได้ปรับ เรื่องที่จะ Issue ในประเทศที่ยังไม่เกิดการ Facilitate หรือ Comfortable ในการที่มันจะ Issue ตราสารพวกนี้เป็นทางเลือก
และเมื่อผนวกกับที่ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า เป็นยุคที่ไม่มีกําแพงหรือพรมแดนของการสื่อสาร การลงทุนต่างๆ ที่ในอดีตเคยเป็นไปได้ยาก ที่เราจะไปลงทุนในหุ้นในดาวโจนส์ จะไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่เคยยาก แต่ตอนนี้มันสะดวกมาก ยุคนี้แค่โหลดแอปพลิเคชัน เปิดบัญชีในสิงคโปร์ ในฮ่องกง หลายสิ่งทำได้ง่ายดายมาก
ภายใต้ความสะดวกและง่ายที่ว่า ทำให้นักลงทุนในประเทศสามารถที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศออกไปลงทุนในตราสารทางการเงิน ลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆในต่างประเทศทั้งหุ้น ทองคํา บิทคอยน์ คริปโต เป็นไปในแบบนั้น
เมื่อมองในภาพธุรกิจของตลาดทุนเปรียบไปก็คล้ายกับเราเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายสินค้าที่ดูเหมือนล้าสมัย เมื่อเทียบกับซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดใหม่ในตลาดโลกตอนนี้ ในขณะที่ตลาดนั้นเค้าปรับปรุงพัฒนาให้มีสินค้า มีกิมมิค ทำให้มีความน่าสนใจขึ้นมา และการเข้าถึงยังง่ายขึ้นอีกด้วย
สิ่งที่ตามมาและปรากฏก็ทําให้ดีมานด์ของนักลงทุนที่เคยเดินอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตหรืออยู่ในห้างของเรา ก็เดินทางออกไปช้อปปิ้งในตลาดให่ ซึ่งผมว่ามันเป็นปัจจัยเรื่องซัพพลายของความน่าสนใจที่น้อยลง และดีมานด์ก็มีทางเลือกที่มากขึ้น

MBA: แล้วในส่วนของ Real sector?
APM: ในส่วนนี้ ผมว่าเป็นเรื่องการตัดสินใจที่มีทั้งโปรและคอน อย่างการพูดเรื่องลดดอกเบี้ย ก็มีการพูดกันมาตลอด 2-3 ปี ตั้งแต่โควิดจนวันนี้ การแพร่ระบาดของโควิด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 วันนี้แม้เราเปิดแมสคุยกันแล้ว แต่ผมมองว่าผลกระทบ หรือ Side effect ของโควิดตอนนี้หลายอาการเริ่มแสดงผล ตัวอย่างกรณี AOT จะเห็นภาพชัดถึงหนี้สะสมของคิงเพาเวอร์ ถามว่ามันมาจากไหน ก็มาจากในช่วงโควิดระบาด ตอนนั้นธุรกิจชัตดาวน์ เศรษฐกิจชัตดาวน์ ผลกระทบการท่องเที่ยวจากวันนั้น แม้วันนี้คนหลายคนแปลกใจ สนามบินคนแน่น แต่ทําไมหุ้น AOT ลงดิ่ง สิ่งนี้เป็นตัวสะท้อนว่าแผลที่เคยติดเชื้อ เริ่มฝีแตกในตอนนี้ นี่คือภาพที่สะท้อนออกมา ประเด็นจึงลอยกลับมาเรื่องการลดดอกเบี้ย ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องประเมินกันว่า ระหว่างการลดดอกเบี้ยซึ่งจะไป Build up ให้มันเกิดหนี้ครัวเรือน กับการลดดอกเบี้ยเพื่อทําให้ต้นทุนการผลิต หรือ Production ของฝั่งผลิตสามารถสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้ เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ คือจะเป็นประเด็นไหน สิ่งเหล่านี้จึงยังอยู่ในแรงกดดัน
MBA: แล้วความเห็นต่อภาคตลาดทุน?
APM: ในส่วนของภาคตลาดทุน มีดีเทลที่จะเห็นถึงเรื่องการหมดอายุของ LTF ภาพเรียลเซคเตอร์ที่ยังโดนกดอยู่ ขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคการผลิต การลงทุน ล้วนเสียเปรียบ ที่ยังได้เปรียบอยู่บ้างก็คือภาคบริการ ที่ยังสร้างรายได้ พูดง่ายๆ คือ รายได้ของประเทศยังไม่เงยหน้า ในขณะที่มีภาพของการเคลื่อนย้ายเงินออก ดังนั้น P/E ก็ดรอปลง ซึ่งส่งผลทําให้ดัชนี Set index ก็ต้องลง มันไปไหนไม่ได้ บวกกับมันโดนกดจากกําลังขาย ไม่ใช่กําลังซื้อ และยังมีกําลังรอขายอีก ภาพมันคิดได้เลยว่า หุ้นขึ้นมันก็มีคนขาย มันจะทําให้คนซื้อก็จะไม่ซื้อ เพราะซื้อแล้วมันไม่ไป คนจะลงทุนต้องคิดว่าลงทุนแล้วมันจะต้องมีแนวโน้มหรือโอกาสขึ้นไปได้ ไม่ใช่เหมือนมีกําแพงแผ่นใหญ่กดทับอยู่
ผมเข้าใจว่าทางภาครัฐบาลหรือ Regulator เค้ารู้และเห็น ซึ่งได้ยินว่ามีแนวคิดที่จะต่ออายุ LTF เพื่อโอนไปใช้ ESG โดยหวังที่จะบรรเทาแรงขายให้ลดลง หรืออีกนัยเพื่อลดความวิตกกังวลลง แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าลึกลงไปอีกคือ เรื่องความเชื่อมั่น
เรื่องความเชื่อมั่น ต้องยอมรับว่าใน 2 ปีที่ผ่านมา มีหลายเคสที่มันระเบิดออกมา เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า น้ำลดตอผุด ในตอนที่หุ้นยังขึ้น ตลาดยังดีทุกคนมีความสุข ไม่มีใครมองหรือตระหนักว่าเรามีอาการปวดท้อง มีโรคประจําตัวที่ต้องระวัง แต่การแพร่ระบาดของโควิดเป็นเหมือนตัว Catalyze ที่ทําให้ปัญหาต่างๆ มันถูก Explore ออกมา ให้เห็นภาพชัดเจน ขออนุญาตไม่พูดพาดพิงในรายละเอียดแต่เป็นที่รู้กันอยู่ กรณีเหล่านี้ล้วนมีส่วนที่ไปกดความเชื่อมั่นของนักลงทุน เป็นสิ่งที่ชี้ให้รู้สึกว่า สินค้าที่เป็นทางเลือกในการลงทุนของผู้ลงทุนยังมีความไม่น่าเชื่อถือในเรื่องธรรมาภิบาล มันก่อความไม่เชื่อมั่นในเรื่องของคุณภาพสินทรัพย์ในการลงทุน แล้วพอย้อนกลับไปที่เราคุยกันในตอนแรก ที่ ณ วันนี้ นักลงทุนมีทางเลือกในการไปลงทุนในที่อื่นๆ มันจึงเป็นที่มาของวัฏจักรขาลง และนี่คือภาพใหญ่ที่อยากจะบอกเล่ากัน
MBA: แล้วโอกาส?
APM: โอกาสมันมีอยู่แล้ว ถามว่าผมเห็นโอกาสตรงไหน ผมเป็นคนเชื่อเสมอว่า วิกฤตทําให้เกิดโอกาส เชื่อว่าวิกฤติจะเป็นตัวผลักดันให้กล้าและยอมเปลี่ยนแปลง เวลาคนอยู่ในเซฟโซน ซึ่งไทยเรามีเซฟโซนมานาน เป็นอะไรที่ไม่เดือดไม่ร้อน เมื่อไหร่ไม่มีวิกฤตเข้ามา การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิด ฉะนั้น ถ้าย้อนไปจะเห็นว่าในวิกฤตต้มยํากุ้ง ส่งผลทําให้ระบบสถาบันการเงินปรับเปลี่ยน กฎหมายสถาบันการเงินปรับเปลี่ยน วิธีการกํากับดูแลปรับเปลี่ยน จะเห็นว่าตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้สถาบันการเงินเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ผมคิดแบบนี้และคิดว่า ครั้งนี้จะเป็นโอกาสซึ่งเห็นชัดเจนว่าภาครัฐหรือ Regulator เขากําลังแก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งวันนี้เราอยู่ พ .ศ. 2568 นะครับ ได้เห็นกฎหมายหลายๆ เรื่องที่ยังไม่ทันสมัย ไม่อินเทรนด์ในยุคนี้ที่เป็นยุคดิจิทัล เพราะก่อนหน้านี้กฎหมายยังเป็นชุดเดิม ผมว่าปัญหาที่เกิดกลายเป็นมันตัวกระตุ้น ถ้ามองในเชิงโอกาสว่า ถ้ากล้าหรือยอมเปลี่ยนแปลงมันจะเหมือนการสร้าง ตอนนี้จะเห็นเรื่องนี้อยู่
MBA: ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมที่มองว่ามีแนวโน้มที่จะได้เห็นในปีนี้ หรือเร็วๆ นี้?
APM: ที่ค่อนข้างชัดเจนคือ ตอนนี้มีเรื่อง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ที่มีการแก้ไขแล้ว น่าจะรอเข้าสภาฯ และน่าจะเป็นผลในปีนี้ บางเรื่องก็พยายามปรับเปลี่ยน จะสังเกตว่าปีที่ผ่านมามีการเอ็นฟอร์ซที่เร็วขึ้น Transaction ให้เร็วขึ้น แต่กฎหมายที่แก้ก็พยายามจะให้อํานาจกับสํานักงานมากขึ้น เบ็ดเสร็จมากขึ้นเพื่อที่จะทําให้ที่ผ่านมา ขบวนการเอ็นฟอร์ซทางกฎหมายภาพใหญ่ให้สามารถเป็นกลไกในการเรียกความเชื่อมั่น เชื่อถือและรู้สึกปลอดภัยต่อนักลงทุน ซึ่งเป็นองค์ประกอบในบริบทที่สำคัญโดยเฉพาะต่อภาพของธุรกิจ และอุตสาหกรรมโดยรวม ที่เราต้องเกี่ยวข้องอยู่
ส่วนความเห็นต่อความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างต้องกลับมาถามกันว่า ทำไมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวันนี้ยังน้อยกว่าเมื่อ 30 ปีก่อน ก็เพราะมันมีการเคลื่อนย้ายเงินทุน แต่ในส่วนที่เป็น Short term ก็ไม่ต้องดูเรื่องพื้นฐาน ไม่ต้องดู Fundamental หรือโครงสร้าง แต่ถ้าเราจะพูดเรื่องความยั่งยืน เราต้องกลับไปว่ากันที่โครงสร้างและระบบ

MBA: ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาการเงิน ในด้านการบริหารธุรกิจ APM รับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร?
APM: สำหรับปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการจัดการได้แต่รอและเฝ้าดู แต่สำหรับภายใน APM ที่เราทำ คือการปรับตัว สถานการณ์ที่เผชิญ ทั้งตัวผมและพี่ป้อม (คุณสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ผู้ก่อตั้ง) ทีมบริหาร เราต้องวิ่ง ต้องปรับตัว เพราะเหตุการณ์มันบ่งบอกว่าเราไม่สามารถทํามาหากิน โดยนั่งรอโอกาสวิ่งเข้ามา แต่เราต้องวิ่งออกไปแสวงหาและสร้างโอกาส การแข่งขันคือรุนแรง ต้องบุก ต้องฟิต ต้อง Aggressive เหล่านี้ คือ เราปรับตัว คือสิ่งที่เราทำสำหรับการบริหารจัดการภายใน
MBA: ในส่วนของผู้ประกอบการที่ต้องการเข้ามาระดมทุนและจดทะเบียนในยุคนี้ จะต้องมีการเตรียมตัวที่เปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไรในยุคนี้ ที่นักลงทุนเริ่มคลายความเชื่อมั่น และในฐานะที่ปรึกษาการเงิน มีส่วนsupport อย่างไร?
APM: แน่นอนมีหลายคนถามผมบอกว่ารับมืออย่างไร ผมก็บอกว่า APM เรามีหลักยึดที่ยึดถือคือในเรื่องจรรยาบรรณของวิชาชีพ ยึดหลักความเป็นมืออาชีพ สิ่งเหล่านี้มันยังดํารงอยู่ ทุกวันนี้งานที่อยู่ในมือ ในการดูแลจํานวนไม่ได้ลดจำนวนลงเลย แต่สิ่งที่เกิดและเผชิญอยู่ในยุคนี้ทําให้งานมันยาก ที่ว่ายากคือ เราต้องพยายามให้ลูกค้ายังอยู่ในวิถีที่มันควรจะเป็น และอยู่ในวิถีที่ไม่ไปทําลายอุตสาหกรรม วิถีที่ส่งเสริมมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรม ก็คืออุตสาหกรรมตลาดทุน
เราเป็นองค์กรขนาดเล็ก แต่เราก็ต้องkeepหลักการนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกค้าหรือผู้ประกอบการย่อมมุ่งเป้าหมายเล็งผลเลิศ อะไรที่อยู่ในกรอบและวินัยมากๆ อาจจะทำให้ลูกค้าไม่อยากจะมาใช้บริการ แต่ครั้นจะหย่อนยานหลุดกรอบวินัยออกไปก็ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ทําอยู่คือยังพยายามยึดถือในหลักการ แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือการโค้ชชิ่งที่มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะ Convince ในแต่ละเรื่อง เพื่อบาลานซ์ส่วนสำคัญ นั่นก็คือ ผลประโยชน์ของผู้ลงทุน สายงานอย่าง APM ถ้าโดยภาพใหญ่ดูไม่ยาก คือการเอาคนที่มีเงินกับคนที่ต้องการเงินมาแมชชิ่งกัน
ซึ่งวันนี้เราดูแลคนที่ต้องการเงินเพื่อไปเอาเงินจากคนที่มีเงินไปต่อยอด และสร้างผลตอบแทน แต่คนที่มีเงินวันนี้เขาขาดความเชื่อมั่นต่อผู้ที่ตัวกลางอย่างเรานำพามาไม่น่าเชื่อถือ พาคนมาหักหลังเขา พอบ่อยๆ เข้าเขาก็ไม่อยากเอาเงินมาลงทุน เราในฐานะตัวกลางย่อมต้องพยายามกูมด้านนี้ให้มากขึ้น ในขณะที่กูมอยู่ การทําธุรกิจมันต้องมีการแข่งขัน ถ้าเราอยู่ในกติกา แต่คู่แข่งเราเล่นนอกกติกาเราก็เสียเปรียบ แต่ถ้าเราไปเล่นนอกกติกา ก็แสดงว่าเราทิ้งอีกขาหนึ่งซึ่งมันทำลายอาชีพ และมันยังทำลายอุตสาหกรรม เพราะถ้ายิ่งก่อความไม่เชื่อมั่นหรือความน่ารังเกียจในด้านนี้ มันจะส่งผลให้เกิดช่องว่างที่ห่างขึ้น อุตสาหกรรมก็จะเล็กลง อินเด็กซ์ก็จะค่อยๆ เล็กลง เหล่านี้มันจะสะท้อนเลย
เราเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ต้องร่วมผลักดันให้ฝั่งผู้ประกอบการปรับคุณภาพ ปรับ Mindset ปรับทัศนคติให้มันดีขึ้นเพื่อบิ้วอัพ พยายามนำ พยายามตะโกน พยายามทำตัวให้อยู่ในหลักเกณฑ์และหลักการ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเพื่อต้องการส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่น
แน่นอนว่าเราต้องพึ่งพา Regulator ซึ่งเค้าก็ทําอยู่ ในส่วนของ APM เราเชื่อมั่นในส่วนเราที่จะสร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือให้กับ Stakeholder ทั้งหมด ทั้ง Regulator, Investor, Issuer ทั้ง Steakholder ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเชื่อมั่น และน่าเชื่อถือ

MBA: APM มีจุดขาย จุดแข็ง และจุดต่างอย่างไรในอุตสาหกรรม?
APM: ในแง่การทํางานของเรา จุดแตกต่างของ APM กับที่ปรึกษาอื่นซึ่งขอไม่พูดพาดพิงถึงที่อื่น แต่สำหรับ APM เรามีระยะเวลาเดินทางมายาวนาน ปีนี้ก็เข้าปีที่ 26 แล้ว โดยอายุ 26 ปีของเรากับขนาดของทีมที่ไม่เล็ก ด้วยทีมงานประมาณ 40-50 คน เป็นสเกลค่อนข้างใหญ่ในเฉพาะหมวดที่ปรึกษาการเงิน และนั่นคือหนึ่งในจุดแข็งเรื่องความพร้อมของทีม
ใน 3-4 ปี ที่ผ่านมา APM เราให้ความสําคัญกับเรื่องระบบการทํางาน รูปแบบการทํางาน คุณภาพการทํางาน ผ่าน APM Academy ที่เราใช้ในการพัฒนาทั้งบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะเข้ามาในอนาคต จุดนี้คือความแตกต่าง
จะเห็นได้ชัดว่า เรามีความพร้อมของทีมงาน ทั้งคณะที่ปรึกษา ที่มีความรู้และประสบการณ์รอบด้าน มีทีมลีดที่เปี่ยมประสบการณ์และชั่วโมงบินที่ร่วมงานกันมายาวนาน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราสร้างคนจากต้นกล้า ไม่เคยรีครูท(recruit)ผู้บริหารระดับกลางเข้ามาเลย ทุกวันนี้หากเปรียบเราเป็นต้นไม้ เรามั่นใจว่า ลำต้น กิ่งก้านใบ เราแข็งแรง และมั่นคง นี่คือจุดแข็ง ของ APM
ฉะนั้น ลูกค้าที่เข้ามารับบริการส่วนใหญ่จะมั่นใจและเชื่อถือในการทำงาน ที่เหลือสุดท้ายคือเรื่องราคา ลูกค้าที่ผ่านมาถ้าจะผ่านเราไปก็ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด นอกจากเรื่องราคา เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือว่า การพัฒนาคุณภาพงาน การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบงาน ย่อมต้องมีต้นทุน ถ้าเราเลือกที่จะทํางานในราคาที่คิดให้ฟรี ทำได้ถูก หมายความว่าเราก็ต้องลดคุณภาพลงในทุกเรื่อง แต่ APM เราต้องการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องคุณภาพ เช่นกัน ที่เราจะสื่อสารกับผู้ประกอบการเสมอว่า การที่คุณจะระดมทุนจากนักลงทุนและได้รับพรีเมี่ยม การลงทุนในความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือ ในระบบ ในมืออาชีพที่จะเป็นผู้นำพาเข้าไป ผนวกกับความอดทนในการที่จะร่วมแข่งขันไปด้วยกัน
ตลอดมาเราถือว่าบทบาทที่ปรึกษาการเงิน เราเป็นส่วนหนึ่งของการคัดกรองกิจการและบริษัทที่จะเข้าไปจดทะเบียน เราพิจารณาเกณฑ์ที่จะเลือกที่ไม่ใช่แค่ว่าลูกค้าวิ่งเข้าหาเรา แต่เราเองก็มีเกณฑ์ในการมองว่ากิจการแบบนี้ควรจะมีเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ เข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรม เข้าไปแล้วกิจการมี Growth หรือธุรกิจนี้น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุน ซึ่งมีหลายไดเมนชั่น ถ้าจะมองระยะสั้นก็วิเคราะห์แบบภาพรวมเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม แล้วลงมาภาพกิจการ
MBA: เศรษฐกิจในตอนนี้ อุตสาหกรรมไหนที่น่าสนใจ และกิจการแบบไหนที่แข็งแรง
APM: ภาพนี้ผมว่าไม่ยาก คือตอนนี้เทรนด์เกี่ยวกับเฮลท์ เทรนด์สุขภาพ บิวตี้ความงาม เทรนด์อาหาร FoodTech เทรนด์เกี่ยวกับ AI แล้วค่อยไปหาว่าบริษัทไหนที่แข็งแรง ผมว่าเมื่อกี้มันก็วิ่งชนกัน คือ กลุ่มเหล่านี้มีศักยภาพทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่ APM ให้ความสําคัญนอกเหนือกลุ่มเทรนด์เหล่านั้น คือเรื่อง แครักเตอร์ (Character) ทัศนคติ (Attitude) และ วัฒนธรรม (Culture) ของตัวกิจการที่จะมาจดทะเบียนระดมทุน
การ Pitch งานหรือคุยงานกับลูกค้า เราอธิบายเสมอว่า ระหว่างลูกค้าและ FA (Financial Analyst) ที่ปรึกษาการเงิน การรับงาน ไม่ใช่การซื้อ-ขาย แต่คือการร่วมสร้างภาระผูกพันในการทำงานร่วมกัน ร่วมมือกัน เป็น Engagement เหมือนหุ้นส่วนหรือ Partner กัน เพราะจะต้องทำงานร่วมกันอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อที่จะท้าทายความสำเร็จของเป้าหมาย เหมือนเรากำลังจะส่งนางงามเข้าประกวดชิงสายสะพาย ซึ่งคุณต้องมีดีที่เราเห็น แล้วจึงมาร่วมกันแต่งตัว เตรียมทักษะและความพร้อมที่จะขึ้นเวทีพิชิตมงกุฎ หากว่านางงามที่เราเองก็กรองคุณสมบัติมาแล้วระดับหนึ่ง เกิดมาพบต่อมาว่าแปลงเพศมา เคยมีประวัติในด้านลบ พบว่าว่ามีคดีคดโกง ทำผิดกฎหมาย นั่นก็เป็นความเสียหายของ APM ด้วยในฐานะผู้นำพาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีตำหนิหรือไร้คุณภาพเข้ามาในตลาด ในฐานะมืออาชีพเราต้องกลั่นกรองในเบื้องต้นที่ไม่ใช่เพียงกฎเกณฑ์ แต่ต้องทำความเข้าใจในรากฐานความเป็นมา สถานะธุรกิจปัจจุบัน และโอกาสของกิจการที่จะเป็นไปได้ในอนาคต เพราะวัตถุประสงค์และเป้าหมายไม่ใช่เพียงการสร้างโอกาสเพียงเพื่อผู้ระดมทุน แต่ยังต้องคำนึงถึงโอกาสของนักลงทุน และโอกาสของภาพรวมของอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน

MBA: พูดเรื่องโอกาส มองสถานการณ์ตลาดและโอกาสของตลาดทุนในวันนี้และอนาคต
APM: ขอพูดเรื่องเทรนด์ หลายคนมองเรื่องเทรนด์ กิจการที่อยู่ในเทรนด์ หลายกิจการเพิ่งฟอร์มตัว แต่อยู่ในเทรนด์ หลายคนเห็นกระแสเข้าเลยทำ หลายกิจการจึงเพิ่งทำแม้จะอยู่ในเทรนด์ แต่อาจจะทำไม่เป็นหรืออาจจะทำไม่ได้ แต่การลงทุนในตลาดทุน มันเป็นการลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น ชื่อของแคปปิตอล มาร์เก็ต หรือตลาดทุน เป็นการลงทุนระยะยาว เป็นลองเทอมอินเวสเมนท์ ฉะนั้นวิวของนักลงทุน เราจะไม่พูดถึงพวกเก็งกําไรอันนั้นคือเป็นบายโปรดักต์ เราไม่พูดถึงการลงทุนแบบชอร์ตเทอมอันนั้นคือบายโปรดักต์ แต่แกนหลักคือการลงทุนระยะยาวที่บริษัทหรือกิจการต้องมีศักยภาพในการที่จะเดลิเวอร์หรือส่งมอบการเติบโต การ Perform ในระยะยาวได้ เพราะฉะนั้นการจะเดลิเวอร์การเติบโตหรือ Performance ในระยะยาวได้ กิจการต้องมีศักยภาพ ผู้นำต้องมี Vision ผู้บริหารและทีมงานมีความรู้ความสามารถ ยิ่งเคยผ่านวิกฤติ ผ่านปัญหา ผ่านประสบการณ์ การปรับตัว และอยู่รอดมาได้ในระยะเวลายาวนานล้วนเป็นองค์ประกอบที่สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจในทางเลือก แม้หลายกิจการเคยประสบปัญหาเป็น NPL .ในอดีตแต่วันนี้หลายกิจการก็เข้าตลาดไปเติบโตก้าวหน้าก็มี เราจะมองซึ่งกันและกันในแบบ Partnership
MBA: ส่วนในฝั่งของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือยาว ดัชนีตลาดจะขึ้นหรือลง แน่นอนว่านักลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนพื้นฐาน แต่หลายเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นเริ่มตั้งแต่ IPO จนถึงหุ้นที่จดทะเบียนที่เคยฉายแสงเซ็กซี่มีออร่าของออนาคต อยู่ในกระแสเติบโตขาขึ้นตามกระแสหลัก หรือกระแสโลก กลับไม่ตอบโจทย์ หนำซ้ำทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน คุณสมศักดิ์ มองประเด็นเหล่านี้อย่างไรในภาคเพื่อนักลงทุน
APM: เริ่มจากหุ้น IPO ที่เกิดปรากฏการณ์เปิดต่ำจองแทบทั้งตลาดในปีที่ผ่านมา อยากให้ทำความเข้าใจว่าหุ้น IPO 2-3 วันหลังเข้า หนึ่งสัปดาห์หลังเข้า เป็นเรื่องราวของการแบรนด์กันของกลุ่มอินเวสเตอร์หลายต่อหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่เข้ามา สเปกคูเรท กลุ่มโมโนกูเรท กลุ่ม Longterm กลุ่มเครือข่ายเจ้าของ หรือแม้แต่กลุ่มปลาซิวปลาสร้อยรายย่อยที่เข้ามาเกร็งกำไรในช่วงเวลานั้น แต่สิ่งที่สะท้อนมันคือหลักเศรษฐศาสตร์ของดีมานด์กับซัพพลายพื้นฐานเลย ด้วยว่าจำนวนหุ้นมีจำกัดเท่าที่กิจการนั้นมี และออกหุ้นมาระดมทุน ดังนั้น ราคาจะขึ้น-ลง ก็ขึ้นกับความต้องการหรือดีมานด์
สมมุตินักลงทุนมี 10 ไทป์ ถ้าเล่นกันอยู่ 2 ไทป์ อีก 8 ไทป์ไม่เล่น ดีมานด์จะเหลือแค่ 20% ถ้าลงมาเล่น 5ไทป์ ก็กลายเป็น 50% ทีนี้ความไม่เชื่อมั่นต่างๆ บางทีก็ได้ทำลายบางไทป์ออกไป เหลือแต่ไทป์ที่เล่นกันอยู่ด้วยความมุ่งหวังเดียวกันคือ ซื้อถูก-ขายแพง
ซึ่งการจะซื้อถูก-ขายแพงได้ มันก็ยังเป็นเรื่องดีมานด์อยู่ดี คือต้องมี Demand ที่ follow อยู่ถ้าไม่มีใครตาม คือ คุณขาดทุน เพราะคุณเป็นคนสุดท้าย และเป็นคนที่อยู่บนดอย ก็คือขาดทุน แต่ถามว่า การลงทุนมันมีคนขาดทุน แต่ก็ต้องมีคนทำกําไร ผมว่ามันต้องมี เพราะมันเป็น Zero some Game ของแต่ละพีเรียด เพราะฉะนั้นต้องกลับไปทําความเข้าใจว่าการที่หุ้น IPO เปิดมาต่ำกว่าราคาจองไม่ใช่เรื่องความเชื่อมั่นในหุ้นเท่านั้น แต่เพราะมันเป็นความไม่เชื่อมั่นในภาพใหญ่ ซึ่งได้ทําลายนักลงทุนบางไทป์ไป
ทีนี้เราต้องมา Identify ว่าแล้วเหลือไทป์ไหนอยู่บ้างที่ยังเล่นกันอยู่ ถ้ามันเหลือไทป์ที่ชอบลากนักลงทุนไปทุบเค้าก็จะไม่ค่อยอยากเล่นเพราะว่ามันไม่มีใครอยากเป็นเหยื่อ และเมื่อไม่มีเหยื่อเขาก็ไม่เข้ามาเล่น เลยกลายเป็นว่าไทป์นี้มีความ Relate กับอีกไทป์ ซึ่งก็จะหายไปด้วย เหมือนคนนี้มาคนนั้นมา ถ้าคนนั้นไม่มา คนนี้ก็จะไม่มา เป็นดีมานด์เสริมกันและกัน และอยู่ที่ว่าแต่ละสถานการณ์นั้นเป็นอย่างไร
กลับไปดีเทลอีกหน่อยคืออะไรเป็นปัจจัยในการกําหนด แน่นอนคือราคา การ Allocate จัดสรรในแต่ละไทป์ ของ Investor และปัจจัยในแง่อารมณ์ หรือ Sentiment ของตลาด เราต้องยอมรับว่า บางทีตอนที่หุ้นบวกเกิน 100-200% ตอนนั้นไม่มีใครมอง Fundamental หรือพื้นฐานกันเลย แทบไม่สนใจธุรกิจด้วยซ้ำว่าหรือกำไรเป็นอย่างไร เติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ เหล่านั้นมันอยู่ในทฤษฎี จะมองแค่ว่าถ้าเป็นหุ้นจองจะรู้เลยว่าตัวนี้เปิดมาจะบวก 200% นอกนั้นไม่รู้และไม่สนใจ ดีมานด์มันมาเยอะ ในขณะที่ซัพพลายมีจำกัด แน่นอนหุ้นก็ย่อมต้องขึ้น เป็นเรื่องปกติ นี่คือภาพการลงทุนแบบไอดีลนะ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งขยายเรื่องที่เราคุยกัน
MBA: FA สามารถมีส่วนในการทำให้เกมส์ดีขึ้น?
APM: ก็ใช่ แต่ทั้งผู้ระดมทุนและนักลงทุนมีขีดจำกัด คือไม่เกินความจริง ต้องเป็นไปได้ไม่เช่นนั้น ก็เข้าข่ายหลอกลวงการลงทุน เพราะ Regulator เค้าก็ต้องดูแลอยู่ ผมแค่อุปมาอุปไมยความหมายให้เห็นภาพว่าทําไมเวลา Demand มันหายถึงหายไปเยอะ ก็มันหายไปเพราะแบบนี้ เมื่อเหยื่อหายกลุ่มตกเหยื่อก็ไม่สนใจ ทยอยหายกันไปเป็นกลุ่มๆ แต่สามารถหลอกล่อให้กลุ่มนี้มาได้ก็จะมา เพราะซัพพลายมันมีอยู่ประมาณนั้น
ฉะนั้นการ Build-up Demand ราคาต่ำมีส่วนในการที่จะทําให้ Demand มันเพิ่มขึ้น แต่เมื่อไหร่ขาดความเชื่อมั่น ราคาก็ไม่ใช่คําตอบเสมอไป เหมือนเวลาเราไม่อยากซื้อของ ลดราคายังไงก็ไม่เอา แต่ขณะที่บางเวลาไม่อยากได้แต่ดันมี Mid-night Sale ซื้อไปทําไมก็ไม่รู้ ก็เป็นฟิลลิ่งของการลงทุนหรือการซื้อของ
MBA: มีเสียงสะท้อนว่าหลายกิจการที่เข้าไปจดทะเบียนในตลาดไม่ใช่ของจริง หรือผู้ประกอบการเข้ามาหวัง exit เปลี่ยนมือปล่อยลอยขายหุ้นทิ้ง ทั้งที่ตอนเสนอขายภาพสวย
APM: ในภาวะที่ดีมานด์น้อยการแข่งขันสูง จะเกิดการครีเอทท่าพิสดารเกิดขึ้น เหมือนเวลาของขายยาก เซลล์ก็จะโฆษณาชวนเชื่อ พูดเกินจริง ต้องดูว่าเกินจริงไปแค่ไหน เข้าข่ายหลอกลวงคือดูแล้วไม่ทํา ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ ผมแค่กําลังจะบอกว่านักลงทุนกมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือ บิ๊กแอ็ค คือรู้ว่าหลอกแต่ขอลอง รู้ว่าหุ้นปั่นแต่เชื่อมั่นว่า ฉันจะไม่เป็นคนสุดท้าย กลุ่มนี้ไม่ต้องไปเห็นใจ เพราะตั้งใจจะเก็งกําไรอยู่แล้ว ส่วนอีกกลุ่มคือ กลุ่มไม่รู้ อาจจะมีความรู้ ประสบการณ์ในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ ซึ่งต้องให้กำลังใจ เพราะยังต้องผ่านประสบการณ์และต้องเรียนรู้ต่อไปอีกมาก
ผมเชื่อว่าทุกอุตสาหกรรมไม่มีโปรดักต์ดีอะไร 100% ในตลาด แต่จะต้องมีของอยู่ในตลาด ในตลาดหุ้นมันก็เช่นกัน ถ้าถามว่าในเชิง FA ในมุมที่เป็นผู้นําพาสินค้าเข้ามา ผมเป็นคนซัปพอร์ต สิ่งหนึ่งคือเรื่องดิสโคเชอร์ คือการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งขอให้ตรงปก ผมว่าโอเคนะ แต่สิ่งที่ไม่ควร คือการไม่ตรงปก ถ้า Ingredient เปิดเผยสาระสำคัญไม่ครบถ้วน อันนี้คือการหลอกลวงหรือการโกง แต่ถ้าเขาเข้ามาแล้วเขาไม่ทําต่อ หรือกิจการกําไรลดลง เหมาแบบนี้ก็ไม่ถูก เพราะก่อนซื้อคุณวิเคราะห์หรือยัง บางคนเกิดภาวะหัวทิ่ม บางรายซื้อก่อนโควิดเป็นธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เจอวิกฤติเข้าไปก็โทษเขาไม่ได้ แต่บางคนที่ตั้งใจเลยผมว่าก็ต้องบอกว่ามี เหมือนตั้งใจใส่มะนาวปลอมตั้งแต่ต้นมันก็มี ถามว่าแยกออกมั้ย ขนาดเราแยกอินเวสเตอร์เรายังแยกไม่ออกเลย พอคุณเสียหายแล้วคุณบอกว่าคุณถูกหลอก แต่ในขณะที่จริงๆ อาจรู้ว่าหลอกแต่คุณก็ยินดีให้หลอกก็เป็นได้
ก็ไม่อยากเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอพูดแบบเป็นกลาง กลับมาตรงประเด็นที่ว่า จะทําไงให้มันดีขึ้นในภาพใหญ่ก็คือ FA ต้องพยายามสกรีน พยายามไม่ให้มันเกิดอะไรที่มันไม่ตรงปก ผมไม่อยากพูดว่าของดีหรือไม่ดี ของสวยหรือไม่สวย ตรงไหนมีแผลที่เป็นประเด็น Concern ก็เปิดเผย แล้วให้ผู้ลงทุนตัดสินใจเอง ผมให้มุมมองประมาณนี้ ผมคิดว่าในวิลล์ผมเพียงพอ เพราะจริงๆ มันก็เป็นบทเรียนที่ทุกคนต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น สําคัญที่สุดคืออย่าให้คนไม่ตรงปกเข้ามาอยู่ในตลาด
ดังนั้นเวลา APM เราทำงานเราสกรีนลูกค้า เวลาเราคุยเราเข้มขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องการสกรีนcharacter เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการเอา Reputation เอาชื่อเสียงของเราไปผูกในความเป็นพาร์ตเนอร์ด้วย แต่ถามว่าที่ผ่านมาทําได้ขนาด 100% หรือไม่? ก็ไม่ได้ 100% หรอก แต่เราเรียนรู้ และพยายามยึดถือกับสิ่งนี้ เพื่อที่จะทําให้มันดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าอย่างน้อยเราก็เป็นเสาหลักหนึ่งของสายอาชีพนี้ได้ในระยะยาว

MBA: แนวโน้มตลาดทุน และ APM มีทิศทางเป็นอย่างไรในปีนี้?
APM: โดยรวมๆ แนวโน้มภาพรวมยังไม่แจ่มชัด อย่างที่ว่าตอนแรก มีบางเรื่องเกินมือเราจัดการ เราหวังและต้องรอให้เกิดการจัดการในเรื่องเหล่านั้นโดยผู้มีหน้าที่ ถ้าถามตอนนี้ คำตอบตอนนี้คงบอกได้แค่ว่ายังไม่สดใส แต่มีความหวัง และมีความเชื่อ เชื่อว่าอาจจะมีปัจจัยที่จะมาช่วยซัปพอร์ตและทําให้เกิดเกมพลิก กระแสเปลี่ยน เช่น การลดดอกเบี้ย อาทิเช่นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจไปจับมือและยุติความขัดแย้ง ยุติสงครามได้สำเร็จ ก็เป็นไปได้ว่า ราคาทองคําจะลดลง เพราะว่าตอนนี้เงินมันไหลไปอยู่ในสินทรัพย์ที่เป็น Safe Haven Asset ในลักษณะเอาไปพักไว้ก่อน เพราะกังวลกับเรื่องสงครามและความไม่มั่นคง แต่ถ้าอยู่ๆเกิดภาวะหักมุม ราคาหุ้นก็สามารถพลิกกลับขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือความหวัง และความเชื่อที่ต้องอยู่ควบคู่ เหมือนกับที่เราอยู่ท่ามกลางฝุ่น PM 2.5 แล้วหวังว่าฝนจะตกเพื่อที่จะทําให้ฝุ่นมันลดลง
ในส่วนงานของ APM ปีนี้ งานยังอยู่ในไพรด์ไลน์ อยู่ในแผน แต่ผลกระทบเล็กๆ คือเรื่อง Sentiment ของตลาด มีผลให้งานที่ทํายากขึ้น
MBA: มองโอกาสเรื่องการระดมทุน หรือการลงทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไร ณ ปัจจุบันวันนี้
APM: ปัจจุบันมองว่าการกำกับดูแลเรื่อง ดิจิทัลแอสเซท ยังมีความเป็นห่วงและกังวลในฝั่งของนักลงทุนอยู่มาก ทำให้การพิจารณาการออกหรือเสนอขายสินทรัพย์มีขั้นตอนที่เข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของสินทรัพย์ และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตามเห็นว่านักลงทุนก็มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูล เรียนรู้ และเติบโตไปกับเทรนด์การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย
ในด้านของ APM เราเห็นโอกาส เราเห็นทิศทาง และเตรียมความพร้อม โดยเรามีทีมที่จัดตั้งขึ้นมาและศึกษาเรื่องนี้อยู่และพร้อมที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การกำกับดูแลของผู้คุมกฎหรือ Regulator เมื่อตลาดดีมานด์มาเราก็สามารถซัพพลายได้เลย ซึ่งผมเชื่อว่าดีมานด์มี เมื่อกฎเกณฑ์มีความชัดเจนและกฎหมายนิ่ง เราพร้อมที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว
บทความ / ภาพ: กองบรรณาธิการ
เหล่าคู่รักและว่าที่คู่บ่าวสาวที่ต้องการจัดงานแต่งงานในสไตล์ของตัวเอง เตรียมพบกับดินแดนแห่งความรักและแรงบันดาลใจที่จะช่วยเนรมิตงานแต่งในฝันให้กลายเป็นจริง การกลับมาอีกครั้งของมหกรรมงานเวดดิ้งแฟร์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีที่คู่รักทุกคู่รอคอย SabuyWedding Festival 2025 โดยคุณดวงฤทัย ชยารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สบายแฟมิลี่ จำกัด ปรากฎการณ์ครั้งใหม่ของเวดดิ้งแฟร์ที่ช้อป ชิล สบายใจ ไม่มีฮาร์ดเซลล์ โดยขนทัพสินค้าและบริการเพื่อการจัดงานแต่งงานที่บ่าวสาวรุ่นพี่บอกต่อกว่า 200 ร้านค้า อาทิ โรงแรมชั้นนำมากกว่า 50 แห่ง, เวดดิ้งแพลนเนอร์และออแกไนซ์เซอร์ชื่อดัง, แบรนด์ชุดแต่งงานยอดนิยม, ช่างภาพงานแต่งตัวท็อป, ร้านเพชรและแหวนแต่งงานหลากดีไซน์ที่ราคาดีต่อใจ และร้านค้างานแต่งอื่นๆ แบบครบ จบ ในที่เดียว! ระหว่างวันที่ 29 – 30 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

โดยบรรยากาศภายในงานอบอวลไปด้วยความหวานและการตกแต่งสุดโดดเด่น ซึ่งมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ พร้อมสเปเชียลโปรโมชัน และกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับว่าที่บ่าวสาวที่เข้าร่วมงานแบบจัดเต็ม อาทิ ลุ้นรับ Cash Voucher, บัตรรับประทานอาหาร, ทริปฮันนีมูนในฝันจาก MASON Pattaya, Mövenpick Hotels & Resorts, SO Sofitel Hua Hin และของรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย ตลอดจนกิจกรรมดูดวงความรักและปรึกษาเรื่องฤกษ์โดย อ. Otto และแฟชั่นโชว์ชุดแต่งงานชาย-ชายจากแบรนด์ Myriad Grand Monde ซึ่งนำโดยเหล่าดารา-นายแบบสุดปัง อาทิ ต้า นันคุณ ภัคภัทรพรพบ, อัส นิติธร อัครโชติโสภณ, อินทัช กูรมะสุวรรณ, เอฟโฟร์ พีรวิชญ์ โชติมานนท์, ธ๊อป ณฐนน ณรธัญวิรุณ Mister Supranational thailand 2023 และบุ๊ค คมสัน ศรีมงคลศิริ รองอันดับ 4 Mister Supranational Thailand 2023 พร้อมเสียงเพลงเพราะ ๆ จาก แตงโม The Voice และแบรนด์ Tiara Bridal ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ เพื่อทุกคู่รักที่อยากแต่งงานอีกมากมาย
ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ https://festival2025.sabuywedding.com/ พร้อมรับสิทธิลุ้น Cash Voucher Shopping ฟรี!! รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Line: @SabuyWedding หรือ Facebook: Sabuywedding หรือ www.sabuywedding.com
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางสาวพิจิกา สงวนศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร Sea (ประเทศไทย) เป็นตัวแทนพนักงาน มอบเงินบริจาคจากการระดมทุนในองค์กร รวมกว่า 130,000 บาท ให้แก่มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม (Operation Smile Thailand) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการผ่าตัดโดยทีมแพทย์อาสาของมูลนิธิฯ ให้กับเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ในพื้นที่ห่างไกล โอกาสนี้ นางสาวจุฑารัตน์ วิบูลสมัย ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาแหล่งทุน มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ให้เกียรติเป็นตัวแทนรับมอบ
ข้อมูลจากมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ระบุว่า ทั่วโลก มีเด็กเกิดมาพร้อมภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ทุก ๆ 3 นาที และในประเทศไทย เด็ก 1 ใน 700 คน หรือประมาณ 2,000 รายต่อปีต้องเผชิญกับภาวะดังกล่าว โดยการผ่าตัดเพียง 45 นาที สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งได้ตลอดไป ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 - 30,000 บาทต่อครั้ง

การมอบเงินบริจาคในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสังคมของ Sea (ประเทศไทย) ซึ่งมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการสร้างสรรค์สังคมสำหรับทุกคน (Inclusive Society) ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคสมทบทุนแก่มูลนิธิสร้างรอยยิ้มได้โดยตรง ที่เว็บไซต์ https://operationsmile.or.th/
โอกาสทองสำหรับคนอยากออกรถมาถึงแล้ว! กรุงศรี ออโต้ ขนทัพข้อเสนอสุดพิเศษมามอบให้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อรถยนต์ใหม่ รถอีวี และบิ๊ก ไบค์ อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเพียง 1.98% สำหรับรถยนต์ใหม่ อนุมัติไวภายใน 30 นาที ผ่านแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ พร้อม รับและลุ้นของกำนัลมูลค่ารวมกว่า 1.8 ล้านบาท ลงทะเบียนรับบัตรเข้างานมอเตอร์โชว์ฟรี ที่แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้
ในโอกาสพิเศษนี้ กรุงศรี ออโต้ เตรียมข้อเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านสินเชื่อ รวมถึงโปรโมชันมากมายสำหรับลูกค้าที่มาภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ไม่ว่าจะเป็น

ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมและขอสินเชื่อได้ที่บูธ กรุงศรี ออโต้ (บูธ S1) บริเวณหน้าทางเข้า ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม - 6 เมษายน 2568 พร้อมดาวน์โหลดแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ เพื่อประเมินวงเงินสินเชื่อยานยนต์ ได้แล้ววันนี้ที่ https://kautolink.com/ujo42Z
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ กรุงศรี ออโต้ กำหนด ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.krungsriauto.com
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
*กรุงศรี นิว คาร์ ให้บริการสินเชื่อโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 1.98% - 5.25% (เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้น
ลดดอก 3.81% - 9.80% ต่อปี)
*กรุงศรี บิ๊ก ไบค์ ให้บริการสินเชื่อโดย บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 3.29% - 13.80% (เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก 5.92% - 23% ต่อปี)
เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงาน “Recruitment Kickoff 2025 - ยกระดับ “นักสร้าง” สู่ความสำเร็จ” เดินหน้าสร้างตัวแทนคุณภาพให้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ พร้อมกับยกระดับตัวแทนประกันชีวิตของไทยสู่การเป็นที่ปรึกษามืออาชีพในด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA) รวมทั้งมุ่งผลักดันให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ เพื่อส่งมอบการดูแลและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่คนไทย ตลอดจนสามารถช่วยคนไทยเตรียมความพร้อมหลังเกษียณ รองรับสังคมผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ผ่านการวางแผนสุขภาพและการเงินอย่างมีประสิทธิภาพจากที่ปรึกษามืออาชีพของเอไอเอ ให้คนไทยได้มีความมั่นคงและต่อยอดความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’
นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่เอไอเอมุ่งผลักดันในด้านการสร้างตัวแทนคุณภาพและสนับสนุนให้ตัวแทนประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ซึ่งช่องทางตัวแทนยังคงเป็นช่องทางขายหลักของเอไอเอ โดยปัจจุบันเรามีตัวแทนที่ดูแลลูกค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 55,000 ท่าน มากที่สุดในอุตสาหกรรม และในปีที่ผ่านมา มีตัวแทนที่เข้าร่วมโปรแกรม AIA Financial Advisor (AIA FA) เพิ่มมากขึ้นและสามารถพิชิต Career Achievement Bonus ได้มากถึง 88 ท่าน ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และในปีนี้เรายังคงมุ่งส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่สายอาชีพ ที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA) โดยเรามีแผนที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพให้กับ AIA FA ในทุก ๆ ด้าน ผ่านคอร์สฝึกอบรมที่ทันต่อยุคสมัย ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ AIA FA Prime โดยเฉพาะ นอกจากนี้ เรายังพร้อมสนับสนุนเครื่องมือในการทำงานให้กับที่ปรึกษาของเรา ให้ทุกท่านทำงานได้ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มุ่งไปที่การส่งมอบประสบการณ์การดูแล การบริการ และคำแนะนำด้านการวางแผนสุขภาพชีวิตและสุขภาพการเงินที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้คนไทยมีความมั่นคงและมั่งคั่งในระยะยาว”
นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต เอไอเอจึงมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนตัวแทนเพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการด้านประกันชีวิตและสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ โดยมุ่งไปที่การสร้างที่ปรึกษาในโครงการ AIA FA Prime ที่จะสามารถช่วยลูกค้าวางแผนชีวิตหลังเกษียณให้มีความมั่นคงได้อย่างประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำนวนตัวแทนของเอไอเอที่มี IC License มากเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในไทย ทำให้เรามีโอกาสในการช่วยสนับสนุนและดูแลด้านการเงินให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เอไอเอยังมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้านที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของพลังตัวแทน และยกระดับศักยภาพให้เติบโตในอาชีพ ซึ่งอาชีพที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ ถือเป็นอาชีพที่มีคุณค่า และมีส่วนสำคัญในการส่งมอบความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ตลอดจนมอบอิสรภาพทางการเงินจากการวางแผนที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”
สำหรับงาน Recruitment Kickoff 2025 ได้รับเกียรติจากวิทยากรรับเชิญพิเศษ นายปีเตอร์ ยู ผู้อำนวยการภาคอาวุโส เอไอเอ ฮ่องกง ที่มาร่วมบรรยายและแชร์ประสบการณ์ที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว Face of FA Prime จำนวน 6 ท่าน เพื่อเป็น Brand Ambassador ในการสะท้อนภาพลักษณ์ที่ปรึกษามืออาชีพด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งมีลักษณะของความเป็นเจ้าของธุรกิจและคนรุ่นใหม่มากขึ้น เชิญชวนให้คนรุ่นใหม่สนใจก้าวสู่สายอาชีพ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยไปด้วยกันกับ เอไอเอ
บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยธุรกิจอาหารสัตว์บก ร่วมกับ บริษัท เกษตรภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด รับประกาศนียบัตร Carbon Neutral Event จากการจัดกิจกรรมชดเชยคาร์บอนจนเป็นศูนย์ในงานเดิน-วิ่งการกุศล “ CPF & KASETPHAND RUN For Charity 2024” ได้รับเกียรติจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีมอบฯ โดยมี นายจิระ คงเขียว ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เป็นตัวแทนรับมอบ และ นายอดิศักดิ์ จันทะวิโร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจเกษตรภัณฑ์ ร่วมด้วย

ซีพีเอฟ จัดกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศลอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี ต่อยอดสู่กิจกรรมในรูปแบบ Carbon Neutral Event โดยมีเป้าหมายส่งเสริมสุขภาพที่ดีของบุคลากร ครอบครัว และประชาชน ควบคู่กับการสร้างสมดุลทางสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 ด้วยการเปิดโอกาสให้นักวิ่งมีส่วนร่วมลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกิจกรรม “งานเดิน-วิ่งการกุศล CPF & KASETPHAND RUN For Charity 2024” สามารถชดเชยคาร์บอนฯ ที่ปล่อยได้ประมาณ 60 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ด้วยคาร์บอนเครดิตจากโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวล
การจัดงานดังกล่าว มีการนำเสื้อวิ่งที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล จำนวน 20 ขวดต่อตัวมาใช้ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 13 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (เมื่อเทียบกับเสื้อคอตตอนจำนวน 1,850 ตัว) นอกจากนี้ เหรียญรางวัลที่แจก ยังผลิตจากวัสดุรีไซเคิล เช่น ล้อแม็ก กระป๋องน้ำ เมนบอร์ด เซรามิก และถุงขนม สะท้อนแนวคิด Waste-to-Value ช่วยลดขยะและเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งของ ขณะเดียวกัน บรรจุภัณฑ์ภายในงานได้รับการคัดสรรจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ชานอ้อย ไม้ และกระทงใบตอง สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก

ภายในงาน มีการจัดจุดคัดแยกขยะแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เพื่อจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณขยะที่ถูกนำไปฝังกลบ เพิ่มสัดส่วนขยะที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น แผ่นป้ายฟิวเจอร์บอร์ด และโครงไม้ อีกทั้งส่งเสริมการเดินทางแบบ Carpool เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ ซีพีเอฟมุ่งมั่นมีส่วนร่วมรับผิดชอบและสนับสนุนการดำเนินการเพื่อสร้างประโยชน์สู่สังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมเดิน-วิ่ง “CPF RUN FOR CHARITY” ที่มีการจัดต่อเนื่องมาแล้วกว่า 38 ครั้ง ได้มอบให้กับหน่วยงานสาธารณประโยชน์มากกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ เป็นเงินรวมแล้วมากกว่า 17 ล้านบาท
บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด จัดงานทำบุญบริษัทฯ ประจำปี 2568 นำโดย นางสาวอริสา อร่ามวัฒนานนท์ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง พร้อมด้วยนายธนภูมิ อร่ามวัฒนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมถวายนม 1,800 กล่องและเงินบริจาค แด่วัดยานนาวา พระอารามหลวง เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลต่อองค์กร ณ บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) เมื่อเร็วๆ นี้