

ร้อนปรอทแตกเบอร์นี้! ในท้องตลาดหลายแบรนด์ต่างคลอดสินค้าดับร้อนมากมาย เซเว่น อีเลฟเว่น ไม่รอช้า ขอชี้เป้า ขนมหวานดับร้อน ตัวเด็ด ตัวใหม่ จากแบรนด์ SME ไทย ที่คัดสรรมาเสิร์ฟต่อเนื่องภายใต้แคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” ชวนคนไทยอุดหนุนขนมหวาน ในเซเว่นฯ กว่า 50 รายการ โดยขนมหวานดับร้อนทั้ง 6 รายการ...ต้องบอกเลยว่าอร่อยสดชื่น แบบหยุดกินไม่ได้! ได้แก่ อัญมณีกรอบ, พุดดิ้งชานมไต้หวัน, วุ้นส้มแมนดาริน, สาคูวุ้นใบเตยน้ำกะทิ, วุ้นสตรอว์เบอร์รีนมสด, Jelly Me Fresh (เจลลี่ มี เฟรช) 2 รสชาติใหม่ รสพีช และ กลิ่นองุ่นไชน์มัสแคท ที่ล้วนคัดสรรจากวัตถุดิบคุณภาพ แพ็คเกจจิ้งสุดจึ้ง สามารถเพิ่มมูลค่าให้สินค้า SME ไทยน่าซื้อยิ่งขึ้น
สำหรับแคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” เป็นหนึ่งในพันธกิจของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เพื่อการสนับสนุนและสร้างการรับรู้ให้กับสินค้าจากผู้ประกอบการ SME โดยคัดสรรสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ผ่านการคิดค้นและสร้างสรรค์ที่แตกต่าง ที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ภายใต้วัตถุประสงค์ คือ อร่อยใหม่ หลากหลาย สะดวกทุกที่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อเสิร์ฟให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพัฒนาสินค้า SME ให้เกิดการกระจายรายได้ที่เข้มแข็งและยั่งยืน โดยหน้าร้อนแบบนี้ เซเว่นฯ ขอ ชี้เป้า! ขนมหวาน SME อร่อยฉ่ำ ดับร้อน ที่ใช่ ทั้ง 6 รายการ ดังนี้

1.อัญมณีกรอบ - ทับทิมกรอบหลากสี ฟินดับร้อน ตักเพลินทุกคำ
มาพร้อมจุดขาย หวานมันกำลังดี ทับทิมกรอบจัดเต็ม กับมะพร้าวนุ่มๆ อร่อยลงตัว ขนมหวานที่สืบทอดมาแต่โบร่ำโบราณ ที่สร้างสรรค์มาจากทับทิมกรอบกะทิสดเม็ดสีแดง สู่อัญมณีกรอบหลากสี ด้วยการเพิ่มสีสันที่สดใส เพื่อความสนุกในการรับประทาน ในส่วนของผลผลิตจากเกษตรกรไทย อย่าง “แห้ว” ตั้งใจคัดสรรชิ้นแห้วที่มีคุณภาพ เนื้อหวานกรอบ พร้อมเนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้น และขนุนเส้นหวานอร่อย ผสมกับน้ำกะทิสดกลมกล่อม หอมมัน ต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งรายการขนมที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น คลายร้อนได้ในหน้าร้อนนี้แบบฟินๆ

2.พุดดิ้งชานมไต้หวัน - ชิ้นเนื้อนุ่ม เด้งดึ๋งละลายในปาก
ขึ้นชื่อว่า “พุดดิ้ง” สายขนมหวานก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าแล้ว แล้วยิ่งนำ “ชานมไต้หวัน” มาเป็นรสชาติหลัก ก็ยิ่งฟินแบบทวีคูณ พอตักพุดดิ้งเข้าปากคำแรก...จะได้กลิ่นหอมชา ละมุนลิ้นไปด้วยพุดดิ้งไข่เนื้อนุ่ม รสชาติหวานพอดิบพอดี ยิ่งทานแบบแช่เย็นๆ ด้วยแล้วก็ยิ่งชื่นใจ แถมยังมีเฉาก๊วยหนึบช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัสในการเคี้ยว เครื่องแน่นแบบนี้ ไปตำกันเล้ยยย

3.วุ้นส้มแมนดาริน– วุ้นหวานฉ่ำ หอมส้มที่จริงใจ
สินค้า SME แบรนด์ “จริงใจ” ที่ปังมาจากเฉาก๊วยในน้ำเชื่อม สำหรับ วุ้นส้มแมนดาริน อีกหนึ่งความอร่อยสร้างสรรค์ ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ อย่าง ส้มแมนดาริน ที่โดดเด่นเรื่องความหอมกลมกล่อม เพิ่มเนื้อสัมผัสและรสชาติที่อร่อยมีเอกลักษณ์ ด้วยวุ้นมะพร้าวและบุกหนึบหนับในน้ำชาเขียว รวมๆ แล้วรสชาติสดชื่น หอมกลิ่นชาเขียวเตะจมูก แถมมีเนื้อส้ม เป็นอะไรที่อร่อยลงตัว แปลกใหม่ เย็นชื่นใจ สดชื่นเวอร์

4.สาคูวุ้นใบเตยน้ำกะทิ - อร่อยครบ 4 สัมผัส หวาน มัน กรอบ หอม ละมุนลิ้นสุดๆ
ขนมไทยๆ ที่ผ่านการสร้างสรรค์สูตรใหม่น่าลอง! เคี้ยวสนุกขึ้นไปกับสาคูใบเตยเนื้อนุ่ม หนึบ พร้อมวุ้นใบเตยหั่นเต๋าขนาดพอดีคำ และเพิ่มความอร่อยด้วยเนื้อขนุน เมื่อรับประทานร่วมกันจะสัมผัสได้ถึงความอร่อยใหม่แบบครบรส หวาน มัน กรอบ หอม สดชื่น เชื่อได้ว่าใครที่ได้ลิ้มรสจะต้องหลงรักแน่นอน!

5.วุ้นสตรอว์เบอร์รีนมสด–สตรอว์เบอร์รีหอมฉ่ำ ยิ่งเย็นยิ่งสดชื่น
ดึงดูดสายตาตรงโซนขนมหวาน SME ได้อย่างจึ้ง แค่รูปลักษณ์ภายนอกของขนม ก็ร้องว่า..น่ารัก ไม่พักเลย! ด้วยวัตถุดิบหลักเป็น “สตรอว์เบอร์รี” สีแดงสดใส ผสมกับนมสดซ่อนเนื้อสตรอว์เบอร์รี ทำให้เกิดรสชาติที่หวานนุ่มซ่อนเปรี้ยว รสชาติไม่ซ้ำใคร แถมยังมีเนื้อสตรอว์เบอร์รีแท้ มาเพิ่มรสสัมผัส ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อย สำหรับหน้าร้อนนี้ต้องจัด ฟินมากเวอร์!

6.Jelly Me Fresh (เจลลี่ มี เฟรช) – เจลลี่เคี้ยวหนึบ อร่อยสดชื่นฉุดไม่อยู่
หนึ่งในรายการขนมใหม่ ที่น่าลิ้มลอง ตามคอนเซ็ปต์ อร่อยใหม่ หลากหลาย สะดวกทุกที่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์ผู้ชื่นชอบเจลลี่อย่างจัง ทานตอนไหนก็ได้ สะดวกทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่ฉีกซองแล้วทาน แถมยังดับร้อนได้อีกด้วย สำหรับร้อนนี้ Jelly Me Fresh (เจลลี่ มี เฟรช) เปิดตัวกับ 2 รสชาติใหม่ เจลลี่ มี เฟรช กลิ่นองุ่นไชน์มัสแคท เนื้อเจลลี่นุ่มเด้ง กลิ่นหอมองุ่นไชน์มัสแคท มีวิตามินเอสูง และ เจลลี่ มี เฟรช รสพีช เนื้อเจลลี่นุ่มเด้ง กลิ่นหอมฟุ้งจากพีช และมีวิตามินอีสูงด้วย
นอกจากนี้ยังพบกับสินค้า ขนมหวานในแคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” อีกกว่า 50 รายการ รสชาติน่าลอง ที่คัดมาให้แล้วในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือ 7Delivery พร้อมส่งถึงบ้าน
4 เสาหลักองค์กรธุรกิจ “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า - สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย – มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ร่วมกันสร้างพลังผนึก (Synergy) ต่อยอดความสำเร็จ ภายใต้โครงการ Family Business Thailand ให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยเป้าหมายสู่การสร้าง “ธรรมนูญครอบครัวแห่งชาติ” ให้กับธุรกิจครอบครัวไทย และการจัดอบรมให้ความรู้ รุ่นที่ 4 ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ที่จ. สุราษฎร์ธานี
Family Business Thailand สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้ง โดยในปีนี้ โครงการฯ ได้รับเกียรติจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าร่วมสนับสนุน ในฐานะหนึ่งในสี่พันธมิตรหลักที่สำคัญ เพื่อร่วมสนับสนุนด้านองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเชื่อมโยงโอกาสสู่ตลาดทุน
ทั้งนี้ นับจากการเริ่มต้นโครงการฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 โครงการฯ ได้จัดอบรมให้กับผู้ประกอบการ SMEs มาแล้ว 3 รุ่นที่ กรุงเทพฯ, ชลบุรี และเชียงใหม่ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในปีนี้ได้จัดการอบรมรุ่นที่ 4 ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่โรงแรมแก้วสมุยรีสอร์ท จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อให้ผู้ประกอบการในภาคใต้ได้เข้าร่วมและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยและเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เราจึงได้ริเริ่มโครงการ Family Business Thailand โดยความร่วมมือกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจครอบครัวไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนในหลายมิติ อาทิ การอบรมสัมมนา การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ และกรณีศึกษาธุรกิจต้นแบบ การจัดทำธรรมนูญครอบครัวเพื่อลดความขัดแย้ง และการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ต้องการพัฒนาการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแนวทางขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน สถาบันการศึกษาและวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรการบริหารธุรกิจครอบครัว รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจครอบครัว ซึ่งความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวไทยสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”
ขณะที่ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) คิดเป็น 71.23% ทว่า ในทางปฏิบัติ ธุรกิจครอบครัว ส่วนใหญ่มักมีปัญหาการส่งต่อธุรกิจ โดยมีสาเหตุที่สำคัญจากความไม่เข้าใจของสมาชิกในครอบครัวที่มีช่องว่างระหว่างรุ่น (Generation Gap) กันอยู่มาก ฉะนั้น การมีกลไกหรือวิธีการจัดการ นั่นก็คือการสร้าง “ธรรมนูญครอบครัว” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งการจัดตั้ง “สภาครอบครัว” เพื่อเป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาก็จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น โครงการ Family Business Thailand จึงนับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจเรื่องการสร้างธรรมนูญครอบครัว อีกทั้งยังสามารถแบ่งปันประสบการณ์จากธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวอื่น ๆ ใช้เป็นกรณีศึกษาได้ อีกทั้งยังจะสามารถต่อยอดสู่เป้าหมายของการพัฒนา “ธรรมนูญแห่งชาติ” ในอนาคตสำหรับธุรกิจครอบครัวในระดับมหภาคอีกด้วย
ในทางปฏิบัติ “คนรุ่นใหญ่” ในธุรกิจครอบครัวเองก็ต้องรับฟัง “คนรุ่นใหม่” ด้วยความเข้าใจ อีกทั้งทำหน้าที่ต้องให้แง่คิด มุมมองต่าง ๆ ที่ดี มิใช่การสั่งเพียงอย่างเดียว เพื่อช่วยประคับประคองและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น และจะส่งผลให้การสืบทอดหรือการส่งต่อธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้น องค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักเหล่านี้จึงย่อมจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว และทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับทุกครอบครัวได้ดำเนินธุรกิจให้เติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นไป”
นอกจากนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย องค์กรพันธมิตรใหม่ล่าสุดของปีนี้ได้กล่าวเสริมว่า
“การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจครอบครัวจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ Family Business Thailand ซึ่งมีแนวทางการสนับสนุนในหลายมิติ เช่น การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารและการวางแผนสืบทอดกิจการ การให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลและโครงสร้างธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวและเศรษฐกิจไทยนั้น
ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราได้พัฒนา LiVE Platform ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงหลักสูตรเฉพาะด้าน อาทิ การบริหารจัดการภายใน การปรับโครงสร้างธุรกิจ การวางแผนมรดก และการสร้างกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และในวาระครบรอบ 50 ปีของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราได้ขยายความร่วมมือด้านงานวิจัยเพื่อสนับสนุนให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจัดทำงานวิจัยที่เชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวกับตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่า ในกลางปี 2568 จะมีผลงานวิจัยที่ช่วยเสริมสร้างแนวทางการพัฒนาให้ธุรกิจครอบครัวไทยเติบโตอย่างมั่นคง ภายใต้ปณิธานของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งมั่นร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ธุรกิจครอบครัวไทยก้าวสู่ความมั่นคงและยั่งยืน”
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงโครงการฯ นี้ในฐานะของสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจครอบครัวมานับทศวรรษว่า
“การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในทุกยุคทุกสมัย ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยการกำหนดนโยบาย ของภาครัฐ หากแต่ยังต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนจากภาคธุรกิจ ซึ่งในบริบทของประเทศไทยก็เช่นเดียวกับ นานาประเทศ ธุรกิจครอบครัวถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการวางรากฐานอย่างมั่นคงและดำเนินกิจการสืบทอดต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน”
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยตระหนักถึงบทบาทของตนในการช่วยขับเคลื่อน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้มีศักยภาพมากขึ้น ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการผลิตองค์ความรู้ งานวิจัย และกรณีศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ
ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ผสานความร่วมมือกับ สภาหอการค้าไทย ซึ่งมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 200,000 ราย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดนโยบายและส่งเสริมภาคธุรกิจ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีธุรกิจครอบครัวจดทะเบียนอยู่เป็นจำนวนมาก ความร่วมมือระหว่างทั้งสี่หน่วยงานนี้จึงย่อมจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจครอบครัวไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ อีกทั้งจะสามารถนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนและสามารถเดินหน้าสู่เป้าหมายของการสร้าง “ธรรมนูญครอบครัวแห่งชาติ” ให้กับธุรกิจครอบครัวไทยในอนาคตอีกด้วย”
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ทางเว็บไซต์ www.dbd.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 5475985 หรือสายด่วน 1570
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าการดำเนินโครงการ ODOS Summer Camp โอกาสใหม่สำหรับประเทศไทยและเยาวชนไทย พร้อมประกาศเริ่มกระบวนการรับสมัคร ดีเดย์! 24 มีนาคมนี้ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา (One District One Scholarship: ODOS) ODOS Summer Camp ค่ายแห่งโอกาสภาคฤดูร้อน โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนจากสถานทูตประเทศต่าง ๆ ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนร่วมงานโดยพร้อมเพรียง ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล

นางสาวแพทองธาร เปิดเผยว่า โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา (ODOS) เป็นการต่อยอดมาจากโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษาในอดีต แต่มีการขยายโอกาสให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน โดยในส่วนของ ODOS Summer Camp ค่ายแห่งโอกาสภาคฤดูร้อน หลักสูตรระยะสั้น 6 สัปดาห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสการเรียนรู้แก่เยาวชนไทยอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อสร้างทัศนคติใหม่ เปิดโลกดิจิทัลสู่โอกาสในการพัฒนาบ้านเกิด เชื่อมโยงบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก มหาวิทยาลัยชั้นนำ และประเทศไทยเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการพัฒนากำลังคนดิจิทัล และนำเสนอการศึกษารูปแบบใหม่ กระจายโอกาสอย่างทั่วถึงเท่าเทียมในทุกพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลและภูมิรัฐศาสตร์
“รัฐบาลเชื่อมั่นว่า ODOS Summer Camp ที่ดำเนินการโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็นโอกาสของประเทศไทย และแน่นอนว่าจะเป็นโอกาสที่มีค่าสำหรับเด็กไทยทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยเปิดโลกกว้าง รับแรงบันดาลใจสู่อนาคตที่เลือกเอง โดย ODOS Summer Camp ครอบคลุมประเทศใน 4 ทวีป ประกอบด้วย อเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย พร้อมเปิดรับสมัครน้อง ๆ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมนี้เป็นต้นไปผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้าน นายประเสริฐ กล่าวว่า โครงการ ODOS Summer Camp เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) รวมถึงนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) ชั้นปีที่ 1 และนักศึกษาระดับอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) ชั้นปีที่ 1 ที่มีภูมิลำเนาใน 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพฯ ได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตและการศึกษาในต่างประเทศ พร้อมยกระดับทักษะด้านดิจิทัลจากเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ค้นหาแรงบันดาลใจ ต่อยอดไปสู่การเลือกสายการเรียนในระดับที่สูงขึ้น รวมถึงสายงานหรืออาชีพในอนาคต อีกทั้งรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดย ODOS Summer Camp จะช่วยสร้างกำลังคนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต

สำหรับน้อง ๆ เยาวชนที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ ODOS Summer Camp ได้ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 16 พฤษภาคมนี้ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก โดยจะมีการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ ทักษะดิจิทัล และการจับฉลากเลือกประเทศพร้อมสัมภาษณ์ ก่อนประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการพิจารณาภายในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งน้อง ๆ สามารถศึกษารายละเอียดของโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://odos.thaigov.go.th/ หรือเพจเฟซบุ๊ก ODOS Summer Camp
วันที่ 26 - 30 มีนาคมนี้ โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) สาขารังสิต มีข่าวดีให้ชาวโชห่วย และผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ปักหมุดรอ! กับงาน “โชห่วย GO Plus ซัมเมอร์นี้ มีแต่ได้ กำไรพุ่ง” แคมเปญใหญ่ที่โก โฮลเซลล์ ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 60 แบรนด์ดัง ขนทัพสินค้ามาจัดรายการลดราคาแบบร้อนฉ่า โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่ม สินค้าขายดีประจำฤดูกาล ข่าวว่า เหล่าแบรนด์ดังจัดโปรฯ แรง พิเศษสุดๆ ยิ่งซื้อเยอะยิ่งถูก แถมสะสมยอดซื้อแลกคูปองส่วนลด และสะสมคะแนน The1 ได้อีก ใครอยากหาแหล่งสินค้าที่ช่วยลดต้นทุน เตรียมมุ่งหน้าไป โก โฮลเซลล์ สาขารังสิตช่วงปลายเดือนนี้ได้เลย!
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญ “เสิร์ฟความฟิน บินฟรี! เซี่ยงไฮ้” มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าใหม่ที่ซื้อประกันภัยทุกประเภทผ่านทุกช่องทาง ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น ประกันภัยรถยนต์, ประกันภัยสุขภาพ, ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย, ประกันภัยสัตว์เลี้ยง, ประกันภัยไซเบอร์สำหรับบุคคล และประกันภัยอื่นๆ โดยรับส่วนลดเบี้ยประกันภัยสูงสุด 23% พร้อมสิทธิ์ลุ้นตั๋วเครื่องบินไป-กลับเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน และบัตรกำนัลพิเศษ รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท
ทุกกรมธรรม์ที่ซื้อ รับ 1 สิทธิ์ในการร่วมลุ้นรางวัล เพียงลงทะเบียนตอบคำถามผ่านลิงก์ https://bit.ly/4ibbrRp
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้ที่ทิพยประกันภัยทุกสาขา หรือซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ www.tipinsure.com เพียงกรอกโค้ด TIPSH25 ก่อนการชำระเงิน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/43TsrqP หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1736 ได้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2568
โออิชิ ราเมน (OISHI RAMEN) เอาใจแก๊งเด็กเส้นอีกครั้ง ล่าสุด ชวนอร่อยแซ่บ รับซัมเมอร์ กับเมนูใหม่ในซีรีส์ “ราเมนเครื่องแน่น X2” ที่ครั้งนี้มาพร้อม "น้ำซุปต้มยำ" เผ็ดร้อนสไตล์ไทย ๆ เคี่ยวจนได้รสชาติจัดจ้าน กลมกล่อม หอมสมุนไพรอย่าง ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริกเผา ผสานความเปรี้ยวของมะนาว กระตุ้นต่อมรับรสให้ตื่นตัวในทุกคำที่ซด พร้อมเสิร์ฟ “ราเมนต้มยำ” เครื่องแน่น X2 กับสามเมนูไฮไลต์ที่ต้องลอง ไม่ว่าจะเป็น “ราเมนต้มยำหมูชาชูหน้าล้น” ที่อัดแน่นด้วยหมูชาชูชิ้นโต นุ่มฉ่ำ ล้นชาม เมื่อทานคู่กับน้ำซุปต้มยำสุดเข้มข้นที่ซึมซาบเข้าไปในเส้นราเมนเหนียวนุ่ม ยิ่งเพิ่มความฟินแบบเต็มคำ, “ราเมนต้มยำหมูชาชูและกุ้งเทมปุระ” ที่อร่อยลงตัวกับหมูชาชูสุดนุ่ม และกุ้งเทมปุระตัวโต กรอบฟู เมื่อตัดสัมผัสกรอบ ๆ ด้วยการจุ่มลงในน้ำซุปต้มยำร้อน ๆ ก็ยิ่งได้รสชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว, และ “ราเมนต้มยำหมูชาชูและเกี๊ยวซ่า” ที่เพิ่มความอร่อยด้วยหมูชาชูฉ่ำ ๆ เสิร์ฟคู่เกี๊ยวซ่าหมู ไส้แน่นเต็มคำ ซดพร้อมน้ำซุปต้มยำรสแซ่บ จัดจ้านถึงใจ ในราคาพิเศษ ทุกชามราคาเดียว 179 บาท พิเศษยิ่งขึ้น !!! รับสิทธิ์แลกซื้อเครื่องดื่มน้ำชาเขียว โออิชิ กรีนที แบบรีฟิล เติมได้ไม่อั้น ในราคาสุดคุ้มเพียง 19 บาท/แก้ว (จากปกติ 39 บาท) วันนี้ถึง 30 เมษายน 2568 เท่านั้น
ติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติม คลิกแฟนเพจ OISHI Restaurant Thailand: www.facebook.com/oishigroup หรือค้นหา โออิชิ ราเมน สาขาใกล้ ๆ คุณ คลิกเว็บไซต์โออิชิฟู้ด: www.oishifood.com
หมายเหตุ: โปรโมชันราคาพิเศษนี้สำหรับบริการรับประทานที่ร้านหรือซื้อกลับบ้านเท่านั้น
บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายน้ำแร่มองต์เฟลอ น้ำแร่ 100% จากธรรมชาติ นำเสนอ “Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water” น้ำแร่ธรรมชาติระดับพรีเมียม ที่ผ่านกระบวนการเพิ่มออกซิเจนอย่างพิถีพิถัน มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำขณะบรรจุอยู่ที่ 40-50 mg/L มากกว่าน้ำแร่มองต์เฟลอทั่วไป
“Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water” จากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และใช้เทคโนโลยีพิเศษเพื่อเพิ่มออกซิเจนลงในน้ำ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ยังได้รับ “Superior Taste Award” จากสถาบัน International Taste Institute ซึ่งเป็นการการันตีคุณภาพด้านรสชาติ
ด้วยกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันและคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ “Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water” เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาน้ำแร่ธรรมชาติระดับพรีเมียมที่ผ่านการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้ได้ที่ Tops Supermarket, Gourmet Market, Foodland, Lawson108, Villa Market, Mitsukoshi และซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ในราคาขวดละ 49 บาท
ทำไมต้องดื่ม Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water ?
นายฐิติวุฒิ เงินคล้าย รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานในการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์การทำงาน โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของ MEA ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตลอดจนหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านการก่อสร้าง โดยมีผู้แทนจาก 50 สำนักงานเขตของกรุงเทพมหานคร และคณะเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประชุม ณ MSC HALL โรงแรมแม่น้ำ รามาดา พลาซา บาย วินด์แฮม กรุงเทพมหานคร

รองผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า ปัจจุบัน MEA มีการดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่รวม 26 โครงการ โดย 23 โครงการ อยู่ในเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งวัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน และให้ข้อมูลการดำเนินงานอย่างครบถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนการเริ่มต้นจนถึงการจบโครงการ โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชน รวมถึงช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน เพื่อให้สำนักงานเขตมีความเข้าใจในกระบวนการทำงาน และสามารถให้ข้อมูลแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้ง MEA ได้มีการนำเอานวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีจากประเทศสวีเดนมาใช้ในเรื่องของการสแกนโพรงใต้ชั้นผิวถนนและทางเท้า อีกหนึ่งแนวทางในการป้องกันปัญหาการทรุดตัวของผิวจราจรโดยรอบบ่อพักท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งนี้ MEA ให้ความสำคัญกับการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และการรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จริง เพื่อให้โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเป็นไปอย่างราบรื่น ตามมาตรฐานตามที่ MEA กำหนด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในพื้นที่

สำหรับประชาชน หากพบว่ามีการดำเนินการก่อสร้างของ MEA ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย หรือพบเห็นสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุดอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่ MEA Smart Life Application หรือสอบถามผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการเลือกเมนูติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง