

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ผู้พัฒนาที่พักอาศัยคุณภาพเพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดี มากว่า 36 ปี ขอเป็นส่วนหนึ่งในการ ชวนคนไทยร่วมบริจาคโลหิตกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อเป็นพลังแห่งความหวังให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี เนื่องจากเหตุการณ์เพลิงไหม้เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ตรวจและรักษาผู้ป่วย รวมถึงคลังโลหิตของโรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหายทำให้ปริมาณโลหิตสำรองสำหรับผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องการโลหิตเพื่อการรักษามีปริมาณลดลง จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่มีสุขภาพแข็งแรงร่วมบริจาคโลหิต เพื่อช่วยเติมเต็มคลังโลหิตให้แก่ผู้ป่วยที่มีความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย บริจาคได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 07.30 - 19.30 น. (เสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 08.30 - 15.30 น.) และห้องบริจาคโลหิต ชั้น 3 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดี บริจาคได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 -12.00 และ13.00 – 16.30 น. หรือสามารถตรวจสอบจุดรับบริจาคโลหิตใกล้บ้านได้ที่ redcross.to/3Ejr6z3 นอกจากนี้ LPN ยังร่วมเปิดจุดรับบริจาคเพิ่มเติมในบริเวณสำนักงานใหญ่และภายในบริเวณโครงการของ LPN โดยมีรายละเอียดตามวัน เวลา และสถานที่รับบริจาคโลหิต ดังนี้
1.ลุมพินี ทาวเวอร์ (ถ.พระรามสี่) วันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย.68 เวลา 09.00-15.00 น.
2.ลุมพินี พัฒนาการ ศรีนครินทร์ วันเสาร์ที่ 5 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
3.ลุมพินี รัชโยธิน วันอาทิตย์ที่ 6 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
4.ลุมพินี อ่อนนุช พัฒนาการ วันอาทิตย์ที่ 6 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
5.ลุมพินี เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ วันจันทร์ที่ 7 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
6.ลุมพินี เมกะซิตี้ บางนา วันเสาร์ที่ 19 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
7.ลุมพินี สุขุมวิท 77 วันอาทิตย์ที่ 20 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
8.ลุมพินี ริเวอร์ไซด์ พระราม 3 วันอาทิตย์ที่ 20 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
9.ลุมพินี ร่มเกล้า สุวรรณภูมิ วันอาทิตย์ที่ 20 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
10.ลุมพินี แจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด วันเสาร์ที่ 26 เม.ย.68 เวลา 11.00 – 15.00 น.
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เผยกลยุทธ์กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจ SME ในปี 2568 ยังคงสานต่อกลยุทธ์ 3GO อันประกอบด้วย ‘GO Green, GO Digital และ GO Beyond’ พร้อมเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ โดยนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทั้งการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างโอกาสธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจไทย รวมถึงให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านการเยี่ยมเยือนและให้คำปรึกษาเชิงรุกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย
นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ SME โดยเรามองว่ายังคงมีความเปราะบาง ทั้งนี้ กรุงศรียังคงสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการช่วยเหลือ ส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการ และการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบต่างๆ พร้อมทั้งพัฒนาแนวทางในการเสริมสร้างความยั่งยืนทั้งในด้านการเงินและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม เพื่อให้ลูกค้าก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยในปี 2567 ยอดสินเชื่อคงค้างของกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME อยู่ที่กว่า 337,264 ล้านบาท”
สำหรับทิศทางการดำเนินงานและกลยุทธ์ในปี 2568 นี้ ธนาคารยังคงสานต่อความสำเร็จจากกลยุทธ์ 3GO จากปีที่ผ่านมา
“ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกปี 2568 ที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผู้ประกอบการ SME ไทย ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาด้านโครงสร้างภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าว เราจึงมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพของสินเชื่อ SME สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและคุณภาพสินทรัพย์ เน้นการทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าผ่านการเยี่ยมเยือนและให้คำปรึกษาเชิงรุกโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อร่วมกันวางแผนการบริหารความเสี่ยง พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสมและตอบโจทย์ โดยเน้นที่การสนับสนุนด้านสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและต่อยอดการทำธุรกิจ ทั้งนี้ กรุงศรี จะยังคงมุ่งมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในฐานะพันธมิตรที่พร้อมเดินเคียงข้างผู้ประกอบการสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรเดินหน้าผลักดันวงการอีสปอร์ตไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ “depa ESPORTS” ภายใต้แนวคิด PLAYGROUND FOR THE FUTURE มุ่งส่งเสริมเยาวชนและบุคคลทั่วไปที่มีใจรักในอีสปอร์ต ให้ได้แสดงศักยภาพ พัฒนาทักษะ และต่อยอดสู่เส้นทางสายอีสปอร์ต ล่าสุด ดีป้า ประกาศจัดการแข่งขัน “depa ESPORTS TOURNAMENT” รอบภูมิภาค (Regional Tournament) การแข่งขันอีสปอร์ตเพื่อหาผู้ชนะประจำภูมิภาค ครอบคลุม 8 จังหวัดทั่วประเทศ เปิดโอกาสให้เกมเมอร์ทั่วไทย เรียนรู้ ลิ้มลองการแข่งขันตามมาตฐานสากล และได้พัฒนาฝีมือสู่วงการอีสปอร์ต พร้อมต่อยอดอุตสาหกรรมอีสปอร์ตไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เปิดเผยว่า โครงการ depa ESPORTS เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของ ดีป้า ที่มุ่งส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมอีสปอร์ตให้เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศ และการสนับสนุนบุคลากรในอุตสาหกรรมอีสปอร์ต เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
"อีสปอร์ตไม่ได้เป็นเพียงแค่การแข่งขันเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมดิจิทัลที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและเปิดโอกาสให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะที่สามารถต่อยอดสู่อาชีพในอนาคต ดีป้า มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกมและอีสปอร์ตระดับภูมิภาค และเราหวังว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและโอกาสให้กับเยาวชนไทยในการก้าวเข้าสู่วงการอีสปอร์ต" ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
สำหรับการแข่งขัน depa ESPORTS TOURNAMENT แบ่งออกเป็น 4 ประเภทประกอบด้วย
depa ESPORTS DAILY TOURNAMENT การแข่งขันแบบออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปร่วมแข่งขันเพื่อทดลองเข้าสู่สนาม และพัฒนาศักยภาพตนเองสู่ระดับที่สูงขึ้น ชิงผู้ชนะเป็นรายสัปดาห์ โดยปัจจุบันมีการแข่งขันต่อเนื่อง เข้าสู่สัปดาห์ที่ 8 ถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook: depa Thailand
depa ESPORTS UNFLUENCER TOURNAMENT การแข่งขันที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปแข่งขันกับผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการอีสปอร์ต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเข้าสู่อุตสาหกรรม
depa ESPORTS REGIONAL TOURNAMENT การแข่งขันเพื่อเฟ้นหาทีมที่มีผลงานดีที่สุดใน 8 จังหวัด โดยสนามแรกของการแข่งขันจะจัดขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเฟ้นหาผู้เล่นฝีมือดีจากทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันเพื่อชิงความเป็นที่หนึ่ง
depa ESPORTS NATIONAL TOURNAMENT การแข่งขันเพื่อช่วงชิงความเป็นสุดยอดทีมอีสปอร์ตของ depa ESPORTS TOURNAMENT และได้รับโอกาสในการต่อยอดสู่อนาคต

สำหรับการแข่งขัน depa ESPORTS REGIONAL TOURNAMENT จะจัดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยมีสนามการแข่งขันใน 8 จังหวัด ดังนี้ จังหวัดชลบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดสงขลา และจังหวัดภูเก็ต ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน สามารถสมัครและดูรายละเอียดการแข่งขันเพิ่มเติมได้ที่ https://tournament.depaesports.com
โดยรูปแบบการแข่ง depa ESPORTS REGIONAL TOURNAMENT ในครั้งนี้จะใช้ระบบ แพ้คัดออก (Single Elimination) ซึ่งหมายความว่าหากทีมใดแพ้จะต้องออกจากการแข่งขันทันที ทำให้ทุกแมตช์เต็มไปด้วยความเข้มข้นและท้าทาย ผู้เข้าแข่งขันต้องใช้ทั้งฝีมือ กลยุทธ์ และความเป็นทีมเวิร์คในการเอาชนะคู่แข่ง โดยการแข่งขันจะเริ่มต้นจาก รอบออนไลน์ โดยคัดเลือกจากผู้สมัครทั้งหมด จนเหลือเพียงผู้เล่นที่ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย เข้าสู่ รอบออฟไลน์ ซึ่งจัดขึ้นในแต่ละภูมิภาค และจะทำการแข่งขันจนได้ทีมผู้ชนะในแต่ละสนาม รางวัลรวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท
โครงการ depa ESPORTS ไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีแข่งขัน แต่ยังเป็นโครงการที่มุ่งหวังจะพัฒนาวงการอีสปอร์ตไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนเยาวชน และบุคลากรในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดย ดีป้า ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างบุคลากรคุณภาพในอุตสาหกรรมอีสปอร์ตกว่า 150,000 คน และคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ตลอดจนการแข่งขันครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ต้องการแสดงฝีมือและก้าวไปสู่ระดับมืออาชีพ
อย่าพลาด! ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้แล้ววันนี้ โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://depaesports.com
บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP นำโดย นายเอกราช นิโรจน์ (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการตลาด ผนึกความร่วมมือกับ 15 แบรนด์ชั้นนำ นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย ภายใต้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตโดย SCGP ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งาน ความปลอดภัย และความยั่งยืน มาร่วมจัดจำหน่ายในราคาพิเศษให้แก่พนักงานขององค์กรพันธมิตร เพื่อเพิ่มช่องทางการขายที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจของพันธมิตรทางการค้าให้เติบโตไปด้วยกันและช่วยส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) และเตรียมขยายการจัดกิจกรรมต่อเนื่องไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของพันธมิตรที่สนใจ
นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการปรับปรุงทางเท้ามาตรฐานใหม่ บริเวณหน้าตลาดพรานนก ถนนอิสรภาพ เขตบางกอกน้อย และบริเวณสถานีรถไฟฟ้า MRT อิสรภาพ เขตบางกอกใหญ่
โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทางเท้าของกรุงเทพมหานครให้เดินได้ เดินดี และน่าเดิน 1,000 กิโลเมตร ภายใน 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2566 -2569) ขณะนี้สามารถดำเนินการได้กว่า 70% แล้ว โดยภายในเดือนเมษายน 2568 นี้ เราจะมีทางเท้ามาตรฐานใหม่ จำนวน 87 เส้นทาง รวมระยะทาง 774 กิโลเมตร และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องคาดว่าภายในปี 2569 จะได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตรแน่นอน เหตุผลที่ กทม. ให้ความสำคัญในการพัฒนาทางเท้า เนื่องจากคนกรุงเทพฯ ร้อยละ 58.2 ใช้วิธีเดินเท้าเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะเฉลี่ยเดินระยะทาง 800 เมตรต่อ 10 นาที และร้อยละ 31.2 ใช้ยานพาหนะส่วนตัว ซึ่งแนวโน้มคนเดินเท้ามีมากขึ้น กทม.จึงมีแผนพัฒนาทางเท้าเชื่อมโยงรถไฟฟ้า ปัจจุบันมี 11 เส้นทาง 297 สถานี ระยะทางรวม 466.1 กม. ตามแนวคิด First & Last Mile เพื่อให้สามารถเดินจากที่พักไปเชื่อมรถไฟฟ้าและอื่น ๆ ได้สะดวก ปลอดภัย เช่น ถนนอิสรภาพ ถนนเพชรเกษม ถนนเจริญกรุง ถนนจรัญสนิทวงศ์ เป็นต้น

โดยในวันนี้ โฆษกของกรุงเทพมหานคร ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามการปรับปรุงทางเท้าถนนอิสรภาพ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เชื่อมต่อพื้นที่เขตธนบุรี บางกอกใหญ่ และบางกอกน้อย โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2567 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในเดือนเมษายน 2568 การปรับปรุงทางเท้าบริเวณดังกล่าว ใช้มาตรฐานทางเท้าใหม่ที่มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัยยิ่งขึ้น มีความเป็น Universal Design เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทางเท้าทุกคน อีกทั้งมีฝาท่อที่มีการออกแบบให้มีความโดดเด่นและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ประจำย่านของทั้ง 3 เขต มีการใช้พื้นผิวทางเท้าพิมพ์ลายเพื่อกันลื่น เพิ่มไฟฟ้าแสงสว่าง ขยับ Street Furniture ไม่ให้กีดขวางทางเท้า จัดระเบียบผู้ค้าหน้าตลาดเดิม โดยให้ย้ายเข้าไปทำการค้าในจุดที่เหมาะสม ซึ่งบริเวณหน้าตลาดพรานนก ถนนอิสรภาพ (ฝั่งขาเข้า) มีผู้ค้าลงทะเบียนไว้ 181 ราย ช่วงเวลาทำการค้า 06.00-20.00 น. แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือรอบเช้าและรอบบ่าย ปัจจุบันเขตบางกอกน้อย ได้จัดระเบียบพื้นที่ทำการค้า โดยมติของคณะกรรมการหาบเร่-แผงลอยระดับเขต ยกเลิกพื้นที่ทำการค้าบริเวณหน้าตลาดพรานนก และหน้าตลาดบางกอกน้อย ถนนอิสรภาพ (ฝั่งขาเข้า) ซึ่งทั้ง 2 จุด มีการปรับปรุงทางเท้าใหม่ โดยย้ายผู้ค้าบริเวณดังกล่าวเข้าไปทำการค้าภายในตลาดพรานนกประมาณ 40 แผง และผู้ค้าบางส่วนย้ายไปทำการค้าในที่แห่งใหม่
ทั้งนี้ กทม. มีแนวทางดำเนินการปรับปรุงทางเท้ามาตรฐานใหม่ 3 วิธี คือ 1. การทำใหม่ทั้งเส้นทาง 2. ปรับปรุงซ่อมแซมจุดที่ชำรุดเป็นการเร่งด่วน และ 3. การปรับใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่ โดยจะต้องมีความแข็งแรงทนทาน เน้นผู้ใช้ทางเท้าเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งนำงานศิลปะมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบฝาท่อ ให้มีความโดดเด่นและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ประจำย่านในแต่ละแห่ง สำหรับการทำใหม่ทั้งเส้นทางมีการดำเนินการ 2 รูปแบบ โดยในส่วนพื้นที่ชั้นในและเส้นทางที่มีผู้คนสัญจรหนาแน่น จะปูพื้นโดยใช้กระเบื้องตามมาตรทางเท้าใหม่ ซึ่งฐานรากจะต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหนา 10 เซนติเมตร ที่จะสามารถเพิ่มความแข็งแรงของทางเท้าได้ เช่น ถนนเพลินจิต ถนนสีลม ถนนหลังสวน ถนนเยาวราช เป็นต้น ในส่วนพื้นที่ชานเมืองบางเส้นทางซึ่งการสัญจรไม่หนาแน่น จะใช้วิธีปูด้วยแอสฟัลต์ เช่น ถนนลาดหญ้า ถนนพุทธมณฑลสาย 3 นอกจากนี้ยังมีการขยับและรื้อย้าย Street Furniture ที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางเดินเท้า มีการปรับรางระบายน้ำตลอดแนวถนน จากรูปแบบเดิมที่เป็นช่องระบายน้ำติดกับทางเท้า เปลี่ยนมาเป็นรางระบายน้ำตลอดแนวถนน เพื่อช่วยระบายน้ำท่วมขังบนถนนลงท่อระบายน้ำได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงมีการปรับพื้นทางเข้าออกในจุดต่าง ๆ ให้มีความสูงที่ใกล้เคียงกันกับพื้นทางเท้า เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการสัญจรกับทุกคน

กทม. เริ่มดำเนินการปรับปรุงทางเท้ามาตรฐานใหม่ตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 16 เส้นทาง ระยะทาง 250 กิโลเมตร ในปี 2567 จำนวน 30 เส้นทาง ระยะทาง 332 กิโลเมตร และในปี 2568 จะดำเนินการอีก 41 เส้นทาง ระยะทาง 192 กิโลเมตร โดยในเดือนเมษายน 2568 นี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จครบทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 87 เส้นทาง รวมระยะทาง 774 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีแผนดำเนินการปรับปรุงทางเท้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการปรับปรุงทางเท้าได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตร ในปี 2569 นี้
โฆษกของกรุงเทพมหานคร ยังกล่าวอีกว่า กทม.จะยึด 5 แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงทางเท้า คือ 1. แก้ไขตามประเด็นเรื่องร้องเรียนใน Traffy Fondue 2. พัฒนาปรับปรุงตามแนว BKK Trail 500 กม. 3. ภายในรัศมี 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า ทางเท้าต้องดี 4. ปรับปรุงในเส้นทางที่มีผู้คนสัญจรหนาแน่น ตามข้อมูล Heatmap ที่เก็บได้ นอกเหนือจากรัศมีรถไฟฟ้า 5. คืนสภาพจากหน่วยงานสาธารณูปโภค โดยติดตามเร่งรัดการบริหารจัดการสาธารณูปโภคที่ทำให้เกิดผลกับพื้นผิวจราจรและทางเท้า อาทิ ประปา ไฟฟ้า การนำสายไฟลงดิน

มาตรฐานใหม่ของทางเท้ากรุงเทพฯ 10 ข้อ คือ 1. ลดระดับความสูงคันหินทางเท้า เป็นแบบรางตื้นสูง 10 เซนติเมตร 2. ลดระดับความสูงคันหินทางเท้าบริเวณทางเข้าออกอาคารหรือซอยต่าง ๆ ให้สูง 10 เซนติเมตร จากเดิม 18.50 เซนติเมตร 3. เปลี่ยนพื้นทางเท้าเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ด้วยคอนกรีตหนา 10 เซนติเมตร และเสริมเหล็ก 6 มิลลิเมตร 4. ปรับทางเข้า-ออกอาคารให้มีระดับเสมอกับทางเท้า เพื่อให้ผู้ใช้ทางเท้าทุกคนสามารถผ่านได้อย่างต่อเนื่องสะดวกสบาย 5. ปรับทุกทางเชื่อมและทางลาดให้มีความลาดเอียง 1:12 ตามมาตรฐานสากล 6. เพิ่มรูปแบบทางเลือกวัสดุปูทางเท้า เป็นแอสฟัลต์คอนกรีตพิมพ์ลาย 7. เปลี่ยนช่องรับน้ำจากแนวตั้งให้เป็นแนวนอน เพื่อเพิ่มอัตราการไหลของน้ำ 8. วางแนวทางการจัดตำแหน่งระบบสาธารณูปโภคบนทางเท้า เพื่อไม่ให้กีดขวางผู้ใช้ทางเท้า 9. วางอิฐนำทาง (Braille Block) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา 10. ปรับปรุงแบบคอกต้นไม้ด้วยวัสดุพอรัสแอสฟัลต์ เพื่อขยายพื้นที่ทางเท้าให้กว้างขึ้น
ทางเท้าชำรุด เน้นรู้ไว ซ่อมเร็ว สภาพดี เพื่อความปลอดภัย ในส่วนของการปรับปรุงและซ่อมแซมทางเท้าที่ชำรุด กทม. โดยสำนักการโยธาและสำนักงานเขตที่รับผิดชอบแต่ละพื้นที่จะใช้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว (BEST) ออกดำเนินการซ่อมแซมให้เร็วที่สุด และให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย หากจุดไหนสามารถทำเป็นทางเท้ามาตรฐานใหม่ได้จะมีการปรับปรุงด้วยเช่นกัน โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาในการแจ้งผ่าน Traffy Fondue เมื่อพบเห็นจุดที่ชำรุดหรือเสี่ยงต่ออันตราย ทำให้เขตรับทราบปัญหาอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการลงพื้นที่สำรวจด้วยตนเอง

เพราะการมีทางเท้าที่ดี ได้มาตรฐาน ไม่เพียงจะช่วยสร้างความสะดวก เพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรให้กับทุกคนเท่านั้น แต่นี่ยังจะเป็นจุดเริ่มต้นของใครอีกหลายคน ที่จะช่วยเชื่อมต่อกับเมือง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ และทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่เดินได้ เดินดีได้อย่างแท้จริง
มาตรฐานใหม่ของเนื้อโคขุนไทย เทียบชั้นเนื้อนำเข้า
ในตลาดเนื้อระดับพรีเมียม ผู้บริโภคไทยมักคุ้นเคยกับเนื้อนำเข้าจากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีภาพลักษณ์ของคุณภาพสูงทั้งในด้านเนื้อสัมผัส ความนุ่ม และรสชาติที่เข้มข้น อย่างไรก็ตาม "เนื้อโคขุนโพนยางคำ GI สกลนคร" กำลังก้าวขึ้นมาเป็นทางเลือกที่โดดเด่นในระดับสากล ด้วยกระบวนการเลี้ยงที่พัฒนาขึ้นโดย สหกรณ์การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป.กลาง โพนยางคำ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเน้นมาตรฐานการเลี้ยงแบบธรรมชาติและกระบวนการพัฒนาคุณภาพที่สามารถแข่งขันกับเนื้อนำเข้าได้
ความร่วมมือระหว่างภาควิชาการและอุตสาหกรรม: กุญแจสู่ความสำเร็จ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สกลนคร มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสายพันธุ์โค ระบบการเลี้ยง และการพัฒนาเนื้อให้ได้คุณภาพที่เหนือมาตรฐาน ทั้งการควบคุมอาหารสัตว์ การบริหารจัดการฟาร์ม ไปจนถึงกระบวนการบ่มเนื้อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ "เนื้อโคขุนโพนยางคำ GI สกลนคร" สามารถเทียบเคียงหรือเหนือกว่าเนื้อนำเข้าในหลายแง่มุม
การบุกตลาดบุฟเฟ่ต์ระดับประเทศ: จุดเปลี่ยนของเนื้อโคขุนไทย
การที่เนื้อโคขุนโพนยางคำสามารถเข้าสู่ตลาดร้านบุฟเฟ่ต์ชั้นนำอย่าง Shabushi by OISHI ทั่วประเทศ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพของเนื้อโคขุนไทยในการก้าวสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งเดิมทีผู้บริโภคมักมองว่าเนื้อโคขุนไทยเป็นสินค้าระดับเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่การได้รับการยอมรับจากเชนร้านอาหารขนาดใหญ่สะท้อนถึง คุณภาพ ความสม่ำเสมอ และความสามารถในการผลิตในปริมาณมาก ที่เป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารในระดับประเทศ

จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่า เนื้อโคขุนโพนยางคำ GI สกลนคร มีจุดแข็งในเรื่องของ ความสดใหม่และราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า ในขณะที่เนื้อนำเข้ามักจะมีต้นทุนสูงขึ้นจากการขนส่งและภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของเนื้อไทยในตลาดภายในประเทศ
ส่งเสริมอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย ยกระดับสู่ระดับสากล
ความสำเร็จนี้ไม่ได้ส่งผลดีเพียงแค่ผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงเนื้อคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้าง รายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร ในพื้นที่ โดย โมเดลความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สกลนคร ได้วางไว้ จะช่วยผลักดันให้ เนื้อโคขุนไทยสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ ได้ในอนาคต
การพัฒนาอุตสาหกรรมปศุสัตว์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี และการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งความร่วมมือระหว่าง สหกรณ์โพนยางคำ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ได้พิสูจน์แล้วว่า เนื้อโคขุนไทยมีศักยภาพไม่แพ้เนื้อนำเข้า และสามารถก้าวสู่เวทีระดับสากลได้อย่างเต็มภาคภูมิ

สรุป: ทำไมเนื้อโคขุนโพนยางคำ GI สกลนคร ถึงเป็น Game Changer?
"เนื้อโคขุนโพนยางคำ GI สกลนคร" ไม่ใช่แค่เนื้อคุณภาพสูง แต่เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยที่พร้อมแข่งขันในระดับโลก
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อบก. และ สสว. เดินหน้าต่อเนื่องกับโครงการ “SMEx รุ่นที่ 4 ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก” เพื่อยกระดับความรู้คู่ค้า SMEx เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต บริหารจัดการทรัพยากรและพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG
นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า โครงการ SMEx มีเป้าหมายส่งเสริมการยกระดับขีดความสามารถของคู่ค้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต SMEx โดยนำความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมของซีพีเอฟ มาช่วยพัฒนาศักยภาพคู่ค้าแบบครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสเติบโต ยกระดับความรู้ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผนึกพลังกับคู่ค้าธุรกิจ SME ในห่วงโซ่อุปทาน มุ่งสู่ Net-Zero โดยมี ผู้เชี่ยวชาญและทีมวิศวกรของซีพีเอฟ เป็นพี่เลี้ยง ให้คำแนะนำและคำปรึกษาจนโครงการบรรลุเป้าหมาย ตั้งแต่การอบรมถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานตามแนวทาง Lean Six Sigma รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรมาช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งทุนและมีความรู้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เตรียมความพร้อม SME รับมือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างเข้มแข็ง

“โครงการ SMEx ได้รับได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ประกอบการอย่างดี สำหรับโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Partner to Grow มุ่งยกระดับของ SME ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ มีความสามารถและมีศักยภาพในการพัฒนาในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถที่จะดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานได้อย่างยั่งยืน สำหรับรุ่นที่ 4 บริษัทร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การขับเคลื่อน โครงการ SMEx สามารถไปได้ข้างหน้าอย่างดีขึ้น และคู่ค้า SME ได้รับประโยชน์ มีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น” นายพีรพงศ์กล่าว

สำหรับ SMEx รุ่นที่ 4 ซีพีเอฟจับมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรชั้นนำ ได้แก่ หน่วยงานด้านความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะนำความรู้ทางวิชาการให้ SME เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืน องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. หน่วยงานที่ให้ความรู้ด้านการรับรองการขึ้นทะเบียน มีความเข้าใจคาร์บอนฟุตพริ้นขององค์กร และ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทส่งเสริมการทำธุรกิจของ SME เพื่อสนับสนุนให้คู่ค้า SME ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร และสนับสนุนให้คู่ค้า SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางความยั่งยืน จะช่วยให้ SME สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งด้านการค้าโลก จากการดำเนินโครงการของ SMEx ตั้งแต่รุ่นที่ 1 และ 2 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 261,283 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

นายภเดช กันตจินดา บริษัท เนเจอร์ สไปซ์ กล่าวว่า โครงการ SMEx ที่มีประโยชน์ SMEs ทำได้เห็นผลจริงมีทีมอาจารย์ที่ปรึกษาเข้ามาดูตั้งแต่ต้นทางเพื่อช่วยหาแนวทางลดต้นทุนการทำกระเทียมเจียว ทีมผู้เชี่ยวชาญจากซีพีเอฟนำประสบการณ์ความรู้มาถ่ายทอด แบ่งปันวิธีคิด นำไปสู่ปรับวิธีการเจียวกระเทียมช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการสูญเสีย นำไปสู่ต้นทุนลดลง และไม่ผันผวน
นายกิตติ์พัฒน์ วชิระเธียรชัย บริษัท เคอร์รี่ แอนด์ สไปร์ กล่าวว่า โครงการ SMEx ช่วยให้ผู้ประกอบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น จากความร่วมมือกับซีพีเอฟ ช่วยให้บริษัทประหยัดงบประมาณได้อย่างมีนัยสำคัญ

นางสาวคุณวรมน วุฒิพุธนันท์ บริษัท วิทย์ คอร์ป เล่าว่า บริษัทขอขอบคุณซีพีเอฟที่เห็นความสำคัญของ SME จากการร่วมโครงการ SMEx ทีมงานได้รับความรู้ในเรื่องกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไปช่วยให้แรงงานต่างด้าวสามารถทำงานได้เร็วขึ้น ช่วยลดระยะเวลาและลดการสูญเสียจากความผิดพลาดในการบรรจุและส่งของ มีรายได้เพิ่มขึ้น
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสมาคมในอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ เตรียมจัดงานแสดงสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง 2568 หรือ TAPA 2025 โอกาสที่พลาดไม่ได้สำหรับนักธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อจับคู่เจรจาการค้า ต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจ เรียนรู้และอัปเดตเทรนด์ใหม่ผ่านเวทีเสวนาสุดเข้มข้น พร้อมชมศักยภาพประเทศไทยกับโซนจัดแสดงสินค้าไฮไลต์ ระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2568 ณ Hall EH101-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า “ในปี 2567 ที่ผ่านมาไทยส่งออกสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ถึง 15,491.40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 543,640.51 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.15 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งประเทศ โดยตลาดส่งออกสำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาเลเซีย แอฟริกาใต้ และอินโดนีเซีย สินค้าชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ของไทยนั้นมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก สามารถแข่งขันได้ในเวทีนานาชาติ เนื่องจากเรามีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งยาวนานมากว่า 50 ปี ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ สามารถผลิตชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ได้ทุกชิ้นส่วน”

งานแสดงสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง หรืองาน TAPA จัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 2 ทศวรรษ เพื่อเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการแสดงศักยภาพความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง ต่อผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ผู้ค้าปลีก รวมถึงนักธุรกิจจากทั่วโลก เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรและต่อยอดธุรกิจในระดับสากล รวมทั้งเป็นเวทีเจรจาการค้าและเปิดตัวสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยภายในงานรวบรวมสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง จากผู้ประกอบการไทยและต่างชาติมาร่วมจัดแสดงอย่างครบวงจร จนได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก หรือ World Auto Parts Sourcing Hub

งานแสดงสินค้า TAPA 2025 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Sustainable for the Future แสดงทิศทางของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งของโลก ที่จะพัฒนาขึ้น โดยมุ่งเน้นความยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์โลกยุคใหม่ โดยปีนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 500 รายจากทั่วทุกมุมโลก ในคูหาแสดงสินค้ามากกว่า 1,000 คูหา
บนพื้นที่จัดงานกว่า 20,000 ตารางเมตร
ภายในงานยังมี Highlight Zone ประกอบด้วย โซนสัมมนาและเสวนา เรียนรู้และอัปเดตเทรนด์ใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ผ่านเวทีเสวนาสุดเข้มข้น ที่รวมผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับแนวหน้ามาให้ความรู้แบบเจาะลึก ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยียานยนต์ล่าสุด แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ถาม-ตอบ และแลกเปลี่ยนมุมมองกับวิทยากรโดยตรง และโซนจัดแสดงสินค้าไฮไลต์ พบกับสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูงจากผู้ผลิตชั้นนำ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่อนาคต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจอุตสาหกรรมนี้ โซนนี้จะทำให้คุณได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) กล่าวว่า ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยต้องบูรณาการกลยุทธ์ ESG และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์เชิงนิเวศให้สอดคล้องกับแนวโน้มโลก ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องใช้แนวทาง Multiple Track โดยรักษาสมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาปที่สะอาด (Clean ICE) และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) นโยบายนี้จะทำให้ไทยเป็น “Last Man Standing” ในการผลิตรถยนต์ ICE พร้อมสร้างความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

นายภาณุวัฒน์ มาลสุขุม เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ทดแทนไทย (TAPAA) กล่าวว่า ในปี 2568 คาดว่าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ประเภท Aftermarket จะยังคงเติบโตได้ โดยมีแนวโน้มที่ดีจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และ การเพิ่มขึ้นของความต้องการซ่อมบำรุงยานยนต์ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากความขัดแย้งต่างๆ เพื่อปรับตัวและวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจ

นายชนินทร์ ขาวจันทร์ นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (THAI SUBCON) กล่าวว่า การผลิตยานยนต์ในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญ และมีระบบห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งในระดับภูมิภาคอาเซียนไปจนถึงระดับโลก โดยเฉพาะในด้านการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และการประกอบยานยนต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศ ไทยเรามีฐานผู้ผลิตชิ้นส่วนขนาดใหญ่และขนาดกลางจำนวนมาก ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ รวมถึงการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศหลากหลายค่าย อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนที่หลากหลายและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้
นายศักดิ์ศิริ วิกรมธรรมกุล นายกสมาคมผู้ค้าอะไหล่วรจักร (WASA) กล่าวว่า ย่านวรจักรเป็นแหล่งรวมของสินค้าประเภทอะไหล่รถยนต์, มอเตอร์ไซค์, อะไหล่เครื่องจักร ที่มีความหลากหลายเป็นแหล่งที่ผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งสามารถหาสินค้าหรืออะไหล่ในราคาที่เหมาะสมได้ ในแง่ของการกระจายสินค้า ย่านวรจักรไม่ได้มีการขายเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าอะไหล่ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายการขนส่งที่สามารถส่งสินค้าไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

พบกันในงาน TAPA 2025 ระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2568 โดยวันที่ 5 เมษายนจะเป็นวันจำหน่ายปลีก ณ Hall EH101-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาคลิก www.thailandautopartsfair.com