December 05, 2025

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดการประชุมนานาชาติ The International Conference on Digital Trade Facilitation and Implementation: Advancing Electronic Transactions through UNCITRAL Model Laws เวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน ผ่านกรอบกฎหมายและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกฎหมายตัวอย่างของ UNCITRAL เช่น กฎหมายตัวอย่างว่าด้วยเอกสารโอนสิทธิทางอิเล็กทรอนิกส์ (MLETR) เวทีสำคัญที่รวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงานจากหลากหลายภาคส่วน ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของ UNCITRAL

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ในยุคที่โลกทางการค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายทางการค้าที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคดิจิทัล การสร้างองค์ความรู้ด้านทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องเร่งดำเนินการ  ดังนั้น ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จึงได้จัดงานประชุมนานาชาติ The International Conference on Digital Trade Facilitation and Implementation : Advancing Electronic Transactions through UNCITRAL Model Laws เพื่อเป็นเวทีสำคัญที่รวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้าน AI และบล็อกเซน ภาคเทคโนโลยีดิจิทัลและการเงิน นักวิชาการด้านกฎหมาย ภาคการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ฯลฯ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน ผ่านกรอบกฎหมายต้นแบบของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (UNCITRAL) ซึ่งการประชุมนานาชาติครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน ผ่านกรอบกฎหมายและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อรองรับโลกการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ จะช่วยให้การประชุมสามารถผลักดันข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และแนวทางปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อยกระดับการทำธุรกรรมดิจิทัลทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค” 

ด้าน ดร.วิลาวรรณ มังคละธนะกุล ประธานการประชุมคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศสมัยที่ 57 กล่าวว่า “ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกฎหมายตัวอย่างของ UNCITRAL เช่น กฎหมายตัวอย่างว่าด้วยเอกสารโอนสิทธิทางอิเล็กทรอนิกส์ (MLETR) ซึ่งเป็นการสร้างกรอบกฎหมายที่สอดคล้องในระดับสากลช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ยอมรับและใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แทนเอกสารกระดาษได้อย่างถูกต้อง  อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว และเสริมความโปร่งใสในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะในบริบทของการค้าข้ามพรมแดน ดังนั้นเพื่อเป็นการตรียมความพร้อมทางกฎหมายให้เท่าทันกับเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมระบบธุรกิจ และบริการของรัฐในยุคดิจิทัล รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัยในธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย การพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งนี้จึงจัดขึ้นในรูปแบบของการประชุม The International Conference on Digital Trade Facilitation and Implementation: Advancing Electronic Transactions through UNCITRAL Model Laws เพื่อเป็นการเปิดเวทีให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติ ได้แลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางในการพัฒนากฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของ UNCITRAL ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการประชุมนานาชาติครั้งนี้ถือว่าเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกรอบกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อรองรับเอกสารดิจิทัล การทำสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ การค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน และยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นตลอดจนความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเปิดโอกาสให้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึก รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่ดี ที่ช่วยเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างกฎหมายกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ AI และบล็อกเชนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางกฎหมาย นอกจากนี้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันกฎหมาย สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้จริงทั้งในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปตามแนวทางของ UNCITRAL” ดร.วิลาวรรณ กล่าวสรุป

 

ด้าน ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA กล่าวว่า “ETDA มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การกำหนดทิศทางการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (UNCITRAL) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ETDA ในการนำแนวปฏิบัติและกฎหมายสากลมาประยุกต์ใช้ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“สำหรับการประชุมในครั้งนี้เราได้รับเกียรติผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยีและธุรกรรมดิจิทัล ภาครัฐและภาคเอกชน  ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้าน AI และบล็อกเชน นักกฎหมายการค้าระหว่างประเทศที่สามารถแบ่งปันประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากลเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้เข้าร่วมทุกหน่วยงาน โดย ETDA มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของไทยในการยกระดับกฎหมายธุรกรรมดิจิทัลสู่เวทีโลกและวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนในอนาคต เสริมศักยภาพและสร้างความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อถือด้านสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายและเทคโนโลยีให้ธุรกรรมปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้เป็นอย่างดี” ดร.ชัยชนะ กล่าวสรุป

นางมณฑริกา ฉัตรมงคลพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ภาคเหนือตอนบน นายวิเชียร เต็งจารึกชัย ผู้จัดการสำนักงานเชียงใหม่ (แก้วนวรัฐ)  นางไพริน เรืองธรรม ผู้จัดการสำนักงานเชียงใหม่ (เจริญเมือง) พร้อมทั้งผู้บริหาร และพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM  ร่วมกับ นางทิพย์วรรณ์ นันตาสาย รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ และนายวัชระ เทพกัน นายอำเภอแม่ริม ส่งมอบบ้าน BAM  โครงการ Home & Hope การพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคมเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” รวมทั้งมอบของอุปโภคบริโภคให้กับ นางพิมลพรรณ ดีวิเศษ อายุ 80 ปี อาศัยอยู่ ณ ตำบลริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

โครงการ Home & Hope ซึ่ง BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดย BAM ร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด สร้างบ้านให้กับผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น  เพื่อแก้ไขปัญหาการมีที่อยู่อาศัยที่เสื่อมโทรม และขาดสุขอนามัย ให้ได้มีบ้านที่มั่นคง ปลอดภัย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย เปิดตัว Refill Station สำหรับผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons แห่งแรกที่ได้รับอนุญาตจาก อย. อย่างเป็นทางการของประเทศไทย ที่ร้านวัตสัน สาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ตอกย้ำจุดยืนในการส่งเสริมสินค้าทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างประสบการณ์การชอปปิงแบบยั่งยืนแก่ผู้บริโภค โดยพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายน 2568

ทั้งนี้ Refill Station ถือเป็นก้าวสำคัญของวัตสัน ในการสนับสนุนพฤติกรรมการใช้ซ้ำ (Refillable Lifestyle) เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic) โดยผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของ Naturals by Watsons ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานสากล มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเติมซ้ำได้ ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกได้อย่างมีนัยสำคัญ และตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ต้องการดูแลตัวเองควบคู่กับการดูแลโลก สอดคล้องกับแนวคิด 3P (People, Planet, Product) ที่วัตสันยึดถือในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพ ความงาม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “Health is Beauty, Beauty is Health”

อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “แบรนด์ Naturals by Watsons นั้นถูกพัฒนาขึ้นสำหรับการดูแลเส้นผมและผิวกายอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวด สบู่อาบน้ำ โลชั่น และแฮนด์ครีม โดยออกแบบมาด้วยความใส่ใจเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ตามชื่อที่สื่อได้ถึงความเป็นธรรมชาติ

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons คือการใช้ส่วนผสมหลักที่มาจากธรรมชาติมากกว่า 95% โดยหลีกเลี่ยงการใส่ส่วนผสมที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ยังใช้ขวดบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจาก Ocean Bound Plastic (OBP) 100% ซึ่งเป็นพลาสติกที่ถูกเก็บตามชายฝั่งทะเล ก่อนที่พลาสติกเหล่านี้จะลงสู่ทะเล ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกในมหาสมุทรและผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล

การเปิดตัว Refill Station ในครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นของวัตสันในการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ดี และเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม เป็นการส่งเสริมหลักการ 3R คือ Reduce (ลดการใช้) Reuse (ใช้ซ้ำ) และ Recycle (รีไซเคิล) โดยเฉพาะการใช้ซ้ำที่ช่วยลดการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่อย่างมีนัยสำคัญ ในฐานะผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามในดวงใจผู้บริโภค เราภูมิใจที่เป็นเจ้าแรกในตลาด Health and beauty ที่ริเริ่มโครงการ Refill Station อย่างจริงจังในประเทศไทย และมีแผนที่จะขยายบริการนี้ไปยังสาขาอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพราะวัตสันเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้อย่างยิ่งใหญ่”

โดยลูกค้าที่สนใจสามารถนำขวดของผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons ที่ล้างสะอาดแล้วมาเติมผลิตภัณฑ์ได้ในราคาเพียง 55 บาทต่อขวด 490 มิลลิลิตร หรือหากไม่มีขวดเปล่า สามารถซื้อขวดเปล่าใหม่ได้ในราคาเพียง 20 บาทต่อขวด พร้อมทั้งมีการอำนวยความสะดวกติดฉลากและระบุรายละเอียดวันที่ผลิตและวันหมดอายุเพื่อความปลอดภัย ตามมาตรฐานที่หน่วยงาน อย.กำหนด

มาร่วมกันสร้าง "ความสวยที่ยั่งยืน" ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการดูแลตัวเองควบคู่กับการดูแลโลก และเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของวัตสันในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย กับโซน Refill Station สำหรับผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons ภายในร้านวัตสัน สาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) จัดงาน “เปิดตัวนวัตกรรมสำหรับโครงการ T-VER ภาคป่าไม้” ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพ โดยมีเป้าหมายเพื่อประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการรับรองแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ

งานครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง อบก. กับหน่วยงานชั้นนำด้านเทคโนโลยีของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THAICOM ร่วมด้วยภาคเอกชนรายใหญ่อย่าง บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)  และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดตัว “แพลตฟอร์มการประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ด้วย Remote Sensing และ AI” ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดระยะเวลาและต้นทุนในการตรวจวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ป่าไม้ เพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือในระดับสากล โดยภายในงานเป็นการเปิดตัว 4 แพลตฟอร์มแรกที่ผ่านมาตรฐานตามเกณฑ์การพิจารณาของ  อบก. ได้แก่

  • แพลตฟอร์ม Carbon Atlas โดย GISTDA
  • แพลตฟอร์ม CarbonWatch โดย THAICOM
  • แพลตฟอร์ม CERT+ โดย บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)  
  • แพลตฟอร์ม Smart Forest โดย บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่ม บ.ปตท.


นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผอ.อบก. กล่าวว่า "การนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Remote Sensing และ AI มาใช้ในโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การประเมินคาร์บอนเครดิตมีความแม่นยำเท่านั้นแต่ยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต รวมทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาโครงการและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions)"

 

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า “เทคโนโลยี LiDAR เป็นนวัตกรรมที่ใช้ในการเก็บข้อมูลภาคสนาม เมื่อนำมาบูรณาการร่วมกับข้อมูล Remote sensing และแบบจำลอง Machine learning จะช่วยให้การประเมินคาร์บอนในภาคป่าไม้มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ บนแพลตฟอร์ม Carbon Atlas มีข้อมูลบริการครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 90 % ของพื้นที่ป่าที่ได้รับรองจาก อบก. แล้วคือ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน และสวนยางพารา สำหรับเกษตรกรรายเล็กที่มีพื้นที่ปลูกไม่มาก สามารถรวมกลุ่มกัน ก็สามารถเข้าร่วมโครงการ T-VER ด้วยการเข้าใช้แพลตฟอร์ม Carbon Atlas ได้เช่นกัน”

คุณปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำธุรกิจด้าน Space tech  ไทยคมมีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีด้านอวกาศ มาคิดค้นการบริการที่สามารถตอบโจทย์ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรามีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้ ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม และ AI ที่ได้รับการรับรองจาก อบก. เป็นรายแรกของประเทศไทย เพื่อช่วยให้การประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ แม่นยำ รวดเร็ว ตรวจสอบได้ และคุ้มค่ากว่าวิธีดั้งเดิม อีกทั้งยังนำมาซึ่งความยั่งยืนและช่วยขับเคลื่อนให้เกิดเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในประเทศอีกด้วย”

คุณมีนา ศุภวิวรรธน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปตท. ให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมาย PTT Net zero emissions 2050 มีหนึ่งกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญคือการฟื้นฟูป่า ซึ่งนอกเหนือจากการร่วมฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทั่วประเทศแล้ว ยังส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ผ่านการบูรณาการร่วมกับบริษัทในกลุ่ม โดย ปตท. และวรุณา ได้ร่วมกันพัฒนาโมเดลประเมินการดูดซับ CO2 ของป่าไม้ ซึ่งผ่านการรับรองจาก อบก.แล้ววันนี้จำนวน 3 โมเดล ได้แก่ ป่าดิบแล้ง ป่าผสมผลัดใบ และสวนยางพารา นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ภายใต้มาตรฐานของประทศไทย”

คุณสุรเชษฐ์ ชโลธร Director of Manufacturing Technology and Digital บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า “SCGC มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดย ‘CERT+’ ถือเป็น ‘รายแรกของประเทศ’ ที่ริเริ่มนำเทคโนโลยี Remote Sensing และ AI ขั้นสูงมาใช้ในการประเมินคาร์บอนเครดิต  เพื่อยกระดับการประเมินคาร์บอนเครดิตให้แม่นยำ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในภาคป่าไม้และเกษตรกรรม ซึ่งได้ริเริ่มใช้กับไม้ยูคาลิปตัสและขยายสู่พืชเศรษฐกิจชนิดอื่นอย่างต่อเนื่อง ระบบดังกล่าวยังสามารถติดตามการเจริญเติบโตของพืช วิเคราะห์ความเสี่ยงในพื้นที่ โดยบูรณาการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มารวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างแท้จริง”

นอกจากนี้ ในงานจะมีการจัดเสวนาเจาะลึกถึงรายละเอียดทางเทคนิคและข้อจำกัดการใช้งานของแต่ละแพลตฟอร์ม รวมถึงการเสวนาในหัวข้อ “การประกันภัยคาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางการเงินที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดคาร์บอนเครดิต สร้างความน่าเชื่อถือ และลดความเสี่ยงให้กับโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้

ธนาคารกสิกรไทย ผนึกกำลังกับ ONNEX by SCG Smart Living ในเครือ SCG เดินหน้าลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Decarbonization) ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อพิเศษ เพื่อพลังงานสะอาดด้วยการติดตั้งโซลาร์รูฟ เปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม เร่งขับเคลื่อนจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มด้าน ESG และการลดคาร์บอนไม่ได้หยุดอยู่ที่บริษัทขนาดใหญ่อีกต่อไป แต่กำลังขยายไปสู่คู่ค้า ผู้ผลิต และธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์รวมขององค์กรถือเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 ของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้บริษัทขนาดใหญ่จึงเริ่มผลักดันและให้การสนับสนุนคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อช่วยเหลือบริษัทขนาดกลางและเล็กจำนวนมากที่อาจเผชิญข้อจำกัดด้านเงินทุนและความรู้ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมองว่าบทบาทของธนาคารวันนี้ไม่ได้จำกัดแค่การปล่อยสินเชื่อ แต่ต้องเป็นตัวเร่งระบบ หรือ System Enabler ที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของทั้งห่วงโซ่อุปทานของลูกค้าอย่างรอบด้าน เมื่อลูกค้ามองหาตัวช่วยในภารกิจลดคาร์บอนใน Scope 3 ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่สำคัญของธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทยพร้อมช่วยให้คำปรึกษาและความรู้ที่จำเป็น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

นายณัฐพล ลือพร้อมชัย รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า หนึ่งในหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ คือการเข้าถึงและทำได้จริง ธนาคารกสิกรไทยพร้อมสนับสนุนแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม และจับมือร่วมกับพันธมิตรอย่าง ONNEX by SCG Smart Living ที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือในด้านพลังงานสะอาด สร้างบริการแบบ One Stop Services ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ทั้งโซลูชันด้านเทคนิค โดยธนาคารมีโซลูชันทางการเงินที่หมาะสมกับการเปลี่ยนผ่าน ได้แก่ สินเชื่อเพื่อการติดตั้ง Solar Rooftop สำหรับใช้ในธุรกิจ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และระยะเวลาผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น พร้อมข้อตกลงพิเศษเฉพาะคู่ค้าของ ONNEX ภายใต้ความร่วมมือนี้เท่านั้น

นายเกริก ยิ้มพรพิพัฒน์ผล Smart Residential Director บริษัท เอสซีจี ลีฟวิง แอนด์ เฮาส์ซิง โซลูชัน จำกัด ผู้บริหารจากแบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living เปิดเผยว่า องค์กรมีภารกิจเพื่อมุ่งลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และร่วมสร้างสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นต่อไป โดย ONNEX เป็นผู้ให้บริการด้าน Energy Solution แบบครบวงจร มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟสำหรับอาคาร โรงงาน และบ้านพักอาศัย พร้อมระบบจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงโซลูชันการจัดการคุณภาพอากาศภายในบ้านและอาคาร จึงร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยเพื่อลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Decarbonization) ผลักดันให้คู่ค้าในซัพพลายเชนเปลี่ยนผ่านได้จริง ด้วยการสนับสนุนการติดโซลาร์รูฟซึ่งเป็นพลังงานสะอาด และยังช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล ตอบโจทย์ตลาดโลกที่มุ่งสู่ Low Carbon Society 

ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการร่วมพัฒนาโซลูชันและสินเชื่อที่ตอบโจทย์ให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน สำหรับคู่ค้า ONNEX ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ONNEX by SCG Smart Living โทร 063-2724451

สสว. เปิดตัวเว็บไซต์ Market Intelligence พร้อมจัดสัมมนาเจาะลึกบุกตลาดต่างประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญด้านด้านเศรษฐกิจและการค้าโลกให้ความเห็น เรื่องส่งออก

Peaceful Death จับมือมหาวิทยาลัยสยาม ลงนาม MOU เดินหน้าพัฒนาความรู้ด้านการอยู่ดีตายดี จัดเวทีวิชาการครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “การสื่อสารงานวิจัยเพื่อการเปลี่ยนแปลง” เมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา ภายใต้โครงการ Peaceful Death โดย คุณวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานมูลนิธิฯ ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ ดร.พรชัย มงคลวณิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยาม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา การวิจัย และการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการอยู่ดีตายดีอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

ในโอกาสเดียวกัน ทั้งสององค์กรได้จัดกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนทางวิชาการ “พัฒนาความรู้ความร่วมมือทางวิชาการ การศึกษาวิจัยเพื่อการอยู่ดีตายดี” ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “การสื่อสารงานวิจัยเพื่อการเปลี่ยนแปลง” โดยมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ให้กับนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงาน ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวคิด และแนวทางการนำเสนอผลงานวิจัยให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การอยู่ดีและตายดีอย่างมีศักดิ์ศรี โดยอาศัยพลังของงานวิชาการและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสังคมแห่งความกรุณา ความเข้าใจ และความตระหนักรู้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจหลักและวิธีการบังคับใช้กฎหมาย ว่าด้วยการประกันภัย ทางอาญา ทางปกครอง และทางพินัย ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2568  โดยมีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรของสำนักงาน ทั้งส่วนกลาง และภูมิภาค ในหัวข้อกฎหมายที่น่าสนใจและมีมิติที่หลากหลายครอบคลุมการปฏิบัติงานของสำนักงาน คปภ. ได้แก่ หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา การออกคำสั่งและใช้มาตรการบังคับทางปกครอง การจัดซื้อจัดจ้างและสัญญาทางปกครอง กระบวนการปรับเป็นพินัย ตลอดจนกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายเกียรติภูมิ แสงศศิธร ตุลาการศาลปกครองสูงสุด นายสมชาย พวงภู่ ผู้พิพากษาศาลฎีกา นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์  ประธานคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) นายอนุสรณ์ ปลั่งศรีสกุล ผู้อำนวยการกองบังคับคดีล้มละลาย 5 กรมบังคับคดี และนางสาววารี ชินสิริกุล ที่ปรึกษาอาวุโส (Senior Advisor) บริษัท Chandler Mori Hamada จำกัด เป็นวิทยากรมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในแต่ละหัวข้อการอบรม

เลขาธิการ คปภ. ได้เปิดการอบรมและกล่าวต่อผู้เข้าร่วมการอบรม ใจความตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยต้องพบกับความท้าท้ายมากมาย ทั้งภัยธรรมชาติ หรืออุบัติภัยใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมาก ส่งผลต่อ   ธุรกิจประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน กระทบต่อฐานะความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย จึงต้องเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลให้บริษัทประกันภัยจ่ายผลประโยชน์หรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายอย่างถูกต้อง เป็นธรรม อันเป็นการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน สำนักงานก็มีภารกิจที่ต้องทำให้บริษัทมีเสถียรภาพที่มั่นคง มีความเข้มแข็ง และประกอบธุรกิจให้มีมาตรฐานตามหลักสากล จึงทำให้สำนักงานมีภารกิจเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพื่อให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจตามที่กฎหมายกำหนด ไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมายหรือเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกระทบต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน แต่ด้วยจำนวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนมีจำนวนมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัทประกันภัยจะกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทประกันภัยก็อาจมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย หากพนักงานขาดความรู้ ความเข้าใจในการใช้กฎหมายที่ถูกต้อง ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจในการบังคับใช้กฎหมายหรือการออกคำสั่งใด ๆ บางกรณีอาจถึงขั้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสำนักงานและผู้ปฏิบัติงานที่อาจถูกฟ้องร้องเป็นคดีได้ ดังนั้น การจะดำเนินการใด ๆ ของสำนักงานในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐ นอกจากจะมีเครื่องมือที่สำคัญ คือ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อให้เป็นไปตามภารกิจของสำนักงานแล้ว “ผู้ใช้” ซึ่งก็คือ พนักงานของสำนักงาน ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญเช่นกัน กล่าวคือ หากพนักงานเรามีความรู้ ความเข้าใจในตัวบทกฎหมายที่จะใช้ในการปฏิบัติงาน สามารถปรับใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทต่างๆ ลดความเสี่ยงที่อาจจะถูกฟ้องร้อง ก็จะทำภารกิจต่าง ๆ ของสำนักงาน ที่ดำเนินการผ่าน 3 ห่วงโซ่ที่สำคัญ คือ การกำกับ การส่งเสริมบริษัทประกันภัย และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยต้องพบกับความท้าทายมากมายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 อุบัติภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลิงไหม้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตลอดจนเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมาก และทำให้ธุรกิจประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามสัญญาประกันภัย สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ย่อมมีภารกิจเพิ่มมากขึ้นในการทำให้บริษัทประกันภัยมีความเข้มแข็ง มั่นคง พร้อมปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ประชาชน คือ การปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ในขณะเดียวกันการพัฒนาความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรของสำนักงานจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดสำหรับการอบรมให้ความรู้ด้านกฎหมายตามโครงการนี้ถือเป็นปฐมบทแห่งการเรียนรู้ ต่อยอดและพัฒนาองค์ความรู้แก่บุคลากรของสำนักงาน คปภ. ให้เป็นปัจจุบันเพื่อนำมาปรับใช้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทในอนาคตได้อย่างเหมาะสม เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน สมัครเข้าร่วม "กิจกรรมพัฒนาผลิตภาพสำหรับธุรกิจเกษตรแปรรูปเป้าหมาย (แผนธุรกิจและการตลาด)" เพื่อพัฒนาและยกระดับผลิตภาพในการพัฒนาด้านแผนธุรกิจและการตลาด

ภายใต้กิจกรรมดังกล่าว ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกัน จัดกิจกรรมให้คำปรึกษาแบบเฉพาะราย (One-on-One) จากผู้เชี่ยวชาญด้านแผนธุรกิจและการตลาด เพื่อช่วยพัฒนา แผนธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด และ แนวทางเพิ่มรายได้และยอดขาย ให้กับกิจการที่ได้รับการการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 18 มิถุนายน 2568

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.facebook.com/profile.php?id=61576671490636 

หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่  080-081-5804 email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

หรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ทันทีที่ https://forms.gle/BGXw1A41SSjxq1uz5

เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ล่าสุด "ลัฟ" (Luv) เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ตยอดนิยม พร้อมแนะนำ "น้องลัฟ" คาแรคเตอร์สุดน่ารัก ตัวแทนในการสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ของแบรนด์ นอกจากนี้ ยังสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเปิดตัว  “หลิงหลิง คอง”นักแสดงสาวสวยมากความสามารถ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ ลัฟ ประเทศไทย

โดยงานในครั้งนี้ มีชื่อว่า The Official Launch of LUV Oat Milk Thailand and Best Friend of LUV “Ling Ling Kwong” พร้อมพาทุกท่านเข้าสู่ดินแดน Luvtopia อาณาจักรแห่งความลัฟ อาณาจักรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความรัก ความอบอุ่น และเวทมนตร์ โดยมี “น้องลัฟ” มาสคอตรูปหัวใจ เป็นผู้นำทางความรัก และ “หลิงหลิง คอง” เป็นเทพีแห่งอาณาจักรหัวใจที่จะพาทุกคนไปสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ จาก “ลัฟ นมโอ๊ต” อีกทั้งงานนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ทางแบรนด์ได้ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบวิดีโอโฆษณาพรีเซ็นเตอร์อย่างเป็นทางการ นำเสนอการเป็นเครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ตที่อร่อย ดื่มง่าย ภายใต้คอนเซปต์ “ลัฟ นมโอ๊ต รักอร่อยต้องลัฟโอ๊ต” ที่ได้ประโยชน์จากข้าวโอ๊ตคุณภาพระดับพรีเมียม อัดแน่นไปด้วยวิตามินอี ใยอาหาร และ แคลเซียมสูง มีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ปราศจากแลคโตสและกลูเตน ไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง ตอบโจทย์คนทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งตอนนี้มี 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรไม่เติมน้ำตาล รสชาติละมุนนุ่มลิ้น  และรสช็อกโกแลต รสชาติเข้มข้น หอมมันกลมกล่อม

ภายในงานได้มีการรังสรรค์เมนู Luv Oat Milk Signature Drink by Ling Ling โดยมี “หลิงหลิง คอง” ร่วมครีเอทเมนูสุดพิเศษนี้ด้วยส่วนผสมของเครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ตแบรนด์ ลัฟ มีชื่อเมนูว่า “Golden Strawberry Choco Luv Oat Milk” พร้อมกันนี้ในงานยังได้พบกับ “อาร์ม กานต์ชนิต สุรินทร์สภานนท์” บาริสต้ามืออาชีพ และ Tiktoker ชื่อดัง ร่วมทำเมนูเครื่องดื่มนี้ด้วย บรรยากาศในงานเปิดตัวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน คึกคัก อบอวลไปด้วยความน่ารักสดใสของน้องลัฟ มีกิจกรรมสุดพิเศษมากมายให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุก อาทิ หุ่นยนต์ถ่ายภาพ, โฟโต้บูธถ่ายภาพ, Luv Café คาเฟ่สุดพิเศษ ที่สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มอร่อยๆ ขึ้นจากน้ำนมข้าวโอ๊ตแบรนด์ ลัฟ นอกจากนี้ เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ตแบรนด์ ลัฟ ยังสามารถนำไปทำเป็นเมนูอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมูทตี้ ขนม คุกกี้ หรืออาหารทั้งคาวและหวาน

“จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเลือกนมทางเลือกแทนนมวัวแบบดั้งเดิมมากขึ้นและกระแสการดูแลสุขภาพที่มาแรง ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคนมจากพืชมากขึ้น เครือเฮอริเทจในฐานะผู้นำในตลาดนมทางเลือก ได้เห็นถึงกระแสของนมโอ๊ตที่มาแรงและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีส่วนแบ่งในตลาดนมทางเลือกถึง 22% ในปีนี้ เราจึงได้ตัดสินใจเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ลัฟ (LUV)”  ด้วยวัตถุดิบข้าวโอ๊ตคุณภาพระดับพรีเมียม ผ่านมาตรฐานการผลิตระดับสากล และได้เปิดตัว “หลิงหลิง คอง” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ของประเทศไทย เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่รักการดูแลตัวเอง ใส่ใจในสุขภาพ และมีไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องกับแบรนด์ โดยมีบทบาทในการสื่อสารและส่งต่อคุณค่าแห่งการมีสุขภาพดีสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก” คุณวศธร พลไพศาล ผู้บริหารเครือเฮอริเทจ กล่าว

การเปิดตัวแบรนด์ "ลัฟ" และการได้ "หลิงหลิง คอง" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันความมุ่งมั่นของเครือเฮอริเทจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่อร่อยและเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว เตรียมพบกับความอร่อยและประโยชน์ของ "ลัฟ" ได้แล้ว วันนี้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ติดตามกิจกรรมและข่าวสารของเครือเฮอริเทจได้ที่ www.facebook.com/Heritagegroupth, www.instagram.com/heritagegroupth และ www.heritagethailand.com

X

Right Click

No right click