

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วาฬนำร่องจำนวน 246 ตัว ถูกต้อนเข้าอ่าวเลย์นาร์ ณ หมู่เกาะแฟโร และถูกรุมฆ่าอย่างทารุณด้วยมีดปลายแหลมที่เรียกว่า “แลนซ์ไนฟ์” จากรายงานของผู้อยู่ในเหตุการณ์ พบว่าเหยื่อที่เป็นแม่วาฬที่กำลังตั้งท้องกว่า 30 ตัว และลูกวาฬเล็กๆ อีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้แน่ชัด องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก (World Animal Protection Denmark) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีของหมู่เกาะแฟโร ยุติการล่าอันโหดร้ายนี้โดยทันที
วาฬฝูงใหญ่แสดงอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรง ถูกเรือติดเครื่องยนต์ไล่ล่าเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะถูกต้อนเข้าสู่น้ำตื้นในอ่าวและถูกลากขึ้นฝั่ง บางตัวถูกเกี่ยวด้วยตะขอโลหะที่แทงเข้าไปในรูหายใจ ซึ่งเป็นบริเวณที่ไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่ง สัตว์ที่มีชีวิตและความรู้สึกมากกว่า 246 ตัว ถูกฆ่าทิ้งในน้ำทะเลซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มนองไปด้วยเลือดที่พุ่งทะลักจากบาดแผลทั่วลำตัววาฬ มีรายงานว่า วาฬหลายตัวตายลงอย่างช้า ๆ ทั้งจากเลือดที่ทะลักไม่หยุด หรือจากการจมน้ำทะเลที่ถูกละเลงไปด้วยเลือด จากภาพวิดีโอของ Sea Shepherd Global เผยให้เห็นว่า ระยะเวลาในการฆ่าแต่ละครั้งอาจใช้เวลานานถึง 30 นาที ท้ายที่สุด ซากวาฬไร้ชีวิตลอยเกลื่อนทั่วอ่าว บาดแผลฉกรรจ์เป็นทางยาวบริเวณลำคอ สร้างความน่าหดหู่ แม่วาฬที่กำลังตั้งท้องหลายตัว รวมถึงลูกวาฬที่ดูเหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ถูกโยนทิ้งลงในถังขยะ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จาก Sea Shepherd ได้ให้ข้อมูลกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สัตว์จากทั่วโลก จนนำไปสู่การร่วมประณามการล่านี้ว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม

กิตเต้ บุคฮาเว (Gitte Buchhave) ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า “มันช่างเหลือเชื่อและน่าสลดใจที่เรายังคงเห็นการฆ่าสัตว์จำนวนมากด้วยวิธีสุดโหดแบบนี้ในยุคปัจจุบัน”
พร้อมกล่าวเสริมว่า “แม้จะอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ก็ไม่มีสิทธิ์ใดจะมาทำลายสัตว์ที่มีชีวิตและความรู้สึกเช่นนี้ วัฒนธรรมไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำอันโหดร้าย” ขณะนี้ องค์กรฯ กำลังยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลหมู่เกาะแฟโรโดยตรง เพื่อขอให้ออกกฎหมายห้ามการล่าโลมาและวาฬนำร่องอย่างเด็ดขาด

กิตเต้ บุคฮาเว กล่าวถึงเป้าหมายว่า “เราได้พยายามพูดคุยกับทางการมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้รัฐบาลแฟโรเลิกยุ่งเกี่ยวกับการล่าสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกับเรามาอย่างยาวนาน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ควรมีที่ยืนในสังคมสมัยใหม่ และแม้แต่ประชาชนชาวแฟโรเองก็เริ่มตั้งคำถามกับประเพณีนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่การฆ่าเหล่านี้ควรถูกเก็บไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ในโลกยุคปัจจุบัน”
ผู้ล่าวาฬมักอ้างว่า “มีดแลนซ์ไนฟ์” สามารถคร่าชีวิตสัตว์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่จากรายงานปี 2023 ชื่อ Unravelling the Truth – Whale Killing on the Faroe Islands กลับพบว่า “มีดเพียงทำให้สัตว์เป็นอัมพาต และตัดเส้นเลือดใหญ่เท่านั้นแต่สัตว์ยังไม่ตายทันที หากยังรู้สึกเจ็บปวด และยังมีสติอยู่ในขณะที่ค่อย ๆ ตายอย่างทุกข์ทรมาน”
โชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายงานรณรงค์ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาพวาฬจำนวนมากถูกไล่ล่าและฆ่าอย่างโหดร้ายสะท้อนให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อชีวิตและความรู้สึกของสัตว์อย่างสิ้นเชิง และสะท้อนถึงแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมมนุษย์ ที่ยังมองสัตว์เป็นเพียงเครื่องมือให้ความบันเทิงหรือผลประโยชน์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจ และสามารถเจ็บปวดหรือทนทุกข์ได้”
“แนวคิดเช่นนี้ จึงทำให้เรายังเห็นโลมาและสัตว์ทะเลหลายชนิดถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในบ่อคอนกรีตแคบ ๆ และถูกฝึกให้แสดงต่อหน้าผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อความสนุกของมนุษย์ ทั้งที่สัตว์เหล่านี้ควรได้ว่ายอิสระในมหาสมุทร เราต้องทบทวนว่าเรากำลังให้คุณค่ากับชีวิตสัตว์แบบใด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด จากการใช้สัตว์เพื่อความบันเทิง มาเป็นการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของพวกเขาในฐานะเพื่อนร่วมโลกอย่างแท้จริง”

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวาฬ
เครดิตภาพถ่าย : Sea Shepherd Global
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรง การให้ความสำคัญกับ "พนักงาน" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสวัสดิการหรือผลตอบแทนเท่านั้น แต่เป็นการสร้าง "คุณค่า" ที่จับต้องได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนขององค์กร ล่าสุด โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงด้านการบริการระดับพรีเมียม ประกาศความร่วมมือกับ BUZZEBEES ผู้นำด้าน Digital Engagement Platform ครบวงจรในประเทศไทย ในการนำแพลตฟอร์ม BEES’ Benefit มาปรับใช้เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพด้านการให้บริการ ด้วยการให้ความสำคัญกับ ‘พนักงาน’ ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจบริการ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับสวัสดิการพนักงาน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้คุณค่ากับคนทำงานอย่างแท้จริง
ด้วยแนวคิด “พนักงานคือหัวใจสำคัญในการรักษาคุณภาพการบริการ” โรงแรมสุโขทัยจึงมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกมิติ ซึ่งย่อมส่งผลต่อประสบการณ์การบริการที่ยอดเยี่ยมของลูกค้า โดย BEES’ Benefit เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กร ผ่านระบบสะสมแต้มจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอบรม การทำงานตรงเวลา พนักงานดีเด่น หรือการให้บริการลูกค้าอย่างโดดเด่น ซึ่งแต้มเหล่านี้สามารถแลกรับของรางวัลได้ตามไลฟ์สไตล์ของพนักงาน ครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหาร เครื่องดื่ม บัตรเติมน้ำมัน ไปจนถึงของใช้ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย

คุณสุรเดช กิจเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับพนักงานมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่า ‘คน’ คือหัวใจของการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ความร่วมมือกับ BUZZEBEES ครั้งนี้ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการสวัสดิการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัยมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถติดตามข้อมูลการมีส่วนร่วมของพนักงานแบบเรียลไทม์ผ่านแดชบอร์ดของ BEES’ Benefit ซึ่งช่วยให้ฝ่าย HR ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับพฤติกรรมและความต้องการของพนักงานได้อย่างแท้จริง”
ด้าน BUZZEBEES ในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม ได้ชูจุดเด่นของ BEES’ Benefit ว่าจุดมุ่งหมายในการออกแบบโซลูชั่นนี้ ไม่ใช่แค่ “ระบบให้รางวัล” แต่เป็น “ระบบจูงใจที่มีเป้าหมาย” ที่ช่วยให้พนักงาน “อยากพัฒนา” ไม่ใช่เพียงรู้สึกว่าต้องพัฒนา ซึ่งเป็นหัวใจของการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานอย่างยั่งยืนในระยะยาว

คุณศิวพร เพ่งผล ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (หรือ BUZZEBEES) กล่าวว่า “BEES’ Benefit ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้าง Engagement ระหว่างองค์กรกับพนักงานในทุกระดับ ซึ่งจากข้อมูลของ BUZZEBEES พบว่าองค์กรที่ใช้แพลตฟอร์มนี้สามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานได้เฉลี่ย 25-35% พร้อมเพิ่ม Employee Engagement สูงขึ้นกว่า 40% ในระยะเวลาไม่ถึงปี ความร่วมมือกับโรงแรมสุโขทัยถือเป็นอีกก้าวสำคัญของธุรกิจบริการยุคใหม่ ที่เห็นคุณค่าในศักยภาพของคนเพิ่มขึ้น”
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มแลกรางวัล BEES’ Benefit ยังได้รับการยอมรับในระดับอุตสาหกรรม โดยได้รับรางวัลจากเวที Human Resource Excellence Awards 2023 ในประเภท Excellence in The Use of HR Tech และ Excellence in Employee Engagement ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพของโซลูชันนี้ในการเสริมสร้างความผูกพัน และสร้างพลังขับเคลื่อนให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร
ความร่วมมือระหว่างโรงแรมสุโขทัยและ BUZZEBEES จึงเป็นการสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ “คนทำงาน” ในฐานะกลไกสำคัญของการสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน
เช้าที่สดใสในหน้าฝนบริเวณบ้านไร่ลุงคริส เสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มจากเด็กๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ บ้างจับกลุ่มปีนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มเงาอย่างสนุกสนาน บ้างไกวชิงช้า บ้างวิ่งเล่นไปตามทุ่งหญ้าสูงต่ำลาดชัน สะท้อนความสุขจากการได้สัมผัสธรรมชาติรอบตัว ด้วยเพราะเป็นพื้นที่ล้อมรอบด้วยภูเขาอุทยานแห่งชาติสามหลั่น จ.สระบุรี ที่มีทั้งป่า เขา อ่างเก็บน้ำ ทุ่งนาและแมลงมากมาย จึงเหมาะกับการเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศน์ และเป็นที่มาของโครงการ Little Heart Care & Learn with Nature ของกรุงเทพประกันชีวิต ที่จัดขึ้นเพื่อชักชวนลูกค้าพร้อมสมาชิกตัวน้อยให้มาร่วมกิจกรรมการปลูกฝังให้รัก เห็นคุณค่าและใส่ใจในธรรมชาติ พร้อมสร้างความผูกพันในครอบครัวผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน

อรนาฎ นชะพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ในการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ ที่ให้ความสำคัญกับความใส่ใจในทุกมิติ โดยเฉพาะในส่วนของลูกค้า เราเห็นคุณค่าของคำว่า “ครอบครัว” ที่เป็นหน่วยเล็ก ๆ ในสังคม จึงส่งมอบความอุ่นใจ ความสบายใจ และความสุข ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ สร้างความมั่นคงทางใจให้กับเด็กและเป็นรากฐานของสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยังร่วมกันส่งต่อความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ผ่านการเรียนรู้ให้กับหัวใจดวงน้อยของเด็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

“โครงการ Little Heart Care & Learn with Nature” ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากการลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน BLA Happy Life Application โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 วัน ๆ ละ 40 ครอบครัว ซึ่งแต่ละวันมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 120 คน สะท้อนถึงความใส่ใจของคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกใช้เวลาไปกับลูกในกิจกรรมเล็กๆ เพื่อการเรียนรู้ธรรมชาติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ฐาน ภายใต้การดูแลโดยคุณครูและวิทยากรผู้มีประสบการณ์การสอนเด็กในรูปแบบบูรณาการ เพื่อให้ความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และธรรมชาติ ซึ่งเริ่มต้นช่วงเช้าด้วย ฐานที่ 1 “ใส่ใจแมลงเพื่อนรัก” ที่ให้น้อง ๆ ได้จับแมลงเพื่อทำความคุ้นเคยกับแมลงชนิดต่างๆ ในธรรมชาติ รวมทั้งเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงและการป้องกันตนเองหากเจอแมลงที่อาจมีพิษ ฐานที่ 2 “สังเกต ใส่ใจ บันทึกไว้ในความทรงจำ” โดยการนำแมลงที่จับได้มาดูอย่างใกล้ชิด ฝึกสังเกตและวาดภาพแมลงที่เห็นตามสัดส่วนจริง ช่วยให้เข้าใจและจดจำลักษณะแมลงแต่ละชนิดได้ดีขึ้น

สำหรับช่วงบ่าย เริ่มต้นด้วย ฐานที่ 3 “มัดย้อม ใส่ใจ สีสันจากธรรมชาติ” โดยนำสีจากธรรมชาติมาสร้างสรรค์ลวดลายลงบนผืนผ้า ฝึกการคิด สังเกตและสร้างจินตนาการ ฐานที่ 4 “ปั้นด้วยใจ ใส่ใจ ทุกก้อนดิน” อีกหนึ่งช่วงเวลาคุณภาพ ความสุข ความอบอุ่นในครอบครัว ทุกคนร่วมกันสร้างชิ้นงานจากดินเหนียว ช่วยกันลงสี สร้างพัฒนาการการใช้นิ้วมือ การสัมผัส สร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการ และปิดท้าย ฐานที่ 5 “พายไปด้วยกัน ใส่ใจ ไปพร้อมกัน” กิจกรรมว่ายน้ำและพายเรือแพในบ่อน้ำธรรมชาติ ให้เด็กๆ เรียนรู้ในการคอยช่วยเหลือดูแลกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งไม้พาย ช่วยประคองเรือ หรือกระโดดเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

“ทุกๆ กิจกรรมในโครงการ Little Heart Care & Learn with Nature ช่วยสร้างโอกาสในการสื่อสาร พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคุณพ่อ คุณแม่และน้อง ๆ ทุกคนได้ร่วมกันวางแผน ลงมือทำ เรียนรู้ความอดทน พร้อมนำผลงานจากการสร้างสรรค์ภายในครอบครัวกลับบ้านด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเราได้ยินเสียงหัวเราะและมองเห็นความสัมพันธ์อันน่ารักภายในครอบครัว จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่พวกเราทีมงานกรุงเทพประกันชีวิต รู้สึกประทับใจและดีใจที่ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเพื่อร่วมกันสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืน เป็นความใส่ใจที่เรามอบให้ และอยากให้ลูกค้าได้ติดตามสิทธิประโยชน์และกิจกรรมดีๆ ที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสถึงความห่วงใยและความตั้งใจของเราที่พร้อมดูแลและสนับสนุนทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ แอปพลิเคชัน BLA Happy Life ของเราค่ะ” อรนาฎกล่าวทิ้งท้าย
เตรียมพบกับสุดยอดนวัตกรรมจากผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025 งานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก ที่จุดประกายไอเดียและเชื่อมต่อธุรกิจความงามนานาชาติ โดย วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล ขนทัพสุดยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากประเทศเยอรมนี ที่ผลิตภายใต้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย จากโรงงานผู้ผลิตระดับเวิลด์คลาสที่เปิดดำเนินกิจการมายาวนานกว่า 50 ปี เพื่อมาสร้างจุดแข็งที่แตกต่างให้กับนักธุรกิจที่ต้องการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เติบโตอย่างยั่งยืนในตลาด และพร้อมตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายได้อย่าง “ตรงโจทย์”
พร้อมไฮไลท์เด็ดอย่าง “นวัตกรรมเม็ดฟู่” ที่ผลิตจากประเทศเยอรมนี ซึ่งคว้ารางวัล "สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2568" PRODUCT INNOVATION AWARDS 2025 พร้อมอัปเดตเทรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากตลาดในฝั่งยุโรปและประเทศเยอรมนีที่มีความเชี่ยวชาญและโดดเด่นในศาสตร์ Anti-Aging เพื่อนำมาต่อยอดและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “แบรนด์ไทยสัญชาติเยอรมัน” ที่มีจุดขายที่แข็งแรง นอกจากนี้ ร่วมลิ้มรสเครื่องดื่มเมนูพิเศษจากทีม Labtender ที่ต่อยอดความอร่อยสดชื่นจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเม็ดฟู่สูตรพิเศษ ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยทีม R&D จากเยอรมนีผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไทยด้วยมาตรฐานเยอรมันกับ วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล ในงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025 ระหว่างวันที่ 25 - 27 มิถุนายน 2568 ที่บูธ Z45 ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ฟรี!
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษดูหนังสุดคุ้มทุกวัน เพื่อเอาใจคอหนัง เพียงซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านบัตรเครดิต ttb บัตรเครดิต ttb Global House และบัตรเครดิต ttb Disney 1 ที่นั่ง รับฟรี 1 ที่นั่ง (สำหรับที่นั่งปกติ) จำกัด 2 สิทธิ์ / หมายเลขบัตร / เดือน ณ โรงภาพยนตร์ในเครือ Major Cineplex ทุกสาขา โดยสิทธิพิเศษนี้สำหรับการซื้อบัตรผ่านช่องทางเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ Express Ticket เท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชัน ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/major-apr25
ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิตใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต
บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) บริษัทเงินร่วมทุนของธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) และสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute หรือ GGGI) เปิดตัวคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Climate Tech Startup Guide) ฉบับแรกของประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญ ตั้งแต่แหล่งเงินทุน นวัตกรรม การกำกับดูแลด้านนโยบาย กฎหมาย รวมทั้งข้อเสนอแนะด้านการนำ Climate Tech มาใช้สนับสนุนผู้ประกอบการและนักลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ท่ามกลางตลาดธุรกิจสีเขียวโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 280 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายวรพจน์ กิ่งแก้วก้านทอง Investment Head ของ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายหลากหลายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ การขับเคลื่อนเพื่อบรรเทาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech จึงเข้ามามีบทบาทในการพัฒนานวัตกรรมที่มีส่วนช่วยให้ประเทศเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ Net Zero ที่วางไว้ โดยบีคอน วีซี ได้ส่งเสริมการด้านเงินทุนผ่าน Beacon Impact Fund นอกจากนี้ เพื่อสร้างพื้นฐานและพัฒนาระบบนิเวศ Climate Tech ไทยให้แข็งแกร่งขึ้น บีคอน วีซี จึงได้ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก เปิดตัวคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Climate Tech Startup Guide) ฉบับแรกของประเทศ ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบายในการใช้ประโยชน์จาก Climate Tech อย่างเต็มศักยภาพ โดยมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจพร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เนื้อหาในคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่นี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วน แนวทางปฏิบัติที่ใช้ได้จริง และกรณีศึกษาที่ช่วยสตาร์ทอัพวางแผนธุรกิจและขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมประเด็นสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech ตั้งแต่แหล่งเงินทุน นวัตกรรม การกำกับดูแลด้านนโยบาย รวมถึงข้อเสนอแนะเพื่อให้ประเทศไทยสามารถนำ Climate Tech มาใช้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อเสนอแนะการออกกฎหมายนโยบายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้พัฒนาเทคโนโลยี ด้วยความมุ่งหมายให้คู่มือนี้เป็นจุดเริ่มต้นการวางรากฐานที่ดีสำหรับผู้เกี่ยวข้องกับ Climate Tech ทุกภาคส่วน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือผลักดันการพัฒนาที่จำเป็น เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

นายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในการจัดทำคู่มือคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศครั้งนี้ ตอกย้ำความสำคัญที่ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยนโยบายอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนด้วย ผู้ประกอบการด้าน Climate Tech ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปจนถึงการช่วยชุมชนปรับตัวรับมือกับผลกระทบ แม้รัฐบาลจะมีนโยบายและสิทธิประโยชน์สนับสนุนการพัฒนา Climate Tech แต่ภาคธุรกิจยังเผชิญความท้าทายสำคัญ ได้แก่ กฎระเบียบที่ซับซ้อน การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคในการปลดล็อกศักยภาพของภาค Climate Tech จึงจำเป็นต้องสร้างกรอบนโยบายที่ยืดหยุ่นแต่มั่นคงเพื่อรองรับนวัตกรรมใหม่ที่กฎหมายเก่าไม่สามารถตอบสนองได้ และสร้างช่องทางสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยตรงมากขึ้น

นายศานติ์กร ภักดีเศรษฐกุล เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านยุทธศาสตร์การลงทุนสีเขียว สถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute หรือ GGGI) เปิดเผยว่า ตลาดธุรกิจสีเขียวทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 280 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2593 ขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความชัดเจนในเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเปิดโอกาสการลงทุนในสาขาใหม่ เช่น พลังงานสะอาด เกษตรกรรมยั่งยืน การจัดการขยะ และรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การจัดทำคู่มือคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศจึงมุ่งส่งเสริม Climate Tech ให้สามารถตอบรับกับโอกาสที่เกิดขึ้นได้ หากเราสามารถลดข้อจำกัดต่างๆ และเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศให้ครบวงจร ประเทศไทยก็มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคนี้ได้อย่างแน่นอน

นายวรพจน์ กล่าวตอนท้ายว่า แม้วงการสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech ในประเทศไทยจะยังเผชิญความท้าทายหลากหลาย แต่โอกาสในการพัฒนาธุรกิจด้านนี้ก็มีมาก เมื่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคส่วนต่างๆ เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ Climate Tech มากขึ้น ซึ่งเป็นตัวจุดประกายความร่วมมือในการสร้างนวัตกรรมเพื่อลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คู่มือฉบับนี้โดยคู่มือยังเจาะลึกถึงกลุ่มเทคโนโลยีเฉพาะทางของ Climate Tech ที่มีโอกาสเติบโตสูงในไทย รวมทั้งชวนทุกภาคส่วนมองไปข้างหน้าถึงสาขาที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญทั้งในระดับประเทศและภูมิภาคอาเซียน ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด Thailand Climate Tech Startup Guide ฟรี ภาษาไทยที่ https://www.dcce.go.th/media/6757/ และภาษาอังกฤษที่ https://www.dcce.go.th/media/6762/
กสิกรไทย ส่งกองทุน K-CHINNO25A-UI สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ คว้าโอกาสทำกำไรในตลาด Private Equity ของจีน โดยผสานความเชี่ยวชาญผู้จัดการกองทุนหลักจากกสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ และที่ปรึกษาการลงทุน Stepstone Group (China) นำผู้ลงทุนเข้าถึงบริษัทนอกตลาดของจีนได้อย่างมั่นใจ เปิดเสนอขายครั้งเดียว 18-30 มิถุนายนนี้ เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในยุคที่จีนกำลังเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตสู่ผู้นำนวัตกรรม การถูกกีดกันจากเทคโนโลยีตะวันตกกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างจริงจัง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดโอกาสการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ อย่างธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) พลังงานสะอาด (Energy Transition) เทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีสุขภาพ (Biotech & Health Tech) อย่างไรก็ดี แม้ตลาดจีนยังมีความผันผวน แต่ตลาด Private Equity ของจีนยังมีความน่าสนใจ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง กสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ “KVPE” ซึ่งถือเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทยรายแรกและรายเดียวที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งกองทุนหุ้นนอกตลาด หรือ Private Equity ในจีนอย่างเป็นทางการ พร้อมสิทธิ์ในการนำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดจีนโดยตรง และพันธมิตรระดับโลก Stepstone Group (China) “Stepstone” ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน Private Equity ระดับโลกซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดจีนกว่า 15 ปี และบลจ.กสิกรไทย “KAsset” เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนคว้าโอกาสทำกำไรในตลาด Private Equity ของจีนผ่านกองทุนเปิดเค China Innovation PE 25A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ K-CHINNO25A-UI ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับผู้ลงทุนไทย พร้อมกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลากหลายบริษัทและอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งในอนาคต
นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวเสริมว่า กองทุน K-CHINNO25A-UI กำหนดเปิดเสนอขายครั้งเดียว ในระหว่างวันที่ 18-30 มิถุนายน 2568 เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Kasikorn Vision Private Fund I (Shanghai) Limited Partnership ที่เน้นลงทุนใน 3 ด้าน คือ
ทั้งนี้ ความน่าสนใจของกองทุน K-CHINNO25A-UI อยู่ที่การผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนหลักจาก KVPE และที่ปรึกษาการลงทุน Stepstone ซึ่งมีความเข้าใจตลาดเชิงลึก มีกระบวนการลงทุนตามมาตรฐานระดับโลก และเครือข่ายที่กว้างขวาง สามารถนำผู้ลงทุนเข้าถึงบริษัทนอกตลาดของจีนได้อย่างมั่นใจ โดยกองทุนจะเรียกเก็บเงินลงทุนครั้งเดียว (Single Call) และกองทุนมีอายุประมาณ 8 ปี 2 เดือน
ตลาด Private Equity ในจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มจาก 8.7 ล้านล้านหยวนในปี 2018 เป็น 14.4 ล้านล้านหยวนในปี 2567 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและศักยภาพของตลาดนี้ โดยกองทุน K-CHINNO25A-UI ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสในการลงทุน แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงระบบนิเวศทางการเงินของไทยเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ การเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนในตลาดรองถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งในแง่ของราคาที่ย่อมเยาและคุณภาพของสินทรัพย์ที่น่าสนใจ อีกทั้งจีนยังได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาเทคโนโลยี โดยเน้นการส่งเสริมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) มีการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้ครบครัน ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และมีการอัดฉีดเงินลงทุนจากภาครัฐในเทคโนโลยีขึ้นแนวหน้า (Frontier Technologies) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เห็นว่าตลาด Private Equity ของจีนยังมีความน่าสนใจอยู่มาก
กองทุน K-CHINNO25A-UI เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่สามารถถือครองได้เป็นเวลาประมาณ 8 ปี 2 เดือน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และบลจ.กสิกรไทย โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ได้รับการจัดอันดับจากสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็นหนึ่งใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ ESG100 ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากการคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 921 แห่ง
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวว่า “การได้รับรางวัล ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แสดงถึงความตั้งใจจริงของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนด้วย ESG in Process อย่างแท้จริง ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลอย่างสมดุลเราเชื่อมั่นว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ เมื่อดำเนินการควบคู่กับความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการ“เป็นองค์กรหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”
รางวัล ESG100 ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลสำคัญที่สะท้อนถึงความสามารถในการรักษามาตรฐานการดำเนินงาน และความพร้อมในการยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่มองหาองค์กรที่ให้ความสำคัญกับทั้งผลการดำเนินงานทางการเงินและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
บมจ.กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ได้ร่วมเป็นวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ภายใต้หัวข้อ EMERGING RISKS & RISK MITIGATIONSTRATEGIES ในงาน “โครงการพัฒนาบุคลากรประกันชีวิตนานาชาติ ASEAN Life Insurance Leadership Program (ALIP)ประจำปี 2568” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง กองทุนประกันชีวิต และสมาคมประกันชีวิตไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในธุรกิจประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภายใต้ภาวการณ์ต่าง ๆ อาทิ ความไม่แน่นอนของภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคอุบัติใหม่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ย โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง สังคมผู้สูงวัยแบบ Super-Aged Society พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง อัตราค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น การเปิดเสรีของธุรกิจประกันชีวิต กระแสการประกอบธุรกิจแบบยั่งยืนที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล (Environment Social and Governance: ESG) ตลอดจนมาตรฐานสากล หลักเกณฑ์ใหม่ๆ ความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
โดยภายในงานมีผู้บริหารระดับสูงจากสมาคมประกันชีวิตไทย ผู้แทนจากหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ภาคธุรกิจประกันชีวิต สมาคมวิชาชีพ และผู้แทนจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากประเทศไทยและจากประเทศในภูมิภาคอาเซียน ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ยกระดับศักยภาพ และร่วมกันออกแบบอนาคตของระบบประกันชีวิตในระดับภูมิภาค