

สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ผนึกกำลัง สถาบันอาหาร สถาบันรับรอง มาตรฐาน ISO เปิดมิติใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไทย ด้วยการเปิดตัวโครงการ "พัฒนา แนวทางการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อลดปัญหาอ้อยไฟไหม้ และฝุ่น PM 2.5" ณ ห้องคริสตัล 1-2 ชั้น 3 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 โดยมีเป้าหมายผลักดัน "น้ำตาลไร้ฝุ่น" ด้วยตราสัญลักษณ์ "Sugar Ecolabel" หวังตอบโจทย์เทรนด์โลกสีเขียว และสร้างความได้เปรียบทางการค้าในตลาดสากล

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้กล่าวเปิดโครงการ และ ฉายภาพความท้าทายของอุตสาหกรรมน้ำตาลโลกที่กำลังก้าวจากการเป็นเพียง "สินค้าโภคภัณฑ์" สู่ "สินค้ำ แห่งความยั่งยืน" พร้อมระบุว่า "หลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรปได้ใช้มาตรการ Green Trade Barriers ที่เข้มข้นขี้น โดยเฉพาะการเรียกร้องข้อมูล Carbon Footprint และการรับรอง Ecolabel รวมถึงการห้ามเผา อ้อย บราซิลเองก็ประสบความสำเร็จในการยุติการเผาอ้อยเกือบทั้งหมดตั้งแต่ปี 2560 จีนก็ตั้งเป้าลดการเผา อ้อย 50% ภายในปี 2573 โครงการ Sugar Ecolabel ของเราจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างกลไก Market Pull ที่ผู้บริโภคจะเป็นผู้ขับเคลื่อนให้เกิดการผลิตที่ยั่งยืน คล้ายกับความสำเร็จของฉลากเบอร์ 5 ที่ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน"
ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมเน้นย้ำถึงพลังแห่ง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

ภายในงานมีกิจกรรมเสวนาหัวข้อ "Zero Burn – Zero Barrier: เส้นทางอุตสาหกรรมอ้อยสู่โลกสีเขียว" ได้รับ ความสนใจอย่างมาก โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ นายคมกริช นาคะลักษณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน จาก บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติ ในการลดการเผาอ้อย และการนำเทคโนโลยี Smart Farming มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ อ้อยและน้ำตาล ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร และนายธวัช หะหมาน ผู้อำนวยการกอง ยุทธศาสตร์และแผนงาน สอน. ได้ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์อ้อยและน้ำตาลผ่าน มาตรฐาน Ecolabel และ Carbon Credit ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อมุ่งสู่ Bio Economy ที่ยั่งยืน

โครงการ "Sugar Ecolabel" มุ่งมั่นที่จะสร้าง "น้ำตาลไร้ฝุ่น" พร้อม Sugar Ecolabel เพื่อให้อุตสาหกรรมไทย สามารถหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมและเข้าถึงตลาดสีเขียวที่มีมูลค่าสูงขึ้น มีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนากลไกขับเคลื่อนการผลิตอ้อยและน้ำตาลอย่างยั่งยืน จัดทำข้อเสนอแนวทาง รับรองพร้อมตราสัญลักษณ์ "Sugar Ecolabel - PM Free" และโรงงานต้นแบบ 5 แห่งที่เข้าร่วมกระบวนการ การประเมินความพร้อม รวมถึงแนวทำงจัดการอุตสาหกรรมน้ำตาลอย่างยั่งยืน และกิจกรรมสร้างการรับรู้แก่ ผู้บริโภคให้เป็นกลไกสนับสนุนการเลือกบริโภคน้ำตาลที่ผลิตภายใต้กระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลต่อทั้งผู้บริโภค เกษตรกรชาวไร่อ้อย และผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาล นำไปสู่ อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย เดินหน้า “โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก” ตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” มุ่งหวังยกระดับร้านอาหารท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่น และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างให้เกิดเครือข่ายเชฟชุมชนที่เข้มแข็งและเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

นายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ด้วยการประกาศใช้ “ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” เป็นนโยบายระดับชาติ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนวัฒนธรรมไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ขับเคลื่อนผ่านกลไก One Family One Soft Power (OFOS) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนในทุกครัวเรือนสามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วของตนเอง มาสร้างมูลค่า เพิ่มรายได้ และต่อยอดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ สามารถเชื่อมโยงกับตลาดในประเทศและต่างประเทศได้ หนึ่งในตัวอย่างของการขับเคลื่อนที่เห็นผลชัดเจนคือการส่งเสริม ซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในมิติที่มีศักยภาพสูงสุดของประเทศไทย เป็นจุดแข็งระดับโลก อาหารไทยไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมทั่วโลกในแง่รสชาติ แต่ยังเป็นสื่อกลางสำคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรม เรื่องเล่า วิถีชีวิต ความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่ฝังอยู่ในอาหารทุกจานอย่างชัดเจน ดังนั้น กิจกรรมพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นอาหารไทย ในภูมิภาคต่าง ๆ จึงสะท้อนภาพการนำนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ใช้วัฒนธรรมที่เรามีอยู่แล้วในพื้นที่ มาสร้างสรรค์ให้ทันสมัย โดยสร้างพื้นที่ให้เชฟท้องถิ่นและผู้ประกอบการชุมชนได้แสดงศักยภาพ ถ่ายทอดภูมิปัญญา และพัฒนาเมนูพื้นถิ่น ให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างมั่นคง และกลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

นายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบายการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Soft Power) โดยร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ดำเนินโครงการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สาขาอาหาร 2 โครงการ ได้แก่
สำหรับการดำเนินงานขับเคลื่อนและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อุตสาหกรรมอาหารทั้ง 2 โครงการนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้นำกลไกของซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าที่โดดเด่น แตกต่าง และตอบโจทย์ตลาด ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ 4 ให้ ได้แก่ 1. ให้ทักษะใหม่ : ผ่านการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ พัฒนาเป็นอาชีพและต่อยอดสู่ธุรกิจ 2. ให้เครื่องมือทันสมัย : เสริมศักยภาพด้วยเครื่องมือที่จะช่วยในการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าสินค้า 3. ให้โอกาสโตไกล : เข้าถึงตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย และการเข้าถึงแหล่งทุน และ 4. ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ เป็นส่วนของการดำเนินโครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายสำคัญที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี ทั้งในด้านการประกอบอาหารไทย และ Fine Dining มีห้องปฏิบัติการครัวมาตรฐาน ที่สามารถรองรับผู้เข้าอบรมและสามารถจัดการอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับเชฟชุมชนให้มีความสามารถในการนำเสนออาหารถิ่นในรูปแบบร่วมสมัย โดยดีพร้อมมุ่งหวังให้มีการยกระดับร้านอาหารท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่น และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างให้เกิดเครือข่ายเชฟชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

ด้าน รศ. ดร. อนินท์ มีมนต์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในฐานะ ผู้อำนวยการกิจกรรมพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นอาหารไทยภาคกลางและภาคตะวันออก กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพของร้านอาหารชุมชนและเชฟท้องถิ่น ให้สามารถนำเสนออาหาร ถิ่นไทยอย่างมืออาชีพ ด้วยมาตรฐานการบริการที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดสากล มีเป้าหมายในการยกระดับร้านอาหารชุมชนให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว เกิดการจ้างงาน และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และการปูพื้นฐานให้ชุมชนก้าวสู่การเป็น “1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์” หรือ One Family One Soft Power ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรม ได้แก่ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเชฟชุมชนจำนวนไม่น้อยกว่า 120 คน จำนวนไม่น้อยกว่า 30 กลุ่ม การพัฒนาเมนูอาหารถิ่นยอดนิยมให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งด้านรสชาติ รูปลักษณ์ และการสื่อสารเรื่องราว การให้คำปรึกษาเชิงลึกและการเชื่อมโยงมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารแก่ผู้ประกอบการ และคาดหวังว่า ร้อยละ 80 ของผู้เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์อาหารของตนเอง เกิดการกระจายรายได้และการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดการเชื่อมโยงร้านอาหารชุมชนกับสื่อออนไลน์ โดยอาศัย Food Blogger และ Influencer ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 80,000 คน เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
โดยพื้นที่เป้าหมายของโครงการ จะครอบคลุมพื้นที่ 22 จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ซึ่งล้วนมีมรดกอาหารท้องถิ่นอันทรงคุณค่าที่พร้อมจะถูกต่อยอดสู่ตลาดสากล
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยตัวเลขความก้าวหน้าบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ในการสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินแก่คนไทยกลุ่ม Unserved – Underserved ที่ยังมีการพึ่งพาแหล่งเงินนอกระบบด้วยมีข้อจำกัดด้านประวัติการเงินส่วนบุคคล และการให้สินเชื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่กลุ่มเปราะบาง โดยคาดว่าภายในปี 2568 ธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ได้กว่า 1 ล้านรายตามเป้าหมาย รวมถึงความสำเร็จด้านการแก้หนี้ที่คาดว่าจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารริเริ่มดำเนินการ และที่เป็นมาตรการตามนโยบายรัฐบาล รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 920,000 บัญชีลูกหนี้
สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมของธนาคาร ที่ช่วยสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1) สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สำหรับผู้ไม่มีประวัติเครดิตการเงิน อนุมัติแล้ว 150,000 ราย 2) สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ อนุมัติแล้ว 240,000 ราย 3) สินเชื่อต้อนรับเปิดเทอม อนุมัติแล้ว 110,000 ราย รวมถึงการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย/ฐานราก ได้แก่ สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ อนุมัติแล้ว 120,000 ราย รวมจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อแล้วทั้งสิ้น 620,000 ราย (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568) ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านราย ภายในปี 2568 นี้
ด้านภารกิจการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ โครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งธนาคารเป็นผู้มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนตามนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย/SMEs ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางของสถาบันการเงินของรัฐ และลูกหนี้กลุ่ม Non-Bank โดยสามารถช่วยเหลือลูกหนี้แล้วกว่า 190,000 ราย จำนวน 300,000 บัญชีลูกหนี้ คิดเป็น 33% ของผู้ลงทะเบียนที่เป็นลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันทั้งระบบ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ธนาคารดำเนินการต่อเนื่อง อาทิ การลดเงินงวด-ขยายระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้สถานะปกติ / การลดเงินงวด-ลดดอกเบี้ย-ขยายระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้สถานะ NPLs / การบรรเทาภาระหนี้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว รวมช่วยเหลือบรรเทาภาระลูกหนี้แล้ว จำนวนกว่า 119,000 บัญชี ทั้งนี้ ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยทำโครงการแก้หนี้ NPLs วงเงินต่ำกว่า 1 แสนบาท ประกอบด้วยการยกหนี้ให้ลูกหนี้สินเชื่อสู้ภัยโควิด และการปิดบัญชีตัดหนี้สูญ (Write Off) รวมจำนวนกว่า 500,000 บัญชี ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและลดภาระหนี้แก่ลูกหนี้รวมทุกมาตรการได้กว่า 920,000 บัญชี
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อสร้างผลลัพธ์ขยายผลการสร้าง Social Impact ในวงกว้างและหลากหลายมิติทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำด้านบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ Green Insurer ร่วมกับ มูลนิธิ ลากูน่า ภูเก็ต และศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน สานต่อนโยบายด้าน Climate Change & Biodiversity หรือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายด้านชีวภาพ ในกิจกรรม “Save Our Sea ปีที่ 3” ณ อังสนา ลากูน่า จ.ภูเก็ต

คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต กล่าวว่า “กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นองค์กรที่มุ่งมั่น และให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในด้าน Climate Change & Biodiversity ผ่านการช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์ และสิ่งแวดล้อมทะเลของประเทศไทย รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อน ส่งเสริม และกระตุ้นการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ และรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล นอกจากนี้ กลุ่มแอกซ่ายังยกประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เป็น 1 ใน 5 กลยุทธ์หลักขององค์กร ในขณะที่ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต มุ่งเน้นเรื่องดังกล่าวเป็นนโยบาย และเป็นกลยุทธ์หลักของการดำเนินงานด้านการช่วยเหลือสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินงานผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในทุกๆ โครงการของเรา จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แก่องค์กรต่างๆ และประชาชนให้เห็นความสำคัญกับการอนุรักษ์ และรักษาธรรมชาติ ผ่านการลงมือทำร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ให้สมกับคำว่า เคียงข้าง คุ้มครอง พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อคงไว้ให้แก่ลูกหลานของเราในอนาคต”

คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด กล่าวเสริม “โครงการ Save Our Sea ปีที่ 3 ถือเป็นโครงการระยะยาวซึ่งเป็นการร่วมมือกันของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะ Green Insurer มูลนิธิ ลากูน่า ภูเก็ต และศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน โดยในปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินโครงการในการช่วยสนับสนุนการปรับปรุง และซ่อมบำรุงบ่ออนุบาลเต่าทะเล ณ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน เพื่ออนุบาลเต่าทะเลในประเทศไทย รวมถึงเต่ามะเฟืองที่เป็นเต่าใกล้สูญพันธุ์ โดยศูนย์วิจัยดังกล่าวถือเป็น 1 ใน 5 ประเทศทั่วโลก ที่สามารถอนุบาลเต่ามะเฟืองได้ และในปี 2568 นี้ ทางบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสานต่อกิจกรรม Save Our Sea อย่างต่อเนื่อง เราได้ร่วมปล่อยลูกเต่าตนุ และปลาฉลามกบกลับสู่ท้องทะเล เก็บขยะรอบชายหาด ซึ่งขยะที่คัดแยกได้ทำการส่งมอบ เพื่อทำเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนเรื่องประเภทของขยะให้แก่โรงเรียนอนุบาล ลากูน่า ภูเก็ต และการจัดทำบ้านปลา ร่วมกับชุมชนบ้านบางโรง จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำนานาชนิด อาทิ ปลาทะเล และปลาหมึก เพื่อสร้างความสมดุลให้ท้องทะเลอันดามันอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้น กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และพันธมิตรยังมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ที่มุ่งมั่นใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์ และสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศไทย อีกทั้งร่วมส่งเสริม และกระตุ้นการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการใส่ใจสิ่งแวดล้อมทางทะเล หรือ Climate Change & Biodiversity ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่น อยู่เคียงข้าง คุ้มครอง พร้อมใส่ใจ สิ่งแวดล้อม
SCGP สร้างความเชื่อมั่นด้านความยั่งยืนระดับโลก ติดอันดับ Top 1% ของ S&P Global ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 พร้อมเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมผลักดันและเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ชูแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ตลอดโซ่ห่วงคุณค่า บนเวทีด้านความยั่งยืน “EARTH JUMP 2025: TRANSITION THRU TURBULENCE”

คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นและความร่วมมือกันของทุกฝ่ายในการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนและ Net Zero และรวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร และมีความพร้อมในการตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม โดย SCGP ยังคงเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรส่งต่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด SCGP ได้ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโลกร้อน เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง ในงานฟอรั่มด้านความยั่งยืน “EARTH JUMP 2025: TRANSITION THRU TURBULENCE” บนเวทีเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจหมุนเวียน เทรนด์ใหม่ เพื่อทางรอดของภาคธุรกิจ”

“เศรษฐกิจหมุนเวียนทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นทางรอดธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่ง SCGP มีแนวทางดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการนำเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับเป็นยุทธศาสตร์องค์กร 5 ด้าน ได้แก่ Resource Recovery นำวัสดุใช้แล้วกลับเข้ามาใช้ใหม่ โดย SCGP ใช้กระดาษที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลเกินร้อยละ 99 เพื่อเป็นวัตถุดิบ Circular Supplies ใช้พลังงานหมุนเวียนและปลูกป่าไม้ ดูดซับคาร์บอนได้กว่า 300,000 ตันในปีที่ผ่านมา และ Product Life Extension การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์เพื่อลดการใช้ทรัพยากร ทั้ง 3 ด้านนี้นำพาให้ SCGP เติบโตอย่างมีศักยภาพพร้อมต่อยอดอีก 2 ด้าน เสริมความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในอนาคต ได้แก่ Product as a Service เปลี่ยนสินค้าเป็นบริการแบบครบวงจร เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่า และ Sharing Platform ร่วมมือพันธมิตรใช้สินทรัพย์ร่วมกัน เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่าสูงสุด”
“การมองเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตมากกว่าเป็นต้นทุน จะสามารถพลิกเป็นโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ พร้อมกับต้องแสวงหาพันธมิตรควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (ecosystem) และผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ซึ่ง SCGP ดำเนินการร่วมกับทั้งพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 120 ราย และจับมือกับชุมชน ส่งเสริมความรู้การจัดการขยะและการนำกลับมาใช้ใหม่ พัฒนาเป็นโครงการชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ จนทำให้ 4 ชุมชนคว้ารางวัลระดับประเทศ ควบคู่กัน SCGP ยังลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีดจากกระดาษ และบรรจุภัณฑ์อาหารจากเยื่อยูคาลิปตัสที่นำไปรีไซเคิลได้และย่อยสลายได้ใน 60 วันหลังการกำจัดทิ้ง” คุณวิชาญ กล่าว

ในฟอรั่ม EARTH JUMP 2025 มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งด้านการจัดการขยะ การขยายความร่วมมือ และการสร้างเครือข่ายพันธมิตร เพื่อผลักดันความยั่งยืนทางธุรกิจ และส่งต่อประโยชน์สู่สังคม นับเป็นอีกหนึ่งฟอรั่มที่สำคัญในการแบ่งปันแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่ภาคธุรกิจและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สู่ความยั่งยืนในระดับโลกไปด้วยกัน
กสิกรไทยร่วมมือกับไทยแอร์เอเชีย ทำสัญญาบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกเป็นครั้งแรกของธุรกิจสายการบินในประเทศไทย โดยอ้างอิงโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) ที่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นกลไกที่จะช่วยให้เกิดการมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ โดยธนาคารจะมอบอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษให้กับบริษัทหลังจากได้รับใบประกาศเกียรติคุณของโครงการ LESS ตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งความร่วมมือนี้ตอกย้ำบทบาทของเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย (Thailand Climate Business Network: ThaiCBN) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ร่วมกับองค์กรชั้นนำระดับประเทศและนานาชาติอีก 23 แห่ง เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน

นายไพรัชล์ พรพัฒนนางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นในการใช้มาตรฐานความยั่งยืนธุรกิจ หรือ ESG สร้างการเติบโตควบคู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนโยบายลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สู่การเป็นองค์กร Net Zero จึงตั้งเป้าหมายในนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม ให้มีความเข้มข้นต่อเนื่องขึ้นในทุกปีเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยบริษัทดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นสิ่งช่วยยืนยันว่ากิจกรรมที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมผ่านการดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัทเป็นที่ยอมรับ จึงเป็นที่มาในการเชื่อมโยงประกาศเกียรติคุณของโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกเข้ากับการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารกสิกรไทย ซึ่งทำให้ไทยแอร์เอเชียเป็นสายการบินแรกในประเทศไทยที่ใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และยังสามารถดำเนินการตามเป้าหมายในนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนานวัตกรรมตลาดเงินรวมถึงยังตอกย้ำบทบาทของเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทยที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคตอีกด้วย
นายทิพากร สายพัฒนา รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยมีความยินดีในการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงใบประกาศเกียรติคุณของโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกกับแอร์เอเชีย โดยธนาคารจะมอบอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษให้กับบริษัทหลังจากได้รับใบประกาศเกียรติคุณของโครงการ LESS ตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งแอร์เอเชียเป็น 1 ในองค์กรที่ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยในการจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย (ThaiCBN) โดยเชื่อมั่นว่าธุรกรรมนี้จะมีส่วนในการสร้างแรงจูงใจให้การดำเนินธุรกิจของไทยแอร์เอเชีย บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ตอบโจทย์การดำเนินงานของธนาคารบนหลักการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน ที่พร้อมจะสนับสนุนลูกค้าด้วยการเป็นผู้บุกเบิกการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตธรรมทางการเงินในฐานะผู้นำด้านธุรกิจตลาดเงินและตลาดทุนชั้นนำของประเทศ
“พฤกษา” ขับเคลื่อนแนวคิด Wellness Residence สู่การเป็นผู้บุกเบิกไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพแบรนด์แรกในวงการอสังหาฯ ด้วยการจัดงาน "Pruksa Healthy Living Market Fest" หนึ่งในหมุดหมายสำคัญของการสร้างคอมมูนิตี้คุณภาพผ่านการผนึกกำลังธุรกิจสุขภาพในเครือพร้อมด้วยพันธมิตรชั้นนำ โดยสร้างสรรค์กิจกรรมที่รวมทุกองค์ประกอบของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยที่อยู่ดี มีสุข และสะท้อนวิสัยทัศน์ในการเป็น Life Partner ของลูกบ้านในทุกมิติ
นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สุขภาพดีเริ่มต้นได้ที่บ้าน ถือเป็นหัวใจของการสร้างบ้านภายใต้แนวคิด Wellness Residence เพราะเชื่อว่าสุขภาพดีจะเป็นรากฐานของชีวิตที่ยืนยาว พฤกษาจึงออกแบบบ้านให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่รวมไปถึงการเป็นที่ส่งเสริมสุขภาพ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดี

แนวคิด Wellness Residence ของพฤกษาตั้งอยู่บน 3 แกนหลัก ได้แก่ “บ้านที่อยู่แล้วดี อุ่นใจไร้กังวล” ด้วยดีไซน์เพื่อสุขภาพ เช่น บ้านที่หายใจได้ด้วยระบบกรองอากาศ สามารถลดฝุ่น PM2.5 เลือกสรรวัสดุก่อสร้างที่ปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และรองรับแผ่นดินไหวด้วยนวัตกรรมพรีคาสท์ “บ้านที่อยู่แล้วกายและใจดี ไม่เจ็บป่วย” ด้วยการมอบบริการสุขภาพครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน รักษา และดูแลต่อเนื่องโดยทีมสหสาขาวิชาชีพจากโรงพยาบาลในเครือ และ “สังคมชุมชนดี ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน” โดยจัดกิจกรรม CSR และ CRM ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกบ้าน พนักงาน และชุมชน เพื่อสร้างความผูกพันและคุณค่าร่วมกับแบรนด์ในระยะยาว
“งาน Pruksa Healthy Living Market Fest นับเป็นหนึ่งในยุทธวิธีสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิด Wellness Residence เพื่อยกระดับสังคมให้มีคุณภาพ และสะท้อนว่าเราไม่ใช่แค่ผู้พัฒนาอสังหาฯ แต่เป็น Life Partner ที่เข้าใจและดูแลคุณภาพชีวิตของลูกบ้านอย่างรอบด้าน" นางสาวอังคณา กล่าว

Pruksa Healthy Living Market Fest จัดขึ้นที่ The Palm บางนา–วงแหวน 2 ซึ่งไฮไลต์ของงานคือการรวบรวมสินค้าและบริการจากธุรกิจในเครือพฤกษา รวมถึงพันธมิตรทั้งด้านสุขภาพ อาหาร เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งแวดล้อม มาไว้ในงานเดียว ครอบคลุม 4 ด้าน
Heart to Home: ความใส่ใจในการสร้างบ้านและนำเสนอโครงการที่มาพร้อมกับนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการอยู่อาศัยที่มีสุขภาพดี สะดวกสบาย และครบวงจร
Heart to Earth: เนรมิตงานตามแนวทาง Sustainable Event โดยออกแบบงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้ให้ชุมชน และมีกิจกรรมรักษ์โลกให้ผู้ร่วมงานร่วมสนุก
Heart to Society: เปิดโอกาสให้หน่วยงานเพื่อสังคมได้ใช้พื้นที่ในการออกร้าน
Heart to Health: บริการทางด้านสุขภาพทั้งกายและใจของคุณ รวมถึงสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก

นางสาวอังคณา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ งาน Pruksa Healthy Living Market Fest จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมทั่วไป แต่เป็นที่รวบรวมทุกองค์ประกอบของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ทั้งการดูแลตัวเอง การบริโภคอย่างชาญฉลาด และการแบ่งปันความรู้ดี ๆ ให้ทุกคนได้มีสุขภาพดีไปด้วยกัน ผ่านหลากหลายโซนกิจกรรม ภายใต้คอนเซปต์ Check Shop Share
Healthy Check: นำบริการคุณภาพมาให้ถึงหน้าบ้าน ปลูกฝังแนวคิด "ป้องกันก่อนป่วย" ด้วยบริการเช็กอัปสุขภาพจากโรงพยาบาลวิมุต และวิมุต-เทพธารินทร์ ครอบคลุมตั้งแต่บริการกายภาพบำบัดลดอาการปวด ตรวจคัดกรองมะเร็ง ตรวจสมรรถภาพปอด บริการวัคซีน การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ และการตรวจสุขภาพรถยนต์โดยบี-ควิก รวมถึงการโชว์นวัตกรรมการสร้างบ้านเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี
Healthy Shop: เพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้ออาหารและสินค้าเพื่อสุขภาพจากร้านค้าดัง และร้านค้าจากลูกบ้าน
Healthy Share: แบ่งปันความรู้ด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญ เวิร์กช็อปจัดสวนในขวดแก้วเพื่อฮีลใจ การประกวดสัตว์เลี้ยงแสนรัก รวมถึงเชิญชวนลูกบ้านร่วมสนุกกับกิจกรรม Pruksa Good Trash Great Life เพื่อร่วมมือกันจัดการขยะอย่างยั่งยืน

"การจัดงาน Pruksa Healthy Living Market Fest สะท้อนถึงการเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ ซึ่งเราเป็นรายแรกในวงการอสังหาฯ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ นอกจากงานนี้แล้ว ยังมีแผนจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้ความรู้ด้านสุขภาพที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอกย้ำแนวคิด Wellness Residence ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะผลักดันแนวคิดนี้ให้เป็นมาตรฐานใหม่ในตลาดอสังหาฯ ของไทย " นางสาวอังคณา กล่าวในตอนท้าย
มนุษย์พึ่งพาธรรมชาติในการดำรงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นหน่วยของธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันโลกกำลังสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ จากปัจจัยทั้งจำนวนประชากร เศรษฐกิจและที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หากความหลากหลายทางชีวภาพสูญหาย ธรรมชาติย่อมเสียหาย ดังนั้น การฟื้นฟูธรรมชาติไปสู่ธรรมชาติเชิงบวกจึงเป็นเรื่องที่กำลังได้รับความสนใจและมีความพยายามที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันในการฟื้นฟูและยับยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ สพภ (BEDO) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญการส่งเสริมและประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เชิงเศรษฐกิจควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างมีดุลยภาพ รวมไปถึงมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ การรวบรวมองค์ความรู้ การวิจัยต่างๆ อย่างมีทิศทาง ตลอดจนการเป็นองค์กรส่งเสริมและประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดภาคีเครือข่ายการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพเป็นไปอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 10-12 มิ.ย.2568 BEDO ได้จัดประชุมวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน “Biodiversity & Bioeconomy Forum 2025 : ธรรมชาติเพื่อชีวิต เศรษฐกิจเพื่อการอนุรักษ์” ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมี ดร.เกษมสันต์ จิณณวาโส ประธานคณะกรรมการ สพภ. เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะกรรมการ สพภ. คณะผู้บริหาร สพภ. หน่วยงานวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน วิทยากรทุกๆ ท่าน และมีผู้เข้าร่วมที่มีความสนใจ เป็นจำนวนมากกว่า 200 คน โดยภายในงานได้มีนำเสนอผลงานวิชาการที่ทันสมัยโดยเฉพาะการบรรยายพิเศษเรื่อง การยกระดับผลิตภัณพ์ท้องถิ่นด้วยวิจัยและนวัตกรรม และ เรื่อง “เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ” จากผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งเป็นทิศทางใหม่ของการผลักดันเครื่องมือ มาสนับสนุนด้านการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ รวมไปถึงมีการนำเสนอผลความสำเร็จของชุมชนที่ต่อยอดการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ พร้อมโชว์นวัตกรรม - ผลิตภัณฑ์จากความหลากหลายทางชีวภาพ สู่เศรษฐกิจยั่งยืน

นางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ กล่าวว่า ปี 2568 นี้ เบโด้ครบรอบการจัดตั้งมาเป็นเวลา 18 ปี การจัดประชุมวิชาการภายใต้หัวข้อ Biodiversity & Bioeconomy Forum 2025 “ธรรมชาติเพื่อชีวิต เศรษฐกิจเพื่อการอนุรักษ์” เป็นการย้ำว่าความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องร่วมกันหันมาใส่ใจและส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์โดยใช้กลไกทางวิทยาศาสตร์ และกลไกทางการเงินเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดดุลยภาพและนำไปสู่การพัฒนาที่เกื้อหนุนธรรมชาติ หรือ Nature Positive

ตลอดระยะเวลา 18 ปี “สพภ.” ได้ขับเคลื่อนงานตั้งแต่ การสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุมชนและภาคธุรกิจตามหลักการ BEDO-BCG เพื่อยกระดับชุมชนเข้าสู่การเป็นธุรกิจด้วยการส่งเสริมการผลิตการบริโภคและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy) การพัฒนาฐานข้อมูล องค์ความรู้ และนวัตกรรมด้านความหลากหลายชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อปกป้อง คุ้มครอง เผยแพร่ และการใช้ประโยชน์ และการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรม

“การจัดประชุมวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ตลอดระยะเวลาในการจัดการประชุม 3 วัน สพภ. มีการนำเสนอผลความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนในการจัดทำธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพระดับชุมชน หรือ Community Biobank ที่มีกว่า 79 แห่ง ในพื้นที่ 38 จังหวัด มีทรัพยากรชีวภาพในพื้นที่ มากกว่า 100 ชนิด และมีผลการต่อยอดทรัพยากรและ/หรือแปลงธนาคารสู่การใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเป็นแหล่งต้นพันธุ์ การพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ แหล่งท่องเที่ยวชีวภาพ และการขึ้นทะเบียนสินค้า GI เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยสารสำคัญและคุณค่าทางโภชนาการเพื่อเพิ่มศักยภาพทรัพยากรไปสู่การสร้างรายได้แก่ชุมชน กิจกรรมการนำเสนอมีการบูรณาการกับสถานศึกษาเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสืบทอดไปยังเยาวชนเครือข่าย Biogang การแลกเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพ เวทีเสวนาการส่งเสริมการท่องเที่ยวชีวภาพ และ ที่สำคัญ สพภ. ได้มีการพัฒนาเครื่องมือส่งเสริมการอนุรักษ์และรับผิดชอบต่อความหลายหลายทางชีวภาพสำหรับการร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภายใต้โครงการ Biodiversity and Business Sustainability Program เพื่อมุ่งเน้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟู ความหลากหลายทางชีวภาพมากยิ่งขึ้น

“การประชุมวิชาการดังกล่าว จะเป็นการถ่ายทอดและเผยแพร่ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรชีวภาพ สู่การยกระดับอย่างยั่งยืนของทรัพยากรและเชื่อมโยงไปสู่พื้นที่การจัดงานมหกรรมทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนเครือข่ายทั่วประเทศมาโชว์และให้คนเมืองได้รู้จักอีกกว่า 50 ชุมชน จึงนับว่าเป็นโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และขยายผลการดำเนินของ สพภ. ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น” นางสุวรรณา กล่าวทิ้งท้าย