

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% แม้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งภาคการส่งออก การแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยอดขายรถยนต์ที่หดตัว ยอดสินเชื่อที่ชะลอลง และความกังวลปัญหาหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุด OECD ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ลง 0.2 % มาอยู่ที่ 2.9% และปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง 0.6% เหลือ 1.6% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งด้านการค้า การเงิน การคลัง การศึกษา และการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงิน เสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ถึงแม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังการชะลอสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นว่าภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่ชัดเจนจะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คงมองว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV) ที่เร่งขึ้น จากการแข่งขันด้านราคาของรถจากจีน ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เพิ่มเติมมุมมองด้านสภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนว่ายังอ่อนแอต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินที่ยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปีนี้ลงมาที่ -0.6% จากเดิมที่ 0.6% ในขณะเดียวกัน มองว่า เอ็นพีแอลยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าตัวเลขอาจไม่เกิน 3% ต่อสินเชื่อรวม โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น

ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลว่ากิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนไทยก็ชะลอลงเช่นกัน ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ การออกหุ้นกู้ Sustainable Finance ลดลง โดยส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นการใช้บริการสินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์ ที่ข้อมูลเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวในปีนี้ จะยังคงขยายตัวค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่ยังระดมทุนอยู่เน้นไปที่ธุรกิจรายใหญ่ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนการระดมทุนอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีคงเลือกชะลอแผนไปก่อน หรือเน้นลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel), การประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เห็นความคุ้มค่าค่อนข้างชัดเจนในระยะสั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในต้อนท้ายว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ (Local Content และ Made in Thailand) รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง
“ออกกำลังกายเป็นประจำ กินคลีนทุกวัน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จะเป็นโรคหัวใจได้ยังไง?” คำถามนี้อาจเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัย เพราะเชื่อว่าแค่ดูแลสุขภาพให้ดีก็เพียงพอแล้ว แต่ความเป็นจริง โรคหัวใจไม่ได้เลือกเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเท่านั้น แม้คนที่ดูแข็งแรงจากภายนอกก็อาจไม่รู้ตัวว่าหัวใจกำลังส่งสัญญาณบางอย่างอยู่
การออกกำลังกายแม้จะช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคหลายชนิด แต่ก็ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันโรคหัวใจได้ 100% โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบแฝง ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างหนักอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้
หัวใจวายเฉียบพลันไม่ใช่เรื่องไกลตัว
หลายครั้งเราพบข่าวนักวิ่งมาราธอนในวัยเพียง 20–30 ปี ล้มหมดสติขณะวิ่ง และเสียชีวิตด้วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว หรือประวัติเจ็บป่วยใด ๆ มาก่อน
เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สะท้อนว่าโรคหัวใจสามารถคุกคามได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ และมั่นใจในสุขภาพของตนเองมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายหนักโดยไม่ตรวจสุขภาพก่อน หรือคิดว่าออกกำลังกายแล้วสามารถกินอะไรก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น โรคหัวใจแต่กำเนิด ลิ่มเลือดอุดตัน และภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ล้วนเกิดขึ้นได้แม้ในผู้ที่ดูสุขภาพดีจากภายนอก

แพทย์หญิง ฐิศิรักน์ ฉินนะโสต แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ กล่าวว่า แม้จะออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารดี แต่หากมีพันธุกรรมของโรคหัวใจ หรือมีไขมันสะสมในเลือด ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ หลายคนเสียชีวิตกะทันหันเพราะไม่เคยตรวจสุขภาพหัวใจมาก่อน ความฟิตของร่างกายภายนอกไม่ได้สะท้อนความแข็งแรงของหลอดเลือดหัวใจภายใน ดังนั้น ผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอัลตราซาวด์หัวใจ เพื่อประเมินภาวะหัวใจ สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจสุขภาพหัวใจก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายอย่างจริงจัง
โรคหัวใจหลายชนิด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนา อาจไม่แสดงอาการใด ๆ จนกระทั่งเกิดเหตุฉับพลัน และอาจเกิดได้แม้ในผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจน เช่น โรคอ้วนหรือเบาหวาน ดังนั้น การดูแลหัวใจที่ดีจึงไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่คือการเฝ้าระวัง ป้องกัน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม
สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ควรสังเกตอาการผิดปกติต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด ได้แก่ เจ็บหน้าอกขณะออกกำลังกายหรือมีอาการเจ็บหน้าอกร้าวมายังแขนซ้าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ เหนื่อยหอบแม้ในขณะพัก เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หมดสติระหว่างออกกำลังกาย ขาบวมหรือข้อเท้าบวม หายใจไม่สะดวกเวลานอนราบ รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจในระยะเริ่มต้น หรือภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที
อาหาร…ตัวแปรสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ
ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างอาจจะควบคุมได้ เช่น ออกกำลังกายพอเหมาะ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่เรื่องอาหารเป็นหนึ่งปัจจัยที่ใครหลายคนยังคงละเลย ทั้งที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาว ซึ่ง ดร.ปัทนภา ศรีชมเชย นักกำหนดอาหารวิชาชีพ และผู้อำนวยการสายงานปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และบริการการศึกษา โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ กล่าวว่า อาหารที่ดีต่อหัวใจไม่จำเป็นต้องมีรสจืดจนกินไม่ได้ แต่ควรเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของหัวใจ และลดอาหารที่มีผลเสียต่อหลอดเลือด
หลักการกินเพื่อหัวใจที่แข็งแรง ได้แก่ การเพิ่มผักและผลไม้หลากสีในทุกมื้อโดยเน้นผักสดและผลไม้ไม่หวานจัด เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ซึ่งอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ลดปริมาณเกลือและน้ำตาล หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันทรานส์ เปลี่ยนจากแป้งขัดขาวเป็นธัญพืชไม่ขัดสี งดหรือจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เข้าถึงการรักษาโรคหัวใจง่ายขึ้น ด้วยสิทธิ์ประกันสังคมที่ รพ.วิมุต-เทพธารินทร์
โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจแบบองค์รวม โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทาง ทีมนักกำหนดอาหารวิชาชีพ และผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมทำงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อดูแลผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน
ล่าสุด โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการรักษาโรคหัวใจได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใน 7 รายการสำคัญ ได้แก่ การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดถาวร การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ การศึกษาสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจและการจี้ไฟฟ้าหัวใจ การใส่เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจชนิดกระตุ้นหัวใจห้องล่างสองห้องพร้อมกัน และการจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างภาพ 3 มิติ ซึ่งผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิ์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธันวาคม 2568
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ Heart Coordinator โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ โทร. 095-241-4242 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากต้องการคำแนะนำด้านอาหารและการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคหัวใจ สามารถนัดหมายกับนักกำหนดอาหารและทีมสหสาขาวิชาชีพได้ที่ โทร. 02-348-7000
เพราะที่นี่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน… แต่คือบ้านของคนที่เข้าใจกัน ในวันที่คนรุ่นใหม่ให้คุณค่ากับงานที่มีความหมาย เราจึงสร้างพื้นที่ที่ดูแลกันทั้งเรื่องงานและความรู้สึก ให้ทุกคนได้เติบโตอย่างมีคุณค่า ภูมิใจในสิ่งที่ทำ และได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เดินหน้าปรับภาพลักษณ์องค์กรครั้งสำคัญ ด้วยความเข้าใจการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ผ่านการเปิดตัวแบรนด์ดีเอ็นเอภายใต้แนวคิด WORK LIFE WELL-LIVED ชีวิต “อย่างดี...” ที่พฤกษา สะท้อนวิสัยทัศน์องค์กรที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงาน ตอกย้ำวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการดูแลพนักงานอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพฤกษาในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว ให้ทุกคน “อยู่ดี มีสุข” ที่พฤกษาฯ

นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หัวใจหลักขององค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืนคือ ‘คน’ และการดูแลคน ‘อย่างดี’ ในทุกมิติ คือภารกิจสำคัญของพฤกษา เราเชื่อว่า การพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง การให้โอกาสเติบโต และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้างและสร้างความมั่นใจ จะช่วยผลักดันให้พนักงานทุกคนสามารถแสดงศักยภาพสูงสุดของตนเองได้อย่างเต็มที่และไร้กังวล เพราะการมีชีวิตอย่างดีและสมดุลจะสะท้อนกลับมาเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ที่ พฤกษา เราใส่ใจมุ่งมั่นที่จะให้พนักงานทุกคนมีชีวิต “อย่างดี” ผ่านแนวคิด 5 แกนหลัก ที่จะทำให้การทำงานไม่ใช่แค่เรื่องของหน้าที่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าที่ขับเคลื่อนด้วยความสุข และการเติบโตอย่างยั่งยืน
1) พัฒนาศักยภาพอย่างดี... ส่งเสริมให้พนักงานเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่พร้อมจะเติบโต พฤกษาจึงลงทุนกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลักสูตรการอบรมทั้งภายในและภายนอกที่คัดสรรมาอย่างดี, E-Learning กว่า 2,500 หลักสูตร ให้เรียนฟรีได้ทุกที่ทุกเวลา, Individual Development Plan (IDP) ที่ตอบโจทย์การพัฒนารายบุคคล, Coaching & Mentoring Program ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากผู้บริหารระดับสูงภายในองค์กร และกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ ที่เสริมทั้ง “ทักษะงาน” และ “ทักษะชีวิต” อย่างสมดุล

2) สร้างโอกาสก้าวหน้าอย่างดี… ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่คือเส้นทางที่ชัดเจน ส่งเสริมให้พนักงานมีแนวคิดแบบ Ownership Mindset โดยมีโอกาสได้วางแผน ได้ตัดสินใจ ได้ลอง และก้าวไปข้างหน้าในแบบที่เป็นคุณ เราสนับสนุนการโปรโมตภายในสายงานด้วยเส้นทางอาชีพ (Career Path) ที่ชัดเจน เปิดโอกาสหมุนเวียนงาน (Job Rotation) เพื่อเรียนรู้และพัฒนาทักษะรอบด้าน และเติบโตข้ามสาย ข้ามบริษัทในเครือได้ ด้วยโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลายและแข็งแกร่ง
3) ดูแลชีวิตรอบด้านอย่างดี... อยู่ที่พฤกษามีรอยยิ้ม ได้เฮ ทุกปี! เพราะนอกจากสวัสดิการพื้นฐานที่จัดเต็ม ที่นี่นับเป็นบริษัทเดียว ในประเทศไทย ที่มอบรางวัลปีใหม่เป็นบ้านและคอนโดมิเนียม ให้พนักงานได้ลุ้นทุกปี พร้อมสิทธิ์รับส่วนลดซื้อโครงการพฤกษาสูงสุด 10% ของที่ระลึกสำหรับพนักงานอายุงานครบ 10 และ 20 ปี ของขวัญเพื่อแสดงความขอบคุณแก่พนักงานเกษียณอายุ ของขวัญร่วมแสดงความยินดีในพิธีสมรส และทุนการศึกษาสำหรับบุตรพนักงาน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงานและครอบครัว อาทิ ประกันสุขภาพกลุ่มสำหรับพนักงานและครอบครัว การตรวจสุขภาพประจำปี ส่วนลดค่ารักษาในกลุ่มโรงพยาบาลวิมุต โรงพยาบาลในเครือพฤกษา โฮลดิ้งฯ ลดสูงสุด 50% บริการโค้ชสุขภาพส่วนตัวเพื่อดูแลแบบใกล้ชิด ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ทั้งจิตแพทย์ นักโภชนาการ ฟิตเนสโค้ช เภสัชกร ฯลฯ และยังยืดหยุ่นเข้าใจวิถีการทำงาน ยุคใหม่ อาทิ การทำงานแบบ Hybrid Work ทำงานได้ทั้งที่บ้านและออฟฟิศ มุ่งเน้นผลลัพธ์ และ Flexible Working Hours พนักงานสามารถเลือกเวลาเข้างานตามเวลาที่เหมาะกับชีวิตของแต่ละคนได้ เป็นต้น

4) เคารพและเข้าใจความหลากหลายอย่างดี... ที่พฤกษา เราสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เปิดกว้าง และให้คุณค่ากับความเป็นตัวตนของแต่ละคนอย่างแท้จริง ผ่านการออกแบบสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่เข้าใจความหลากหลายอย่างลึกซึ้ง เคารพอัตลักษณ์และการแสดงออกทางเพศโดยแต่งกายได้อิสระ ใช้ห้องน้ำตามเพศสภาพได้ตามความสบายใจ มีของขวัญพิธีมงคลสมรสสำหรับพนักงานทุกเพศ สิทธิ์ในการลาป่วยเพื่อผ่าตัดแปลงเพศได้ มีทุนการศึกษาสำหรับบุตรพนักงานและบุตรบุญธรรม รวมถึงบุตรคู่สมรส LGBTQIA+ สิทธิ์ประกันกลุ่มสำหรับคู่สมรสตามกฎหมายและบุตร การมอบเงินช่วยเหลืองานศพ และส่วนลดซื้อบ้านในนามคู่สมรสตามกฎหมาย รวมถึงมีวันลากิจที่เพิ่มความ ‘อยู่ดี มีสุข’
5) ส่งต่อคุณค่าแบรนด์อย่างดี... เพราะพนักงานทุกคนคือภาพสะท้อนตัวตนขององค์กร เราจึงใส่ใจทุกเสียงจากพนักงาน ผ่านโครงการ Live well Stay well Club ที่เปิดพื้นที่ให้พนักงานใช้โซเชียลมีเดีย แชร์เรื่องราวดี ๆ – ร่วมส่งต่อภาพลักษณ์แบรนด์ – พร้อมแลกของรางวัลสุดปัง อาทิ บริการดูแลสุขภาพ-ความงาม / บัตรกำนัลร้านโปรด / บัตรโดยสารรถไฟฟ้า / บริการทำความสะอาดบ้าน และของที่ระลึกสุดพิเศษจากบริษัทในเครือ โดยมีพนักงานเข้าร่วมแล้วมากกว่า 1,200 คน เพราะการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์…เริ่มได้จากความสุขที่แบ่งปันเรื่องราวดีดีในทุกวัน

เพราะเราเชื่อว่า... เมื่อคนอยู่ดี องค์กรก็ยิ่งดี ที่พฤกษา ชีวิตการทำงานไม่ได้มีแค่เป้าหมาย แต่ยังเต็มไปด้วยความหมายที่ร่วมสร้างไปด้วยกัน เราสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้เติบโตอย่างมีความสุข ภาคภูมิในแบบที่เป็นตัวเองมากที่สุด แบรนด์ดีเอ็นเอ “WORK LIFE WELL-LIVED ชีวิตอย่างดี... ที่พฤกษา” จึงถือเป็นสิ่งที่สะท้อนความตั้งใจในการดูแลทุกคนที่พฤกษาได้เป็นอย่างดี
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ชวนคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพและใช้ชีวิตอย่างสมดุล ตอบรับเมกะเทรนด์ ‘Longevity’ หรือ การมีชีวิตยืนยาวแบบคุณภาพ ผ่านแคมเปญ “STEP UP, START NOW: สุขภาพดีกว่าเดิม แค่เริ่มไปด้วยกัน”ล่าสุดเดินหน้าสนับสนุนงานวิ่งมาตรฐานโลก “พรูเด็นเชียลซีนิคฮาล์ฟมาราธอนจันทบุรี 2025” หนึ่งในสนามวิ่งที่สวยและได้รับความนิยมมากที่สุดในไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นอกจากนั้น ปีนี้ยังมีความพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ยืนข้างคนไทยมาอย่างมั่นคงและยังคงเดินหน้าส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพในระยะยาว
นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปีนี้ถือว่ามีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปีแห่งการฉลองครบรอบ 30 ปี การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เรายังคงมุ่งมั่นดูแลและพร้อมสร้างหลักประกันที่มั่นคงและมั่งคั่งให้กับคนไทยในทุกช่วงวัย ทั้งด้านสุขภาพและการใช้ชีวิต ตามเจตนารมณ์ “ชีวิตมีกัน ... ทุกวันดีกว่า” ผมเชื่อว่าการเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงทางร่างกาย แต่ยังสอดคล้องกับแนวคิด Longevity ที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างสมดุลทั้งกายและใจ ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่งคั่งที่แท้จริง แนวคิดนี้สะท้อนอย่างชัดเจนผ่านแคมเปญ “STEP UP, START NOW: สุขภาพดีกว่าเดิม แค่เริ่มไปด้วยกัน” ซึ่ง พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพ โดยตอกย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เริ่มต้นได้จากก้าวเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเลือกกินอาหารที่ดี หรือการดูแลสุขภาพจิตใจ”

รายงานจาก World Economic Forum เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ระบุว่า เทรนด์ Longevity: การมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ กำลังเปลี่ยนโฉมประชากรโลกอย่างมีนัยสำคัญ ผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างสมดุล การมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงและมีสุขภาวะที่ดีในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะโลกกำลังเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัย โดยคาดว่าในปี 2080จะมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำให้ทุกประเทศต้องเร่งปรับโครงสร้างด้านเศรษฐกิจ สวัสดิการ และสุขภาวะเพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น เทรนด์ Longevity ระดับโลกยังสอดคล้องกับในประเทศไทยเช่นกัน
ข้อมูลการสำรวจล่าสุดพบว่ากว่า 20% ของคนไทยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ JC (Junior College) ที่มีแนวโน้มเข้าร่วมกิจกรรมในกลุ่มวิ่งต่างๆ มากขึ้น ซึ่งแสดงว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาดูแลสุขภาพและชีวิตที่สมดุลเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของพวกเขา
“พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เล็งเห็นความสำคัญของเทรนด์ที่เกิดขึ้น จึงได้สนับสนุนการจัดงาน “พรูเด็นเชียลซีนิคฮาล์ฟมาราธอนจันทบุรี 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ความพิเศษของรายการนี้นอกจากจะได้รับการรับรองมาตรฐาน World Athletics Road Race Label แล้ว ภายในงานยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน เพื่อเป็นสนามวิ่งแห่งความสุขที่ยั่งยืนของทุกคน” นายบัณฑิตกล่าวเสริม

งาน “พรูเด็นเชียลซีนิคฮาล์ฟมาราธอนจันทบุรี2025” นับเป็นสนามที่ 2 ของ ซีนิคมาราธอนซีรีส์ ในปีนี้ นับเป็นสนามวิ่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน World Athletics Road Race Label พร้อมยังผลักดันการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น พร้อมสร้างสีสันความแปลกใหม่ในวงการวิ่งด้วยการ ให้นักวิ่งแบกทุเรียนขณะวิ่งกับ Durian Run ระยะ 3 กม. นอกจากนี้ ยังมีระยะที่เหมาะกับนักวิ่งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อาทิ ฟันรัน 5 กม. มินิมาราธอน 10 กม. และฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ซึ่งถือว่าเป็น “Prudential Anniversary Run” เนื่องในโอกาศฉลองครบรอบ 30 ปี ของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย โดยมีไฮไลต์อยู่ที่เส้นทางวิ่งสุดตระการตาบนเนินนางพญาและหาดคุ้งวิมานที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย

ภายในงาน พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมพิเศษให้นักวิ่ง อาทิ อุโมงค์น้ำ จุดแช่เท้า จุดถ่ายรูปสวยๆ และมอบความอุ่นใจให้นักวิ่งด้วย ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองสูงสุดคนละ 100,000 บาท และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 30 ปี ของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังมีของรางวัลพิเศษเป็นตุ๊กตาหมีครบรอบ 30 ปี หรือ PRUBearLimited 30th Anniversary Edition สำหรับนักวิ่ง Top 30 (Overall) 30 ท่านแรกทั้งชายและหญิง ในระยะ 21.1 กม. พร้อมพื้นที่พักผ่อนริมชายหาดคุ้งวิมาน หรือ Prudential Beach Lounge เพื่อรองรับลูกค้าพรูเด็นเชียลฯ

นอกจากนั้น สำหรับนักวิ่งที่ร่วมงาน บริษัทฯยังได้มอบส่วนลดพิเศษ เมื่อซื้อประกันภัยผ่านทางออนไลน์ โดยผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมรายการ ได้แก่ ประกันสะสมทรัพย์ พรูอี เลกาซี่ เซฟเวอร์, ประกันชีวิตและสุขภาพ พรูอี-เฮลท์แคร์ พลัส, ประกันชีวิต พรูไลฟ์ แคร์, ประกันมะเร็ง พรูเลดี้ แคนเซอร์ และพรูแคนเซอร์ แคร์ และประกันโรคร้ายแรงพรูคริติคอล แคร์ พร้อมรับสิทธิพิเศษสุดคุ้ม 3 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยปีแรกสูงสุด 30% ต่อที่ 2 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท (เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด) และต่อที่ 3 ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ (รายละเอียดผลิตภัณฑ์และโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://online.prudential.co.th/)
สำหรับผู้ที่พลาดรายการในสนามนี้ สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมงานวิ่งในสนามถัดไปกับ ซีนิคฮาล์ฟมาราธอน ระยอง 2025 สนามที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นที่หาดแหลมเจริญ จ.ระยอง ภายใต้คอนเซปต์ วิ่งฟิน เที่ยวระยองฮิ! ในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ติดตามรายละเอียดได้ที่ https://scenicmarathon.com หรือ FB: scenicmarathon
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย จัดหนักแคมเปญ Watsons Online Birthday Sale มหกรรมชอปออนไลน์ต่อเนื่อง 10 วัน 10 คืนเต็ม ที่ไม่เพียงแค่ปล่อยโปรแรง แต่ยังจับอินไซต์นักชอปไทยช่างคลิก พร้อมเบื้องหลังตะกร้าชอป ไม่ใช่แค่ของลดราคา แต่มีกิมมิกลับยอดนิยมของคนทั้งประเทศซ่อนอยู่เพียบ
เจาะ Insight by Age Group แต่ละวัยเลือกชอปอะไร
พบว่าสุขภาพและความงามที่ดีไม่จำกัดอายุ เริ่มด้วย Gen Z อายุต่ำกว่า 20 ปี ให้ความสำคัญกับสกินแคร์และเครื่องสำอางอย่างจริงจัง เพราะรู้ว่าการลงทุนกับผิวตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนกับตัวเองในอนาคต ครอบคลุมทั้งรูปลักษณ์และสุขภาพ ขณะที่กลุ่มวัยทำงาน อายุ 21–45 ปี ให้ความสำคัญกับทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเครื่องสำอาง ที่น่าสนใจพบว่า 15% ให้ความสนใจในการซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพและอาหารเสริมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสุขภาพในชีวิตประจำวันอย่างสมดุล ขณะเดียวกัน กลุ่ม Middle Age อายุ 46–55 ปี ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลผิวอย่างลึกซึ้ง ผ่านผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอาง (Derma Skincare) สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์การดูแลตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องของวัยหนุ่มสาว แต่กลายเป็นพฤติกรรมที่ทรงอิทธิพลในทุกช่วงวัย
สำหรับแบรนด์ที่ครองใจนักชอปจากทุกสาย ทั้งสกินแคร์ บิวตี้ และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ได้แก่ L'oreal Cerave, In2it, Eucerin, Anessa และ สินค้าตราวัตสัน
Top Search Trend เพราะคนไทยไม่ลังเลกับไอเทมนี้
“กันแดด” ยืนหนึ่งยอดการค้นหา สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากทุกสภาวะอากาศ ส่วน “ลิป” ตามมาติดๆ เพราะ เติมลุคสดใสได้ทันที ใช้ได้ทุกวัน และสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลสุขภาพ ก็ยังติดโผการค้นหาเนื่องจากความกังวลกับ Covid-19 ที่กลับมาอีกครั้ง ทำให้คนยังต้องมีติดบ้านไว้เสมอ ทั้งเพื่อความอุ่นใจ และรับผิดชอบต่อคนรอบข้างพิสูจน์ว่าการดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่คนไทยไม่เคยละเลย.
เวลาสุดพีค และจังหวัดของแชมป์นักชอป
ไพรม์ไทม์ยอดนิยมในการชอปออนไลน์สูงสุดตอนเวลา 21.00 น. สะท้อนถึงเทรนด์และพฤติกรรมของนักชอปยุคปัจจุบันที่ชอบ “ชอปก่อนนอน” เพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนได้เวลาพักผ่อนหลังเลิกงานหรือภารกิจประจำวัน เป็นโมเมนต์ส่วนตัวที่ได้ใช้เวลาเลือกของที่ชอบในราคาที่ใช่ จึงไม่แปลกใจที่ “ก่อนนอน” จะกลายเป็นเวลาทองของการชอป!
ซึ่งจังหวัดที่เป็นแชมป์นักชอปในครั้งนี้ได้แก่ กรุงเทพฯ ตามด้วย นนทบุรี เชียงใหม่ และขอนแก่น ตามลำดับชี้ให้เห็นว่าตลาดนอกเมืองใหญ่กำลังเติบโตและมีพลังซื้อไม่แพ้เมืองหลวง
ทั้งหมดนี้สะท้อนพฤติกรรมที่ชัดเจนของนักชอปไทยยุคใหม่ ที่ไม่ได้ซื้อเพียงเพราะราคาถูกหรือโปรแรงเท่านั้น แต่เป็นการชอปอย่างมีเป้าหมาย รู้ตัว รู้ใจ และรู้จักดูแลตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้เรื่องสุขภาพ ความงาม และความคุ้มค่า เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์สำคัญที่อยู่ในทุกจังหวะชีวิต จนกลายเป็นหัวใจสำคัญของการชอปปิงยุคใหม่ที่น่าจับตามอง
Ninja (นินจา) แบรนด์เครื่องปั่นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาติดต่อกัน 4 ปีซ้อน สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดประเทศไทย ด้วยการเปิดตัว Ninja Blast™ เครื่องปั่นพกพารุ่นใหม่ล่าสุด ที่รวมพลังและประสิทธิภาพของเครื่องปั่นคุณภาพระดับรางวัลไว้ในรูปแบบไร้สายและพกพาสะดวก
เครื่องปั่น Ninja Blast™ โดดเด่นด้วยดีไซน์ทันสมัย น้ำหนักเบา และใช้งานแบบไร้สาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับไลฟ์สไตล์แอคทีฟ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไป-กลับจากยิม หรือออกทริปริมชายหาดกับเพื่อน ๆ มาพร้อมเทคโนโลยี BlastBlade™ ใบมีดสเตนเลสที่แข็งแรงและทนทาน สามารถปั่นน้ำแข็งและวัตถุดิบแช่แข็งได้อย่างง่ายดาย ให้พลังการปั่นแบบไร้สายที่ดีที่สุดในขนาดความจุ 470 มล. พร้อมการสลายเนื้อสัมผัสที่เหนือกว่าคู่แข่ง
“ด้วย Ninja Blast™ คุณสามารถสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นสมูทตี้ผลไม้ มิลค์เชครสเนียนนุ่ม หรือแม้แต่น้ำสลัดรสจัดจ้าน ทุกอย่างเป็นไปได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส”

ดีไซน์ที่ไร้สาย ปราศจากความยุ่งยาก พร้อมฝาปิดกันรั่ว และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน ปั่นได้สูงสุดถึง 10 ครั้งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ ฐานมอเตอร์ยังสามารถวางพอดีกับช่องวางแก้วในรถยนต์ สะดวกต่อการเดินทาง และเมื่อใช้งานเสร็จ ตัวฝาและภาชนะปั่นที่ปลอดสาร BPA สามารถล้างด้วยเครื่องล้างจาน หรือใช้ระบบล้างตัวเองด้วยการปั่นน้ำและน้ำยาล้างจานเพียง 30 วินาที ก็สะอาดพร้อมใช้ใหม่ ไม่ว่าคุณจะมีวันอันแสนวุ่นวายกับการออกกำลังกาย ประชุมตลอดวัน หรือเล่นกับลูกในสวน Ninja Blast™ คือผู้ช่วยที่ทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างเต็มสปีด

พิเศษ! โปรโมชั่นช่วงเปิดตัวทาง Shopee ช้อป Ninja Blast™ ราคาพิเศษจาก 2,790 บาท เหลือเพียง 2,590 บาท เพียงกรอกโค้ด: SHARBLAST เพื่อรับส่วนลด 200 บาททันที และรับส่วนลดเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้าทุกรายการ เพียงใช้โค้ด: SHARK10 ไปช้อปกันได้ที่ https://shopee.co.th/sharkninjathailand
เครื่องปั่น Ninja Blast™ มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่เว็บไซต์ sharkninja.co.th และ powerbuy.co.th หรือช่องทาง SharkNinja Official Store ใน Lazada และ Shopee
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิมนุษยชน สนับสนุนในสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันของคนทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัย พร้อมเปิดกว้างด้านความหลากหลาย ยอมรับในความแตกต่าง ทั้งทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม อัตลักษณ์ส่วนบุคคล และในโอกาสเดือนแห่งความภาคภูมิใจ (Pride Month) บริษัทฯ ขอร่วมเฉลิมฉลองและสนับสนุนความหลากหลายของคนทุกกลุ่ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรมสำหรับทุกคน โดยการจัดโปรโมชันพิเศษในเทศกาล Pride Month เมื่อทำประกันภัยใหม่พร้อมกัน 2 กรมธรรม์ขึ้นไปที่ BKI Care Station ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 มิถุนายน 2568 รับสิทธิพิเศษ ดังนี้
ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรุงเทพประกันภัย https://bit.ly/prdbkic หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ LINE @bkicarestation และ BKI Care Station ทุกสาขา
ในโลกของธุรกิจอาหารที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นโอกาสจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว และสามารถต่อยอดให้กลายเป็นธุรกิจระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ มร.โอลิเวอร์ เย่ ผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของกิจการ Wide Faith Group ผู้ผลิตขนมอบกรอบจากข้าวหอมมะลิไทย 100% หลังผ่าน 23 ปีโดยวันนี้ที่กำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายใหม่ด้วยความเชื่อมั่นในคุณค่าของข้าวไทยและวิสัยทัศน์ธุรกิจที่ตระหนักเห็นอย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
จากข้าวไทยสู่ตลาดโลก
Wide Faith Group ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 ด้วยแนวคิด “Better for You” ซึ่งเป็นมากกว่าสโลแกน แต่เป็นแนวทางธุรกิจที่ยึดมั่นมากว่า 23 ปี โดยใช้ข้าวหอมมะลิไทย 100% เป็นวัตถุดิบหลัก แปรรูปผ่านกระบวนการอบไม่ทอด ปราศจากไขมันทรานส์ กลูเตน และผงชูรส เพื่อสร้างสแน็คที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพจาก ณ วันเริ่ม จวบณวันนี้
จากโรงงานแรกที่บางพลี วันนี้ Wide Faith Group ขยับสู่โรงงานแห่งใหม่ที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นในนิคม WHA จังหวัดชลบุรี โดยWide Faith Group ได้ลงทุนเพิ่มเติมอีก 800 ล้านบาท เพื่อเปิดโรงงานที่สองและสามภายในพื้นที่ 34 ไร่ และได้ยกเลิกโรงงานแห่งแรกที่มีขนาดเล็กลง โดยมุ่งเป้าหมายเดินหน้าติดตั้งสายการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 12 สาย ภายในปี 2568 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 40,168 ตันต่อปี จากเดิม 18,568 ตัน
และสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การขยายกำลังการผลิต แต่เป็นการยกระดับมาตรฐาน และสร้างศูนย์กลางการผลิตขนมข้าวเพื่อสุขภาพที่มร.โอลิเวอร์ เย่ คาดหวังให้เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย อย่างแท้จริงให้ได้

วิสัยทัศน์ไกลและความกล้าในจังหวะที่ใช่
หลังพิธีเปิดโรงงานแห่งใหม่ หนึ่งในบทสนทนาที่ มร.โอลิเวอร์ เย่ ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า บริษัทมีเป้าหมายที่อยากนำ กิจการ Wide Faith Group เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจไปออกไปยังตลาดโลก ทั้งในแง่การตลาดสินค้า และขยายโรงงานการผลิต และที่สำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพด้าน R&D ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในแง่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ต้องเป็นรีไซเคิลทั้ง 100% ตามแนวคิด Circular Economy
ซีอีโอ ของ Wide Faith Group เชื่อว่า “ข้าวไทยคือสมบัติล้ำค่าที่โลกยังรู้จักไม่พอ” และเป้าหมายของเขาคือทำให้ข้าวหอมมะลิไทยกลายเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในรูปแบบที่ทันสมัย เขาไม่ได้ต้องการเพียงผลิตขนมเพื่อขาย แต่วางเป้าหมายสำคัญที่ต้องการจะเปลี่ยน perception ของสายตาผู้บริโภคในโลกให้มองข้าวไทยในแง่มุมใหม่

สุขภาพที่ดี รสชาติที่ใช่ และตลาดที่กว้างไกล
ผลิตภัณฑ์ของ Wide Faith Group ไม่เพียงมีแค่แบรนด์ Rise Buddy ที่หลายคนคุ้นเคย แต่ยังมีแบรนด์อื่นๆ อาทิ Ravin, Bio-Earth, Kiddie Kare และการผลิตแบบ ODM มากกว่า 70 รสชาติ ส่งออกแล้วกว่า 70 ประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย (ครอง market share 36%) นิวซีแลนด์ (45%) สหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น และล่าสุดเตรียมบุกตลาดแคนาดา รัสเซีย และแอฟริกา
นอกจากการเจาะตลาดโลก มร.โอลิเวอร์ ยังไม่มองข้ามศักยภาพในประเทศไทย โดยล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์และเปิดตัว Rise Buddy Rice Chippies พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์ตัวแทนคนรุ่นใหม่ “นนกุล – ชานน สันตินธรกุล” เพื่อเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ในงาน Thai Flex 2025

ภารกิจเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน
ในยุคที่ ESG กลายเป็นตัวชี้วัดความยั่งยืนขององค์กร มร.โอลิเวอร์ ไม่ต้องการขยายธุรกิจเพื่อหวังผลเพียงกำไร แต่ยังต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการรับรองมาตรฐาน BRCGS (เกรด AA), ISO 9001:2015, มาตรฐานฮาลาล และการใช้บรรจุภัณฑ์ Mono Material ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100%
ที่ผ่านมา Wide Faith Group ได้รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award 2023 ซึ่งตอกย้ำว่าพันธกิจของบริษัทไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตขนม แต่ครอบคลุมถึงการส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภคและการอยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน

อนาคตที่ถูกวางแผนมาอย่างตั้งใจ
การเดินหน้าขยายโรงงาน ยุติการผลิตที่เริ่มล้าหลัง และยกระดับมาตรฐาน เป็นบทพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ผู้นำ ที่ไม่ได้มองเพียง “ยอดขาย” แต่มองโลกในระยะ 10 ปีข้างหน้าว่าผู้บริโภคจะต้องการอะไร เทรนด์โลกจะไปทางไหน และการที่บริษัทพร้อมตั้งแต่วันนี้คือแต้มต่อที่หาค่าไม่ได้
“เราเริ่มจาก rice cracker แบบดั้งเดิม แล้วเปลี่ยนมันให้เป็น Rice Chips ที่บางกว่า กรอบกว่า และรสชาติอยู่ได้นานกว่า เพื่อหวังว่าขนมตัวนี้จะมาแทน potato chips ในอนาคต ทั้งวัตถุดิบที่มีคุณค่า กระบวนการผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค เราเห็นว่านี่คือเทรนด์สำคัญของโลก และนี่คือก้าวต่อไปของเรา” คือคำกล่าวของ มร.โอลิเวอร์ เย่ กรรมการผู้จัดการของ Wide Faith Group
โรงเรียนภาษาจีนฝานหรง (Fanrong Language School) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ สถาบันผู่เจียงแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค (Pujiang Institute of Nanjing Tech University) เพื่อร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรภาษาจีนเชิงธุรกิจและเทคโนโลยีสำหรับนักเรียนและบุคลากรไทย พร้อมเปิดประตูสู่โอกาสการศึกษาต่อและการเชื่อมต่อกับเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมไทย-จีนในระดับนานาชาติ
พิธีลงนามจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้บริหารจากทั้งสองฝ่ายเข้าร่วม ได้แก่:

ฝ่ายสถาบันผู่เจียงแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค (Pujiang Institute of Nanjing Tech University):
ฝ่ายโรงเรียนภาษาจีนฝานหรง (Fanrong Language School):
สาระสำคัญของความร่วมมือ
โรงเรียนภาษาจีนฝานหรงจะคัดเลือกนักเรียนไทยเข้าศึกษาต่อ ณ สถาบันผู่เจียงแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค ในรูปแบบหลักสูตร 1 ปีเรียนภาษาจีน + 4 ปีระดับปริญญาตรี นักเรียนสามารถเลือกเรียนได้หลากหลายสาขา เช่น ภาษาจีน / ธุรกิจระหว่างประเทศ / วัฒนธรรมจีน / วิศวกรรม / ปัญญาประดิษฐ์ (AI) / พลังงาน / นวัตกรรมดิจิทัล โดยผู้เรียนจะได้รับ ทุนการศึกษา การสนับสนุนด้านวีซ่า ที่พัก และการดูแลโดย เจ้าหน้าที่ที่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้
ร่วมออกแบบโดยโรงเรียนภาษาจีนฝานหรงและ สถาบันผู่เจียงแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค เพื่อเน้นการใช้งานจริงในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เช่น การค้าระหว่างประเทศ โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการโรงแรม ระยะเวลาเรียน: 3 เดือน / 6 เดือน / 1 ปี
เนื้อหา: การเจรจาธุรกิจ การเขียนเชิงธุรกิจ การนำเสนอ และความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรจีน
เป้าหมาย: เพื่อปูทางให้นักเรียนไทยสามารถทำงานในบริษัทจีนในประเทศไทย หรือองค์กรไทยที่ต้องการขยายสู่ตลาดจีน
สถาบันผู่เจียงแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค: สะพานเชื่อมการศึกษาไทย-จีน มหาวิทยาลัยหนานจิงเทค (Nanjing Tech University) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน ติดอันดับ Top 100 ของประเทศจีน และ Top 801–1000 ของโลก (QS World University Rankings) เชี่ยวชาญในสาขา วิศวกรรม เคมี พลังงาน วัสดุศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์ และนวัตกรรมดิจิทัล สถาบันผู่เจียงแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค ได้รับการ ลงทุนโดยบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) จากประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการศึกษานานาชาติ และเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจจริงระหว่างไทย-จีน
Fanrong Language School: พัฒนาทักษะจีน เชื่อมต่อโอกาสอาชีพระดับโลก

ดร. อรภัค สุวรรณภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนภาษาจีนฝานหรง กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงเรียนที่มุ่ง “นำครูจีนสู่ไทย พัฒนาภาษาจีนให้ก้าวไกล อย่างมืออาชีพ” พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ผสานระหว่าง “ภาษา + ทักษะ + โอกาสทางอาชีพ” อย่างเป็นระบบ
Fanrong Language School ไม่เพียงเป็นสถาบันสอนภาษา แต่เป็น “สะพานแห่งโอกาส” ที่พร้อมนำคนไทยเข้าสู่โลกแห่งการทำงานและการเรียนรู้ระดับนานาชาติ ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายการศึกษาคุณภาพสูงจากประเทศจีน