December 06, 2025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งมอบบริการบริหารจัดการเงินสดแบบดิจิทัล Virtual Account เพิ่มประสิทธิภาพในการรับ-จ่ายเงินทุน สำหรับงานวิจัย และยกระดับงานวิจัยจุฬาฯ สู่ยุคดิจิทัล

นางวีระอนงค์  จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO และ Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการเงินสดของธนาคาร มาช่วยยกระดับมาตรฐานของการทำงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัย โซลูชัน Virtual Account ได้รับการออกแบบมาให้ลดขั้นตอนการรับ-จ่ายเงินทุน สำหรับงานวิจัย อำนวยความสะดวกให้งานวิจัยต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัวมากขึ้น”

ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนักวิจัยอยู่ประมาณ 2,800 คน ในแต่ละปี มีการทำโครงการวิจัยกว่า 400โครงการ อุปสรรคสำคัญของการดำเนินโครงการวิจัยที่ทางจุฬาฯ ประสบก็คือ ความล่าช้าในการระบุที่มาของเงินทุนวิจัย ที่เข้ามาจากหลากหลายช่องทาง โดยต้องใช้ระยะเวลาถึง 1-3 เดือนในการกระทบยอดในบัญชีส่วนกลาง เพื่อระบุที่มาของเงินทุน ทำให้เกิดความล่าช้าในการนำจ่ายให้กับนักวิจัยของแต่ละโครงการ

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ในฐานะสถาบันการศึกษาของประเทศ หนึ่งในเป้าหมายของเรา คือช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัย การบริหารจัดการทุนวิจัยผ่านระบบ Virtual Account ของธนาคารยูโอบี ช่วยลดขั้นตอนการทำงานเอกสาร และทำให้เกิดความโปร่งใส เนื่องจากนักวิจัยสามารถตรวจสอบกระบวนการเบิกจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้รับเงินทุนรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้สามารถพัฒนางานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง”

โซลูชันบริหารจัดการเงินสดแบบดิจิทัล Virtual Account เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น สถาบันการศึกษา ที่ได้ประโยชน์จากการปรับใช้ดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินงานด้านบัญชี ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากขึ้น

 

   สหรัฐ   

ความตึงเครียดทางการค้าผ่อนคลายลงในช่วงสั้น ขณะที่เฟดมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในเดือนนี้ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง ในเดือนพฤษภาคม จากเดือนก่อนที่ 147,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินทางไปยังกรุงลอนดอนสัปดาห์นี้เพื่อหารือกับจีนเกี่ยวกับข้อตกลงการค้า

การจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าที่มีต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อคาดว่าจะส่งผลให้เฟดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 17-18 มิถุนายนนี้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น สะท้อนจาก PMI ภาคบริการที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากนโยบายภาษีนำเข้าคาดว่าจะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะถัดไป แม้ศาลการค้าฯ ตัดสินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าช่วงต้นเดือนเมษายนผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นศาลอุธรณ์และอาจไปสู่ศาลฎีกา อีกทั้งยังสามารถปรับขึ้นภาษีนำเข้ารายสินค้าและรายประเทศผ่านกฎหมายอื่นๆ ได้ จากประเด็นดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อบรรเทาความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

   ยูโรโซน   

ECB ปรับลดดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรผ่อนคลายนโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมเบื้องต้นชะลอลงสู่ระดับ 1.9% YoY ต่ำกว่าเป้าที่ 2.0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กันยายน 2567 ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% พร้อมปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2568 และ 2569 ลง 0.3% สู่ระดับ 2% และ 1.6% ตามลำดับ และปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2569 ลง 0.1% สู่ระดับ 1.1% เทียบกับ 0.9% ในปี 2568 ประธาน ECB ระบุว่าวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก สะท้อนจาก PMI ภาคบริการที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับผลบวกจาก front-loading ของการส่งออกที่เริ่มลดลง ขณะที่ความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คาดกดดันภาคการผลิตและส่งออกในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แรงกดดันเงินเฟ้อคลายลง และดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ทั้งนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% วิจัยกรุงศรีคาด ECB มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง สู่ระดับ 1.50-1.75% ภายในสิ้นปีนี้

   จีน   

ภาคการผลิตจีนปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงอ่อนไหวต่อแรงกดดันจากสงครามการค้า ทางการ (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิต ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ และดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก สูงขึ้นในเดือนพฤษภาคมหลังหดตัวแรงในเดือนเมษายน ส่วน PMI นอกภาคการผลิตลดลงเล็กน้อย (ดังรูป) ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 100 อันดับแรกยังหดตัวต่อที่ -8.6% YoY

ตัวเลข PMI ของทางการสะท้อนภาพการฟื้นตัวในภาคการผลิตของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หลังจีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องในการลดภาษีนำเข้าระหว่างกันชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กยังเผชิญภาวะซบเซา สะท้อนจาก PMI ที่สำรวจโดย Caixin ที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นอกจากนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้ายังมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงขึ้น หากจีนและสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกัน หรือหากสหรัฐฯ หันไปใช้กฎหมายอื่นเพื่อขึ้นภาษีนำเข้าแทนกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งกำลังมีข้อพิพาททางกฎหมายในปัจจุบัน ระยะต่อไปจึงอาจเห็นการขยายมาตรการภาษีนำเข้าทั้งในแง่อัตราภาษีและและความครอบคลุมในรายกลุ่มสินค้า ดังนั้น มาตรการทางคลังจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการประคับประคองเศรษฐกิจภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้า

เศรษฐกิจไทย: แม้เศรษฐกิจฟื้นตัวบางภาคส่วนแต่ยังมีความเปราะบาง กอปรกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ คาดธปท.อาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปีนี้

เศรษฐกิจเดือนเมษายนฟื้นตัวบางส่วนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุน ขณะที่การบริโภคอ่อนแรงลง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนเมษายนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน ตามการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในหลายหมวด (+2.9% MoM sa) โดยเฉพาะหมวดรถยนต์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น (+2.9%) โดยขยายตัวในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนภาคท่องเที่ยวปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.5%) แต่ยังต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การส่งออก (หักทองคำ) ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า (-2.1%) และการบริโภคภาคเอกชนปรับลดลง (-1.5%) โดยลดลงในหมวดบริการจากกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารเป็นหลัก

แม้มีสัญญาณการฟื้นตัวในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจในช่วงต้นไตรมาสสอง แต่วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการฟื้นตัวยังมีความเปราะบางอยู่สะท้อนจาก (i) โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่แม้เริ่มกลับมาขยายตัวในเดือนเมษายนแต่ส่วนหนี่งเป็นการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลังที่ได้เร่งส่งออกไปในช่วงก่อนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (ii) แนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะถัดไปยังเผชิญกับความเสี่ยงของนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีความไม่แน่นอนสูง (iii) สำหรับการบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงในหมวดบริการอาจชี้ถึงกำลังซื้อของครัวเรือนที่ชะลอลงหลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ  และ (iv) แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวอ่อนแอลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกดังกล่าว ล่าสุดวิจัยกรุงศรีคาดการณ์  GDP ไทยปี 2568 ขยายตัว 2.1% ภายใต้สมมติฐานของอัตราภาษีที่สหรัฐฯยังคงเรียกเก็บกับไทยในระดับปัจจุบันที่ 10%

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 คาดกนง.ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในช่วงครึ่งหลังของปี  อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ -0.57% YoY ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องจาก -0.22% ในเดือนเมษายน โดยมีปัจจัยหลักจาก (i) การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักและผลไม้ตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น (ii) ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานที่ปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลก และ (iii) ฐานราคาสินค้าในปีก่อนที่อยู่ในระดับสูง ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่  1.09% เพิ่มขึ้นจาก 0.98% ในเดือนเมษายน สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.48% และ 0.95% ตามลำดับ

วิจัยกรุงศรีประเมินอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีปัจจัยหลักจากราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กอปรกับมาตรการภาครัฐในการตรึงราคาค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้ม รวมทั้งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในปีนี้หนุนให้ผลผลิตภาคเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอ สะท้อนจากการบริโภคภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 0.6% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการต่อเนื่องเป็นปีที่สอง

สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจในประเทศ บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธปท. อาจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้

SCGP ตอกย้ำกลยุทธ์การขยายการเติบโตตลาดภายในประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับอุปโภคบริโภค ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan JSC) ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการบรรจุภัณฑ์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ ลงทุนเพิ่มอีกร้อยละ 30 ใน Duy Tan JSC ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกคงรูปในประเทศเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน 2,825 พันล้านเวียดนามดอง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,727 ล้านบาท ส่งผลให้ SCGP มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 100 เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเติบโตในกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับอุปโภคบริโภค (Consumer Packaging) และการรุกตลาดภายในประเทศในตลาดภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวและมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวนมาก นอกจากนี้ Duy Tan JSC มีการนำเสนอสินค้าแบรนด์เฉพาะชั้นนำ ซึ่งช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและส่งเสริมการเติบโตให้แก่บริษัท

Duy Tan JSC มีโรงงานผลิต 5 แห่งในประเทศเวียดนาม และมีการนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ นวัตกรรม และบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค มีฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B ที่เป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ชั้นนำในประเทศเวียดนาม และกลุ่ม B2C โดยในปี 2567 Duy Tan มีรายได้ 5,381พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 7,479 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 578 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 814 ล้านบาท รวมถึงมีสินทรัพย์รวม 4,627 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 6,177 ล้านบาท

การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายการบูรณาการธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน โดยบริษัทฯ ได้มุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจ (Synergy) ในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและครบวงจร ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในอาเซียน โดยเฉพาะธุรกิจในเวียดนามและอินโดนีเซีย เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดอาเซียนในระยะยาว

กสิกรไทยเปิดตัวโครงการ K-Advice เสริมความแข็งแกร่งบริการด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) ด้วยการสร้างทีมที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ K-Advice ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต ที่สนใจการวางแผนการเงินและต้องการสร้างความมั่นคงด้านการเงิน ซึ่งคาดว่ามีอยู่กว่า 600,000 คน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน ประกัน หรือการวางแผนการเงินระยะยาว ตั้งเป้าขยายทีม K-Advice ทั่วประเทศให้ได้ 800 คนภายใน 3 ปี

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งส่งเสริมบริการด้านการลงทุนและการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่เป็นที่ไว้วางใจ ช่วยให้ผู้ลงทุนเท่าทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างยั่งยืน จึงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันการลงทุนที่หลากหลายควบคู่กับการส่งมอบองค์ความรู้ให้แก่ลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเพื่อตอบโจทย์การเข้าถึงในการดูแลกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโต ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดโครงการ K-Advice เพื่อพัฒนาทีมที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ที่เข้าใจความต้องการและบริบทของกลุ่มนักลงทุนสมัยใหม่ พร้อมให้คำแนะนำแบบใกล้ชิด เจาะลึกเป็นรายบุคคล รองรับความต้องการของกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ธนาคารยังขยายทีมผู้ดูแลความสัมพันธ์ทางโทรศัพท์หรือไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำด้านการลงทุนที่เป็นประโยชน์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ทีม K-Advice จะผ่านการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะการวางแผนการเงินแบบครบวงจรอย่างมืออาชีพ ทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และทักษะด้านการสื่อสารและการดูแลลูกค้า ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญภายในและภายนอกธนาคาร ผู้ที่ผ่านการอบรมและมีคุณสมบัติครบถ้วน จะได้เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินอิสระแบบมืออาชีพ พร้อมเครื่องมือและระบบที่ทันสมัยในการสนับสนุนการทำงาน โดยธนาคารมีฐานลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตให้พร้อมต่อยอดได้ทันที โครงการ K-Advice เปิดโอกาสให้พนักงานเกษียณ พนักงานปัจจุบัน รวมทั้งบุคคลภายนอกที่สนใจเติบโตหรือต่อยอดในสายอาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งในช่วงต้นของโครงการ ธนาคารจะเริ่มเปิดรับสมัครจากพนักงานเกษียณและพนักงานปัจจุบันก่อน และจะเปิดรับบุคคลภายนอกเป็นลำดับต่อไป เพื่อขยายโอกาสให้กับผู้มีศักยภาพทั่วประเทศที่สนใจร่วมงานกับธนาคาร ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ K-Advice ทั่วประเทศให้ได้ 800 คนภายใน 3 ปี รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งคาดว่ามีอยู่กว่า 600,000 คน

ดร. พิพัฒน์พงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า K-Advice เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญของธนาคาร ที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนในโลกการเงินให้กับสังคมไทย ซึ่งธนาคารให้ความสำคัญทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินที่มีคุณภาพ การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงและการดูแลลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตที่สนใจวางแผนด้านการเงิน ควบคู่กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสร้างทางเลือกใหม่ให้กับคนทำงานในโลกการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของสังคมและเศรษฐกิจไปด้วยกัน

 

นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. โดยศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย (CIT) เดินหน้าส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ผ่านโครงการ OIC InsurTech Award อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านเทคโนโลยีประกันภัยแก่กลุ่มนิสิต นักศึกษา บุคลากรในธุรกิจประกันภัย กลุ่ม Tech Firm Tech Startup และประชาชนทั่วไป โดยมีเป้าหมายในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และยกระดับคุณภาพของระบบประกันภัยของประเทศไทยให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล

ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้แสดงศักยภาพผ่านการแข่งขันและการนำเสนอแนวคิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัย ซึ่งหลายผลงานสามารถต่อยอดไปใช้จริงในภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในเฟสแรกของกิจกรรม OIC InsurTech Roadshow ได้ลงพื้นที่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการประกันภัย วงจรธุรกิจประกันภัย และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกันภัย โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารสถาบันการศึกษาอย่างดียิ่ง และมีนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 500 ราย พร้อมทั้งจัดเวทีบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ “Insurance Value Chain : Transforming Insurance with Technology” และกิจกรรม Workshop สร้างสรรค์และระดมความคิดนวัตกรรม พร้อมบอกเล่าเทคนิคการจัดทำ Pitch Deck และ Business Model Canvas เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เวทีประกวด OIC InsurTech Award 2025 มุ่งเฟ้นหานักพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยรุ่นใหม่และกระตุ้นความตื่นตัวในกลุ่มนักศึกษาอย่างแท้จริง สำหรับในส่วนของโครงการ OIC InsurTech Roadshow เฟสที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยในทุกภาคส่วนของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยได้เปิดรับสมัครผลงานเพื่อเข้าร่วมการประกวด OIC InsurTech Award 2025 ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์  https://cit.oic.or.th/insurtechaward2025.html

“สำนักงาน คปภ. ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงวิทยากรและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่มีส่วนสนับสนุนให้กิจกรรม Roadshow ครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สำนักงาน คปภ. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความรู้และแรงบันดาลใจที่ได้จากกิจกรรมนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยใหม่ ๆ ที่สามารถพลิกโฉมและยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กล่าวในตอนท้าย

กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจทุกคน และทุกไลฟ์สไตล์ จับมือ ดิ แอดเจคทีฟ (The Adjective) มัลติแบรนด์สโตร์ชั้นนำ ผู้นำเข้าแบรนด์กางเกงยีนส์ รวมถึงเสื้อผ้า กระเป๋า และอุปกรณ์เอาท์ดอร์ชื่อดังจากทั่วโลก ร่วมแคมเปญพิเศษ “The Collaboration of Care” มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ ด้วยแผนประกันอุบัติเหตุ “บีแอลเอ ปกป้อง” คุ้มครองสูงสุด 200,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าภายในร้านครบ 4,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2568 อายุรับประกัน 20 - 70 ปี ให้ลูกค้าอุ่นใจทุกทริปเพื่อการใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสายแคมปิ้ง สายวิ่งเทรล หรือสายชิคแอนด์คูล สิทธิพิเศษ สำหรับลูกค้าสายลุยของกรุงเทพประกันชีวิต รับส่วนลดทันที 5% เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 5,000 บาท และ 10% เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป พิเศษ !! เมื่อกดติดตามเพจ The Adjective รับฟรี สติ๊กเกอร์ CHUMS โดยสามารถใช้สิทธิ์ได้ที่สาขา Central world / One Bangkok / Central Ladprao / Mega Bangna จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2568

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดกิจกรรมสุดพิเศษ “Krungthai-AXA OngTong Life’s - The Exclusive Lunch” นำโดยคุณนิสิต สีหะวงษ์ Head of Customer Relation & Event Management (คนที่ 5 จากซ้าย) ให้การต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ โดยกิจกรรมสุดพิเศษดังกล่าว ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์รสชาติอาหารเหนือดั้งเดิม ระดับมิชลิน บิบ กูร์มองด์ ณ ร้านอองตอง ข้าวซอย อารีย์ พร้อมเมนูสุดพิเศษ อาทิ ลาบทรัพย์ กระบะทอง ชีรวย ที่นำเสนอโดยคุณดุลยวิทย์ ขุ่ยอาภัย หรือ คุณท็อป เจ้าของร้านอองตอง ข้าวซอย นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเสริมดวงให้มั่งคั่งไปกับ Master Alice ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์จากสถาบันโหราศาสตร์ชั้นนำของโลกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้ส่งมอบความสุข อิ่มกาย อิ่มใจ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

ตอกย้ำความเป็นเลิศในฐานะผู้นำด้านการบริบาลสุขภาพในระดับภูมิภาค

กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เป็นทุนหมุนเวียนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การประเมินผลของกรมบัญชีกลาง ซึ่งที่ผ่านมา กองทุนฯ ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานและบริหารกองทุนฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพการดำเนินงานทั้งภายในกองทุนฯ และการให้บริการแก่ผู้มีส่วนได้  ส่วนเสียภายนอก อีกทั้งได้มีกำกับการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง รวมถึงมีการติดตามระบบการบริหารจัดการที่สำคัญ  ทั้งด้านการเงิน การดำเนินงานตามวัตถุประสงค์กองทุนฯ การบริหารความเสี่ยง การจัดการสารสนเทศ และการบริหารทรัพยากรบุคคล จากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนฯ ได้รับคะแนนประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ปี 2567 ประเภทการสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม รวมในระดับสูงถึง 4.6654 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5.0000 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนการประเมินสูงสุดที่กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเคยได้รับการประเมิน จากกรมบัญชีกลาง

กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) นำโดย นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย ได้จัดโครงการ “ชี้แจงทำความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชีและการชำระหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัย” ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีบุคลากรจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าร่วมรับฟังข้อมูลและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

โครงการนี้จัดขึ้นโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และภารกิจกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมทั้งกระบวนการชำระบัญชีของกองทุนประกันวินาศภัย ในกรณีเมื่อบริษัทประกันวินาศภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยเฉพาะกรณีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในขณะนี้ ก็คือ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

“การชี้แจงกระบวนการชำระบัญชีในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการถ่ายทอดข้อมูลเชิงวิชาการ แต่ยังเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่บุคลากรสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางไปยังประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะในจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งมีจำนวนเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยมากกว่า 10,000 ราย ถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากกรณีเพิกถอนใบอนุญาตของบริษัทประกันภัยรายดังกล่าว”

ตลอดระยะเวลาของการจัดโครงการ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย ได้กล่าวถึงกระบวนการชำระบัญชี แนวทางการจัดการสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต วิธีการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัย รวมถึงบทบาท หน้าที่ และภารกิจของ กปว. ในการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย

นอกจากนี้ ยังมีช่วงถามตอบ ให้บุคลากรสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช ซักถามข้อสงสัย ซึ่งหลายคำถามเน้นไปที่ความชัดเจนของกระบวนการจ่ายค่าสินไหม การเรียกร้องสิทธิของประชาชนในกรณีบริษัทประกันวินาศภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต และการประสานงานระหว่างหน่วยงานในกรณีเร่งด่วน ซึ่ง กปว. ได้ตอบข้อซักถามอย่างละเอียดและครบถ้วนเพื่อให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้จริงในพื้นที่

“โครงการนี้ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การสื่อสารเชิงรุกของ กปว. เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจนและเข้าถึงได้ง่าย โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ อาทิ สำนักงาน คปภ. ส่วนภูมิภาค ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยไปยังประชาชนภายในจังหวัดอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ กปว. มีแผนที่จะขยายการจัดโครงการลักษณะนี้ไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศที่มีผู้ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์เดียวกันนี้ เพื่อให้เกิดการรับรู้ข้อมูลอย่างทั่วถึง และเสริมสร้างความมั่นใจและสร้างความมีเสถียรภาพให้กับภาคธุรกิจประกันภัย

X

Right Click

No right click