

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี นำโดย นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้รับเกียรติร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา ASEAN Forum 2025 จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ซึ่งเป็นเวทีสัมมนาระดับภูมิภาคอาเซียน ที่รวบรวมทั้งผู้นำทางด้านธุรกิจ นักลงทุน นักนวัตกรรม และผู้กำหนดนโยบายระดับภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับทิศทางสู่การเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียน และโอกาสในการลงทุนทางธุรกิจใหม่ในภูมิภาคอาเซียน ในประเด็นเชิงลึกทั้งด้านการค้า โลจิสติกส์ อาหาร นวัตกรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เมื่อเร็ว ๆ นี้
ภายในงาน นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “INGREDIENT FOR THE BOOMING ECONOMY: NEW INVESTMENT OPPORTUNITIES” โดยนำเสนอแนวคิดและมุมองในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกและการผลิตระดับภูมิภาค สำหรับหัวข้อเสวนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายองค์กรร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ได้แก่ นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต ผู้อำนวยการสำนักอุตสาหกรรมยานยนต์ และสำนักบริการการลงทุน Mr. Saribua Siahaan Director of Investment Promotion for Southeast Asia, Australia, New Zealand and the Pacific, Ministry of Investment and Downstream Industry / Indonesia Investment Coordinating Board (BKPM) และนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล อดีตผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

นายอัศวิน กล่าวในงานเสวนาว่า กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งขยายธุรกิจในประเทศอาเซียนที่มีการเติบโตสูง โดยเรามีอุตสหาหกรรมที่หลากหลาย และมีการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค กว่า 194,000 แห่ง ในหลากหลายประเทศด้วยกัน โดยในประเทศไทย เรามีโรงงาน 12 แห่ง ศูนย์กระจายสินค้า 14 แห่ง ร้านค้าปลีก 12,818 แห่ง และรถขนส่ง 1,556 คัน ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังร้านค้ากว่า 89,922 แห่ง อีกทั้งยังมีเครือข่ายจัดจำหน่ายร้านค้ารายย่อยอีก 183 แห่ง สำหรับต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม เรามีโรงงาน 7 แห่ง ศูนย์กระจายสินค้า 8 แห่ง ร้านค้าปลีก 2,466 แห่ง และรถขนส่ง 373 คัน ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังร้านค้ากว่า 104,869 แห่ง, ลาว เรามีร้านค้าปลีก 68 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง, กัมพูชา เรามีโรงงาน 1 แห่ง และร้านค้าปลีกอีก 22 แห่ง, มาเลเซีย เรามีโรงงาน 2 แห่ง และเมียนมา เรามีสำนักงานตัวแทน 1 แห่ง เป็นต้น โดย 91% ของยอดขายต่างประเทศของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มาจากภูมิภาคอาเซียน และมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 9.2% ต่อปี ซึ่งในปี 2024 ที่ผ่านมา มียอดขายในอาเซียนเติบโตถึง 15,000 ล้านบาท
นายอัศวิน เผยถึงกระแสเทรนด์โลกและประเทศไทยในปี 2025 ว่า ยุคนี้เป็นยุคสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health Era) ซึ่งผู้บริโภคจะให้ความสำคัญทั้งสุขภาพกาย ใจ และอารมณ์ อีกทั้งผู้บริโภคยังตระหนักถึงความยั่งยืน (Sustainability) และการเลือกซื้อที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า (Value-Driven Choices) โดยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายและตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างตั้งใจมากขึ้น รวมถึงให้ความสนใจกับสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalization) และสินค้าภายใต้แบรนด์ของร้านค้า (Private Label) ซึ่งมีราคาคุ้มค่า มีคุณภาพ และมีความน่าเชื่อถือ

นายอัศวิน กล่าวต่อว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโต เทรนด์ Pet Humanization & Pet Tourism การที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกในครอบครัว และต้องการให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยว ยังคงเป็นกระแสต่อเนื่อง อีกทั้งมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และการบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และสินค้าที่เป็นมิตรกับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงมากขึ้น นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในประเทศไทย ยังสามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้าได้ และมีการจัดอีเวนต์สำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย โดยยอดขายรวมของอาหารและผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงในช่องทางค้าปลีกของประเทศไทย ในปี 2024 เติบโตขึ้นจากปี 2023 ถึง 10.9% มีมูลค่ายอดขายรวมทั้งตลาด 7,645 ล้านบาท สำหรับ บิ๊กซี ยอดขายรวมของอาหารและผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงในปี 2024 เติบโตขึ้นจากปีก่อน 1.6% และมีมูลค่ายอดขายรวม 1,250 ล้านบาท
สำหรับเทรนด์ด้านเทคโนโลยีและ AI ในปี 2025 นายอัศวิน กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกมีการใช้เทคโนโลยีและ AI เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น อาทิ ร้านค้าอัตโนมัติไร้พนักงาน หุ่นยนต์ในร้าน รถเข็นอัจฉริยะ และระบบนำทางในร้าน เป็นต้น อีกทั้งยังมีการทรานส์ฟอร์มร้านค้าให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคนี้ เช่น มีจุดชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ขยายร้านสะดวกซื้อให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีพื้นที่จอดรถ รวมถึงมีสินค้าและการบริการที่หลากหลาย เพื่อยกระดับการช้อปแบบครบจบในที่เดียว มีความสะดวก และทันสมัย
นายอัศวิน กล่าวถึงโอกาสการลงทุนในอาเซียนว่า การกระจายฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน อาทิ เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงส่วนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เหมาะสำหรับการผลิต นับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นและกระจายความเสี่ยงในระดับภูมิภาค อีกทั้งอาเซียนมีศักยภาพสูงในธุรกิจเกษตรและอาหาร เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ทั้งดินและแหล่งน้ำ ทำให้มีข้อได้เปรียบในการผลิตสินค้าเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้าวสัตว์ปีก รวมถึงโลจิสติกส์ด้านอาหาร และการผลิตอาหารฮาลาล เพื่อส่งออกสู่ตลาดตะวันออกกลางและมุสลิมทั่วโลก

นอกจากนี้ อาเซียนยังมีศักยภาพการลงทุนอีกหลากหลายสาขาใหม่ที่กำลังเติบโต อาทิ ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ด้วยอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่สูงของประชากรในภูมิภาคนี้ และการเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ, ด้านพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศ เช่น อินโดนีเซีย มีศักยภาพด้านแร่สำรองที่ใช้ในแบตเตอรี่สูง, ด้านการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในอาเซียน ทำให้การลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาล คลินิก การดูแลผู้สูงอายุ และเทคโนโลยีด้านสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน, ด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ ในภูมิภาคอาเซียนมีความต้องการเพิ่มทักษะของแรงงานต่อเนื่อง ดังนั้น การลงทุนในแพลตฟอร์ม EdTech และธุรกิจการเรียนการสอนภาษายังคงเติบโต, ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการขยายตัวของเมืองและการเชื่อมต่ออย่างไร้พรมแดนและขีดจำกัด เหมาะกับการลงทุนระบบโลจิสติกส์และโครงการเมกะโปรเจกต์อย่างมาก และด้านบริการทางการเงิน เนื่องจากประชาชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสสำคัญในการขยายบริการฟินเทค (Fintech) และไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance) นายอัศวิน กล่าว
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เป็นเลิศในการพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ได้แก่ กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค และกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ควบคู่กับการสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันและเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยเติบโตในระดับภูมิภาคอาเซียนอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
บริษัท แพน โฟ จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาศักยภาพบุคคลมากกว่า 25 ปี ร่วมมือกับวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดตัวหลักสูตร "SMART: Strategy, Marketing, Action, Revenue, and Transformation" ซึ่งเป็นหลักสูตรการตลาดระยะสั้นแบบเจาะลึก 4 สัปดาห์ ในรูปแบบ Micro MBA in Marketing ที่ครบจบเรื่องการตลาด กลยุทธ์ และสื่อโฆษณา เพื่อยกระดับธุรกิจอย่างชาญฉลาด พร้อมความยืดหยุ่นในการเรียนที่ตอบโจทย์สำหรับเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และทายาทธุรกิจยุคใหม่
นางรมยกร สุวิสิทฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพน โฟ จำกัด กล่าวว่า "แพน โฟ เป็นสถาบันด้านการอบรมและสัมมนาระดับมืออาชีพ ด้วยเป้าหมายเพื่อยกระดับชีวิตและธุรกิจด้วยความรู้คุณภาพ ให้กับเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ทายาทธุรกิจ และผู้ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพบุคคล ผ่านหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างทั้ง Hard Skills (ทักษะด้านการทำงาน) และ Soft Skills (ทักษะด้านสังคม) อย่างรอบด้าน เพื่อให้ตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงในโลกธุรกิจ”
ด้วยความเข้าใจถึงความท้าทายของผู้ประกอบการในยุคที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญ และมีการลงทุนงบประมาณจำนวนมากในการทำการตลาดและโฆษณาออนไลน์ แต่ความสำเร็จทางธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับโฆษณาเพียงอย่างเดียว การเข้าใจบริบทและองค์ประกอบสำคัญของการตลาดในหลากหลายมิติ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผน บริหารงบประมาณ และดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
หลักสูตร SMART จึงถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารการตลาดสำหรับธุรกิจ โดยรวบรวมสาระสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้ไว้อย่างครบถ้วนภายในหลักสูตรเดียว อาทิเช่น
ซึ่งเนื้อหาของหลักสูตรเจาะลึกและครอบคลุมทั้งมิติทางทฤษฎีและการปฏิบัติจริงในเรื่องการตลาด ตั้งแต่วางแผนการตลาด การพัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบบูรณาการ ไปจนถึงการวัดผลและประเมินความสำเร็จ เพื่อเพิ่มยอดขายในระยะยาว โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนทางธุรกิจ
ยิ่งไปกว่านั้นหลักสูตร SMART ที่จัดโดย แพน โฟ ร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหลักสูตรการตลาดเดียวในไทยที่มีความยืดหยุ่นสำหรับ lifestyle ของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งสามารถเลือกการเรียนได้ 2 แบบ :
อีกทั้งผู้เรียนสามารถเรียนย้อนหลังได้ถึง 60 วัน คุ้มค่าเสมือนมีที่ปรึกษาอยู่ข้างตัว พร้อมรับใบประกาศนียบัตรจาก แพน โฟ และวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) ซึ่งเป็นการยืนยันคุณภาพและมาตรฐานของหลักสูตร
รายละเอียดการอบรม
สำหรับเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และทายาทธุรกิจ หรือผู้ที่สนใจหลักสูตร SMART สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร ได้ที่ LINE: @PanPho หรือโทรศัพท์ 094-242-4197, 099-397-4624 และ เยี่ยมชมรายละเอียดหลักสูตรอื่นๆของเราได้ที่เว็บไซต์ https://www.panpho.com
กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้ายกศักยภาพภาคอุตสาหกรรม เตรียมจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใต้หัวข้อ "เคียงข้างผู้ประกอบการ สร้างอนาคตยั่งยืน" ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และเศรษฐกิจสีเขียว ณ โรงแรมแก้วสมุยรีสอร์ท จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2568 คาดมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 500 ราย เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 14 กรกฎาคม 2568
การสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในงานพบกับไฮไลต์ อาทิ ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ: "Empowered to Transform: Driving Green Futures through Innovation" ขอรับคำปรึกษาและร่วมแสดงความคิดเห็น : เชิญเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital & Green Transformation ร่วมแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในในเวทีเสวนากับหน่วยงานราชการ ที่พร้อมจะจับมือกันขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน อัปเดตเทรนด์และสาระความรู้ : เกี่ยวกับ Digital & Green Transformation เพลิดเพลินกับโซนบูธแสดงสินค้า : ผู้ประกอบการ ขนทัพผลิตภัณฑ์มาจัดแสดงและจำหน่าย กว่า 30 บูธ รวมถึงบูธสถาบันการเงินและหน่วยงานที่ ที่พร้อมให้บริการและสนับสนุน เพื่อการพัฒนาธุรกิจ

ทั้งนี้ คุณสมบัติผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วม จะต้องมีเลขทะเบียนจดแจ้งการจัดตั้งกิจการ เช่น สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัท บุคคลธรรมดาที่จดทะเบียนพาณิชย์/พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดย 1 กิจการเข้าร่วมกิจกรรมได้ ไม่เกิน 5 ราย
เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 14 กรกฎาคม 2568 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณอโนมา ณัฐราษฏร์ โทรศัพท์ 087-392-6321 หรือ คุณณัฐกฤตา บริพันธ์ โทรศัพท์ 099-442-9533 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สมาคมความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน (PPP Plastics) ได้จัดแถลงเปิดตัวสมาคมฯ อย่างเป็นทางการ ในงานเสวนา “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยกับสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty)” ค้นหาแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ สู่การยุติมลพิษพลาสติกตามสนธิสัญญาพลาสติกโลก ซึ่งจัดขึ้นภายในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025) ครั้งที่ 20 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนซันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ กล่าวย้ำถึงพันธกิจสำคัญในการขับเคลื่อนการจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทยอย่างยั่งยืนภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติการจริงในพื้นที่ โดยเน้นสร้างความร่วมมือแบบบูรณาการ เพื่อพัฒนาระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติก (Circularity Ecosystem) ให้เกิดขึ้นได้จริง พร้อมตอบรับนโยบาย EPR และสนับสนุนการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร ตามแนวทางของ Global Plastic Treaty

ในการนี้ ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ในฐานะสมาชิกองค์กรภาคเอกชนของสมาคมฯ โดยมีนางสาวปาจารีย์ คุณชัยมัง Corporate Communications Manager เป็นผู้แทน ประกาศความร่วมมือภายใต้แนวคิด “Building Ecosystem for Plastic Circularity” บนเวทีเสวนาดังกล่าว ทั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ฯ มุ่งเน้นการเสริมสร้างระบบจัดการขยะพลาสติกที่เป็นธรรมและยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การจัดการขยะของประเทศ
หนึ่งในโครงการสำคัญที่ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยร่วมขับเคลื่อนกับ PPP Plastics คือโครงการพัฒนาทักษะและเสริมสร้างศักยภาพให้กับซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าในกรุงเทพฯ และการจัดตั้งศูนย์คัดแยกขยะรีไซเคิลเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานรีไซเคิลในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการนำพลาสติกหลังการบริโภคที่มีมูลค่าสูงถึง 50,000 ตัน เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้องและตรงตามมาตรฐานของโรงงานรีไซเคิล เพื่อเพิ่มอัตราการซื้อและการหมุนเวียนทรัพยากรในระบบ พร้อมส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของแรงงานในห่วงโซ่ดังกล่าว ผ่านการฝึกอบรม การจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน และการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

นางณัฏฐิณี เนตรอำไพ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราภูมิใจในความก้าวหน้าของยูนิลีเวอร์ในการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติก แต่เราก็ยอมรับว่ายังมีอีกหลายด้านที่ต้องร่วมกันพัฒนา เราเห็นถึงความสำคัญของการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อให้สามารถรีไซเคิลได้ตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งการจัดการขยะพลาสติกระหวางทางและปลายทางด้วยความร่วมมือกับภาคส่วนนอกระบบ และสนับสนุนให้มีพื้นที่เสียงของพวกเขาผ่านกลไกระดับโลก เช่น สนธิสัญญาพลาสติก (Global Plastic Treaty), นโยบาย EPR ในประเทศและมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เรามุ่งมั่นมีบทบาทเชิงบวกในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม เพื่อยกระดับสิทธิและคุณภาพชีวิตของแรงงานในภาคส่วนที่ไม่เป็นทางการร่วมกัน”
การจับมือกันระหว่างยูนิลีเวอร์และ PPP Plastics ครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการเดินหน้าสู่สังคมและเศรษฐกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และนำพลาสติกหลังการบริโภคเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
สสว. เดินหน้าลุยต่อเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้เว็บไซต์ Market Intelligence เป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้ประกอบการใช้เป็นคู่มือบุกตลาดต่างประเทศ อัดแน่นด้วยข้อมูลเชิงลึกของ 30 ตลาดต่างประเทศ ครอบคลุมกว่า 10 สาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ คาดจะเป็นพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอีเตรียมความพร้อมด้านการส่งออก
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังการสัมมนา ‘เจาะตลาดสากล : Market Intelligence เพื่อ SME’ ว่าปัจจุบัน เอสเอ็มอีจำนวนมากกว่า 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.5 ของวิสาหกิจทั้งประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานจำนวนกว่า 12 ล้านคนหรือร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด มีมูลค่า GDP รวมกันมากกว่า 6.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 จาก GDP ของประเทศ
รักษาการ ผอ.สสว. เผยว่า จากจำนวนดังกล่าว กลับมีเอสเอ็มอีที่มีความสามารถในการส่งออกเพียง 22,400 ราย คิดเป็นประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท หรือเพียงร้อยละ 13.4 จากมูลค่าภาพรวมการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์การส่งออกที่ผ่านมา มีแนวโน้มการขยายของมูลค่าการส่งออกเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเท่านั้น ในขณะที่วิสาหกิจรายย่อยหรือ ไมโคร เอสเอ็มอี มีจำนวนที่ลดลง ถึงร้อยละ 72 ซึ่งสามารถคาดการณ์การลดลงได้จากการที่หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป มีมาตรการทางการค้าที่เข้มข้นและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามทางการค้า จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงที

นางสาวปณิตา เผยอีกว่า นอกจากนี้ มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิดด้านความยั่งยืน รวมถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบเรื่องสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน หรือข้อกำหนดด้านแรงงาน ซึ่งล้วนมีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
“สสว. จึงได้มีการจัดทำเว็บไซต์ Market Intelligence ขึ้น นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 โดยเว็บไซต์ ดังกล่าว ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถเข้าถึงข้อมูลตลาดส่งออกที่ทันสมัย และตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่ม เอสเอ็มอี จึงต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และสามารถเจาะตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวปณิตา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เว็บไซต์ Market Intelligence ยังมีการรวบรวมข้อมูลด้านผู้ให้บริการทางธุรกิจระหว่างประเทศในหลายประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก อาทิ บริการด้านโลจิสติกส์ บริการให้คำปรึกษากฎหมายการประกอบกิจการในต่างประเทศ การวางแผนการตลาด รวมถึงเครือข่ายการกระจายสินค้าและร้านอาหาร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอี ในการเตรียมความพร้อมด้านการส่งออก
สสว. ได้ดำเนินการพัฒนา เว็บไซต์ Market Intelligence มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ทั้งสื่อในรูปแบบ e-book รูปภาพอินโฟกราฟฟิกและคลิปวีดีโอที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เข้าใจได้โดยง่าย

ปัจจุบันเว็บไซต์ Market Intelligence มีข้อมูลเชิงลึกของตลาดเป้าหมายกว่า 30 ประเทศ ครอบคลุมกว่า 10 สาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ อาหารสด อาหารแปรรูปและสำเร็จรูป เครื่องแต่งกาย อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ก่อสร้าง สปาและนวดไทย ฯลฯ โดยแต่ละประเทศจะประกอบด้วยข้อมูลโอกาสด้านการตลาด (market opportunity) ข้อมูลสนับสนุนการวางแผนและเตรียมความพร้อมการส่งออกไปยังประเทศเป้าหมาย (market entry strategy) ข้อมูลการเตรียมความพร้อมและดำเนินการส่งออก (export solutions) เพื่อให้ เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ไทย ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในตลาดโลก นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อมูลสำคัญด้านมาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพิธีการทางด้านศุลกากรในแต่ละประเทศเป้าหมาย รวมถึงแนวโน้มทิศทางของตลาดโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคในภาพกว้างที่จะทำให้ SME สามารถคาดการณ์การทำธุรกิจและแนวทางการส่งออกได้ ซึ่งในปี 2568 นี้เป็นการขยายขอบเขตการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอีก 10 ประเทศ
“สสว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเว็บไซต์ Market Intelligence จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจทำธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงจะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตอย่างมั่นใจ และก้าวทันโลกการค้าในยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวในที่สุดa
ร้านอาหารคำหอม โรงแรมเมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพฯ นำเสนอประสบการณ์กินดื่มใหม่ที่จะพาทุกท่านเดินทางผ่านสองวัฒนธรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียใหม่ กับเมนู 5 คอร์ส ที่จับคู่รสชาติของอาหารไทยพื้นถิ่นกับสาเกพื้นบ้านจากญี่ปุ่น ได้อย่างลงตัว ให้บริการทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2568
ลิ้มรสเมนูที่เชฟเอียน กิตติชัย ออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อถ่ายทอดแนวคิดแห่งความกลมกลืนทาง วัฒนธรรมผ่านรสชาติที่เข้มข้นของอาหารไทยดั้งเดิม และความประณีตของสาเกที่เลือกมาอย่างตั้งใจ เพื่อเสริมรสชาติให้ทั้งอาหารและเครื่องดื่มโดดเด่นยิ่งขึ้น

เริ่มต้นประสบการณ์ด้วย ยำถั่วหอยเชลล์ เสิร์ฟคู่กับ Masumi Junmai Ginjo Shiro White Sake จากโรงบ่ม อายุ 350 ปี จากจังหวัดนากาโนะ ซึ่งมีกลิ่นผลไม้อ่อนๆ และรสสัมผัสนุ่มนวล กลมกล่อม ต่อด้วย ซี่โครงหมูซอส ฮังเล จับคู่กับ KAYA Masumi Junmai Brown Sake ที่ให้รสชาติเข้มข้นแบบธรรมชาติ พร้อมกลิ่นข้าวคั่ว อย่างลงตัว

เมนูที่สาม ข้าวยำแดนใต้ เสิร์ฟคู่กับ Bojimaya Junmai Muroka Nama Genshu Sake จากจังหวัดกิฟุ สาเกที่ให้ความรู้สึกลุ่มลึกแบบอูมามิ พร้อมกรดธรรมชาติที่ช่วยเสริมรสชาติอย่างดี และจานหลักอย่าง แกงเทโพ หมูย่าง เสิร์ฟพร้อม Kinmon Akita Plum Sake Shizuku สาเกรสหวานอมเปรี้ยวที่กลมกล่อมที่เหมาะกับ อาหารรสจัด
ปิดท้ายด้วยของหวานสุดคลาสสิก ข้าวเหนียวมะม่วง จับคู่กับ Kozaemon Shiroku Junmai Kabosu Sake ที่มีความเปรี้ยวสดชื่นของส้มคาโบสุ เติมเต็มมื้อพิเศษนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“เมนูที่จับคู่อาหารไทยและสาเกของญี่ปุ่นนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของเราที่จะสร้างประสบการณ์ที่มีความหมาย โดยให้เกียรติกับศิลปะการกินดื่มของทั้งสองวัฒนธรรม” – คุณรูเบล มียาห์, ผู้จัดการโรงแรม เมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพฯ กล่าว “เราออกแบบเมนูนี้ด้วยความเคารพในรากวัฒนธรรมของไทย และญี่ปุ่น เราเชื่อว่าผู้ที่มาลิ้มลองจะได้สัมผัสมิติใหม่ของรสชาติจากเมนูที่คุ้นเคย”
นอกจากเมนุแสนพิเศษนี้ ร้านอาหารคำหอมยังมีเมนู à la carte สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกจับคู่กับสาเก ตามความ ชอบส่วนตัว พร้อมบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ทุกมื้อที่คำหอมเต็มไปด้วยความทรงจำแสนประทับใจ
สัมผัสประสบการณ์นี้ได้ในราคา 4,800++ บาทสำหรับ เมนู 5 คอร์สพร้อมจับคู่สาเก 5 ชนิด และ2,500++ บาท สำหรับอาหารไม่รวมเครื่องดื่ม
ผู้ถือบัตร Accor Plus รับส่วนลด 10% สำหรับเมนูพิเศษนี้ สมาชิก ALL รับคะแนนสะสม Dining Rewards Points สำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์: www.khumhomrestaurant.com หรือโทรสอบถามได้ที่ +66 2 666 3311
ระยะเวลาให้บริการ : ตั้งแต่วันนี้ - 31 ตุลาคม 2568 มื้อกลางวัน และมื้อค่ำ
นางกุลกัญญา ทุมเสน รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยทางพิเศษเฉลิมมหานคร ประจำปี 2568 ณ โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

นางกุลกัญญา ทุมเสน รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) กทพ. กล่าวว่า ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการเสริมสร้างสังคมในพื้นที่รอบเขตทางพิเศษให้เกิดความเข้มแข็ง ความสามัคคี และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โรงเรียน และหน่วยงานอื่น ๆ รอบเขตทางพิเศษอย่างยั่งยืนลดพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ชุมชนช่วยดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการจัดกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ประจำปี 2568 ในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 ชุมชนคลองเตยล็อค 4-5-6 ชุมชนนน้องใหม่ ชุมชนร่มเกล้า ชุมชนหัวโค้ง ชุมชนริมคลองพระโขนง (โรงฟอกหนัง) และชุมชนริมทางรถไฟสายปากน้ำเก่า เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกซ้อมป้องกันและระงับอัคคีภัย ซึ่ง กทพ. ต้องขอขอบคุณชุมชนต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ กทพ. ได้จัดให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย พร้อมทั้งได้มอบถังดับเพลิงให้กับโรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา จำนวน 20 ถัง พร้อมอุปกรณ์กีฬา 1 ชุด และยังได้ มอบถังดับเพลิงให้กับชุมชนต่าง ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยในวันนี้ จำนวนชุมชนละ 10 ถัง รวมจำนวนทั้งสิ้น 90 ถัง อีกด้วย

“การทางพิเศษฯ ได้ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน และหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ ก็จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นางกุลกัญญาฯ กล่าวในท้ายที่สุด
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับลาซาด้า จัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce: Driving Growth with AI on E-commerce” รวมพลังผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันสำหรับธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต
นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เราตระหนักดีว่าเทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้าน AI จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน การร่วมมือกับลาซาด้าในครั้งนี้จึงเป็นการเชื่อมต่อนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ซกับโซลูชันทางการเงินของธนาคาร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างทันท่วงที”
ไฮไลต์สำคัญของงานคือ การแบ่งปันความรู้ด้านกลยุทธ์การใช้ AI ในการทำตลาดดิจิทัล เจาะลึกเทรนด์การค้าบนโลกออนไลน์ และเทคนิคการเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยในงานนี้ ทางลาซาด้า ได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ขายเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี อย่างมีประสิทธิภาพ จากพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยเอสเอ็มอีบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ PEAK โซลูชันระบบจัดการบัญชี และ ZORT ระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้า
นอกจากนี้ ยังมีการแชร์เคล็ดลับความสำเร็จจากแบรนด์ไทยชั้นนำอย่าง AIMER แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และ INGU Skin แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้เติบโตในโลกออนไลน์
งานสัมมนาครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารยูโอบี และลาซาด้า ในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้มีความรู้ เครื่องมือ และโซลูชันทางการเงินที่จำเป็นต่อการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต และที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง สิ่งของและปัจจัย รวมทั้งถวายภัตตาหารคณะสงฆ์ 9 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสครบรอบ 74 ปี ของการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง คณะผู้บริหารยังได้ร่วมตัดเค้ก พร้อมจัด Food Truck และ ไอศกรีมเลี้ยงพนักงาน รวมทั้งจัดพิธีมอบรางวัลเกียรติคุณแก่พนักงานที่ปฏิบัติงานกับองค์กร ครบอายุงาน 10 ปี 15 ปี และ 25 ปีขึ้นไป

ในปีนี้ กรุงเทพประกันชีวิต ได้ให้ความสำคัญกับการสานต่อวิสัยทัศน์ใหม่ในเรื่องความ “ใส่ใจ” ภายใต้ธีม ‘2025 The Year of Care’ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปี ด้วยเป้าหมายในส่งมอบพลังแห่งความใส่ใจให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทน รวมถึงสังคมภายนอก เพื่อรักษาคำมั่นสัญญาในการสร้างความสุขที่ยั่งยืนแก่สังคมไทย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) สร้างชื่อระดับโลก เวที “The 8th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo 2025” คว้ารางวัลรวม 12 รายการ ตอกย้ำศักยภาพ “ราชมงคลธัญบุรี” ที่พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสังคมโลก
มทร.ธัญบุรี สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการวิจัยไทยอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัลรวม 12 รางวัลจากเวทีระดับนานาชาติ “The 8th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo 2025” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11–13 มิถุนายน 2568 ณ Shanghai World Expo Exhibition & Convention Center นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยผลงานทั้ง 6 รายการของทีมวิจัย มทร.ธัญบุรี ผ่านการคัดเลือกจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสามารถสร้างผลงานโดดเด่นเหนือผู้เข้าร่วมมากกว่า 300 ผลงานจากทั่วโลก
รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี เปิดเผยว่า ผลสำเร็จในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการพัฒนางานวิจัยที่ไม่เพียงตอบโจทย์ชุมชนในประเทศ แต่ยังสามารถขยายผลสู่ระดับสากล ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ โดยมีการบูรณาการองค์ความรู้ที่หลากหลาย ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คหกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการแพทย์บูรณาการ ตลอดจนความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม โดยผลงานที่ได้รับรางวัล ประกอบด้วยเหรียญทอง (Gold Medal) จำนวน 6 รางวัล รางวัลพิเศษ Special Award 4 รางวัล และรางวัล NRCT Honorable Mention Award อีก 2 รางวัล ประกอบด้วย (1) ผลงาน PolyCat: A Reusable Catalyst for Upgradings Bio-Oil ได้รับรางวัล Gold Medal และNRCT Special Award โดยนายณัฐวุฒิ รอดทุกข์ น.ส.เนตรนภา กำลังมาก รศ.ดร.ปรียาภรณ์ ไชยสัตย์ และรศ.ดร.อมร ไชยสัตย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) ผลงาน AntibacDotFilm: Polyvinyl alcohol film mixed sugar derived-carbon dots for food packaging with antibacterial activity ได้รับรางวัล Gold Medal และNRCT Special Award โดยน.ส.พัชรพร ขาวเผือก และรศ.ดร.กนกอร เวชกรณ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (3) ผลงาน Eco-friendly textile inovations employ natural dyes derived from Dry Areca nut (Areca catechu) ได้รับรางวัล Gold Medal และNRCT Honorable Mention Award โดยนายภวัณพัสตร์ แก่นแก้ว และผศ.ดร.ศุภนิชา ศรีวรเดชไพศาล คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์

(4) ผลงาน Advanced electrochemical innovation combined with a nanobubble system for seafood transportation business ได้รับรางวัล Gold Medal และ NRCT Special Award โดยนายวัชรพงษ์ นารีจันทร์ น.ส.นวลลออ ยามาโอะ และรศ.ดร.ฉัตรชัย พลเชี่ยว คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย รศ.ดร.สรพงษ์ ภวสุปรีย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และบริษัท วอเทอร์ป๊อก จำกัด (5) ผลงาน Innovative triple-action anti-aging facial scrub, mask and serum incorperating Golden flower extract beads prepared by synergistics Niosomes and Fluid-Bed coating technology ได้รับรางวัล Gold Medal และ NRCT Special Award โดย รศ.ดร.กรวินวิชญ์ บุญพิสุทธินันท์ คณะการแพทย์บูรณาการ ร่วมกับบริษัท ริชโกลด์บิวตี้แอนด์เฮลท์ จำกัด (6) ผลงาน Fluid- Bed drying of Chlorophyll petlets: An anti-oxidant with superior stability and controlled release ได้รับรางวัล Gold Medal และ NRCT Honorable Mention Award โดย รศ.ดร.กรวินวิชญ์ บุญพิสุทธินันท์ คณะการแพทย์บูรณาการ ร่วมกับ บริษัท ริชโกลด์บิวตี้แอนด์เฮลท์ จำกัด

ทั้งนี้ รางวัลพิเศษ NRCT Special Award และ NRCT Honorable Mention Award ที่นักวิจัยจาก มทร.ธัญบุรี ได้รับในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ NRCT Special Award Competition ซึ่งจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อเชิดชูเกียรตินักวิจัยไทยที่สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับนานาชาติ โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานมอบรางวัลให้กับคณะนักประดิษฐ์ไทยได้รับการยอมรับจากเวทีเซี่ยงไฮ้ พร้อมกล่าวชื่นชมถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยในการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ

มทร.ธัญบุรี ยังคงเดินหน้าส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ ต่อยอดจากห้องปฏิบัติการสู่ชุมชน อุตสาหกรรม และเวทีโลก โดยเปิดกว้างให้นักศึกษา คณาจารย์ และพันธมิตรทุกภาคส่วน เข้ามาร่วมขับเคลื่อนการวิจัยเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวด้านนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยได้ที่เว็บไซต์ https://www.rmutt.ac.th และเพจ https://www.facebook.com/rmutt.official บน Facebook.