

บาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย (Bartercard Thailand) ผู้นำแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแบบไร้เงินสดอันดับหนึ่งของประเทศไทย เครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเก็บเงินสดไว้หมุนเวียนในธุรกิจได้มากขึ้น โดยใช้การแลกเปลี่ยนแทนการใช้เงินสด นำโดย คุณเรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย ได้รับเกียรติเข้าร่วมการพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองในหัวข้อ "Trustender's Partners" ภายในงาน Trustender Meet Up 2025 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการรวมตัวของผู้บริหารจากหลากหลายองค์กรชั้นนำ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 สยามพารากอน
การเข้าร่วมงาน Trustender Meet Up 2025 ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ บาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย ในการร่วมแบ่งปันแนวคิด กลยุทธ์ และแนวทางความร่วมมือทางธุรกิจในยุคดิจิทัล เพื่อมุ่งการขยายฐานพันธมิตรและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับสมาชิกบาร์เทอร์คาร์ดและ Trustender ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงาน

บาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย ไม่เคยหยุดนิ่งในการมองหาเครื่องมือและแนวทางใหม่ๆ เพื่อเพิ่มแต้มต่อทางธุรกิจให้กับสมาชิก และสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแท้จริง พร้อมผลักดันผู้ประกอบการในทุกขนาดธุรกิจให้คว้าโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
ผู้แทนกว่า 80 คนจาก 9 ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงผู้กำหนดนโยบายด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สมาชิกคณะกรรมการประสานงานอาเซียนด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ACCMSME), องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ ตลอดจนผู้นำในอุตสาหกรรมการแพทย์และสปา เข้าร่วมงาน “Regional Policy Consultation on Health and Wellness Tourism in ASEAN” ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร ระหว่างวันที่ 27 ถึง 28 พฤษภาคม 2568 การประชุมนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านกองทุนความร่วมมืออาเซียน – ญี่ปุ่น (JAIF) ร่วมด้วยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ACCMSME และมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย
การหารือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ความเข้มแข็ง การปรับตัว และความสามารถในการแข่งขัน: แผนยุทธศาสตร์สำหรับภาคการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสุขภาวะของ SMEs อาเซียนในยุคหลังวิกฤต (Resilience, Adaptability and Competitiveness: A Roadmap for the Health and Wellness Tourism Sector ASEAN SMEs in a Post-Crisis Age)” โดยมีเป้าหมายเพื่อความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืนผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรด้านการพัฒนา

ตลอดระยะเวลา 2 วัน ผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งรวมถึงหน่วยงานด้าน SME กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสุขภาพ สมาคมวิชาชีพ โรงพยาบาล ตลอดจนผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพดิจิทัล ได้ร่วมกันหารือนโยบายรวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยเน้นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านการประสานนโยบาย การแบ่งปันองค์ความรู้ และการดำเนินงานร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางในการยกระดับนวัตกรรมบริการ การสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดน และการพัฒนาเอกลักษณ์ร่วมของอาเซียนในตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก
การหารือเน้นย้ำถึงความสำคัญของกรอบการดำเนินงานระดับภูมิภาคที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของ MSMEs เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การประกันคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังให้ความสำคัญต่อมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการสร้างความโดดเด่นและความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

โครงการนี้สะท้อนถึงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของ JAIF ต่อวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของอาเซียน โดยการสนับ สนุนจากทีมบริหารจัดการ JAIF (JMT) เป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของการจัดการประชุมในครั้งนี้ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือในระดับภูมิภาค JMT ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำหนดเป้าหมายนโยบายที่ชัดเจนเพื่อกำกับการดำเนินงานร่วมกันและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของอาเซียน
การประชุมครั้งนี้มีส่วนในการขับเคลื่อนเป้าหมายที่กว้างขึ้นของอาเซียนในการสร้างประชาคมที่เข้มแข็งและพร้อมปรับตัวตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 รวมถึงการต่อยอดจากความพยายามในการฟื้นตัว การสร้างความร่วมมือ และการบูรณาการในยุคหลังการระบาดใหญ่
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เตรียมพร้อมรับการตรวจสอบจาก ICAO (International Civil Aviation Organization) ในโปรแกรม USOAP CMA (Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach) ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 8 กันยายนนี้ โดยโปรแกรมดังกล่าวว่าด้วยเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย อาทิ ความสมควรเดินอากาศของอากาศยานการปฏิบัติการของอากาศยาน ความปลอดภัยของสนามบิน การบริการการเดินอากาศ ซึ่งรวมด้านบริการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (SAR) อยู่ในการบริการการเดินอากาศด้วย โดย CAAT ได้สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (สกชย.) ในด้านการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเร็วๆ นี้ CAAT ได้จัดการประชุมความร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยสู่มาตรฐาน โดยมี พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เป็นประธานการประชุม เพื่อสื่อสาร สร้างความรู้ความเข้าใจในเอกสารหลักที่ใช้ในการให้บริการด้าน SAR ของประเทศ คือ ร่างแผนค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ เพื่อให้หน่วยงานในระบบ SAR ตามที่ระบุในร่างแผนค้นหาและช่วยเหลือฯ รวมจำนวน 19 หน่วย อาทิ สกชย. กองทัพอากาศ (ทอ.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงสาธารณสุข กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับทราบและเตรียมความพร้อมนำไปปฏิบัติ

พลอากาศเอกมนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของร่างแผนค้นหาและช่วยเหลือฯ คือเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (SAR Plan of Operations) โดยเอกสารต้องเป็นไปตามคู่มือมาตรฐานการให้บริการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (Manual of Standards – Search and Rescue Services: MOS-SAR) และ สกชย.จะเป็นหน่วยงานที่ต้องดำเนินการจัดให้มีความตกลงระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานปฏิบัติการ กำหนดขอบเขตและขั้นตอนการปฏิบัติงานให้เข้าถึงพื้นที่ประสบภัยภายใน 120 นาที หลังได้รับการแจ้งเตือน ให้หน่วยงานตามข้อตกลงจัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ทรัพยากร ระบบการจัดการ ทั้งนี้ การให้บริการ SAR ต้องครอบคลุม 4 พื้นที่ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่ทางทะเล พื้นที่ป่าภูเขา พื้นที่ราบ พื้นที่แหล่งชุมชน/เขตเมือง”

“ในเดือนสิงหาคมที่ประเทศไทยจะได้รับการตรวจสอบจาก ICAO ในโปรแกรม USOAP CMA (ด้านความปลอดภัย) นั้น ทาง ICAO จะตรวจ CAAT ในฐานะหน่วยงานกำกับ ซึ่งรวมถึงการ Industry visit หน่วยงานให้บริการด้าน SAR ภายใต้การดำเนินงานของ สกชย. เพื่อพิจารณาว่าหน่วยงานดังกล่าวปฏิบัติได้ตามมาตรฐานหรือไม่” พลอากาศเอก มนัทฯ กล่าวในตอนท้าย
การประชุมความร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยสู่มาตรฐาน ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาระบบ SAR พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการสายการบินต่าง ๆ ผู้โดยสารเครื่องบิน และประชาคมการบินระหว่างประเทศ
ในยุคที่การเลือกที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเพียงแค่การเลือก บ้าน แต่เป็นการเลือก ไลฟ์สไตล์ คุณภาพชีวิต และ อนาคต ทำเลที่ตั้งจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ ซึ่งตอนนี้โซนเหนือของกรุงเทพฯ อย่าง รังสิต เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ด้วยศักยภาพรอบด้าน ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทาง แหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน แหล่งงานใหญ่หลายแห่ง และการขยายตัวของเมืองที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ “พฤกษา” เลือกปักหมุดโครงการบ้านกว่า 21 โครงการบนทำเลศักยภาพแห่งนี้ เพราะเล็งเห็นแล้วว่า “รังสิตนครนายก-คลองหลวง-ติวานนท์”ครบครันด้วยทุกมิติของทำเล
“รังสิตนครนายก-คลองหลวง-ติวานนท์” มากกว่าแค่ทางผ่าน สู่ทำเลแห่งการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทุกมิติ
ด้านสาธารณสุข มีโรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง เช่น รพ.เปาโล รังสิต รพ.ปทุมเวช รพ.แพทย์รังสิต รพ.บางปะกอก-รังสิต 2 และ รพ.สินแพทย์ ผู้อยู่อาศัยจึงอุ่นใจได้ในทุกสถานการณ์
นอกจากนี้ ยังใกล้สถานศึกษาชั้นนำทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์
พฤกษา เติมเต็มชีวิต “อยู่ดี มีสุข” ด้วย 21 โครงการคุณภาพ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์
ด้วยความเข้าใจในความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า พฤกษาจึงพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในโซนรังสิตนครนายก-คลองหลวง-ติวานนท์ ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ราคา 1.29 - 9 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ภายใต้แบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็น ภัสสร เดอะแพลนท์ พฤกษาวิลล์ บ้านพฤกษา เดอะคอนเนค พาทิโอ และบ้านกรีนเฮ้าส์ ซึ่งปัจจุบันโครงการพฤกษาที่ยังเปิดให้เป็นเจ้าของในโซนนี้มีทั้งสิ้น 21 โครงการ อาทิ




โดยทุกโครงการของพฤกษาได้ออกแบบการอยู่อาศัยให้ทุกครอบครัวได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ผ่านแนวคิด Wellness Residence ออกแบบบ้านและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ส่งเสริมสุขภาพกายและใจของผู้อยู่อาศัย ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี สังคมที่อบอุ่นและเป็นมิตร เน้นฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงของทุกเจเนอเรชันในครอบครัว พร้อมด้วยนวัตกรรมทำให้บ้านเย็นสบายเหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทยและดีไซน์ให้ใช้งานได้ทุกตารางเมตร มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้ง สโมสร สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น ที่ได้นำความรู้ด้าน Lifestyle Medicine มาผสานเข้ากับการใช้ชีวิต เพื่อสร้างความ “อยู่ดี มีสุข” ให้เกิดขึ้นในทุกๆ วัน
หากคุณกำลังมองหาโครงการที่ ครบ จบ พร้อมอยู่ และเหมาะแก่การลงทุน ในโซนรังสิตนครนายก-คลองหลวง-ติวานนท์ พฤกษาพร้อมส่งมอบบ้านคุณภาพ กับแคมเปญสุดยิ่งใหญ่แห่งปี "บิงโกลด์" ลุ้นบิง ชิงทอง ให้ได้ลุ้น ได้ฟรี ได้ลด กับ 3 ความคุ้มสุดปัง ลุ้นทองคำแท่งสูงสุด 10 บาท รับฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน พร้อมรับของแถมสูงสุด 9 รายการ และส่วนลด มูลค่าสูงสุดถึง 700,000 บาท โดยรายละเอียดของราคาและส่วนลด จะแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญาจะซื้อจะขายตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568 และโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น
BAM บริษัทบริหารสินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ดำรงบทบาทหลักในการแก้ไขหนี้เสีย และบริหารจัดการ/จำหน่าย NPA สามารถสร้างยอดขายในการจำหน่ายทรัพย์แปลงใหญ่ได้ 1,450 ล้านบาท เล็งจับมือพันธมิตรกลุ่มอสังหาฯ และสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายฐานธุรกิจ สร้างรายได้ และการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า BAM สามารถสร้างยอดขายจากการจำหน่ายทรัพย์แปลงใหญ่ได้ถึง 1,450 ล้านบาท โดยทรัพย์ดังกล่าวเป็นที่ดินเปล่าจำนวน 50 แปลง ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่รวม 26-3-37.40 ไร่ ทั้งนี้ทิศทางในการขายทรัพย์ของ BAM มีแนวโน้มที่ดี โดยเห็นได้จากการไปร่วมออกบูธในงาน Money EXPO ที่สามารถกวาดยอดเสนอซื้อทรัพย์ได้สูงถึง 278 ล้านบาท จากเป้าหมาย 200 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมทรัพย์มือสองยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งผู้บริโภครายย่อยและนักลงทุน โดยจากข้อมูลที่น่าสนใจนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ยอดขายทรัพย์มือสองสูงกว่าทรัพย์มือหนึ่ง ด้วยเหตุผลราคาที่ดิน รวมถึงค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานของทรัพย์มือหนึ่ง มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 3-5% ขณะที่หลายคนมองว่าแม้การลงทุนในทองคำหรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ผลตอบแทนสูงถึง 6-7% แต่ยังเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่การลงทุนในทรัพย์ NPA ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดินเปล่า คอนโดมิเนียม ฯลฯ ถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย (safe investment) และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าถึง 3 ต่อ คือมีส่วนลดจากราคาประเมิน 10-16% มี Capital Appreciation 3-5% และมี Rental Yield 7-8% ทำให้ได้รับผลตอบแทนโดยรวม 20-29%

ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการเร่งสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง BAM ได้มีการกำหนดกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ในรูปแบบของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) เพื่อเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินงานซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดทางธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร โดยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในการพิจารณาคัดเลือกทรัพย์สินรอการขายของ BAM ประเภททรัพย์เพื่อการลงทุน หรือทรัพย์ประเภทโครงการเพื่อให้กลุ่มบริษัทที่เป็นพันธมิตรของ BAM นำไปพัฒนา หรือพิจารณาซื้อทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่าเพื่อนำไปสร้างที่อยู่อาศัยในรูปแบบกิจการร่วมทำ เป็นต้น
อย่างไรก็ดีปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อ BAM จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินหลายแห่ง อาทิ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารยูโอบี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อที่จะได้นำเสนอสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษให้กับลูกค้าของ BAM รวมทั้ง BAM ยังมีโปรโมชั่นผ่อนชำระโดยมีโปรผ่อนสบาย ดอกเบี้ย 0% 2 ปีแรก เพื่อเป็นทางเลือกในการช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อทรัพย์ของ BAM ง่ายยิ่งขึ้น และจากการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้ BAM สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับ BAM ได้อย่างยั่งยืน
BUZZEBEES บริษัทแพลตฟอร์ม Loyalty และ Digital Engagement ชั้นนำของประเทศไทย กำลังสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในการขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ FPT ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกและเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม เพื่อส่งมอบโซลูชันดิจิทัลแบบครบวงจร (end-to-end) ที่ไร้รอยต่อให้แก่ภาคธุรกิจ การลงนามความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ FPT กรุงฮานอย ในโอกาสที่ ฯพณฯ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2568
BUZZEBEES ชี้ 'Digital Engagement' คืออนาคต ขับเคลื่อนการเติบโตระดับภูมิภาค
นายไมเคิล เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES) กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า "BUZZEBEES มองเห็นศักยภาพอันมหาศาลของ Digital Engagement ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดเวียดนามที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริโภคในปัจจุบันคาดหวังประสบการณ์ที่เชื่อมโยงและรู้ใจจากแบรนด์ต่างๆ นี่คือโอกาสทองสำหรับธุรกิจที่จะสร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งกับลูกค้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความร่วมมือกับ FPT ถือเป็นหัวใจสำคัญในกลยุทธ์การขยายกิจการของ BUZZEBEES เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับภูมิภาค โดยจะนำความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วด้าน CRM, Loyalty, Digital Engagement และ Mobile Application ของ BUZZEBEES ผสานเข้ากับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีระดับโลกและการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางของ FPT เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างสรรค์การมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ นี่คือก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับ BUZZEBEES ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทั่วทั้งภูมิภาค"
ผนึกกำลังสร้างโซลูชันดิจิทัลเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ความร่วมมือครั้งนี้ จะผนึกกำลังเพื่อพัฒนาโซลูชันดิจิทัลที่มุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ช่วยอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้า และสร้างสรรค์โปรแกรม Loyalty ข้ามแบรนด์ (cross-merchant loyalty programs) ให้แก่ธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG), ค้าปลีก, การเงิน และโทรคมนาคม ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันยกระดับการมีส่วนร่วมกับลูกค้า (customer engagement) ปรับปรุงระบบเดิมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โครงการนำร่องที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือนี้คาดว่าจะส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้แก่ลูกค้าภายในปีนี้
คุณเลวี่ เหงียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FPT ประเทศไทยและ FPT ไต้หวัน, FPT Corporation กล่าวเสริมว่า "อนาคตของเราคือโลกดิจิทัล และภาคธุรกิจต้องเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อก้าวล้ำนำหน้าอยู่เสมอ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ทุกวัน ด้วยความร่วมมือนี้ FPT และ BUZZEBEES จะเร่งการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้แก่ธุรกิจต่างๆ โดยเน้นการเดินทางที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการผสานการทำงานของ FPT กับ BUZZEBEES ในการพัฒนาแอปพลิเคชันดิจิทัล AIA+ ซึ่งช่วย AIA สร้างสรรค์ Ecosystem ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของ AIA Vitality ไปสู่การเชื่อมโยงกับพันธมิตรภายนอกเพื่อแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมข้าม Loyalty Program"
ผสานเทคโนโลยีและประสบการณ์ระดับโลกสู่ตลาดไทย
การผนึกกำลังครั้งนี้เป็นการผสานความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ BUZZEBEES ในด้าน CRM (การบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์), การวิเคราะห์ข้อมูล และแอปพลิเคชันมือถือระดับองค์กร เข้ากับขีดความสามารถในการนำไปปฏิบัติของ FPT เพื่อมอบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่ไร้รอยต่อให้แก่ธุรกิจทั่วโลก โดย FPT จะให้บริการเทคโนโลยีแบบครบวงจร ทั้งโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์, การวิเคราะห์ข้อมูล, AI และการวางระบบ (system integration) รวมถึงการผสานโซลูชัน Loyalty & Engagement ของ BUZZEBEES ซึ่งเป็นผู้นำตลาด เข้ากับโซลูชันประสบการณ์ลูกค้าแบบ Omnichannel ที่ FPT ได้ติดตั้งให้ลูกค้าทั่วโลก นอกจากนี้ FPT ยังจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลระยะยาวสำหรับตลาดไทย
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของ FPT ในภูมิภาค APAC โดยมีฐานลูกค้าที่ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน รวมถึงแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Unilever, Central Group, AIA, Liberty, Prudential, KBTG, SCB, KKP, TTB, Bangkok Bank, FWD, Honda, Panasonic, Mitsubishi และ Hitachi ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอโซลูชันร่วมกับ BUZZEBEES สู่ตลาดนี้ และตอกย้ำถึงความร่วมมือทางเทคโนโลยีและธุรกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างสองประเทศ ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่งร่วมกัน
นอกจากนี้ FPT ได้มีโอกาสเข้าร่วมการหารือกับนายกรัฐมนตรีและคณะผู้แทนรัฐบาลไทยในการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ โดยได้ย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวในการสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในหลากหลายอุตสาหกรรม การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีคุณภาพสูง และการนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอีกด้วย
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกทัพนวัตกรรมอาหารระดับโลก ร่วมงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “KITCHEN OF THE WORLD : QUALITY THROUGH SUSTAINOVATION” ผสานคุณภาพ ความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และรสชาติที่อร่อยไว้อย่างลงตัว ชวนคู่ค้าพันธมิตร-ผู้บริโภคสัมผัสประสบการณ์ใหม่ แลความอร่อยที่โดนใจคนทั่วโลก ในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2025 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 นี้ โดยมี คุณเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด คุณอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ และคุณกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ร่วมให้ข้อมูล
คุณเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด เปิดเผยว่า บูธของซีพีเอฟปีนี้ เป็นธีม Sustainovation นำเสนอผลิตภัณฑ์รักษ์โลก การสร้างสรรสินค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย รสชาติที่อร่อย นวัตกรรม ความยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสู่การเป็นครัวของโลก (Kitchen of the World) ซึ่งนอกจากเราจะเป็นผู้ผลิตไก่ หมู กุ้ง แล้ว ยังเป็นผู้นำในเรื่องของอาหารแปรรูปในระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ Authentic Asia เมนูที่เน้นรสชาติแบบเอเชีย แบรนด์ Kitchen Joy เน้นเรื่องความสนุก ความสะดวกด้วยกล่อง Cube ที่สามารถเปิดกินได้ง่าย สีสันสดใส โดยคงไว้เรื่องคุณภาพระดับสูงและรสชาติ และ MEAT ZERO ที่นำเสนอทางเลือกใหม่ของโปรตีนจากพืช เป็นต้น

คุณอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวเสริมว่า เรามุ่งเน้นทั้งของสดและแปรรูป ประเทศไทยส่งออกไก่เป็นอันดับ 3 ของโลก เราอยากสื่อสารให้ทั่วโลกทราบว่าไก่ที่มาจากเมืองไทย คุณภาพดี เป็นความท้าทาย ทำให้ซีพีเอฟ มุ่งพัฒนาตลอดกระบวนการ ด้วยมาตรฐานระดับสูงไม่ใช่แค่ระดับประเทศ และไม่ใช่แค่ระดับนานาชาติ แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เกินระดับโลก เป็นที่มาที่เราไปพิชิตมาตรฐานระดับอวกาศของ NASA ไก่ซีพีผ่านมาตรฐานความปลอดภัยในระดับอวกาศ ซึ่งตอนนี้เราเตรียมพร้อมจะส่งให้นักบินอวกาศได้รับประทาน คนไทยสามารถร่วมภาคภูมิใจว่าไก่ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เสริมทัพความแข็งแกร่งเรื่องการแข่งขันกับต่างประเทศ

คุณกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ กล่าวเสริมว่า ซีพีเอฟ มีเป้าหมายเดินหน้าสู่ Net -Zero ในปี 2050 ซึ่งในกระบวนการผลิตทั้งหมด ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอน รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์กับทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(TGO) ขณะเดียวกัน บริษัทฯกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน อาทิ ลงทุนด้านการดีไซน์ ลดการใช้พลาสติก เน้นแพ็กเกจจิ้งที่ช่วยรักษาคุณภาพของอาหาร วัสดุที่นำมาทำแพ็กเกจจิ้งไม่มาจากการตัดไม้ทำลายป่า เหล่านี้อยู่ในกระบวนการผลิตที่จะออกมาเป็นสินค้าให้กับผู้บริโภคต่อเนื่อง
อีกหนึ่งไฮไลท์ของปีนี้ ผลิตภัณฑ์ "ไส้กรอกน้ำซุปบุชเชอร์" ผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟที่ได้รับรางวัล THAIFEX Taste Innovation Show Winner 2025 สาขานวัตกรรมอาหารยอดเยี่ยม จากกว่า 100 ผลิตภัณฑ์ทั่วเอเชีย ไส้กรอกพรีเมี่ยมเนื้อแน่น สอดไส้น้ำซุปกระดูกหมู ด้านในเป็นน้ำซุปที่เพิ่มความชุ่มฉ่ำและประสบการณ์ใหม่ในการรับประทาน
นอกจากนี้ บูธ CPF ในปีนี้ ยังได้นำเสนอความสำเร็จของการนำผลิตภัณฑ์ไก่ซีพี ที่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศของ NASA และเตรียมพร้อมจะส่งให้นักบินอวกาศได้รับประทาน คนไทยสามารถร่วมภาคภูมิใจว่าไก่ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เราพิชิตมาตรฐานที่ดีที่สุด เสริมทัพความแข็งแกร่งเรื่องการแข่งขันกับต่างประเทศ ภายในงาน ยังมีกิจกรรมที่สร้างความสนุกให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชม อาทิ นักบินอวกาศโรยตัวแจกอกไก่กะเพรา ถ่ายรูปกับอุโมงค์อวกาศ

สำหรับสุดยอดอาหารที่ได้รับรางวัล และผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก รวมทั้งผลิตภัณฑ์นำเข้าระดับพรีเมียม ที่นำมาให้ชิมและช้อปก่อนใครภายในงานนี้ อาทิ แบรนด์ CP Authentic Asia เปิดตัวเมนูเอเชียพร้อมรับประทานสุดฮิต 3 ซีรีส์ คือ Japanese Series: Japanese Tatsutaage ที่โด่งดังในญี่ปุ่นและยุโรป
Korean Series ไก่ทอดซอสฮันนี่เลมอน กลมกล่อมลงตัว Thai Series เมนูใหม่ล่าสุดอย่างไก่ทอดต้มยำ และไก่ทอดหาดใหญ่สไตล์ไทยแท้ แบรนด์ CP Kitchen Joy นำเสนอ 3 สไตล์ Thai Cube เมนูรสจัดจ้านสไตล์ไทยแท้ Indian Cube หอมเครื่องเทศเข้มข้น Green Cube โปรตีนทางเลือกเพื่อคนรักสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ MEAT ZERO นำเสนอทางเลือกใหม่ของโปรตีนจากพืช เช่น พะแนงโปรตีนทางเลือก, Mushroom Gyoza กลิ่นซอสญี่ปุ่นหอมกรุ่น และ เกี๊ยวซ่าแกงเขียวหวานฟิวชันไทย-ญี่ปุ่น

ผลิตภัณฑ์นำเข้าที่คัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลกมาให้ชาวไทยได้ลิ้มลอง อาทิ ซีพี อูโอริกิ อาหารทะเลพรีเมียมจากญี่ปุ่น สัมผัสความนุ่มละลายในปากของเนื้อวากิว A5 จากนางาซากิ, เนื้อวัว HARVEY BEEF จากออสเตรเลีย, พาสต้า Barilla จากอิตาลี, ชีส Meiji จากฮอกไกโด ที่คัดสรรมาตอบโจทย์ทุกมื้ออาหาร
พบกับนวัตกรรมอาหารระดับโลกจากซีพีเอฟ ได้ที่บูธ CPF เลขที่ 2-U01 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 – 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น.สำหรับผู้ประกอบการ และในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา10.00 – 20.00 น. เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมและชิมฟรี
เครื่องดื่มเกลือแร่ “เกเตอเรด” โดย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด มอบประสบการณ์อันล้ำค่า พาสุดยอดทีมเยาวชนผู้ชนะ “ทีม Buriram United Academy B” จากจังหวัดสุรินทร์ แชมป์การแข่งขัน “Gatorade 5v5 Football 2025” บินตรงสู่ดินแดนลูกหนัง เพื่อร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายกับทีมแชมป์เยาวชนจากนานาประเทศในการแข่งขันรายการ “Gatorade UCL Final 5v5 Experience” ซึ่งจัดโดย PepsiCo Inc. ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายณุวัฒน์ เมธปรีชากุล ผู้จัดการอาวุโสสินค้าไฮเดรชั่น บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติร่วมเดินทางไปพร้อมทีมนักฟุตบอลตัวแทนแชมป์ประเทศไทย “ทีม Buriram United Academy B” ได้แก่ ณัฏฐชัย แสงตั้งสกุลชัย, ณตะวัน ตะพาบน้ำ, ภานุวิชญ์ เจยาคม, เจษฎากร ปารารักษ์, อนพล กุลศิริ, ภาณุพงษ์ เจยาคม และผู้ฝึกสอน ยศกร ศิลาเกษ เพื่อร่วมศึกการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ “Gatorade UCL Final 5v5 Experience” ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568
การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญที่จะได้เห็นทีมนักเตะเยาวชนจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมแข่งขัน เพื่อลุ้นคว้ารางวัลใหญ่ อย่างตั๋วเข้าชมการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2024/25 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง พบ อินเตอร์ มิลาน ในคืนวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่สนามอัลลิอันซ์ อารีนา เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

เกเตอเรด ขอชวนคนไทยทั่วประเทศรวมพลังส่งใจเชียร์นักเตะเยาวชนไทยสู้ศึกฟุตบอลระดับโลก เพราะทุกแรงใจจากแฟนบอลไทยคือพลังสำคัญที่จะผลักดันให้นักเตะก้าวข้ามทุกความท้าทายบนสนาม พร้อมแสดงศักยภาพของนักเตะไทยให้โลกรู้ว่า พลังลูกหนังไทย ไม่เป็นรองใคร โดยแฟนบอลหรือผู้สนใจสามารถติดตามผลการแข่งขันหรือกิจกรรมในครั้งต่อไป ดูรายข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Gatorade 5v5 Football Thailand
อุตสาหกรรมความงามในปี 2025 โดยข้อมูลจาก ttb analytics คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 75,000 ล้านบาท หรือเติบโต 2.7% จากปี 2024 โดยมีกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น ผู้ชายและผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันเริ่มหันมาใส่ใจการดูแลรูปลักษณ์มากขึ้น ซึ่งถือว่าอุตสาหกรรมความงามของไทยยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีรายได้เฉลี่ยต่อปีมากกว่า 300,000 ล้านบาท ภาพรวมตลาดความงามของไทยในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์และบริการที่ไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาวิธีการดูแลตัวเองที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ1

ล่าสุด บริษัท วอนเทค เอเชีย จำกัด (WONTECH ASIA) ผู้นำด้านนวัตกรรมความงาม และการแพทย์จากประเทศเกาหลีใต้ ขานรับการเติบโตของตลาดความงาม พร้อมตอกย้ำความสำเร็จโปรแกรมกระชับผิวหน้าและลำคอ Oligio (โอลิจิโอ้) ที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทยและประเทศเกาหลี จัดงาน “The Way of Lift with Oligio” โดยมี แพทย์หญิงวรนรี วินะยานุวัติคุณ มาให้ความรู้เกี่ยวกับเทรนด์ความงาม The Ordinary Natural Look ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับให้สวยในแบบธรรมชาติได้ พร้อมเปิดตัวสองพรีเซนเตอร์ตัวท็อประดับประเทศอย่าง “บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” และ “พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ที่มาร่วมถ่ายทอด สะท้อนตัวตน สู่ The Best Version of You ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้า สยามพารากอน

สำหรับ Oligio เป็นโปรแกรมยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นวิทยุแบบขั้วเดี่ยว (Monopolar RF) ที่ลงลึกถึงชั้นไขมันทำให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างล้ำลึก ผิวกระชับแลดูอ่อนเยาว์ กำลังเป็นที่จับตามองในวงการความงาม จากการตอบรับที่ดีของผู้ใช้บริการและคลินิกความงามทั่วประเทศ โดย นายไอแซค จาง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วอนเทค เอเชีย จำกัด เผยว่า “ตั้งแต่เปิดตัว Oligio ได้ไม่นาน ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวกระชับแลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ทำให้เกิดผลลัพธ์คงที่และปลอดภัย และเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ภายใต้แนวคิด “The Best Version of You” บริษัทได้ดึงตัวท็อปอย่าง บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ และ พีพี – กฤษฎ์ มาเป็นแบรนด์พรีเซนเตอร์ ในการถ่ายทอดไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น

นอกจากนี้ นายไอแซค ยังกล่าวถึงทิศทางการเติบโตของ ตลาดเวชศาสตร์ความงามในไทย ที่คาดว่าในปีนี้ จะมีมูลค่าทะลุกว่า 75,000 ล้านบาท “ตลาดด้านเวชศาสตร์ที่โตขึ้น ทำให้เรามองเห็นศักยภาพของไทย ประกอบกับเทรนด์ความงามที่ยังคงให้ความสำคัญในเรื่อง Skin Quality ซึ่งจากงบประมาณในแต่ละปี วอนเทค เอเชีย ให้ความสำคัญกับ Research & Development เป็นหลัก โดยได้จัดสรรงบในการพัฒนาเทคโนโลยีคิดเป็น 70% เพื่อมุ่งเน้นด้านการวิจัยและนวัตกรรม ให้รองรับการเติบโตในอนาคต และตอบโจทย์ลูกค้าและแพทย์ด้านสกินแคร์ ส่วนอีก 30% ใช้ในการทำตลาดให้มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้แบรนด์พรีเซนเตอร์ที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภค พร้อมสร้างการจดจำแบรนด์ในระยะยาว โดยปัจจุบัน Oligio มีให้บริการแล้วกว่า 400 คลินิกทั่วประเทศ โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และในสิ้นปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายการเติบโตทางธุรกิจ เพิ่มขึ้นอีก 100% หรือแตะที่ 800 ล้านบาท เพื่อตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน

สิ่งที่ทำให้ วอนเทค เอเชีย มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความไว้วางใจ เป็นเพราะความมุ่งมั่นที่จะศึกษาและทำความเข้าใจความต้องการของตลาดและผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการนำเข้านวัตกรรมความงามเชิงฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มยกกระชับใบหน้าและกลุ่มเลเซอร์ ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เนื่องจากนวัตกรรมที่นำเข้ามานั้น สามารถแก้ไขข้อกังวลของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี รวมถึงสร้างความงามอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เน้นการดูแลตัวเองโดยอาศัยระยะเวลาสั้น หลีกเลี่ยงความเจ็บหรือผลข้างเคียงจากการศัลยกรรม อีกทั้งยังไม่ชอบใช้สารเข้าสู่ร่างกาย จึงทำให้ วอนเทค เอเชีย เป็นที่ยอมรับจากคลินิกความงามชั้นนำ รวมถึงผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการด้วย” นายไอแซค กล่าว
ทั้งนี้ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง และเข้ารับการรักษากับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีการรับรองเพื่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการเข้ารับบริการ
1https://en.moneyandbanking.co.th/2025/157051/?utm_source=chatgpt.com