

เป็นปีที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากอีกหนึ่งปี สำหรับ บริษัท ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ จำกัด (TRUE CJ Creations) ผู้นำด้านการผลิตคอนเทนต์ระดับพรีเมียมของประเทศไทย ที่ป้อนคอนเทนต์มากมายเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ชมทั้ง ซีรีส์ วาไรตี้ เกมโชว์ และสารคดี โดยในปีนี้คอนเทนต์ซีรีส์คุณภาพอย่าง “Good Doctor หมอใจพิเศษ” ที่สร้างสรรค์ผลงานยอดเยี่ยมด้วยการถูกเสนอชื่อ พร้อมเดินสายกวาดรางวัลใหญ่ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้กับสังคม

ซีรีส์ "Good Doctor หมอใจพิเศษ" ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากหลากหลายเวทีประกาศรางวัลชั้นนำ ล่าสุดจากงานประกาศรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 16 ที่ "หมอเน๋ง ศรัณย์ นราประเสริฐกุล" คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปครอง ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของผลงานชิ้นนี้
รางวัลที่ได้รับในครึ่งปีแรก 2568:
นอกจากนี้ ยังได้รับโล่เกียรติคุณองค์การที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคคลออทิสติก มอบให้สำหรับ “บริษัท ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ จำกัด” และนักแสดง “หมอเน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล” จาก WORLD AUTISM AWARENESS DAY 2025 โดยมูลนิธิออทิสติกไทย อีกด้วย

นางสาวอารี อารีจิตเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ กล่าวว่า "ความสำเร็จของซีรีส์ 'Good Doctor หมอใจพิเศษ' สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ไม่เพียงแต่มีคุณภาพระดับสากล แต่ยังสื่อสารข้อความที่มีความหมายลึกซึ้งและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม การได้รับรางวัลมากมายในครึ่งปีแรกนี้ ถือเป็นที่ประจักษ์ถึงความมุ่งมั่นของทีมงานทุกคนที่ร่วมสร้างสรรค์เรื่องนี้นี้ขึ้นมา"
"เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับโล่เกียรติคุณจากมูลนิธิออทิสติกไทย เนื่องในวันความตระหนักรู้เรื่องออทิสซึมโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซีรีส์ของเราไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังช่วยสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้เกี่ยวกับบุคคลที่มีความแตกต่างแต่เราจะไม่แบ่งแยก”

ซีรีส์ "Good Doctor หมอใจพิเศษ" เป็นผลงานดัดแปลงจากซีรีส์ชื่อดังระดับโลก ที่นำเสนอเรื่องราวของหมอหนุ่มผู้มีความสามารถพิเศษ โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจและลดอคติต่อบุคคลที่มีความแตกต่าง ผ่านการแสดงที่เข้าถึงใจของทีมผู้ผลิตและนักแสดงมากความสามารถ โดย ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพ และสร้างผลงานที่สร้างคุณค่าให้กับสังคมอย่างยั่งยืน
สำหรับแฟน ๆ ที่ยังคิดถึงซีรีส์ "Good Doctor หมอใจพิเศษ" ยังสามารถรับชมได้ยาวๆ แบบจุใจ 20 ตอนรวด ทางแอปพลิเคชัน TrueID ดูฟรีที่เดียวที่ ทรูไอดี
orbix INVEST เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ในกลุ่ม Stablecoin ภายใต้ชื่อกลยุทธ์ OBX-STABLECOINPLUS มุ่งสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตของผู้ลงทุนไทย ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงภายในพอร์ตและบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ วางกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวโดยไม่ต้องออกจากระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และใช้เป็นทางเลือกในการบริหารเงินทุนระยะสั้นระหว่างรอโอกาสลงทุนถัดไป โดยสามารถสับเปลี่ยนกลยุทธ์มายัง OBX-STABLECOINPLUS ได้โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์ออกหรือเสียค่าธรรมเนียมการเพิ่มทุน
ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ อินเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า orbix INVEST ดำเนินธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) ในเครือบริษัท ออร์บิกซ์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย นำเสนอทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบัน Stablecoin กำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในโครงสร้างหลักของระบบการเงินดิจิทัลระดับโลก โดย Stablecoin คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่หรือมีความผันผวนน้อยมาก มักตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) จึงสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน พักเงิน หรือบริหารสภาพคล่องในพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำหน้าที่เชื่อมระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับเศรษฐกิจดิจิทัลในยุคใหม่
orbix INVEST จึงมีแผนที่จะเปิดตัวกลยุทธ์ OBX-STABLECOINPLUS ภายในเดือนมิถุนายนนี้ เน้นลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท USD Stablecoin เช่น USDC โดยเฉลี่ยในรอบปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าเงินลงทุน ขณะเดียวกันอาจพิจารณาลงทุนในเงินสดหรือ Stablecoin อื่น ๆ ไม่เกิน 20% โดย USDC เป็น Stablecoin ที่ออกโดยบริษัท Circle ซึ่งได้รับการกำกับดูแลจาก US Financial Crimes Enforcement Network (FinCEN) สหรัฐฯ และมีการตรวจสอบเงินสำรองรายเดือนโดย Deloitte ซึ่งแสดงให้เห็นว่า USDC มีสินทรัพย์หนุนหลังครบ 100% ประกอบด้วยเงินสดราว 20% ที่ฝากไว้กับธนาคารขนาดใหญ่ และอีกประมาณ 80% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุไม่เกิน 90 วัน ปัจจุบัน USDC มีมูลค่าหมุนเวียนกว่า 32 พันล้านดอลลาร์ และได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกอย่าง BlackRock และ Goldman Sachs ทำให้ Circle ถือเป็นผู้ออก Stablecoin ที่น่าเชื่อถือที่สุดรายหนึ่งในอุตสาหกรรมคริปโต
จากข้อมูลเชิงสถิติในหลายมิติสะท้อนว่า ปัจจุบัน Stablecoin ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการเงินดิจิทัลทั่วโลก ด้วยมูลค่าตลาดรวม ณ เดือนพฤษภาคม 2568 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 43.5% จาก 1.61 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (อ้างอิง: CoinDesk และ CoinGecko) และมีฐานผู้ใช้งานขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนกระเป๋าเงินคริปโต (Crypto wallet) ที่มีการใช้งานจริงเพิ่มขึ้นจาก 19.6 ล้านใบในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เป็น 30 ล้านใบในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หรือเติบโตถึง 53% (อ้างอิง: Cointelegraph) ที่สำคัญ ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีปริมาณการโอนเงินผ่าน Stablecoin รวมสูงถึง 27.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าปริมาณธุรกรรมรวมของทั้ง Visa และ Mastercard รวมกันถึง 7.68% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Stablecoin ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ทางเลือก แต่ได้กลายเป็น เครื่องมือหลักในการชำระเงินและจัดสรรสินทรัพย์ ที่มีประสิทธิภาพในโลกเศรษฐกิจดิจิทัล (อ้างอิง: Bastion)
ดร.ธนภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลยุทธ์ OBX-STABLECOINPLUS นั้น orbix INVEST ได้ส่งต่อผลประโยชน์พิเศษที่ได้รับจากการถือครอง USDC ผ่านแพลตฟอร์ม Coinbase ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 3% ต่อปี ทั้งนี้ ผลประโยชน์นี้ไม่ได้มีการการันตีและอาจเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกได้ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการและภาวะตลาด แต่ในระหว่างที่ได้ผลประโยชน์นี้ บริษัทฯ ได้พิจารณานำไปลงทุนต่อใน Stablecoin ตามนโยบาย เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนเพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนได้จริง
*คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เปิดวิสัยทัศน์ผู้บริหาร กับบทบาทการนำ “SPC” ก้าวสู่ปีที่ 83 ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน “ส่งมอบคุณภาพ อย่างมีคุณธรรม” ตอกย้ำผู้นำในการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งในขณะเดียวกัน หลอมรวมหลากหลายเจนเนอเรชัน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายธุรกิจที่ยั่งยืน

นางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย หนึ่งในผู้บริหาร เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินงานของ “สหพัฒนพิบูล” หลังจากปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันเป็น Management Team รุ่นใหม่ อาทิ คุณเวทิต โชควัฒนา และคุณเพชร พะเนียงเวทย์ ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จาก 3 ส่วนงาน ได้แก่ การขนส่ง (Logistics) การสื่อสาร (Communication) และการผลิต (Production) มาร่วมวางแผนการบริหารธุรกิจให้มีความคล่องตัว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

ก้าวต่อไปของ สหพัฒนพิบูล มีเป้าหมายเดียวกันคือ การให้ความสำคัญกับคุณค่าขององค์กรที่สามารถส่งมอบให้แก่ “เพื่อนร่วมงาน” อย่างทั่วถึง มองพนักงานในฐานะฟันเฟืองหลักขององค์กร เพื่อให้ทุกคนพร้อม “ส่งมอบคุณภาพ อย่างมีคุณธรรม” ภายใต้ 3 คุณค่าหลักขององค์กร ได้แก่ 1.ร่วมมือ ร่วมใจ (Collaboration) ความสำเร็จเกิดจากทีมเวิร์ก ทุกเสียงมีความหมาย ทุกความคิดเห็นมีค่า การรับฟังซึ่งกันและกันคือการให้เกียรติ และเป็นพลังสำคัญที่ทำให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน 2.รู้จริง ทำจริง เชี่ยวชาญ (Expertise) ทุกวันคือโอกาสเรียนรู้และเติบโต การลงมือทำจนเกิดความเชี่ยวชาญความมุ่งมั่นและความตั้งใจ 3.ความภูมิใจคู่สังคมไทย (Pride) คงไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจไปกว่าการทำงานในบริษัทของคนไทย ด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่เพื่อนร่วมชาติ สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโตของบริษัทและขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
“ที่ผ่านมาการดำเนินงานของ สหพัฒนพิบูล หรือ SPC ยังคงยึดมั่นคุณค่าองค์กรตั้งแต่แรกเริ่ม คือ ความซื่อสัตย์ในการดำเนินธุรกิจ และยังใช้จุดแข็งด้านประสบการณ์การทำงานของคนรุ่นเดิมมาผสมผสานกับแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง แต่แฝงไปด้วยความยืดหยุ่นในขณะเดียวกัน เพื่อสร้างความลงตัวให้ได้มากที่สุด” นางชัยลดา กล่าว

ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่หลอมรวมหลากหลายเจนเนอเรชันเข้าไว้ด้วยกัน มีความพร้อมในการสนับสนุนการทำงานทุกระดับ ตำแหน่งและหน้าที่ในสายปฏิบัติงานเสมือน “พี่สอนน้อง” ถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น พร้อมเปิดกว้าง ‘รับฟัง’ ไอเดีย แนวคิดต่าง ๆ จากคนรุ่นใหม่เพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กรให้มีความร่วมสมัย และยังเปิดรับผู้บริหารระดับมืออาชีพเสริมทัพเพื่อสร้างทีมที่มากด้วยประสบการณ์แข็งแกร่ง ความกล้า และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนองค์กร ให้แข็งแรง ยืดหยุ่น และทันสมัยในทุกยุค
ปัจจุบัน “สหพัฒนพิบูล” หรือ SPC จัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคต่าง ๆ มากมายกว่า 1,000 รายการ ซึ่งสินค้าที่เป็น ‘Hero Products’ ไม่ว่าจะเป็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” น้ำแร่มองต์เฟลอ น้ำตาลมิตรผล ผลิตภัณฑ์คิวพี ผงซักฟอกเปา ผงซักฟอก108 Shop ครีมอาบน้ำโชกุบุสซึ ยาสีฟันซอลส์ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่อยู่เคียงข้างผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน และในอนาคตสหพัฒนพิบูลมีแผนจะทำตลาดสินค้าใหม่ที่หลากหลายและยังคงยึดมั่นในสินค้าคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่ดีของผู้บริโภค

เครื่องมือสำคัญในการส่งผ่านความแข็งแกร่งของแบรนด์องค์กร พร้อมสื่อสารออกไปภายนอกด้วยโลโก้ (Logo) ของสหพัฒนพิบูลในปัจจุบัน ที่ใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษ “SPC” (SAHAPAT) สะท้อนวิถีการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ประกอบเป็นค่านิยมองค์กร (Core Value) อย่างชัดเจน ดังนี้
สัญลักษณ์ สหพัฒนพิบูล หรือ SPC ที่ภายนอกเป็นวงกลมยังต้องการสื่อสารถึงความไม่มีเหลี่ยมมุมใด ๆ กับผู้คนรอบนอก ส่วนรูปสี่เหลี่ยมภายในสะท้อนถึงรูปแบบการทำงานขององค์กรที่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกัน

นอกจากการดำเนินธุรกิจที่ SPC ต้องนำพาองค์กรให้บรรลุเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปนั่นคือ การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดย SPC จะนำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับเปลี่ยนและพัฒนาภายในและกระจายสู่ภายนอกองค์กร (Digitalization Project) เน้นการบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
นับเป็นความท้าทายของ SPC ที่ปัจจุบันมีพนักงานรวมกันกว่า 3,000 คน แบ่งเป็น พนักงานประจำ 1,500 คน พนักงานรายวัน 1,500 คน โดยทุกคนล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง ซึ่ง SPC ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจในฐานะผู้จัดจำหน่ายของคนไทยที่แข็งแกร่ง และพร้อมมีส่วนร่วมสำคัญในการอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน
“สยามฟูด เซอร์วิส” บุกงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มครบวงจร “Thaifex Anuga Asia 2025” เปิดตัว New Facility เสริมศักยภาพธุรกิจอาหาร รองรับกระบวนการผลิต แปรรูป และบรรจุสินค้าอย่างครบวงจร ยึดมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ชูจุดแข็งระบบหลังบ้านตั้งแต่คลังสินค้า การจัดการโลจิสติกส์ และทีมงานที่สามารถให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคได้ในทุกหมวดสินค้า รองรับการเติบโตธุรกิจอาหารแบบก้าวกระโดดในอนาคต

คุณปรียดา ศรีพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามฟูด เซอร์วิส จำกัด ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายวัตถุดิบอาหารคุณภาพจากทั่วโลก เปิดเผยว่า ในปี 2568 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย และระดับภูมิภาค ซึ่งเห็นได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง โดยเน้นที่คุณภาพ ความปลอดภัย ความสะดวก และการตอบโจทย์เฉพาะทางมากขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารจึงต้องก้าวไปให้ไกลกว่าการขายสินค้า เป็นโซลูชันแบบครบวงจร ทั้งสูตรเฉพาะ การแปรรูป และบริการหลังการขาย โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าเรามองว่าในอนาคตอันใกล้ ความสามารถในการรองรับความต้องการที่หลากหลายและตอบโจทย์เฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มธุรกิจ จะเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในอุตสาหกรรมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการสินค้า ready-to-eat, กลุ่มที่เน้นสูตรเฉพาะ หรือธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นด้านปริมาณและบรรจุภัณฑ์ เราตั้งใจพัฒนาศักยภาพของเราให้พร้อมรองรับโจทย์เหล่านี้ได้ครบวงจรและแม่นยำยิ่งขึ้น”

ดังนั้น เมื่อมีการแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารที่สูงและเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ Food Service ซึ่งคู่แข่งไม่ได้จำกัดแค่ด้านราคา แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการส่งมอบสินค้าที่ตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละธุรกิจ ซี่งเรารับมือด้วยการยกระดับความสามารถในทุกมิติ เช่น การเปิดโรงงานผลิตของเราเองเพื่อควบคุมคุณภาพและการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ customized ที่สามารถร่วมพัฒนากับลูกค้าได้ และความพร้อมด้านระบบหลังบ้าน ตั้งแต่คลังสินค้า การจัดการโลจิสติกส์ และทีมงานที่สามารถให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคได้ในทุกหมวดสินค้า ซึ่งเชื่อว่าความพร้อมรอบด้านและความเข้าใจธุรกิจแบบ end-to-end คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง

คุณปรียดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถทางธุรกิจ ได้เปิดตัว โรงงานผลิตแบบครบวงจร (Production Facility) อย่างเป็นทางการในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับกระบวนการผลิต แปรรูป และบรรจุสินค้าอย่างครบวงจร ยึดมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล พร้อมตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมบริการอาหารได้อย่างครอบคลุม บนพื้นที่รวมมากกว่า 2,000 ตารางเมตร ด้วยกำลังการผลิตที่สามารถรองรับได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับระบบเดิม ซึ่งโรงงานแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางสำคัญในการเสริมความคล่องตัวของห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มศักยภาพด้านการจัดการ และรองรับการเติบโตในอนาคตได้อย่างมั่นคง

“โรงงานใหม่ของสยามฟูด เซอร์วิส มีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่คือกุญแจสำคัญในการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากลอย่างสม่ำเสมอ โดยโรงงานถูกออกแบบให้รองรับระบบ automation ตั้งแต่ขั้นตอนการแปรรูป บรรจุ ไปจนถึงการตรวจสอบคุณภาพ ทำให้ลดการพึ่งพาแรงงาน ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ และสามารถผลิตซ้ำได้อย่างแม่นยำในทุกล็อต นอกจากนี้ระบบยังช่วยให้จัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ตอบสนองคำสั่งผลิตเฉพาะทางได้รวดเร็วขึ้น และที่สำคัญคือสามารถขยายกำลังการผลิตได้อย่างยืดหยุ่นในอนาคต โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอาหารในยุคที่ทุกอย่างต้องรวดเร็ว แม่นยำ และตอบโจทย์เฉพาะทางมากขึ้น” คุณปรียดา กล่าว และว่า เรามุ่งสู่การเป็นมากกว่า food distributor แบบดั้งเดิม แต่คือผู้ให้บริการ ‘Total Food Solutions’ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การแปรรูป การพัฒนาแบรนด์ร่วมกับลูกค้า ไปจนถึงระบบจัดส่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในอีก 2–3 ปีข้างหน้าจะลงทุนเพิ่มเติมในด้านระบบข้อมูลลูกค้า (customer intelligence), การบริหารซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ และการขยายบริการพิเศษ เช่น เมนูพร้อมใช้ (ready-to-use), โซลูชัน OEM, รวมถึงการร่วมพัฒนาโปรดักต์กับเชฟและผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ซึ่งเป้าหมายของเรา คือการเป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจธุรกิจอาหารในทุกมิติ ไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ และสามารถให้บริการได้แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางอย่างแท้จริง

สำหรับศักยภาพของโรงงานผลิต ครอบคลุม 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ 1. Cheese Processing ภายใต้แบรนด์ Dairy Delights รองรับการตัดก้อน ขูด และบดละเอียด โดยใช้เครื่องจักรล้ำสมัยและระบบบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอน ,2.Halal Butchery ภายใต้แบรนด์ Carne Meats Raw และ GourMeat ให้บริการตัดแต่งเนื้อในรูปแบบสไลซ์ บด สเต็ก และเบอร์เกอร์ พร้อมการรับรองฮาลาล ตอบโจทย์ธุรกิจอาหารทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ,3.Charcuteries กลุ่มผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูประดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ Carne Meats ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด "Clean Label" โดยลดปริมาณโซเดียมและไม่ใช้ไนไตรท์ คิดค้นสูตรโดย มิสเตอร์วอลเตอร์ ชีเลอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการถนอมเนื้อจากเยอรมนี ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี ซึ่งผลงานล่าสุดได้รับรางวัลจาก German Butchery Association ในงาน IFFA 2025 ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน และ 4.Bakery Production ภายใต้แบรนด์ Masterpiece มุ่งพัฒนาสูตรเฉพาะและต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่แช่แข็ง เช่น ครัวซองต์ เค้ก คุกกี้ ขนมปัง และแซนด์วิช เพื่อตอบรับกับความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาด
งาน EARTH JUMP 2025 ซึ่งธนาคารกสิกรไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่แล้ววันนี้ ระดมผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจระดับโลกและระดับประเทศ ให้แนวทางกลยุทธ์และความรู้ อัปเดตข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อรับมือความแปรปรวนที่เกิดขึ้น โดยในวันแรกมีเนื้อหาที่น่าสนใจมากมาย อาทิ โลกกจะเกิดสภาวะแปรปรวนด้านเศรษฐกิจและสังคมแต่การขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนยังเดินหน้าต่อไป ประเทศไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเรื่อง Taxonomy ในอาเซียน และภาครัฐกำลังผลักดัน พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปีหน้า ในส่วนภาคเอกชนก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าเรื่องนี้ต่อเนื่อง แต่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ความชัดเจนของนโยบายและข้อบังคับต่างๆ รวมถึงแหล่งเงินทุนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ พร้อมทั้งกรณีศึกษาประเทศจีนที่นำ Taxonomy มาแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจนสำเร็จ และกรณีศึกษาจากประเทศเดนมาร์กที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้พร้อมกับเศรษฐกิจที่โตขึ้นเกือบ 80% นอกจากนี้ยังมีมุมมองและข้อมูลอัปเดตเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ทุกภาคส่วนเห็นพ้องกันว่ายังต้องเดินหน้าต่อ เพราะนี่คือกติกาเกมธุรกิจในโลกใหม่

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า การจัดระเบียบโลกด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ไม่มีอเมริกาเป็นศูนย์กลาง หลายประเทศเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในส่วนของประเทศไทย ภาครัฐกำลังผลักดัน พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปีหน้าเพื่อบังคับและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยมีมาตรการภาคบังคับเพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันด้วยระบบกลไกราคาคาร์บอน เช่น 1.ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) เพื่อบังคับการลดการปล่อยคาร์บอนจากแหล่งกำเนิด 2.การเริ่มเก็บ Carbon Tax ในบางธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมน้ำมัน พร้อมทั้งผลักดันมาตรการสนับสนุนโดยจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคประชาชน โดยภาครัฐก็ต้องไม่เพียงแค่ Talk the Talk แต่ต้อง Walk the Walk ด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างความสำเร็จในการทำตามแผนงานที่เห็นผลจริง รวมถึงการพร้อมรับฟีดแบคจากภาคเอกชนเพื่อต่อยอดเป็นนโยบายสนับสนุนและช่วยเหลือที่แม้จะมีอุปสรรคและข้อจำกัดจากข้อกฎหมายอยู่บ้างแต่ภาครัฐก็ต้องตอบสนองให้เร็วที่สุด

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในโลกปัจจุบันที่มี ‘ความแปรปรวน’ ตลอดเวลา เราต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันหลายเรื่อง เช่น นโยบายของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโตชะลอตัว การเข้ามาของ AI และที่สำคัญคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ส่งผลทำให้เกิดภัยพิบัติจากอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งการรับมือมี 3 กลยุทธ์สำคัญที่ต้องทำ คือ 1. Health Check ตรวจสุขภาพตัวเองก่อน ว่าตอนนี้เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปเท่าไร 2. Commitment ตั้งเป้าว่าเราจะลดเท่าไร ในปีไหน และ 3. Solution คือการหาวิธีและหาเครื่องมือต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าที่ตั้งไว้ ธนาคารกสิกรไทยไม่เพียงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราเอง แต่ยังมุ่งมั่นช่วยเหลือลูกค้า เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero พร้อมกัน ด้วยการสร้าง K-Climate Solutions ซึ่งครอบคลุมทั้งระบบนิเวศ เพื่อนำไปสู่ Ecosystem ที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย

สรุปประเด็นสำคัญที่น่าสนใจในช่วงเช้าจากงาน EARTH JUMP 2025 มีดังนี้
งาน EARTH JUMP 2025 จัดขึ้น 2 วัน โดยในส่วนของการจัดงานวันที่สอง (29 พ.ค. 2568) มีเรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ อัปเดตเทรนด์และผลกระทบต่อธุรกิจไทย ฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจถึงทางรอดใหม่ของ SME ในยุค Net Zero ร่วมถอดบทเรียนธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพ พร้อมโชว์เคสนวัตกรรมสุดล้ำจากองค์กรชั้นนำ รวมถึงโอกาสธุรกิจท่ามกลาง Climate Game และพบกับ SME e-Handbook คู่มือที่จะช่วยให้ธุรกิจ SME เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืนเป็นที่แรก
นี่คือโอกาสสุดท้ายสำหรับธุรกิจและผู้ที่สนใจปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับสุดยอดฟอรัมแห่งปี EARTH JUMP 2025 สามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานได้ที่ www.kasikornbank.com/k_earthjump2025
ปาล์มน้ำมันนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และโอเลโอเคมิคอล รวมทั้งมาตรการภาครัฐในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลโดยผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 30 ล้านเฮกตาร์ เกาะกลุ่มอยู่ในบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตร 3 ประเทศคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ ส่งผลให้ประเด็นความยั่งยืนจึงถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากขึ้นในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งผลต่อการขยายพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งอาจจะเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่า
ปัจจุบันไทยป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ด้วยพื้นที่ปลูกกว่า 6.3 ล้านไร่ ทำให้ไทยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในชาติที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันของโลกสู่ความยั่งยืน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จึงได้ร่วมมือกับองค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil: RSPO) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในภาคธุรกิจปาล์มน้ำมันของไทย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับการดำเนินธุรกิจสู่มาตรฐานสากลและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทยให้มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ช่วยสร้างการจ้างงานและนำไปสู่รายได้ทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป และส่งออกตลอดต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance: ESG) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมในโลกยุคใหม่
ภายใต้ MOU ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อสนับสนุนระบบการตรวจสอบแบบย้อนกลับ (Traceability) สืบย้อนกลับได้ถึงแหล่งกำเนิดตั้งแต่ต้นจนถึงมือผู้บริโภค อาทิ การลดการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) การลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) รวมถึงการยกระดับด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ยกระดับความน่าเชื่อถือของสินค้าเกษตรไทย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดการค้าโลก โดยเฉพาะการรุกตลาดที่มีข้อกำหนดเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรไทย ในฐานะที่ EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และ RSPO เป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนปาล์มน้ำมันระดับนานาชาติ
“การปรับตัวสู่ความยั่งยืนจะทำให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่ยังมีอีกมากในโลกการค้ายุคใหม่ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น EXIM BANK จึงจับมือกับ RSPO เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กรระดับโลกภายใต้กรอบ ISEAL Alliance ที่สนับสนุนมาตรฐานความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบ รองรับเทรนด์การค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายบัณฑิต กล่าว
นายมูฮัมหมัด ชาซาลีย์ Head of Certification ของ RSPO กล่าวว่า การสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไม่ใช่เพียงหน้าที่ของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ไปจนถึงผู้บริโภค เพื่อให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันให้เติบโตอย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ด้านนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK บรรยายในการเสวนาหัวข้อ “ความรับผิดชอบร่วม-ยกระดับปาล์มน้ำมันไทยสู่ความสำเร็จในตลาดโลก” แก่สมาชิก RSPO ว่า ในฐานะตัวแทนจากภาคการเงินในการส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย และแนวทางการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้เกิดความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน EXIM BANK พร้อมดำเนินบทบาทส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยผ่านยุทธศาสตร์ “Sustainable Growth Escalator (ยกระดับธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจที่เป็น ESG)” โดยสอดคล้องกับพันธกิจในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคสู่ความยั่งยืนของธนาคาร โดยอาศัยข้อได้เปรียบของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย คือ ไม่มีข่าวด้านลบ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การเผาทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่างจากในหลายประเทศ ทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาต่างชาติ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ไทยจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมนี้ และขยายตลาดในระดับสากลได้มากยิ่งขึ้น

EXIM BANK เป็นกลไกของภาครัฐที่มุ่งดำเนินบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุน Climate Finance ของไทย นำผู้ประกอบการไทยสยายปีกสู่ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนภาคธุรกิจของไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลให้ ESG Portfolio ของ EXIM BANK เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 40% ของ Portfolio ทั้งหมดในปัจจุบัน และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2570
ดีป้า ประกาศความพร้อมจัดการแข่งขัน depa ESPORTS TOURNAMENT (Grand Final Tournament) เวทีแสดงศักยภาพของทีมอีสปอร์ตหน้าใหม่ ซึ่งเป็นตัวแทนจากสนามภูมิภาค เพื่อชิงความเป็นสุดยอดทีมในโครงการ depa ESPORTS TOURNAMENT และก้าวสู่เส้นทางในวงการอีสปอร์ต อีกทั้งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอีสปอร์ตไทย และยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ แฟน ๆ อีสปอร์ตห้ามพลาด! แล้วพบกันวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้ที่ BEAT Active BITEC BURI
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า แถลงข่าวความพร้อมจัดการแข่งขัน depa ESPORTS TOURNAMENT (Grand Final Tournament) กิจกรรมหลักภายใต้โครงการ depa ESPORTS ที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้
ที่ BEAT Active BITEC BURI

นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า โครงการ depa ESPORTS ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง ‘Esports Ecosystem Sandbox’ โดย
การวางรากฐานระบบนิเวศอุตสาหรรมอีสปอร์ตของประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องผ่านการส่งเสริมการยกระดับทักษะและความเชี่ยวชาญแก่คนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจ การสร้างแรงบันดาลใจในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น นักกีฬา โค้ช ผู้จัดการทีม นักแคส ผู้จัดการแข่งขัน ฯลฯ ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้และทัศนคติที่ดีต่ออาชีพในวงการอีสปอร์ต และการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอีสปอร์ตไทยเทียบเท่าระดับสากล ซึ่งดำเนินการภายใต้ 4 กิจกรรม ได้แก่ depa ESPORTS IN SCHOOL, depa ESPORTS ACADEMY, depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM และ depa ESPORTS TOURNAMENT ซึ่งแต่ละกิจกรรมถือเป็น ‘Sandbox’ ที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอีสปอร์ตของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า โครงการ depa ESPORTS ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมของโครงการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการร่วมแข่งขันในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการแข่งขันรายการย่อยในกิจกรรม depa ESPORTS IN SCHOOL และในกิจกรรม depa ESPORTS TOURNAMENT ไม่ว่าจะเป็น Daily Tournament, Influencer Tournament และ Regional Tournament รวมกว่า 6,500 คน ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5,000 คน

“สำหรับการแข่งขัน depa ESPORTS TOURNAMENT (Grand Final Tournament) ในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้ที่ BEAT Active BITEC BURI ถือเป็นเวทีแห่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับ 16 ทีมอีสปอร์ตหน้าใหม่ที่ผ่านการชิงชัยจนได้เป็นตัวแทนจาก 8 ภูมิภาคทั่วประเทศผ่านเวทีการแข่งขัน depa ESPORTS TOURNAMENT (Regional Tournament) ที่จะมาโชว์ ‘ของ’ ให้แฟน ๆ และผู้ที่สนใจได้ร่วมลุ้น ร่วมเชียร์ ก่อนห้ำหั่นกันในเกม Arena of Valor (RoV) เพื่อหาผู้ชนะ พร้อมรับเงินรางวัลมูลค่ารวม 600,000 บาท และคว้าโอกาสเข้าสู่เส้นทางในวงการอีสปอร์ต ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอีสปอร์ตไทย และเป็นหนึ่งแรงขับเคลื่อนในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดย ดีป้า ประเมินว่า กิจกรรมต่าง ๆ ในโครงการจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอีสปอร์ตไทยทั้งระบบ โดยตั้งเป้าพัฒนากำลังคนเติมเต็มภาคอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องไม่น้อยกว่า 1.5 แสนคน อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 1,000 ล้านบาท”
รองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
นอกจากการแข่งขันสุดเดือดจากทีมอีสปอร์ตหน้าใหม่ที่จะมาร่วมชิงชัยกันแล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

การแข่งขันประเภทต่าง ๆ

กิจกรรมสุดพิเศษ
สำหรับการดำเนินโครงการ depa ESPORTS ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด และหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมผลักดันให้กิจกรรมภายใต้โครงการบรรลุผล
มาร่วมลุ้น ร่วมเชียร์ทีมรัก และการแข่งขันที่ดุเดือด พร้อมสนุกสนานไปกับกิจกรรมสุดพิเศษมากมาย แฟน ๆ อีสปอร์ตต้องไม่พลาด! แล้วพบกันที่งาน depa ESPORTS TOURNAMENT (Grand Final Tournament) ในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้ที่ BEAT Active BITEC BURI ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความเคลื่อนไหวของโครงการ depa ESPORTS และกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทาง www.depa.or.th, LINE OA: depaThailand และ Facebook Page: depa Thailand
Colorkey แบรนด์เครื่องสำอางยอดนิยมจากประเทศจีน ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของสาวไทย โดยมุ่งเน้นที่ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ สีสันสดใส และราคาที่เข้าถึงได้
Colorkey แบรนด์เครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีนได้ขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่องสู่ตลาดโลก โดยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเปิดตัวในประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และล่าสุดกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย รวมถึง อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ลิปสติก, เซ็ตติ้ง สเปรย์, อายแชโดว์, บลัชออนไปจนถึงผลิตภัณฑ์สกินแคร์สำหรับผิวหน้า โดยเน้นการใช้ส่วนผสมคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย
Colorkey ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก โดยมีแผนที่จะเปิดตัวในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกอย่างแท้จริง

การเปิดตัวในประเทศไทยครั้งนี้ Colorkey ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีน เช่น ลิปสติกเนื้อไอศกรีมในรูปแบบกระปุกอย่าง COLORKEY Bouncy Creamy Multi-Purpose Mud ที่ให้สีสันสดใสติดทนนาน ทาได้ทั้งปาก แก้ม ตา และยังมีเมคอัพ เซ็ตติ้ง สเปรย์ อย่าง COLORKEY Airy Soft Matte Makeup Setting Spray อายแชโดว์พาเลตต์ที่มีสีสันหลากหลาย และผลิตภัณฑ์อื่นๆ สำหรับผิวหน้าที่ช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดีอีกมากมาย
"Colorkey มุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ครองใจสาวไทย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง สีสันสดใส และราคาที่เข้าถึงได้ เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะช่วยให้สาวไทยทุกคนได้แสดงออกถึงความงามในแบบที่เป็นตัวเองอย่างมั่นใจ"
ผลิตภัณฑ์ของ Colorkey มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าออนไลน์และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ สาวๆ สามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นต่างๆ ของ Colorkey ได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์
ช่องทางการติดตาม Colorkey
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ให้การต้อนรับ คุณทิพากร สายพัฒนา รองผู้จัดการใหญ่ พร้อมคณะผู้บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM คนใหม่ ณ BAM สำนักงานใหญ่