

นางกุลกัญญา ทุมเสน รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) การทางพิเศษ แห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยทางพิเศษศรีรัช ประจำปี 2568 ณ โรงเรียนวัดชัยมงคล สำนักงานเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

นางกุลกัญญา ทุมเสน รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) กล่าวว่า กทพ. ตระหนักและให้ความสำคัญในการเสริมสร้างสังคมในพื้นที่รอบเขตทางพิเศษให้เกิดความเข้มแข็ง ความสามัคคี และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทยและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โรงเรียน และหน่วยงานอื่น ๆ รอบเขตทางพิเศษอย่างยั่งยืนลดพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ชุมชนช่วยดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการจัดกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย ทางพิเศษศรีรัช ประจำปี 2568 ในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานเขตปทุมวัน สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบรรทัดทอง สถานีตำรวจนครบาล ปทุมวัน ชาวชุมชนวัดชัยมงคล ชาวชุมชนบ้านครัวใต้ เจ้าหน้าที่และนักเรียนโรงเรียนวัดชัยมงคล สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 และวัดชัยมงคล เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกซ้อมป้องกันและระงับอัคคีภัย ซึ่ง กทพ. ต้องขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ กทพ. ได้จัดให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย พร้อมทั้งได้มอบถังดับเพลิงให้กับวัดชัยมงคล ชุมชนวัดชัยมงคล ชุมชนบ้านครัวใต้ สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 และยังได้มอบถังดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนวัดชัยมงคลอีกด้วย

“การทางพิเศษฯ ได้นำทางพิเศษฉลองรัชเข้าสู่ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน ข้อกำหนดมาตรฐานของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 : 2015 ได้กำหนดให้ การทางพิเศษฯ ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน และหวังว่ากิจกรรม ในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ ก็จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นางกุลกัญญาฯ กล่าวในท้ายที่สุด
เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เตรียมสร้างความฮือฮาอีกครั้งในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Beyond Food Experience” การนำเสนอประสบการณ์ที่มากกว่าเพียงรสชาติ สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ในเครือที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานการผลิตระดับโลก ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในปีนี้ เครือเฮอริเทจมาพร้อมคอนเซ็ปต์ "เปิดประตูสู่โลกแห่งสุขภาพ" นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยมหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น “เฮอริเทจ” ผลิตภัณฑ์ถั่ว ธัญพืช และผลไม้อบแห้งพรีเมียม สำหรับเป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร, ”บลูไดมอนด์” ผลิตภัณฑ์ถั่วอัลมอนด์จากแคลิฟอร์เนีย และเครื่องดื่มน้ำนมอัลมอนด์ "อัลมอนด์ บรีซ", “ซันคิสท์” ผลิตภัณฑ์ถั่วพิสทาชิโอ ถั่วพรีเมียมคุณภาพหลากหลายชนิด และเครื่องดื่มน้ำนมพิสทาชิโอ, “นัท วอล์คเกอร์” ขนมขบเคี้ยวประเภทถั่วและเมล็ดพืช, “เนเจอร์ เซ็นเซชั่น” ผลิตภัณฑ์ธัญพืชและผลไม้อบแห้ง, “วันเดอร์พัฟฟ์” ข้าวโพดอบกรอบผสมถั่วพรีเมียม, “ฟรังซัว” คุ้กกี้สไตล์โฮมเมด, “เลอรูท” อาหารคลีนพร้อมทาน, “ลาชายา” ผลิตภัณฑ์ชาดอกไม้และผลไม้ออร์แกนิค

ภายในงานมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฮไลท์หลายรายการ อาทิเช่น เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ ลัฟ นมทางเลือกยอดนิยม เปิดตัวมา 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรไม่เติมน้ำตาล และ รสช็อกโกแลต ลัฟ นมโอ๊ต มีวิตามินอี ใยอาหาร และแคลเซียมสูง ปราศจากแลคโตสและกลูเตน ไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง หอม อร่อย ดื่มง่ายได้ทุกเพศทุกวัย โดยมี “คุณศิริลักษณ์ คอง หรือ หลิง หลิง คอง” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ สื่อภาพลักษณ์ของการเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีสุขภาพดี ดูแลตัวเอง และใส่ใจในสุขภาพอยู่เสมอ ให้เป็นตัวแทนสื่อสาร โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก

"เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เข้าร่วมงาน THAIFEX – ANUGA ASIA อีกครั้ง งานนี้เป็นเวทีสำคัญให้เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพของเราสู่สายตาผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังเป็นโอกาสอันดีในการสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่หลากหลายและมีคุณภาพของเราจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพได้อย่างแน่นอน โดยในปีนี้ มีการนำเอาเครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ ลัฟ มาเป็นส่วนประกอบหลัก ในการทำเครื่องดื่มสลัชชี่ หอมมันกลมกล่อมอย่างลงตัว มีทั้งหมด 3 เมนู ได้แก่ Choco Pistachio Crunchy / Oat Milk Perfect Match / Triple Choco Banana เพื่อแสดงให้ผู้ประกอบการเห็นถึงความสามารถในการนำผลิตภัณฑ์ของเราไปต่อยอดได้ เพิ่มมูลค่าสินค้า อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความแปลกใหม่ อร่อย และได้สุขภาพ " คุณวศธร พลไพศาล ผู้บริหารเครือเฮอริเทจ กล่าว

“แบรนด์ “นัท วอล์คเกอร์” ปีนี้ มาพร้อมความอร่อยซีรีส์ใหม่ กับครั้งแรกในไทยที่นำอัลมอนด์คุณภาพพรีเมียมมาเคลือบกรุบกรอบ เพิ่มประสบการณ์ความแซ่บเผ็ดซี้ดถึงใจ 2 รสชาติ 2 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น Nut Walker Fiery Hot Crunchy Almonds ที่ได้แรงบันดาลใจจากรสชาติยอดนิยมฝั่งตะวันตก เน้นความอร่อยแบบดุดัน เข้มข้น เผ็ดร้อน เคี้ยวมันส์ และ Nut Walker Sizzling BBQ Crunchy Almonds นำเสนอเอกลักษณ์รสบาร์บีคิวสไตล์เอเชียนแท้ ๆ ผสานความกลมกล่อมจากเครื่องเทศนานาชนิด หอมกรุ่นกลิ่นรมควัน จัดจ้านถึงใจ อร่อยเต็มคำ ทานเล่นแบบเพลิน ๆ จนหมดซอง และยังได้ประโยชน์หลากชนิดจากอัลมอนด์ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน”

“นอกจากนี้ เครื่องดื่มน้ำนมอัลมอนด์ แบรนด์ บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ ยังได้รับเกียรติจากผู้บริโภค ที่ร่วมโหวตให้แบรนด์คว้ารางวัล Thailand’s Most Admired Brand ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร BrandAge โดยทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคชาวไทย เกี่ยวกับแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบและประทับใจมากที่สุดอีกปีหนึ่ง โดย อัลมอนด์ บรีซ ได้รับรางวัลนี้ถึง 3 ปีซ้อน ได้แก่ ปี 2023 จากกลุ่มนมจากธัญพืช ในปี 2024 และ ปี 2025 จากกลุ่มนมอัลมอนด์ ถือได้ว่าเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการนำเสนอนมอัลมอนด์ที่มีคุณภาพ ผลิตจากอัลมอนด์นำเข้าจากแคลิฟอร์เนีย รสชาติอร่อย และดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เรา พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคชาวไทย” คุณวศธร เสริม
“และอีกหนึ่งรางวัลที่เครือเฮอริเทจภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก คือ รางวัล Prime Minister’s Export Award สาขา Best Halal 2024 นับเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่ใช่แค่เพื่อผู้บริโภคชาวไทย แต่คำนึงถึงความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก” คุณวศธร กล่าวปิดท้าย

ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเครือเฮอริเทจได้รับการคัดสรรวัตถุดิบธรรมชาติคุณภาพสูง ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล ได้รับการจดทะเบียนรับรองทั้ง HACCP, GHPs, BRCGS, และ ISO 22000 พร้อมด้วยมาตรฐานอาหารฮาลาลและโคเชอร์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและมีคุณค่าทางโภชนาการแก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ ภายในบูทของเครือเฮอริเทจ ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับกิจกรรมที่น่าสนใจ การชิมผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น ติดตามกิจกรรมและข่าวสารของเครือเฮอริเทจได้ที่ www.facebook.com/Heritagegroupth, www.instagram.com/heritagegroupth และ www.heritagethailand.com
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection Thailand) จับมือองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เปิดเวิร์กช็อป "ฟาร์มแชมเปี้ยน" ปีที่ 2 อย่างเป็นทางการ โดยมีเกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือก 12 ฟาร์มจากจังหวัดสุรินทร์เข้าร่วมต่อยอดความรู้ มุ่งปฏิวัติระบบการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมสู่การให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์อย่างแท้จริง ภายใต้วิสัยทัศน์การสร้างระบบอาหารที่เท่าเทียม มีมนุษยธรรม และยั่งยืน (Equitable, Humane and Sustainable food systems – EHS) พร้อมผลักดันการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition) ในระบบอาหารของไทย

การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งสำคัญนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทที่สนับสนุนทั้งสถานที่และบุคลากร พร้อมด้วย ผศ.ดร.วิทธวัช โมฬี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางสัตว์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะหัวหน้างานวิจัยโครงการ ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงลึกและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้ง น.สพ.สมทัศน์ อย่างสุข นายสัตวแพทย์ชำนาญการ รักษาราชการแทนปศุสัตว์ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสุรินทร์ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์และให้คำแนะนำด้านเทคนิคอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ หน่วยงานภาครัฐท้องถิ่น และภาคประชาสังคมอย่างเข้มแข็ง นับเป็นรูปแบบความร่วมมือต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้ในอนาคต

สวัสดิภาพสัตว์คือหัวใจสำคัญของอาหารคุณภาพ
เกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือก 12 ฟาร์ม ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในเวิร์กช็อปอย่างเข้มข้นในการปรับปรุงฟาร์มตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ โดยมีเกษตรกรรุ่นแรกทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด หลายคนเริ่มตระหนักว่าการให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่เพียงสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการลดต้นทุนการผลิต ทั้งค่ายาปฏิชีวนะและสารเคมีที่เคยเป็นภาระในระยะยาวและสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค
นอกจากนี้การลงพื้นที่เยี่ยมชมฟาร์มไก่โคราชหลายแห่งในเขตอำเภอจอมพระ ทีมงานจากองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกพบว่า แนวคิดนี้กำลังได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มองเห็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากฟาร์ม ขณะเดียวกันก็รักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมที่กลมกลืนกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ได้อย่างลงตัว

แผ้ว ภิรมย์ ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย เปิดเผยว่า: "เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการในปีนี้แต่ละรายล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่แตกต่างกัน บางฟาร์มประสบความสำเร็จในการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับหลักการเลี้ยงไก่แบบอิสระ บางฟาร์มกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ขณะที่บางฟาร์มมุ่งพัฒนานิเวศเกษตรตามแนวทางที่วางรากฐานไว้ตั้งแต่ปีแรก
"การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เราส่งเสริม เช่น การขยายพื้นที่ให้ไก่ได้เดิน การเพิ่มอุปกรณ์กระตุ้นพฤติกรรมธรรมชาติ ล้วนส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์อย่างเห็นได้ชัด และสิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งช่วยแก้ปัญหาเชื้อดื้อยา หรือการหลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่อาหารที่ดีกว่า เราเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็ก ๆ เหล่านี้ จะค่อย ๆ ขยายวงกว้างสู่การปฏิรูประบบอาหารทั้งระบบได้ในที่สุด"

นายสมจิตร นามสว่าง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท กล่าวว่า "องค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการฟาร์มแชมเปี้ยนอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรในพื้นที่และระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะยาว การส่งเสริมให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาชุมชน ทางเราพร้อมผลักดันให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างเกษตรกร หน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาสังคมต่อไป"

แผนงานระยะถัดไปของโครงการจะเน้นการขยายผลการวิจัยและการสนับสนุนด้านเทคนิคอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจบการอบรม เกษตรกรจะเริ่มเลี้ยงไก่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญในการติดตามและประเมินผลการเปลี่ยนแปลงฟาร์ม จากระบบปิดที่จำกัดอิสรภาพของสัตว์ สู่ระบบปล่อยอิสระที่ให้สัตว์ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ โครงการยังมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคท้องถิ่น และเป็นต้นแบบให้เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ ในการเปลี่ยนผ่านสู่การทำฟาร์มที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์และความยั่งยืนอย่างแท้จริง
เครื่องดื่มเป๊ปซี่® แท็กทีม GrabAds ปั่นกระแสแคมเปญ “อร่อยซ่าเกินซ่อน #GrabxPepsiTaste” ดึงกลยุทธ์ Visual Marketing เจาะกลุ่ม Gen Z ปล่อยภาพโฆษณาสุดซ่าผ่านหมวกกันน็อก และกระเป๋าส่งอาหารของไรเดอร์ GrabFood ให้สะดุดตาไปทั่วเมือง พร้อมแปลงโฉมรถโดยสาร Grab ให้เป็น Photo Booth เคลื่อนที่ท้าทุกคนเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางให้กลายเป็นโมเมนต์แห่งการสร้างคอนเทนต์ ชิงส่วนลด GrabFood มูลค่ารวมกว่า 50,000 บาท พร้อมแจกดีลส่วนลดสุดพิเศษ ให้ทุกคนไปอร่อยซ่ากับชุดเมนูจับคู่กับเป๊ปซี่จากร้านอาหารชั้นนำ รวมถึงร้านดังจาก “เป๊ปซี่มิตรชวนกิน” รวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 แห่ง บน GrabFood ตั้งแต่ 26 พฤษภาคม ถึง 22 มิถุนายน 2568

นางลัดดาวรรณ เลิศวศิน ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเป๊ปซี่ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แคมเปญ ‘อร่อยซ่าเกินซ่อน #GrabxPepsiTaste’ เกิดจากความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความอร่อยซ่าของเป๊ปซี่ในมุมมองที่สนุกและแปลกใหม่ โดยได้ดึงเอาภาพสีหน้าความอร่อยซ่าเมื่อได้ดื่มเป๊ปซี่มาเป็นกลยุทธ์ให้เกิดเป็นภาพจำเพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะมองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และชื่นชอบการสร้างคอนเทนต์ที่สะท้อนความเป็นตัวเอง เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ เราจึงได้จับมือ GrabAds ผู้นำด้านสื่อโฆษณาครีเอทีฟมาช่วยออกแบบและขับเคลื่อนการสื่อสารแคมเปญให้มีความสนุกมากขึ้น ผ่านอีโคซิสเต็มของแกร็บที่ครอบคลุมช่องทาง Online-to-Offline (O2O) โดยเราเชื่อว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ในแบบที่พวกเขารู้สึกใกล้ชิด สัมผัสได้ว่าแบรนด์เข้าใจ และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์พวกเขาจริง ๆ”

นางสาวปุณณดา เหลืองอร่าม รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กรและงานโฆษณา แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “ในฐานะผู้นำซูเปอร์แอปที่ตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำของผู้คนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการการเดินทาง หรือ การสั่งอาหารและของใช้ แกร็บได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคนและเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยการจับมือระหว่าง GrabAds และเป๊ปซี่ในการโปรโมทแคมเปญอร่อยซ่าเกินซ่อน #GrabxPepsiTaste ในครั้งนี้ เราได้นำเอาจุดแข็งของอีโคซิสเต็มแกร็บ ที่มีช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคที่หลากหลายมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารไอเดียครีเอทีฟให้ตรงจุด ตั้งแต่การใช้กลยุทธ์ Visual Marketing นำภาพโฆษณาสุดซ่ามาสร้างการรับรู้ผ่านการ Wrap รถโดยสาร หมวกกันน็อก และกระเป๋าส่งอาหารของไรเดอร์ ที่วิ่งไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ การเปลี่ยนรถโดยสาร Grab เป็น Photo Booth การกระตุ้นความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ในกลุ่ม Gen Z ด้วยการจัดกิจกรรมชาเลนจ์ออนไลน์ชวนโพสต์หน้าอร่อยซ่าชิงรางวัล ไปจนถึงการสร้างยอดขายผ่านการร่วมมือกับร้านอาหารส่งเมนูพิเศษในแคมเปญ Pepsi Mega 2025 บน GrabFood”

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมชาเลนจ์ สามารถร่วมสนุกได้ด้วยการแชร์โมเมนต์ความอร่อยซ่าเกินซ่อนของเป๊ปซี่ ผ่านการโพสต์คลิปคอนเทนต์ใน Photo Booth เคลื่อนที่บนรถโดยสาร Grab หรือ โชว์ลีลาอร่อยซ่ากับเมนูคู่เป๊ปซี่บน GrabFood พร้อมติด #GrabxPepsiTaste ลงบน TikTok และ Instagram เพื่อชิงส่วนลด GrabFood มูลค่ารวมกว่า 50,000 บาท* โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://grb.to/GrabxPepsiTaste

นอกจากนี้ เป๊ปซี่ยังได้จับมือร้านอาหารชั้นนำ รวมถึงร้านดังจาก “เป๊ปซี่มิตรชวนกิน” รวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 แห่ง อาทิ KFC Pizza Hut Five Star GUGU Chicken เจ๊แดงส้มตำ เย็นตาโฟนายอ้วน และ เนื้อแท้ เป็นต้น จัดเมนูอร่อยซ่าคู่เป๊ปซี่ พร้อมดีลส่วนพิเศษ Pepsi Mega 2025 เพียงใส่โค้ด PEPSITASTE รับส่วนลดสูงสุด 70 บาท
วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่งเอเชีย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบกับนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก สร้างโอกาสเจรจาการค้า และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารโลกภายใต้นโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของวัตถุดิบ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนวัฒนธรรมอาหารที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ด้วยศักยภาพเหล่านี้ รัฐบาลจึงเดินหน้าผลักดันนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล ส่งผลให้ในปี 2567 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารรายใหญ่อันดับ 12 ของโลก และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าการส่งออก 1.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากปีที่ผ่านมา

THAIFEX – ANUGA ASIA ถือเป็นกลไกสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์ใช้ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาหารไทยทุกระดับ ตั้งแต่ SMEs และสตาร์ตอัป ไปจนถึงบริษัทรายใหญ่ ได้พบปะเจรจาการค้า สร้างพันธมิตรทางธุรกิจระดับนานาชาติ และขยายโอกาสการส่งออกสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม

การจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA ในปีนี้มีขนาดของงานและจำนวนผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีผู้ประกอบการกว่า 3,200 บริษัท จากประเทศไทยและอีก 56 ประเทศ ร่วมจัดแสดงสินค้ารวมกว่า 6,200 คูหา ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มในอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่สินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป เทคโนโลยีอาหาร ไปจนถึงสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง คาดว่าตลอดช่วงวันเจรจาธุรกิจจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 90,000 ราย จาก 140 ประเทศทั่วโลก และจะก่อให้เกิดมูลค่าการสั่งซื้อทั้งในงานและภายใน 1 ปีหลังงานรวมกันกว่า 98,000 ล้านบาท

“ความสำเร็จของงานนี้และการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหาร สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจอาหารระดับโลก และแหล่งสำรองอาหารที่น่าเชื่อถือของโลก ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมรอบด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากนานาชาติ และผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมบริการระดับโลกในอนาคต” นายพิชัย กล่าว

THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 จัดเจรจาธุรกิจในวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-18.00 น. เจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีกสำหรับประชาชนทั่วไปในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นอกจากจะจัดแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มอย่างครอบคลุมครบทุกประเภทแล้ว ภายในงานยังมีนิทรรศการ สัมมนา และกิจกรรมพิเศษ ที่จะช่วยอัปเดตเทรนด์อาหาร ความต้องการของผู้บริโภค และข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ร่วมงาน เพื่อต่อยอดสู่ความสำเร็จที่มากขึ้น
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดงานฉลอง Bangkok Life Agency Annual Awards ประจำปี 2024 ภายใต้แนวคิด “Sustainability of Success” เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีกับความสำเร็จของผู้รับรางวัล “เพชรน้ำเอก” รวมถึงผู้รับรางวัลคุณวุฒิสำคัญ และผู้พิชิตรางวัลอันทรงเกียรติ โดยมี ดร.ศิริ การเจริญดี ประธานกรรมการ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คณะกรรมการ ผู้บริหารระดับสูง และนายจักรพงศ์ แสงแก้ว ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆนี้
กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจและให้ความสำคัญกับตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินทุกท่าน จึงได้จัดงาน Bangkok Life Agency Annual Awards เป็นประจำทุกปี เพื่อเชิดชูเกียรตินักขายที่ได้สร้างผลงานอันเป็นเลิศ ด้วยความเป็นมืออาชีพและความใส่ใจในตัวลูกค้า จนได้รับความไว้วางใจและสามารถบรรลุเป้าหมายด้วยรางวัลแห่งความสำเร็จ สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินทุกคน โดยในงานคณะผู้บริหารระดับสูงได้ร่วมกันมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินที่ประสบความสำเร็จในปีนี้จำนวนทั้งสิ้น 674 ท่าน รวมรางวัลทั้งสิ้น 997 รางวัล แบ่งเป็น 9 ประเภท ได้แก่ รางวัลเกียรติยศ เพชรน้ำเอก ประจำปี 2567 รางวัลถ้วยเกียรติยศท่านประธานกรรมการ รางวัลคุณวุฒิไตรมาส รางวัลเกียรติชนเรือนล้าน รางวัล TNQA/IQA, รางวัล MDRT Annual Meeting 2025, Maimi Beach, Florida, USA รางวัล Bangkok Life Agency Annual Trip 2024, Switzerland รางวัล Bangkok Life GAMA Challenge และ รางวัลคุณวุฒิสโมสรผู้นำ นอกจากนี้ ยังถือโอกาสแสดงความยินดีกับการแต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งของผู้บริหารฝ่ายขายระดับสูง คือ Vice President, Deputy Vice President, Assistant Vice President ประจำปี 2568 ด้วย
กรุงเทพประกันชีวิต มีความเชื่อมั่นว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืน “Sustainability of Success” คือ การสร้างความสมดุลทางคุณค่าที่เราได้มอบให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจประกันเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังอันสำคัญของหลากหลายธุรกิจที่คอยมอบความมั่นคงในชีวิต และอนาคต รวมถึงความสบายใจให้กับลูกค้า วันนี้ กรุงเทพประกันชีวิตจึงอยากเชิญตัวแทนคนสำคัญทุกคนที่ได้สร้างความสำเร็จในการสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของลูกค้าอย่างแท้จริง ร่วมเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จ ที่มากกว่าแค่ตัวเลขทางผลกำไรแต่เป็นความสำเร็จในการสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ สังคม และทุกคนบนโลกอย่างยั่งยืน
สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI จัดงาน BDI Day 2025: Next Move for Big Data and AI ก้าวต่อไปของ Big Data และ AI เพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารระดับสูงร่วมแถลงวิสัยทัศน์และทิศทางใหม่ของการขับเคลื่อนประเทศด้วย Big Data และ AI ด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ แพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (ดีทู), ThaiLLM โครงสร้างพื้นฐาน AI ภาษาไทยแบบโอเพนซอร์ส และการพัฒนากำลังคนด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคม พลิกโฉมหน่วยงานรัฐ สู่ระบบที่ใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสร้างผลลัพธ์ได้จริง ยกระดับประเทศไทยครอบคลุมทุกมิติ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเข้าสู่จังหวะสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลที่ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่เพียงเครื่องมือสนับสนุน แต่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของประเทศ รัฐบาลจึงได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเชิงรุก เพื่อให้เทคโนโลยีทำงานร่วมกับนโยบายอย่างบูรณาการ โดยหนึ่งในก้าวสำคัญคือการจัดตั้ง ‘คณะกรรมการ AI แห่งชาติ’ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนา AI ของประเทศให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น Cloud, Data Center, GPU Computing และแพลตฟอร์มโอเพนซอร์ส เพื่อรองรับการเติบโตของนวัตกรรมดิจิทัลในระยะยาว
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญ คือ การจัดตั้ง ‘National Data Bank’ ซึ่งรัฐบาลมุ่งหวังให้เป็นกลไกกลางในการรวบรวม จัดการ และเปิดใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศอย่างปลอดภัยและโปร่งใส โดยมี BDI กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทำหน้าที่หลักในการออกแบบระบบและผลักดันการดำเนินงาน เพื่อให้ข้อมูลกลายเป็นรากฐานของการวางแผนเชิงนโยบาย การสร้างบริการสาธารณะ และการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ของประเทศ

ศ. (พิเศษ)วิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงฯ มุ่งวางรากฐานเชิงระบบเพื่อให้ข้อมูลและ AI กลายเป็นกลไกหลักของการบริหารภาครัฐ และกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ผ่านการผลักดันแผนยุทธศาสตร์การใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ พร้อมส่งเสริมธรรมาภิบาล AI ผ่านกรอบจริยธรรมที่ชัดเจน เพื่อให้การใช้งานเทคโนโลยีใหม่ของไทยเป็นไปอย่างรับผิดชอบและเกิดประโยชน์กับสังคมโดยรวม

นายกุลิศ สมบัติศิริ ประธานกรรมการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา BDI ได้วางรากฐานให้ระบบข้อมูลของประเทศขยับจาก 'ต่างคนต่างทำ' สู่ 'การทำงานร่วมกัน' อย่างเป็นระบบ ผลงานอย่าง Health Link ที่เชื่อมข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ, Travel Link ที่ใช้วิเคราะห์การเดินทางในเชิงพื้นที่ และ City Data Platform (CDP) ที่ทำให้ข้อมูลเมืองถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจได้จริง ล้วนสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของระบบข้อมูลไทยที่เริ่มต้นแล้วจริง ๆ เราภูมิใจที่ได้เห็นภาครัฐหลายหน่วยงาน เริ่มใช้ข้อมูลเชิงลึกมาเป็นพื้นฐานของการกำหนดนโยบาย ซึ่งสะท้อนเป้าหมายสูงสุดของ BDI

รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า BDI มีบทบาทในฐานะองค์กรขับเคลื่อนข้อมูลของประเทศ ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม คือ การทำให้ข้อมูลจากทุกภาคส่วน ไม่เพียงแค่ถูกจัดเก็บอย่างมีระบบ แต่สามารถนำไปใช้งานได้จริง เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบาย ยกระดับบริการสาธารณะ และพัฒนานวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
หัวใจสำคัญของภารกิจนี้ คือ การพัฒนาโครงการ แพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (ดีทู) (Data Integration and Intelligence Platform (D-II)) โดย D-II ไม่ได้เป็นการสร้างระบบข้อมูลขึ้นมาใหม่ แต่ทำหน้าที่บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่แล้วจากหลายภาคส่วน รวมถึงการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลบนแพลตฟอร์มโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลของ BDI เพื่อสนับสนุนการวางแผนเชิงนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Data-Driven Nation อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน ผ่านบริการสำคัญ อาทิ การสร้างถนนทางเทคโนโลยีของข้อมูล (Data Linkage Engine) เพื่อรองรับการเชื่อมโยงและใช้งานร่วมกับ D-II Data Catalog ระบบบัญชีข้อมูล และ D-II Analytics Services ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้เครือข่ายของถนนพร้อมรับการเชื่อมต่อกับระบบข้อมูลจากประตูของหน่วยงานฯ นอกจากนี้ยังมี Dashboard and Analytics Tools ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจริงที่ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบฯ รวมถึง Central Hashing กระบวนการแทนค่าข้อมูลสำคัญ โดยที่ไม่สามารถถอดรหัสหรือกระทำการใดๆ เพื่อที่จะกลับไปยังข้อมูลต้นฉบับได้หากไม่ได้รับอนุญาต เพื่อการปกป้องข้อมูลตามกฎหมายฯ
นอกจากนี้ BDI ยังเดินหน้าร่วมพัฒนา ThaiLLM หรือ Thai Large Language Model ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์สำหรับภาษาไทย แบบ Open Source/Open License ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย BDI ร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) ThaiLLM ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความร่วมมือกับหน่วยงานผู้นำด้าน AI ของประเทศไทย ที่รวมพลังกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ภาษาไทย ที่เข้าใจบริบทของภาษาและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และนักเทคโนโลยี สามารถนำไปใช้งานและต่อยอดได้อย่างกว้างขวาง

ปัจจุบันโครงการ ThaiLLM ดำเนินการมาแล้ว 3 เดือน สามารถรวบรวมข้อมูลภาษาไทยจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเอกสารที่หอสมุดแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิ์ได้แล้วเสร็จ รวมถึงมีการพัฒนาและใช้งาน ThaiLLM Data Bank ซึ่งมีปริมาณข้อมูลภาษาไทยมากกว่า 245 GB และดำเนินการให้อยู่ในรูปแบบของโทเคนได้ประมาณ 55 ล้านล้านโทเคน หรือคิดเป็น 55% ของปริมาณเป้าหมายเพื่อทำการพัฒนาโมเดลขนาดเล็ก และขนาดกลางเบื้องต้น
ในขณะเดียวกัน BDI ยังเร่งพัฒนาศักยภาพกำลังคนควบคู่กันไป ผ่านการออกแบบร่างหลักสูตร เรียนรู้ด้าน AI และ LLM เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรไทยให้สามารถเข้าใจ ออกแบบ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก ผ่านการเรียนรู้ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการเรียนการสอน และการประเมินทักษะแบบ Micro-Credentials เพื่อปูรากฐานให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก

รศ. ดร.ธีรณี กล่าวอีกว่า โครงการนี้ยังทำหน้าที่เป็น กลไกสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทย (Thai AI Collaboration) และสร้างระบบนิเวศ AI ของประเทศ (AI Ecosystem) ให้เข้มแข็งตามแนวทางการดำเนินงานที่กำหนดไว้ในที่ประชุมคณะกรรมการ AI แห่งชาติ ทั้งยังช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นหนึ่งใน ผู้เล่นสำคัญในระดับภูมิภาคด้าน AI โดย BDI มุ่งหวังให้ ThaiLLM จะไม่เพียงเป็นโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่จุดประกายความร่วมมือรูปแบบใหม่ในระดับประเทศ ที่หน่วยงานและนวัตกรไทยจากทุกภาคส่วนเข้ามีส่วนร่วมในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของประเทศร่วมกัน และโครงการอื่น ๆ ในอนาคตก็สามารถต่อยอดความร่วมมือนี้ได้เช่นเดียวกัน
BDI ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหลักในการลดอุปสรรคด้านการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และระหว่างรัฐกับเอกชน โดยมีกลไกกลางที่ชัดเจน มีมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย และมีเอกสารแม่แบบรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีธรรมาภิบาล (Data Governance) ทั้ง D-II, ThaiLLM และการพัฒนากำลังคน คือ 3 แกนหลักที่ BDI ขับเคลื่อนควบคู่กัน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างเต็มศักยภาพ สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ และยกระดับประเทศด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง” รศ. ดร.ธีรณี กล่าวทิ้งท้าย