December 06, 2025

วีโอเซลล์™ (VEOCEL™) แบรนด์วัสดุไม่ถักทอชนิดพิเศษของเลนซิง เป็นจุดสนใจหลักในงานนิทรรศการที่ทรงอิทธิพลที่สุดสองงานของอุตสาหกรรม คืองาน CIDPEX ที่อู่ฮั่น ประเทศจีน และงาน IDEA25 ที่ไมอามี รัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเส้นใยที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลแบบใช้ครั้งเดียว  โดยเน้นย้ำถึงแนวคิด ‘Care begins within’ หรือ ‘การดูแลเริ่มต้นเริ่มจากภายใน’  และวีโอเซล™  ได้เชิญชวนทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมให้ร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตของผลิตภัณฑ์สุขอนามัยและการดูแลส่วนบุคคล ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการใช้ส่วนผสมและนวัตกรรมเส้นใยเซลลูโลส

ปลดปล่อยศักยภาพด้วย วีโอเซล ไลโอเซลล์ (VEOCEL™ Lyocell)

ในงานทั้งสองแห่ง วีโอเซล™ ได้แสดงให้เห็นว่าเส้นใยไลโอเซลล์ของเลนซิง ซึ่งผลิตจากแหล่งไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหมุนเวียน สามารถปลดล็อกศักยภาพใหม่ๆ ให้กับผู้ผลิตที่ต้องการเปลี่ยนจากการใช้วัสดุสังเคราะห์ที่มาจากฟอสซิล  โดยเส้นใย วีโอเซล™ไลโอเซลล์ สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและผลิตผ่านกระบวนการแบบวงจรปิดที่มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ และมีการปล่อยมลพิษสู่อากาศและน้ำในระดับต่ำ  ดังนั้น วีโอเซล™ ไลโอเซลล์ จึงเป็นโซลูชันเส้นใยเซลลูโลสที่มีประสิทธิภาพสำหรับการใช้งานแบบใช้ครั้งเดียวที่หลากหลาย

วีโอเซล™ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนด้วยการนำเสนอ วีโอเซล™ไลโอเซลล์ ที่ผลิตจากไม้เป็นโซลูชันเส้นใยที่น่าเชื่อถือสำหรับแบรนด์ต่างๆ

"เราเชื่อว่าการดูแลที่แท้จริงเริ่มต้นจากภายใน ตั้งแต่ส่วนผสมที่เราใช้ไปจนถึงผลกระทบที่เรามีต่อโลก" โรหิต อัคราวัล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เลนซิง กรุ๊ป กล่าว "การนำเสนอเส้นใย วีโอเซล™ไลโอเซลล์ ของเราในงาน CIDPEX และ IDEA25 แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่ยั่งยืน ความโปร่งใสของส่วนผสม และการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ สามารถขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวอย่างมีความรับผิดชอบไปสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร เราร่วมมือกับพันธมิตรของเราในการช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสำหรับโซลูชันที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพสูง และสอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา"

Care Begins Within: ส่วนผสมที่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้บริโภค

"ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความใส่ใจในส่วนผสมและกระบวนการผลิตมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาต้องการทราบว่ามีส่วนผสมอะไรในผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้และผลิตภัณฑ์เหล่านั้นผลิตขึ้นมาอย่างไร"  มิราย อาคาร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการสร้างแบรนด์ระดับโลก เลนซิง กรุ๊ป กล่าว "วีโอเซล™ ในฐานะแบรนด์เส้นใยที่อยู่ตอนต้นของห่วงโซ่คุณค่า  เราเข้าใจดีว่าการดูแลที่แท้จริงเริ่มต้นจากภายใน  ที่ วีโอเซล™ เรามองว่านี่คือโอกาสในการเป็นผู้นำด้วยความโปร่งใสและนวัตกรรมเส้นใยในด้านสุขอนามัยและการดูแลส่วนบุคคล  ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนผสมมีความสำคัญมากกว่าที่เคย และเรารู้สึกภูมิใจที่ได้นำเสนอโซลูชันเส้นใยเซลลูโลสที่ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถมีทางเลือกที่มีความรับผิดชอบและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าของเขา"

นอกจากนี้ ในงาน CIDPEX  วีโอเซล™ ยังได้ฉลองการก่อตั้งพันธมิตร 'Circle of Trust' ร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ Nbond, Kingsafe, Baoren และ Jianghua ความร่วมมือนี้เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัสดุไม่ถักทอที่มีความรับผิดชอบ ระบบการระบุเส้นใยของเลนซิงช่วยรับรองการตรวจสอบย้อนกลับและความถูกต้องของส่วนผสม เพื่อให้แบรนด์ใน 'Circle of Trust' และผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าวัสดุที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามและสุขอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวนั้นมีความสะอาด ได้รับการรับรอง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

มหกรรมแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ ปี 2568 นำทัพผู้ประกอบการกลุ่มดำน้ำ กอล์ฟ ท่องเที่ยวกลางแจ้ง กว่า 600 ราย จัดโปรโมชั่นลดราคาสุดพิเศษ พร้อมกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นอีกมากมาย คาดมีผู้เข้าชมงานกว่า 6 หมื่นคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% หนุนดึงดูดนักท่องเที่ยวมูลค่าสูงเข้าประเทศ

 

นายสุรพล อุทินทุ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า การจัดงาน THAILAND GOLF & DIVE EXPO plus OUTDOOR FEST 2025 หรืองานแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ ปี 2568 ที่จัดขึ้นในวันที่ 22 – 25 พฤษภาคม 2568 ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการในธุรกิจนี้เป็นอย่างมาก โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 600 คูหา เช่น สนามกอล์ฟ อุปกรณ์กอล์ฟ สถาบันสอนดำน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำ บริษัทนำเที่ยว เรือนำเที่ยว อุปกรณ์เดินป่า ที่พัก และอุปกรณ์ถ่ายภาพ ฯลฯ ซึ่งมาร่วมจัดโปรโมชั่นในราคาพิเศษมอบส่วนลดสูงสุดถึง 80% อีกทั้งในปีนี้ได้จัด Business Matching หรือกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ โดยเชิญกลุ่มผู้ซื้อจากประเทศเวียดนามและมาเลเซียมาพบกับผู้ประกอบการไทยด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โครงการสร้างบ้านปะการังเทียม กิจกรรม “TDEX You Give.. We Share” ครั้งที่ 4 เชิญชวนบริจาคชุดดำน้ำและอุปกรณ์ดำน้ำมือสองสภาพดี เพื่อมอบให้มูลนิธิหรือหน่วยงานต่างๆ นำไปใช้ในสาธารณประโยชน์ เป็นต้น และสัมมนาไดร์เวอร์ทอร์ค ร่วมแชร์ประสบการณ์การดำน้ำให้ความรู้กับผู้ที่สนใจ

รวมถึงยังมีกิจกรรมการประกวดภาพถ่ายใต้น้ำ "18th TDEX Underwater Photo Contest" ในปีนี้ได้เปิดโอกาสให้ช่างภาพใต้น้ำทั้งมือเก่า มือใหม่ และมืออาชีพ ได้ส่งผลงานเข้าร่วม โดยมีผู้ส่งภาพเข้าประกวดสูงถึง 164 คน รวมทั้งสิ้น 889 ภาพ และการประกวดคลิปวิดีโอใต้น้ำ "TDEX Underwater Moment Video Contest" ครั้งที่ 2 มีผลงานรวมทั้งหมด 117 คลิป  โดยผลงานทั้งหมดจะถูกคัดเลือกและตัดสินจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่า 400,000 บาท โดยจะประกาศผลงานในวันที่ 22 พ.ค. 2568 นี้ ซึ่งผลงานที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจะนำมาจัดแสดงในช่วงวันจัดงาน

ทั้งนี้ การจัดงาน THAILAND GOLF & DIVE EXPO plus OUTDOOR FEST 2025 ยังได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อย่างเต็มที่และต่อเนื่องมาหลายปี เนื่องจากเป็นมหกรรมแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ ที่เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยวกลุ่มมูลค่าสูง เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจำเป็นต้องซื้อ หรือเช่าอุปกรณ์ดำน้ำ อุปกรณ์กอล์ฟ สนามกอล์ฟ หรืออุปกรณ์แคมปิ้งเดินป่าที่มีมูลค่าสูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปมาก และยังได้รับการสนับสนุนจาก Chang Cold Brew Cool Club ในครั้งนี้ โดยเฉพาะในส่วนของงาน Thailand Golf Expo ซึ่ง “ช้าง" ได้ส่งเสริมกีฬากอล์ฟในทุกด้านมาอย่างต่อเนื่อง

“การจัดงานฯในปีนี้ มั่นใจว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 60,000 คน เพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีเงินสะพัดภายในงานนี้กว่า 200 ล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา 10–15% เพราะกิจกรรมกลางแจ้งเหล่านี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศ” นายสุรพล กล่าว

ด้าน นายกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. ได้มุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มมูลค่าสูงมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยว และกระจายรายได้ไปยังชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ  โดยการเจาะตลาดการท่องเที่ยวกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนักท่องเที่ยวดำน้ำ กีฬาทางเรือ การเล่นกอล์ฟ และการเดินป่าตั้งแคมปิ้ง ก็เป็นกลุ่มสำคัญที่มีการใช้จ่ายสูง โดยมีค่าเฉลี่ยในการเข้าพักประมาณ 3-4 วัน มีการใช้จ่ายตกวันละ 3–4 พันบาท สูงกว่าการท่องเที่ยวปกติประมาณ 20% ซึ่งในปี 2568 คาดว่าประเทศไทยจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวดำน้ำมากกว่า 8,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึงเกือบ 2,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 12% ต่อปี

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโดยภูมิภาคภาคใต้ ยังได้ร่วมกับสำนักงานในพื้นที่ 4 สำนักงาน คือ สำนักงานชุมพร สำนักงานเกาะสมุย สำนักงานกระบี่ และสำนักงานพังงา โดยได้นำตัวแทนสมาคมและชมรมต่าง ๆ ในพื้นที่มาร่วมออกบูธภายในงาน THAILAND GOLF & DIVE EXPO plus OUTDOOR FEST 2025 เพื่อนำเสนอข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ ทั้งกอล์ฟ ดำน้ำ กิจกรรมกลางแจ้ง โดยคาดว่าในการจัดงานครั้งนี้จะมีผู้ซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวจากผู้ที่เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นแพ็กเกจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวพรีเมียม ให้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ

“การท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ และกีฬากลางแจ้ง ยังขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากในการท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังมีคู่แข่งน้อย เพราะแหล่งท่องเที่ยวของไทยโดยเฉพาะภาคใต้มีจุดแข็งสูงทั้งฝั่งอันดามัน และอ่าวไทย รวมทั้งการให้บริการของไทยก็ดีกว่าในราคาที่สมเหตุสมผล จึงทำให้ตลาดการท่องเที่ยวกลุ่มนี้สามารถสร้างรายได้เพิ่มได้อีกมหาศาล” นายกิตติพงษ์ กล่าว

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมความเคลื่อนไหวของกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกีฬากอล์ฟได้ทาง Facebook Page "Thailand Golf Expo" หรือเว็บไซต์ www.ThailandGolfExpo.com สำหรับกิจกรรมดำน้ำสามารถติดตามได้ที่ Facebook Page "Thailand Dive Expo (TDEX)" และเว็บไซต์ www.ThailandDiveExpo.com ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยวกลางแจ้ง Outdoor Fest สามารถดูรายละเอียดได้ผ่านทาง Facebook Page "Traveler & Outdoor Expo" หรือเว็บไซต์ www.traveloutdoorexpo.com อย่าพลาดโอกาสสำคัญในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวของคุณ!

ดีป้า ประกาศรายชื่อ 10 ทีมผู้ชนะจากเวที Demo Day & Business Matching ในกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM กิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ depa ESPORTS พร้อมมอบรางวัลรวมมูลค่า 200,000 บาท และสิทธิ์เข้าศึกษาดูงานในต่างประเทศเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ต่อยอดสู่การประกอบอาชีพต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอีสปอร์ต หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในอนาคต

นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอีสปอร์ตทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 30% ต่อปี และมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ขณะที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพสูง มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีผู้เล่นและมีผู้ชมจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงฐานผู้บริโภคที่เข้มแข็ง อีกทั้งมีโอกาสที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดังกล่าวสู่เวทีโลก ดังนั้น ดีป้า จึงได้ดำเนินกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM กิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ depa ESPORTS โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสรรค์ระบบนิเวศที่แข็งแกร่งให้กับวงการอีสปอร์ตไทยผ่านการพัฒนาบุคลากรคุณภาพเข้าสู่วงการอีสปอร์ต ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมสร้างทักษะการเล่นเกมในระดับอาชีพ แต่ยังครอบคลุมการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทีมและธุรกิจอีสปอร์ตครบวงจร เพื่อปูทางสู่การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตอาชีพ ทีมอีสปอร์ตที่มีศักยภาพ ตลอดจนสามาประกอบอาชีพที่เกี่ยวเนื่องได้ในระดับสากล

 

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ดีป้า เห็นพัฒนาการที่น่าประทับใจของน้อง ๆ ทั้ง 10 ทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่กิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM ซึ่งน้อง ๆ ได้เรียนรู้จากวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ และ Mentor ระดับแนวหน้าของวงการอีสปอร์ต ทั้งการพัฒนาทักษะการเล่น การวางแผนกลยุทธ์ การสื่อสารภายในทีม การบริหารจัดการทีม การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล ไปจนถึงการหารายได้และการตลาดในวงการอีสปอร์ต ซึ่งเป็นความรู้รอบด้านที่จำเป็นสำหรับการก้าวสู่เส้นทางนักกีฬาอีสปอร์ต และการเป็นทีมที่มีศักยภาพ

 

สำหรับการตัดสินทีมผู้ชนะจากเวที Demo Day & Business Matching มีการกำหนดเกณฑ์การพิจารณาที่ครอบคลุมหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น (1) ผลงานและความก้าวหน้าตลอดกิจกรรม (2) ผลคะแนนจากการแข่งขัน Daily Tournament ที่จัดขึ้นระหว่างกิจกรรม (3) ทักษะการนำเสนอและแผนการพัฒนาทีมในอนาคต (4) ความสามัคคีและการทำงานเป็นทีม และ (5) ศักยภาพในการเติบโตในวงการอีสปอร์ตระดับมืออาชีพ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าในวงการอีสปอร์ตไทยร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสิน ประกอบด้วย บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ depa ESPORTS ผู้นำด้านเกมออนไลน์และอีสปอร์ตในประเทศไทย บริษัท อินโฟเฟด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจอีสปอร์ตและเจ้าของทีม eArena คุณดิว - อาณัติ เรืองวงศ์ อาจารย์พิเศษผู้เชี่ยวชาญด้านอีสปอร์ตที่มาร่วมมอบความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์เชิงลึก รวมถึง โค้ชไตร TNK โค้ชอีสปอร์ตอาชีพผู้คร่ำหวอดในวงการที่มาร่วมถ่ายทอดกลยุทธ์และการประเมินทีมจากประสบการณ์จริงในสนามแข่งขัน

โดยทีมผู้ชนะจากเวที Demo Day & Business Matching ในกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM ประกอบด้วย

  • Best Performance รางวัลที่มอบให้กับทีมที่ทำผลงานโดยรวมได้ยอดเยี่ยมที่สุด ได้แก่

- รางวัลชนะเลิศ ทีม Star Dream Legends รับเงินรางวัล 40,000 บาท พร้อมโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ และรางวัลพิเศษจาก AMD (สปอนเซอร์โครงการ) พร้อมทริปดูงานต่างประเทศ

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม PSU มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รับเงินรางวัล 25,000 บาท

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม Chicken Time รับเงินรางวัล 15,000 บาท และรางวัลพิเศษจาก AMD (สปอนเซอร์โครงการ)

  • Rising Star รางวัลที่มอบให้กับทีมที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และได้รับความประทับใจจากคณะกรรมการเป็นพิเศษ

ทีม DBM Esport รับเงินรางวัล 10,000 บาท

 

นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัลสำหรับทีมผู้ชนะการแข่งขัน RoV ประกอบด้วย

  • รางวัลชนะเลิศการแข่งขัน RoV ทีม BIGZISE รับเงินรางวัลมูลค่า 40,000 บาท
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม Star Dream Legends รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม DBM Esport รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ทีม PN Esport รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท
  • รางวัลอันดับที่ 5 - 10 รับเงินรางวัลทีมละ 5,000 บาท

 

รางวัลทั้งหมดถือเป็นความชื่นชมและเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ช่วยผลักดันให้เยาวชนไทยกล้าที่จะก้าวเข้ามาสู่แวดวงอีสปอร์ตอย่างมั่นใจและมีเป้าหมาย ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นศักยภาพของเด็กไทย ซึ่งเวที Demo Day & Business Matching ในกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือจากหลาย ๆ ภาคส่วนในการผลักดันอุตสาหกรรมอีสปอร์ตของไทย ดีป้ายินดีที่ได้สนับสนุนโครงการในลักษณะนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้กับเยาวชนไทยได้พัฒนาตนเองและก้าวสู่เวทีระดับโลก ผ่านการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งให้กับวงการอีสปอร์ตไทยรองผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายชื่อทีมผู้ชนะทั้งหมดจากเวที Demo Day & Business Matching ในกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM และติดตามข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความเคลื่อนไหวของโครงการ depa ESPORTS และกิจกรรมต่าง ๆ จาก ดีป้า ได้ทาง www.depa.or.th, LINE OA: depaThailand และ Facebook Page: depa Thailand

"ซินเนอร์จี้ สเปซเซส" (SNS) เครือสหพัฒน์ จับมือพันธมิตรระดับโลก IWG (International Workplace Group) เปิดตัว “SPACES” พื้นที่สำนักงานให้เช่าพร้อมเข้าอยู่แบบครบวงจรภายใต้คอนเซ็ปต์ Hybrid Flexible Workspace ณ ชั้น 16 – 17 อาคาร KingBridge Tower (คิงบริดจ์ ทาวเวอร์) อาคารสำนักงานไอคอนิกเกรด A ที่สูงที่สุดในย่านพระราม 3 เพื่อตอบโจทย์วิถีการทำงานยุคใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่นและคุณภาพชีวิตในการทำงานอ อีกทั้งเหมาะกับทุกขนาดของธุรกิจ

นายประเมศฐ์ ฤทธิพรพสิษฐ์ กรรมการ บริษัท ซินเนอร์จี้ สเปซเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SNS เปิดเผยว่า “ซินเนอร์จี้ สเปซเซส (SNS) ในเครือสหพัฒน์มุ่งสร้างเครือข่ายสำนักงานคุณภาพสูงเพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ โดยการจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งถือเป็นหัวใจสำคัญ ล่าสุดเราขยายความร่วมมือกับ ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) หรือเวิร์คสเปซ พร้อมเปิดตัว “SPACES” ณ ชั้น 16 - 17 อาคาร KingBridge Tower เพื่อสร้างประสบการณ์การทำงานคุณภาพสูง ท่ามกลางไลฟ์สไตล์ครบครัน

“เราเชื่อว่า ออฟฟิศและพื้นที่สำนักงานที่ดีควรเป็นพื้นที่ที่คุณรู้สึกสบายใจ สดชื่นและมีพลังในทุก ๆ วัน โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีจะมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันศักยภาพในการทำงานสูงสุด และพื้นที่ SPACES นี้ออกแบบมาเพื่อตอบรับเทรนด์การทำงานแบบไม่ยึดติดกับสำนักงานถาวร เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และมืออาชีพที่มองหาความยืดหยุ่นและความสะดวกสบาย และด้วยศักยภาพของอาคาร “KingBridge Tower ตั้งอยู่บนถนนพระราม 3 ใกล้สะพานภูมิพลและห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 40 กิโลเมตร มีจุดแข็งเรื่องทำเลที่ตั้ง พื้นที่จอดรถกว้างขวาง วิวเมืองและแม่น้ำที่สวยงาม อีกทั้งภายในอาคารคิงบริดจ์ทาวเวอร์มีส่วนกลางที่ตั้งใจให้ผู้มาใช้บริการ “อยู่แล้วยิ้ม” อาทิ Food Court ที่พร้อมเสิร์ฟมื้อเช้าและมื้อกลางวัน โดยทีมเชฟมืออาชีพประจำโครงการ ที่ใส่ใจทั้ง คุณภาพ รสชาติและสุขภาพ และเครื่องดื่มหลากหลาย เช่น BEANS, KAMU, EXPRESSO Bridge เป็นต้น

 โดยเราตั้งเป้าอัตราการเช่า 50% ในช่วงเปิดตัว และคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 80% ภายในปี 2569” นายประเมศฐ์กล่าว

 

นายธิติวัฒน์ ธนาพรนิธินันท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท International Workplace Group (IWG) กล่าวว่า พื้นที่ SPACES ใน KingBridge Tower มีทั้งหมด  2,108 ตารางเมตร  มี 2 ชั้น ได้แก่ ชั้น 16  และ ชั้น 17 ให้บริการครอบคลุมทุกรูปแบบธุรกิจตั้งแต่ 1 ถึง 23 ที่นั่ง (รวมทุกพื้นที่ 473 ที่นั่ง) Manage Own Office Spaces Solution ที่ให้ความสะดวก และยืดหยุ่น โดยให้บริการทั้งรายวัน และรายเดือนเป็น fully furnished มี facility ครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศส่วนตัว โต๊ะทำงานเฉพาะบุคคล ห้องประชุมพร้อมระบบจองห้องประชุมที่ยืดหยุ่น ส่วนกลาง โซนออกกำลังกาย รวมถึงบริการครบวงจร อาทิ บริการ wifi อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การจัดการไปรษณีย์ การรับโทรศัพท์ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายสำคัญของนักธุรกิจยุคใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานแบบคนรุ่นใหม่ทุกรูปแบบ

IWG เชื่อมั่นว่า SPACES จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของ Flexible Workspace ในกรุงเทพฯ ที่รวมทั้งฟังก์ชันและความหรูหราไว้ในที่เดียว เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และคุณภาพการทำงานให้กับผู้ใช้งานทุกคน” นายธิติวัฒน์ กล่าวสรุป

SPACES พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อเยี่ยมชมสถานที่และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อาคาร KingBridge Tower ชั้น 16 หรือ คุณเกศินี รอดเกษม (ผู้จัดการสาขา) โทร 020951580 อีเมล์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนกิจกรรมการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูต้นน้ำน่าน ประจำปี 2568 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย โดยนายอลงกรณ์ กาศทิพย์ (ซ้าย) ผู้จัดการภาคเหนือ ธุรกิจสาขา เป็นผู้แทนบริษัทฯ มอบเงินบริจาคจำนวน 130,000 บาท ให้แก่นางสาววรางคณา รัตนรัตน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการ รีคอฟ ประเทศไทย เพื่อร่วมการปลูกและอุปถัมภ์ต้นไม้ในกิจกรรมการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูต้นน้ำน่าน ประจำปี 2568 จำนวน 1,000 ต้น ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงการต้นไม้ของเรา (Trees4All) ของศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Training Center for Community Forest Asia and Pacific- RECOFTC) ณ ลานข่วงเมืองน่าน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน เมื่อเร็วๆ นี้

นายนรินทร์ เอกวงศ์วิริยะ  ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมทีมงาน ร่วมสานต่อภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเข้าร่วมกิจกรรม “ปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูต้นน้ำน่าน ประจำปี 2568” ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ระหว่างวันที่ 13–14 พฤษภาคม 2568 โดยในงานได้รับเกียรติจากนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานเปิดงาน ณ ลานช่างน้อย อำเภอเมือง จังหวัดน่าน

ในการนี้ กรุงเทพประกันชีวิต ได้ร่วมบริจาคเงินจำนวน 130,000 บาท เพื่อสนับสนุนการปลูกป่าจำนวน 1,000 ต้น แก่นางสาววรางคณา รัตนรัตน์ ผู้อำนวยการรีคอฟ ประเทศไทย (RECOFTC Thailand) หรือ ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Training Center for Community Forest Asia and Pacific – RECOFTC) โดยมีเป้าหมายสำคัญในการฟื้นฟูต้นน้ำน่าน อันเป็นพื้นที่สำคัญต่อระบบนิเวศและทรัพยากรน้ำของประเทศ

กิจกรรมในครั้งนี้ ยังมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่อง โดยมีกิจกรรมอบรมให้ความรู้ด้านความปลอดภัย กรุงเทพประกันชีวิตขอส่งต่อความใส่ใจและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยในวันนี้และอนาคต

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC โดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) เผยกลยุทธ์เชิงรุกระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัว มั่นใจพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA : High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) พร้อมเร่งเดินหน้าโครงการ LSPE คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570   

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “ตลาดปิโตรเคมีอยู่ในภาวะทรงตัว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 โดยสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลบวกในช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ผลิตหลายรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ไม่ลดต่ำไปกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว”

“สำหรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้ถือว่ารุนแรงและยาวนานกว่าปกติ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ สถานการณ์โควิด 19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผู้เล่นบางรายได้ผันตัวจากการเป็นประเทศนำเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออก อย่างไรก็ตาม SCGC สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว

 

“สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA นั้น ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของ SCGC โดยมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และการใช้งานของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พอลิเมอร์สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ งานโครงสร้างและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้อยู่ในช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงก็ตาม แต่กลุ่มสินค้า HVA ยังได้รับการตอบรับจากตลาดในภูมิภาคเป็นอย่างดี”

“นอกจากนี้ SCGC ยังเร่งพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ SCGC Green Polymer ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก GRS (Global Recycled Standard) โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง พร้อมกับการพัฒนาสูตรเฉพาะ (Formulation) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่นสำหรับบรรจุภัณฑ์ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดย SCGC ได้ขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยูนิลีเวอร์ ไลอ้อน คาโอ เจบีพี และโฮมโปร”

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC ยังได้ขยายธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น อาทิ ธุรกิจ “Industrial Service Solutions” โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลเครื่องจักร ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่พัฒนาโซลูชัน“DRS by REPCO NEX” (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก โดยดูแลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร (Asset Performance Management) เช่น การซ่อมบำรุงอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น”

 

“สำหรับความคืบหน้าของโครงการ LSPE นั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าโครงการฯ โดยดำเนินการ 3 ภารกิจหลักได้สำเร็จ ได้แก่ 1) การลงนามในสัญญาระยะยาวซื้อขายก๊าซอีเทนและท่าเรือส่งออก  2) การลงนามในสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทีน (VLECs) จำนวน 5 ลำ และ 3) การลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหาและก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน  ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียดตามแผนที่วางไว้ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2570” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย

พบโปรโมชันสมัครบัตรเดบิต ทีทีบี ออลล์ฟรี ดิสนีย์ และโปรโมชันใช้จ่ายภายในงานสุดพิเศษ

บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS) ตอกย้ำบทบาทผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลของไทย ผ่านการเข้าร่วมงาน เมาลิดกลางแห่งประเทศไทย ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1446 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18–20 เมษายน 2568 ณ ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด “ตามรอยนบี วิถีศรัทธา นำพาสังคม สู่สันติสุข”

ในโอกาสนี้ ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ได้นำทีมผู้บริหารระดับสูงร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาลคุณภาพจากสหฟาร์มภายในงาน เพื่อแสดงถึงมาตรฐานระดับสากลของบริษัท และเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงของสินค้าฮาลาลไทยสู่กลุ่มผู้บริโภคมุสลิมในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพอย่างกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

“ตลาดฮาลาลทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญของสหฟาร์ม เราเชื่อมั่นว่าอาหารฮาลาลคุณภาพจากไทย โดยเฉพาะจากผู้ผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวดจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย จะสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นใจ” ดร.จารุวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ สหฟาร์มยังได้รับรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 สาขา Best Halal ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดด้านการส่งออกที่มอบโดยรัฐบาลไทย เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านศักยภาพและมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าฮาลาลที่ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดทั้งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม

“ในภาวะโลกปัจจุบันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย สุขอนามัย และความยั่งยืนของอาหารมากขึ้น สหฟาร์มยิ่งต้องให้ความใส่ใจในทุกกระบวนการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารที่เราส่งมอบไม่เพียงแต่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังเคารพในหลักศาสนาและวัฒนธรรมของผู้บริโภคอย่างแท้จริง การได้รับรางวัลนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการผลิตอาหารคุณภาพระดับโลก” ดร.จารุวรรณ กล่าวเสริม

ภายในงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย สหฟาร์มยังได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานเปิดงานในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจสูงสุดขององค์กร

ทั้งนี้ งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยถือเป็นกิจกรรมศาสนาและวัฒนธรรมสำคัญของพี่น้องมุสลิมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2504 โดยในปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 20,000 คนจากทั่วประเทศ มีกิจกรรมหลากหลายครอบคลุมด้านศาสนา วัฒนธรรม และการออกร้านจำหน่ายสินค้าฮาลาลจากทั่วประเทศ

การมีส่วนร่วมของสหฟาร์มในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านอาหารฮาลาลเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการสนับสนุนเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชนมุสลิมไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ไพน์เฮิร์สท ไม่ได้อยากเป็นเพียงสนามกอล์ฟที่ครบครันที่สุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่เราอยากเป็น "จุดหมายใกล้บ้าน ที่ทำให้คุณรู้สึกไกลจากความวุ่นวาย" เป็นพื้นที่ที่ทุกคน ไม่ว่าจะเล่นหรือไม่เล่นกอล์ฟ จะรู้สึกได้รับการต้อนรับระดับ A+++  จนอยากกลับมาอีกครั้ง

ในวันที่งานรุมและสภาวะในเมืองก็เร่งรีบจนร้อนระอุทะลุปรอท หลายคนอาจฝันถึงบรรยากาศแบบเขาใหญ่ แต่ก็ไม่มีเวลาขับรถไกลๆ ใครจะรู้ว่า ยังมีพื้นที่สีเขียวขจี ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่นับร้อยต้น ในเนื้อที่กว่า 560 ไร่ จะรออยู่แค่รังสิต ใกล้กว่าที่คิด และชิลได้มากกว่าที่เคย

ไพน์เฮิร์สท กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ไม่ได้มีไว้แค่นักกอล์ฟ แต่นี่คือ new escape zone ของหนุ่มสาวยุคใหม่ ที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศชั่วโมงเร่งด่วนให้กลายเป็นเวลาคุณภาพ

คุณต้องการอะไร? ที่ ไพน์เฮิร์สท มีรวมเอาไว้ให้ครบครัน   ไม่ว่าจะเป็น

- คาเฟ่บรรยากาศสบาย วิวเขียวขจี ที่เหมาะทั้งกับกาแฟยามบ่าย หรือการนั่งเมาท์ยาวหลังเลิกงาน

- ห้องอาหารรสเลิศ ที่จัดได้ทั้งเดตแรก มื้อพิเศษ หรือแม้แต่งานฉลองเล็ก ๆ

- บริการสปา นวดไทย และสระว่ายน้ำ สำหรับคนที่อยากให้วันธรรมดาเหมือนได้พักจริง ๆ

- สปอร์ตคลับเครื่องแน่น สำหรับสายเฮลตี้ที่อยากออกกำลังกลางธรรมชาติแท้ ๆ

- ห้องประชุมและห้องจัดเลี้ยงสุดหรู ที่รองรับการจัดเลี้ยงได้ทุกระดับ ตั้งแต่สัมมนา ยันงานมงคลสมรส

- โรงแรมระดับพรีเมียม สำหรับวันพักผ่อนหรือการจัดงานพิเศษ

ที่นี่จึงไม่ใช่แค่สนามกอล์ฟ แต่กำลังกลายเป็น “จุดเช็คอินใหม่” ของคนทำงานยุคนี้   ที่ไม่ต้องหนีไปไหนไกล หรือต้องลางานให้วุ่นวาย  คุณก็สามารถไปชาร์จพลังให้ตัวเองได้…ในทุกเย็นหลังเลิกงาน หรือทุกเช้าวันหยุด หรือพาครอบครัว ชวนเพื่อนฝูง มาใช้เวลาวันหยุดกันให้เต็มที่โดยไม่เสียเวลาเดินทางไกลๆ  แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น “สนามกอล์ฟ” แต่ที่นี่ไม่ได้มีไว้ต้อนรับเพียงแค่นักกอล์ฟ  เพราะไพน์เฮิร์สทตั้งใจออกแบบให้เป็น พื้นที่ชีวิต  สัมผัสธรรมชาติที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพียงไม่ถึงชั่วโมงจากกรุงเทพฯ   ไม่ว่าคุณจะมองหาสถานที่เงียบ ๆ เพื่อพักใจ  ส่องหาร้านอาหารอร่อย ๆ สำหรับวันพิเศษ  ไปว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายในฟิตเนส แล้วไปผ่อนคลายด้วยสปาและนวดแผนไทย  หรือ ต้องการเพียงแค่ที่นั่งจิบกาแฟท่ามกลางวิวธรรมชาติในวันที่อยากหนีความวุ่นวาย ไพน์เฮิร์สท กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ในย่านรังสิต คือคำตอบของการพักผ่อนในแบบที่ไม่ต้องเดินทางไกล ครบครันในที่เดียว เพื่อคนทุกแบบ ทุกจังหวะของชีวิต

ธรรมชาติไม่ต้องรอให้ถึงวันลา เพราะที่ไพน์เฮิร์สท เราอยากให้คุณเติมเต็มวันธรรมดา ด้วยช่วงเวลาที่ไม่ธรรมดา

X

Right Click

No right click