December 06, 2025
   สหรัฐ   

เฟดกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อพร้อมเล็งทบทวนกรอบนโยบายการเงินใหม่ มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จาก Aaa เหลือ Aa1 จากหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่นที่มีอันดับใกล้เคียงกัน โดยคาดว่า หนี้สาธารณะจะพุ่งขึ้นแตะ 134% ของ GDP ภายในปี 2578 (จาก 98% ในปี 2567)

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเห็นผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าที่ชัดเจนขึ้น สะท้อนจาก (i) ดัชนีการผลิต (Philly Fed Index) ในเดือนพฤษภาคม หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง (ii) ดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนเมษายนปรับลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 และ (iii) ยอดค้าปลีกเดือนเมษายนโตเพียง 0.1% MoM จากเดือนก่อนที่ 1.7% อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดชี้ว่าอาจต้องทบทวนกรอบนโยบายการเงินใหม่จากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป รวมถึงความเสี่ยงจาก supply shock ที่สูงขึ้น ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเตรียมกำหนดอัตราภาษีศุลกากรเอง แทนที่จะมีการทำข้อตกลงกับทุกประเทศ ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการค้าโลก วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะประเมินผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ต่อทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯในระยะนี้ ก่อนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังปีนี้

   ญี่ปุ่น   

เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ขณะที่ทีมเศรษฐกิจเสนออัดฉีดเงิน 4 แสนล้านดอลลาร์ฯ หนุน SMEs ในอีก 5 ปีข้างหน้า กรรมการ BOJ เตือนยังไม่ควรรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ BOJ ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง

มาตรการจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากขึ้นหลังจาก GDP หดตัวลงในไตรมาส 1 จากการบริโภคที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในฝั่งของส่งออกที่หดตัวลง และมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง ประเด็นดังกล่าวยังต้องรอความคืบหน้าในการเจรจากับสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนนี้ ล่าสุดญี่ปุ่นเผยว่ายินดีพิจารณานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนในการให้สหรัฐฯ ยกเว้นจัดเก็บภาษียานยนต์ นอกจากนี้ ทีมเศรษฐกิจเสนอให้รัฐบาลอัดฉีดเงินลงทุน 4 แสนล้านดอลลาร์ฯ เป็นระยะเวลา 5 ปีเพื่อเพิ่มผลิตภาพของธุรกิจ SMEs ซึ่งครองสัดส่วนแรงงานกว่า 70% ของประเทศ ภายใต้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อเนื่อง ก่อนพิจารณาปรับขึ้นในช่วงปลายปีนี้

   จีน   

จีนยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกิน แม้ความตึงเครียดทางการค้าเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ที่ -0.1% YoY ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวที่ 0.5% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงต่อเนื่องจาก -2.5% เป็น -2.7% โดยติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 31 ขณะเดียวกันจีนออกคำสั่งระงับการควบคุมการส่งออกแร่หายากเป็นระยะเวลา 90 วัน หลังจีนและสหรัฐฯ เห็นชอบการลดภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นการชั่วคราว

ตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิตล่าสุดสะท้อนความอ่อนแอของอุปสงค์และภาวะอุปทานส่วนเกินที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการกระตุ้นที่ผ่านมาอาจไม่เพียงพอในการหนุนให้การบริโภคฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ในอีกด้านหนึ่ง การปรับลดภาษีนำเข้าระหว่างกันของสหรัฐฯและจีนจากเดิม 145% เป็น 30% และจากเดิม 125% เป็น 10% ตามลำดับ อาจช่วยบรรเทาผลกระทบลงบ้าง โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP จีนจะลดลง -0.3% ในระยะยาว (จากกรณีเดิม -0.8%) แต่ผลกระทบต่อการส่งออกของจีนในระยะยาวยังสูงที่ -4.2% (จากเดิม -6.3%) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยาและพลาสติก (-6.2% จากเดิม-11.4%) อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า (-5.9% จากเดิม -9.5%) รวมถึงสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (-5.7% จากเดิม -8.3%)

เศรษฐกิจไทย: เศรษฐกิจในไตรมาสแรกได้แรงหนุนชั่วคราวจากการขยายตัวของภาคส่งออกและการลงทุนภาครัฐ ขณะที่แรงส่งจากภาคเอกชนมีแนวโน้มอ่อนแรงลง

GDP ไตรมาส 1 ปี 2568 เติบโต 3.1% YoY แนวโน้มเศรษฐกิจเผชิญกับ scenario-ception จากความเสี่ยงสงครามการค้าและความเปราะบางภายในประเทศ สภาพัฒน์ฯ (สศช.) รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัว 3.1% ดีกว่าที่นักวิเคราะห์และวิจัยกรุงศรีคาดไว้เล็กน้อยที่ 2.9% ปัจจัยหนุนหลักจากการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง และการลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส  

แม้ GDP ไตรมาส 1 ขยายตัวเกินคาดเล็กน้อย แต่กลับส่งสัญญาณเชิงลบหลายประการ สะท้อนจาก (i) การส่งออกที่เร่งขึ้น (+13.8% YoY) ไม่ได้หนุนกิจกรรมภายในประเทศ  เพราะส่วนใหญ่มาจากการใช้สินค้าคงคลัง แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมแทบไม่ขยายตัว (+0.6%) (ii) การบริโภคภาคเอกชนสูญเสียแรงส่งการเติบโต (+2.6% จาก +3.4% ใน 4Q67) หลังจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟสที่ 1 วงเงิน 1.4 แสนล้านบาทสิ้นสุดลง ส่วนเฟสที่ 2 และโครงการ Easy E-Receipt ให้ผลบวกจำกัดต่อการบริโภค และ (iii) การลงทุนภาครัฐที่เติบโตสูง 26.3% ยังไม่สามารถสร้าง Crowding-in effect หรือผลบวกต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งล่าสุดหดตัว -0.9%

สำหรับประมาณการปี 2568 สภาพัฒน์ฯคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 1.8% ในกรณีฐาน ภายใต้ข้อสมมติว่าภาษีศุลกากรจะสูงกว่าระดับปัจจุบัน โดยภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นครึ่งหนึ่งของอัตราที่ประกาศไว้ เช่น ไทยถูกเก็บภาษีเพิ่มเป็น 18% จากปัจจุบันที่ 10% แต่หากในกรณีที่คงภาษีนำเข้าไว้ที่ 10% (low tariff) GDP ไทยจะเติบโต 2.3% และในกรณีเลวร้าย (high tariff) ซึ่งไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% คาดว่า GDP ปีนี้อาจโตเพียง 1.3% เท่านั้น

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าไทยกำลังเผชิญภาวะ “scenario-ception” ซึ่งมีความเสี่ยงจากความหลากหลายของฉากทัศน์การปรับขึ้นภาษีนำเข้า และยังมีความเสี่ยงซ้อนจากความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ความไม่แน่นอนของประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าของการฟื้นตัวในภาคท่องเที่ยว ปัจจัยด้งกล่าวล้วนเพิ่มความเสี่ยงด้านต่ำต่อการเติบโตและอาจเป็นปัญหาที่ฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายนลดลงต่อเนื่อง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังต้องรอความชัดเจน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายนปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ที่ 55.4 จาก 56.7 ในเดือนมีนาคม เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับ (i) เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าและมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาด โดยหลายหน่วยงานทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ (ii) ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้า และ (iii) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ

การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณเชิงลบเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงต่อเนื่องและอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด  (ปี 2562 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 75.5) ประกอบกับดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้าที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 สะท้อนถึงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางซึ่งเผชิญกับแรงกดดันสำคัญจากปัจจัยภายในและภายนอก แม้ล่าสุดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีลงชั่วคราว 115% เป็นระยะเวลา 90 วัน แต่สถานการณ์โดยรวมยังมีความไม่แน่นอนสูง หากการเจรจารอบต่อไปไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมอาจสั่นคลอนต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก นอกจากนี้ ความคืบหน้าการเจรจาการค้าของไทยกับสหรัฐฯ นับเป็นประเด็นสำคัญที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดแม้เห็นสัญญาณเชิงบวกอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี จากผลกระทบของนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้รัฐบาลอาจมีการทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีวงเงินอยู่ราว 1.57 แสนล้านบาท เพื่อนำมาปรับใช้กับโครงการที่มีความคุ้มค่าลามารถช่วยบรรเทาความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

 

พิเศษ! รับส่วนลดเพิ่มถึง 4,300 บาท เมื่อจองล่วงหน้า 20 พ.ค. - 6 มิ.ย. นี้ ผ่าน lg.com

เบอร์สัน บริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารระดับโลก ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจกีฬาและความบันเทิง ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านประชาสัมพันธ์ระดับโลก ด้วยการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศในภูมิภาคต่างๆ และการนำระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาใช้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการใช้กีฬาและความบันเทิงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และส่งผลต่อวัฒนธรรมในวงกว้าง

คอรีย์ ดูโบรวา ซีอีโอของเบอร์สัน กล่าวว่า "อุตสาหกรรมกีฬาและความบันเทิงกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยแบรนด์ องค์กร และผู้สนับสนุนต่างมุ่งขยายตลาดไปทั่วโลก กีฬาและความบันเทิงถือเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงกับผู้ชมในระดับอารมณ์ความรู้สึก สร้างคุณค่าให้แฟนๆ และเสริมสร้างชื่อเสียงรวมถึงความภักดีต่อองค์กร" พร้อมระบุว่า เบอร์สันกำลังเดินหน้าปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจและการตลาดของกีฬาและความบันเทิง เพื่อช่วยให้แบรนด์และองค์กรต่างๆ สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับค่านิยมของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ล่าสุด เบอร์สันได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรร่วมด้านสื่อสร้างสรรค์และสื่อประชาสัมพันธ์สำหรับสโมสรฟุตบอลนิวยอร์กซิตี้ (New York City FC) เพื่อสนับสนุนแคมเปญสร้างแบรนด์ของสโมสร ในสหราชอาณาจักร เบอร์สันยังได้รับความไว้วางใจจาก Husqvarna Group ผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สำหรับงานกลางแจ้ง ให้เป็นบริษัทประชาสัมพันธ์หลักอย่างเป็นทางการ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์แอมบาสเดอร์กอล์ฟ รวมถึงพันธมิตรต่างๆ นอกจากนี้ เบอร์สันยังร่วมมือกับ TEDSports Indianapolis ในการวางกลยุทธ์การสื่อสารดิจิทัล การสร้างเนื้อหา และการประชาสัมพันธ์เพื่อให้งานเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน 2568 ประสบความสำเร็จ ความร่วมมือนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ร่วมกันในการยกระดับอุตสาหกรรมกีฬาผ่านการนำเสนอแนวคิดและการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง

ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เบอร์สันได้พิสูจน์ความเชี่ยวชาญด้วยการทำงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำในมหกรรมกีฬาและวัฒนธรรมระดับโลก อาทิ Australian Open, Formula 1, FIFA World Cup™, Australian Football League, Premier League, Indian Premier League, T20, America’s Cup และ Rugby Sevens

ในฮ่องกง เบอร์สันยังเป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ให้กับ Great Entertainment Group ในการกลับมาของการแสดง Cirque du Soleil's KOOZA หลังจากห่างหายไป 7 ปี ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อในภูมิภาคอย่างมาก ส่วนในประเทศจีน เบอร์สันให้บริการด้านการสื่อสารกีฬาและความบันเทิงมานานกว่าทศวรรษ ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ กลายเป็นส่วนสำคัญในกระแสนิยมและสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ในอินเดีย เบอร์สันได้ร่วมมือกับองค์กรกีฬาอย่าง NBA และช่องกีฬาชั้นนำอย่าง Star Sports และ Sports18 เพื่อสร้างแคมเปญแบบบูรณาการที่มีส่วนร่วมกับแฟนๆ และเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย

แอลลิสัน ซิรูลโล ผู้นำด้านกลุ่มธุรกิจผู้บริโภคและแบรนด์ระดับโลกของเบอร์สัน กล่าวว่า "ความร่วมมือด้านกีฬาและความบันเทิงสามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันได้อย่างไม่มีสิ่งใดเทียบ เพราะความหลงใหลร่วมกันนั้นข้ามพ้นพรมแดนทางภูมิศาสตร์ การเมือง หรือเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ทำให้บริการของเบอร์สันโดดเด่นคือการมีเครือข่ายระดับโลก - เรามีผู้เชี่ยวชาญในทุกภูมิภาค - พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ขั้นสูงที่เรานำมาใช้ในทุกงาน"

ซิรูลโลกล่าวเพิ่มเติมว่า "จากประสบการณ์กว่า 30 ปีในการทำงานร่วมกับ Adidas ไปจนถึงการสร้างความสำเร็จให้กับลูกค้าใหม่ๆ เรามุ่งเน้นช่วยแบรนด์สร้างชื่อเสียงและกระแสทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเติบโตของกีฬาสำหรับสตรีในระดับโลก การผลักดันความนิยมของกีฬา Kabaddi ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือการขยายตัวของอีสปอร์ตในตะวันออกกลาง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนได้"

บริการด้านกีฬาและความบันเทิงของเบอร์สันนำเสนอการทำแคมเปญแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญครอบคลุมภูมิภาคต่างๆ เช่น เอเชีย-แปซิฟิก แคนาดา ยุโรป ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา บริษัทใช้เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นเองอย่าง Innovation Suite รวมถึง WPP Open ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการการตลาดอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ WPP เพื่อให้บริการลูกค้าในด้านต่างๆ ได้แก่:

  • การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของความร่วมมือ:ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการร่วมมือกับบุคคลดัง นักกีฬา ทีม หรือสถานที่ต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน:ตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้งบประมาณด้านการตลาดให้เกิดผลตอบแทนและประสิทธิภาพสูงสุด
  • การลดความเสี่ยง:ระบุและจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะส่งผลกระทบร้ายแรง

แบรนด์และองค์กรชั้นนำด้านกีฬาและความบันเทิงที่ร่วมงานกับเบอร์สัน ยังมีอีกมากมาย ได้แก่ Activision Blizzard, Adidas, เทศกาลภาพยนตร์เรดซี, Supernus Pharmaceuticals และ Spotify เป็นต้น

สสว. มุ่งมั่นพัฒนาผู้ประกอบการจัดกิจกรรม Hackathon เอาชนะปัญหาด้วยวิธีการใหม่ เพื่อพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ ให้สามารถสร้างโมเดลธุรกิจบริการใหม่ (New Service Business Model เฟ้นหาผู้ประกอบการรับโอกาสเข้าร่วมงานไทยเที่ยวไทย ประกาศผลผู้ชนะเลิศ 2 รุ่น 2 กิจการ จากขอนแก่นและชลบุรี

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. มีความมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยปีนี้ สสว. ได้จัดทำโครงการสร้างนวัตกรรมบริการไทยเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน (Build Thailand Innovation Service) ปีงบประมาณ 2568 โดยเปิดรับสมัครและคัดเลือกผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการนิติบุคคล ภาคบริการ ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรมที่พัก ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม เข้าร่วมโครงการ เพื่อรับการพัฒนาทักษะองค์ความรู้ทางธุรกิจเชิงการจัดการ และสร้างนวัตกรรมธุรกิจภาคบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในโลกยุคใหม่ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจให้สามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

นางสาวปณิตา กล่าวต่อไปว่า หนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับ คือ การพัฒนาทักษะองค์ความรู้ทางธุรกิจในรูปแบบเครือข่ายผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยครั้งนี้ สสว. ได้จัดกิจกรรม Hackathon เอาชนะปัญหาด้วยวิธีการใหม่ เพื่อพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ ให้สามารถสร้างโมเดลธุรกิจบริการใหม่ (New Service Business Model) หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เพื่อการเติบโตและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งกิจกรรมได้จัดให้มีขึ้นที่ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร และ โรงแรม เดอะ ไทด์รีสอร์ท บางแสน จังหวัดชลบุรี เพื่อคัดเลือกผู้ประกอบการจำนวน 6 กิจการ เข้าร่วมงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 74 วันที่ 26-29 มิถุนายน 2568 ณ ไบเทค บางนา และผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกรายจะได้รับการพัฒนาเชิงลึก เพื่อรับโอกาสในการคัดเลือกจำนวน 4 กิจการ เข้าร่วมงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 75 วันที่ 21 -24 ส.ค. 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ แฮกกาธอน (Hackathon) มาจากการรวมคำว่า แฮก (Hack) ที่หมายถึง การทดลองหรือพัฒนาใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว และคำว่า มาราธอน (Marathon) ที่หมายถึง การแข่งขันวิ่งระยะยาว แฮกกาธอน (Hackathon) จึงหมายถึง กิจกรรมการแข่งขันเพื่อระดมความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ภายใต้โจทย์ที่ได้รับ (Themes) ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยสิ่งที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับคือ ได้ลงมือคิดและสร้างสิ่งใหม่ ได้เรียนรู้จากการลงมือทำของตัวเองและจากทีมอื่น และ Network ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่

โดยกิจกรรมโครงการที่ผ่านมาได้มีการจัดกิจกรรม Ice Breaking and Networking เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรวมกลุ่ม และถ่ายทอดองค์ความรู้หัวข้อ Growth Hacking เพื่อมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจในบริบทโลกใหม่

สำหรับกิจกรรม Hackathon ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ มีระยะเวลา 2 วัน วันแรก ประกอบด้วย Workshop BMC-As IS ของธุรกิจ ให้ความรู้ The Business Model Canvas (BMC) หัวข้อ Value Proposition Canvas และ Matching Value Proposition with Customer Segments จากนั้น เป็นกิจกรรม Hacking แนะนำโจทย์สำหรับกิจกรรม Hackathon ในครั้งนี้ คือ “อนาคตของบริการที่ยั่งยืน (The Future of Sustainable Services)” บรรยายถึง BMC Challenge Selection และ Workshops ปัญหาความยั่งยืนในองค์กรที่ต้องการพัฒนาแก้ไข ได้มีการระดมความคิดและสร้างสรรค์ แนวทางแก้ไขความท้าทายที่เลือก (Brainstorming, Ideation & Concept Refinement) และให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปรับ BMC-To Be ของธุรกิจ เพื่อให้คำปรึกษาถึงโอกาสและความเป็นไปได้ในการดำเนินงาน ต่อแผนการพัฒนา   จบกิจกรรมวันแรกด้วย การบรรยายและWorkshop เทคนิคการเล่าเรื่องและเตรียมการนำเสนอ (Presentation Preparation & Storytelling Workshop) โดย ผศ. ดร.องอาจ ชาญประสิทธิ์ชัย และ ผศ. ดร.ศรัณยพงศ์ เที่ยงธรรม

วันที่สอง กิจกรรม Pitching ผู้ประกอบการแต่ละทีมมีเวลา 5 นาทีสำหรับนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการ ด้านการตลาด ด้านการเงิน และด้านนวัตกรรม โดยใช้หลักการของ Business Model Canvas (BMC) เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจบริการใหม่ (New Service Business Model) หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้รับรางวัลชนะเลิศ 2 ราย จากการแข่งขันทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ KOSA WELLNESS HOTEL โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น และ บริษัท เดญา เวลเนส กรุ๊ป จำกัด จังหวัดชลบุรี

นางสาวมณฑกานต์ โฆษะวิสุทธิ์ ผู้บริหาร KOSA WELLNESS HOTEL โรงแรมโฆษะ ผู้รับรางวัลชนะเลิศ ได้เผยความรู้สึกว่า “โฆษะเวลเนสเซ็นเตอร์ มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้รับโอกาสจาก สสว. ให้เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ขอขอบพระคุณคณะกรรมการเป็นอย่างสูง สำหรับรางวัลชนะเลิศการนำเสนอผลงาน (Pitching) ทีมงานของเราได้เข้ามาเรียนรู้ถึงกลยุทธ์ ตั้งแต่การทำ Business Model ได้เรียนรู้ว่าต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้างเพื่อต่อยอดไปสู่ความยั่งยืน รวมถึงแนวทางในการขยายฐานลูกค้า การลดต้นทุน เพื่อการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน ขอบคุณ สสว.ที่มีโครงการดีๆ แบบนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้มารับความรู้นำไปปรับใช้กับธุรกิจ และยังได้คอนเนกชั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่ดี สนับสนุนกันและกันทางธุรกิจต่อไป และเชื่อว่าโครงการนี้ จะช่วยขยายศักยภาพและมอบโอกาสให้ SME ไทย ไปได้ไกลมากขึ้น”

ด้าน นายทิว ปัญญาธิวงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดญา เวลเนส กรุ๊ป จำกัด อีกหนึ่งผู้ชนะเลิศ กล่าวว่า “ทีมงานของเราได้ประโยชน์อย่างมากจากการเข้าร่วมโครงการนี้ ได้รับความรู้ ได้แนวทางในการเอาชนะอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจ ที่สำคัญคือได้เปิดมุมมองให้เกิดไอเดียในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการให้บริการใหม่ๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากยิ่งๆ ขึ้น ขอขอบพระคุณ สสว. คณะกรรมการ และคณาจารย์ทุกท่านจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นอย่างสูง สำหรับรางวัลชนะเลิศการนำเสนอผลงาน (Pitching) ในโครงการสร้างนวัตกรรมบริการไทยเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน (Build Thailand Innovation Service) นับเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้บริหารและพนักงานของเราทุกคน เราจะมุ่งมั่น ตั้งใจรักษามาตรฐาน และไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการ ให้ดียิ่งๆ ขึ้น เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย”

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้าสร้าง Hero Brand ในอุตสาหกรรมแฟชั่นสาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย หนุนพลังผลักดัน Soft Power แฟชั่นไทยผ่าน “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย” ด้วยการพัฒนาทักษะเชิงธุรกิจและการตลาดแฟชั่น ให้คำปรึกษาเชิงลึก สร้างภาพลักษณ์ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling) พร้อมดึงอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัย สร้างต้นแบบ Hero Brand เพื่อยกระดับสู่แบรนด์ระดับสากล ตลอดจนการขยายโอกาสทางการตลาดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจแฟชั่นระดับประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ถือเป็นอีกหนึ่งสาขาในอุตสาหกรรมแฟชั่นและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (รวมทองคำ) คิดเป็นมูลค่ากว่า 6.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.49 เมื่อเทียบกับปี 2566 และเกิดการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานกว่า 8 แสนคน (ที่มา : สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)) โดยอัญมณีและเครื่องประดับไทยมีจุดแข็งด้านทักษะการเจียระไนและการเผาพลอยสี ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลกว่ามีความประณีตและมีการออกแบบที่ทันสมัยทำให้เป็นตลาดพลอยสีที่ใหญ่ระดับโลกและใหญ่ที่สุดในภูมิภาค แต่กลับเผชิญกับปัญหาการเจาะกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน เนื่องจากลูกค้าผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่นิยมเครื่องประดับทอง เพชร พลอย ในขณะที่การสร้างแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมเป็นไปได้ยาก ต้องใช้เวลานานในการสร้างความเชี่ยวชาญ และข้อจำกัดในการพัฒนาสินค้าให้ทันสมัย มีคุณภาพ และมาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้โดดเด่น มีเอกลักษณ์ไทยร่วมสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า และเป็นที่จดจำในเวทีโลก

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้มองเห็นโอกาสในความท้าทายที่จะยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแฟชั่นในสาขาอัญมณีและเครื่องประดับ ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ด้วยกลยุทธ์ 4 ให้ 1 ปฏิรูป ที่มุ่งส่งเสริม พัฒนา และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในทุก ๆ ด้านอย่างตรงจุด ผ่าน “กิจกรรมพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย” โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและนักออกแบบในสาขาอัญมณีฯ ให้มีองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการสร้างภาพลักษณ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างต้นแบบ Hero Brand ที่เป็นตัวแทนเพื่อยกระดับสู่การเป็นแบรนด์ระดับสากล รวมถึงเสริมสร้างภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นที่มีอัตลักษณ์และรากฐานจากทุนทางวัฒนธรรมของไทยให้เป็นสากล ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแฟชั่นในปัจจุบัน พร้อมขยายโอกาสทางการตลาดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายแฟชั่นระดับประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่่มุ่งเน้นการปฏิรูปอุตสาหกรรม ให้มีความทันสมัย ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการปรับตัวให้เข้ากับวิถีใหม่ของโลก

นางสาวณัฏฐิญา กล่าวต่อว่า กิจกรรมดังกล่าว ดีพร้อมใช้นำกลไกของ Soft Power มาช่วยสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์อัญมณีฯ ในการค้นหาอัตลักษณ์ที่แตกต่าง เพื่อสร้างแบรนด์และเรื่องราว (Storytelling) ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย จำนวน 27 กิจการ ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม จะได้รับการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกในการพัฒนาทักษะเชิงธุรกิจและตลาดแฟชั่น (Business & Market Skill) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นด้านกลยุทธ์แบรนด์ การสร้างภาพลักษณ์ การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการ การสื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดทำแผนการตลาด และส่งเสริมการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการสร้าง Story telling และคอนเทนต์รีวิวด้วยการดึงเอกลักษณ์ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ ที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัยต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการทดสอบตลาดระดับสากลในงานแสดงสินค้า Mega Show Bangkok 2025 ซึ่งจะเป็นเวทีการค้าทดสอบตลาดพบคู่ค้าจริง สร้างโอกาสเจรจาธุรกิจและเชื่อมโยงเครือข่ายแฟชั่นระดับประเทศเพื่อยกระดับสู่การเป็น Hero Brand ที่สามารถต่อยอดไปสู่ระดับสากล

สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้จะได้ลงมือปฏิบัติจริงทั้งกิจกรรม Workshop การสร้าง Soft Power storytelling & content ที่ทรงพลัง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย การ collabs กับอินฟลูเอนเซอร์ต่างประเทศที่มีชื่อเสียงและการทดสอบตลาดในงาน Mega Show Bangkok 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศได้จริง ซึ่ง “ดีพร้อม” เชื่อมั่นว่า กิจกรรมในครั้งนี้จะสามารถสร้างโอกาสและส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าไทย ซึ่งเป็นการสนับสนุนพลัง Soft Power ของแฟชั่นไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Soft Power) และนับว่าเป็นโอกาสที่ดีและเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพแบรนด์อัญมณีและเครื่องประดับไทย ให้ไปสู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน และคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ประกอบที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2430 6883 กด 2 หรือติดตามความเคลื่อนไหว และข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.diprom.go.th หรือ www.facebook.com/dipromindustry 

บิ๊กซี ร่วมกับ กรมพัฒนาธุุรกิจการค้า และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงาน BIG C BIZCONNECT โตไวไปกับบิ๊กซี ครั้งที่ 1” เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยทุกหมวดหมู่สินค้า ให้มีโอกาสพัฒนาคุณภาพสินค้า และขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านเครือข่ายของบิ๊กซีทั่วประเทศ สู่การเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมก้าวเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดและเวทีสากลในอนาคต

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า บิ๊กซี ร่วมกับ กรมพัฒนาธุุรกิจการค้า และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงาน “BIG C BIZCONNECT โตไวไปกับบิ๊กซี ครั้งที่ 1” เพื่อเปิดโอกาสครั้งสำคัญ สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับ ทุกหมวดหมู่สินค้า ได้ร่วมพัฒนายกระดับคุณภาพสินค้า เข้าสู่ช่องทางการจำหน่ายสินค้าคุณภาพดีสู่มือผู้บริโภคที่บิ๊กซี ผ่านการสนับสนุนช่องทางจัดจำหน่ายให้สามารถนำสินค้ามาวางขายได้ในบิ๊กซีทั่วประเทศ รวมถึงการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ทั้งนี้ ภายในงานได้รับเกียรติจาก นางอรมน  ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้เกียรติเข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ ชั้น 6 ห้อง Auditorium ตึก C บิ๊กซี  สำนักงานใหญ่ (BigC House) เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

 

ที่ผ่านมา SME ธุรกิจชุมชนไทย ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเข้าถึงตลาดการแข่งขันด้านราคา รวมถึงข้อจำกัดจากการจำหน่ายสินค้าผ่านคนกลาง ดังนั้น บิ๊กซี จึงอยากเข้ามาช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการเหล่านี้ ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ทั้งการคัดสรรสินค้าที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ ทีมงานที่คอยให้คำปรึกษา ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์และยังร่วมมือกับผู้ประกอบการ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีศักยภาพการแข่งขันในระดับสากล และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานฯ ยังได้พบกับทีมจัดหาสินค้าของ บิ๊กซี ที่มาร่วมแนะนำเจรจาธุรกิจโดยตรง พร้อมนำข้อเสนอสิทธิพิเศษต่างๆ เฉพาะงานนี้เท่านั้น อาทิ สนับสนุนการลงสื่อโฆษณาสินค้าทุกช่องทางตลอดทั้งปี, ดีลพิเศษบริการพื้นที่เช่าโซนพลาซา ตลอดจนโอกาสการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง, ลาว กัมพูชา, เวียดนาม ฯลฯ

 

นอกจากนี้สำหรับท่านผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานยังได้รับสิทธิ ร่วมฟังการบรรยายเกี่ยวกับแนวทางการเติบโตของธุรกิจ SME ในยุคดิจิทัล ได้แก่

  • “โอกาสของ SME กับตลาด Modern Trade ไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน” บรรยายโดย คุณวรนุช กิติโสภากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสินค้า บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน)
  • “ประสบการณ์ความสําเร็จของสาขาราชดําริ และ สินค้ากลุ่มที่เป็นที่นิยมของ นักท่องเที่ยว” บรรยายโดย คุณวาสนา ธีรธรรม ผู้อำนวยการเขต กลุ่มสาขาท่องเที่ยว บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน)
  • “Case Study : เจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ประกอบการที่วางจำหน่ายกับบิ๊กซี” โดย
  1. คุณพิราวรรณ มณเฑียรมณี ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทไวตาเมะ 6395 จำกัด (แบรนด์ไวตาเมะ)
  2. คุณปัทมา อภิสุนทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทโอยั๊วะ เทรดดิ้ง จำกัด (แบรนด์โอยั๊วะ)
  3. คุณตรัยพัทธ์ สุวรรณาภิรมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิกขาดี จํากัด (บริษัทสิกขาดี)
  4. คุณชาตรี ฉันทรัตนรักษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอฟู้ด อินเตอร์เทรด จํากัด (แบรนด์ D-Snack)
  • Innovation Packaging โดย คุณไพบูลย์ ชุติมาพงศ์รัตน์ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
  • ถอดรหัส วิธีใช้ Data อย่างไรให้ธุรกิจปัง โดยคุณหฤชา รังสิพรามหมณกุล บริษัท ดาต้าสตอรี่ จำกัด

 

สำหรับ งาน “Big C BIZCONNECT โตไวไปกับบิ๊กซี ครั้งที่ 1” ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจให้กับผู้ประกอบการในอนาคต ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: Big C

บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (National ITMX) ประกาศเปิดตัวโครงการ “Hack to the Max Season 2: Shaping the Next Evolution of Financial Innovation” อย่างเป็นทางการในงานแถลงข่าว ณ Next Tech, Siam Paragon ยกระดับการแข่งขัน Hackathon ด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัลแห่งปี พร้อมผนึกกำลังพันธมิตรภาคเอกชน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ExpresSo NB และ Techsauce รวมถึง 5 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง,  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้และต่อยอดนวัตกรรมร่วมกับเยาวชนไทย 

โครงการ Hack to the Max จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายในการเปิดเวทีให้นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้แสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีทางการเงินอย่างเต็มที่ เปิดรับสมัครผู้สนใจตั้งแต่ 19 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2568 โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ นักเรียน นักศึกษา เหล่านักพัฒนา นักสร้างสรรค์ และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจในเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 18-25 ปี

นายฉัตรชัย ดุษฎีโหนด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด หรือ NITMX กล่าวว่า โครงการ Hack to the Max Season 2 ครั้งนี้สะท้อนพันธกิจของ NITMX ที่มุ่งสร้างรากฐานการเงินดิจิทัลให้ทันสมัยและยั่งยืน โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแข่งขัน แต่คือพื้นที่ปลูกฝังและเชื่อมโยง Tech Talent กับภารกิจระดับประเทศเป็นเวทีสร้าง Community ของคนที่อยากเปลี่ยนอนาคตการเงินไทยให้ดีขึ้นด้วยพลังของนวัตกรรม เราตั้งใจให้โครงการนี้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึกได้ว่า “เราเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประเทศ” ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษา นักพัฒนาหรือผู้ประกอบการในอนาคตนี่คือจุดเริ่มต้นของการเติบโตไปด้วยกัน 

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า “เราไม่ได้คาดหวังแค่ไอเดียเจ๋ง ๆ หรือทีมที่ชนะเลิศเท่านั้น แต่เราคาดหวังว่า Hackathon ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงน้อง ๆ คนเก่งกับภารกิจสำคัญระดับประเทศเราหวังจะได้เห็นไอเดียที่กล้าท้าทายระบบการเงินเดิมกล้าใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโซลูชันใหม่ ๆ และที่สำคัญที่สุดเราต้องการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้และการต่อยอดนวัตกรรมที่เติบโตไปพร้อมกับเยาวชนไทยระบบนิเวศที่ทำให้น้อง ๆ ได้เห็นจริงว่าทักษะความรู้และวิธีคิดแบบใดที่เป็นที่ต้องการของตลาด และไม่ใช่แค่เข้าใจแต่ได้ลงมือได้รับการสนับสนุนจากทั้งสถาบันการศึกษาไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม

เราเชื่อว่าระบบนิเวศนี้จะเป็นพื้นที่ที่หล่อเลี้ยงนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และจะเป็นจุดที่เชื่อมระหว่างความฝันของน้อง ๆ กับโอกาสที่จับต้องได้จริง เราอยากให้ผู้เข้าร่วมทุกคนรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และอยากให้พวกเขาได้กลับมาเชื่อมโยงกับ NITMX ไม่ว่าจะในฐานะผู้ร่วมงานพันธมิตรหรือผู้สร้างนวัตกรรมในอนาคต”

สำหรับโครงการ Hackathon 2025: Hack to the Max - Season 2 ในปีนี้มีการแบ่งออกเป็น 2 โจทย์ที่ท้าทาย ภายใต้ธีม "Building Trusted Payment Ecosystem" ซึ่งเป็นโจทย์การแข่งขันที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของอุตสาหกรรมการเงินไทย ได้แก่ 

โจทย์ที่ 1. Next-gen Payment Solutions for Financial Future ปฏิวัติอนาคตการชำระเงินไทย เป็นการร่วมออกแบบนวัตกรรมการชำระเงินแห่งอนาคตที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าระบบการทำธุรกรรมดิจิทัลไทยให้ก้าวล้ำนำสมัย   โดยไม่จำกัดกรอบความคิดเพียงเทคโนโลยีปัจจุบัน ท้าทายให้ผู้เข้าแข่งขันพลิกโฉมระบบการเงินแบบเดิมสู่ประสบการณ์การชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

โจทย์ที่ 2. Secured Payment Solutions เสริมความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินไทย โจทย์การแข่งขันนี้ผู้เข้าแข่งขันจะต้องนำเสนอนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่จะยกระดับความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไทย ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงประสิทธิภาพสูง กลไกการแจ้งเตือนและตอบโต้ธุรกรรมเสี่ยง หรือแพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างองค์กรเพื่อปกป้องผู้บริโภคจากภัยคุกคามทางการเงินรูปแบบใหม่

ทั้งนี้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดที่สมัครเข้ามานั้นจะถูกคัดเลือกให้เหลือเพียง 15 ทีมสุดท้ายที่มีแนวคิดโดดเด่น    เพื่อเข้าร่วมนำเสนอผลงานในกิจกรรม Pitching Day ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 กันยายน 2568 สำหรับทีมที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับโอกาสทองในการทำงานใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าจาก National ITMX และพันธมิตร    ชั้นนำ ตลอดโครงการเพื่อพัฒนาแนวคิดให้เป็นต้นแบบนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดสู่การใช้งานจริงในอุตสาหกรรมการเงินไทย 

ทีมที่ชนะเลิศสูงสุดจะได้รับโอกาสพิเศษเข้าร่วมงาน Singapore Fintech Festival ระหว่างวันที่ 11–14 พฤศจิกายน 2568 ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมการเงินระดับโลก พร้อมการสนับสนุนค่าเดินทาง    ที่พัก และค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางอย่างเต็มรูปแบบ ทีมผู้ชนะจากแต่ละโจทย์จำนวน 2 รางวัล จะได้รับเงินรางวัลมูลค่ารางวัลละ 10,000 บาท ส่วนทีมที่มีแนวคิดโดดเด่นจากแต่ละโจทย์จำนวน 2 รางวัล จะได้รับเงินรางวัล รางวัลละ 5,000 บาท เพื่อเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมสู่การใช้งานจริง 

“Hack to the Max Season 2 คือ โอกาสที่น้อง ๆ จะได้เรียนรู้ เติบโต และได้สร้างสิ่งที่ “ใช้จริง” ในโลกแห่งการเงินดิจิทัล อย่าเพิ่งตัดสินตัวเองจากแค่ความกลัวหรือความไม่มั่นใจ เพราะบางทีไอเดียของเราอาจเป็นจุดเปลี่ยนของระบบทั้งระบบก็ได้ มาสร้างอนาคตของคุณ และของประเทศไทยไปพร้อมกับเรา National ITMX ยินดีต้อนรับทุกคน” นายฉัตรชัย กล่าวสรุป 

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดโครงการและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://bit.ly/hacktothemax-ss2 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ ของโครงการได้ทาง Facebook: National ITMXLinkedIn: National ITMX, Website: https://www.nitmx-hacktothemax.com และ Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และ กลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชน จัดงาน “เทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2568” คัดสรรผลไม้และผักคุณภาพดีส่งตรงจากสวนทั่วไทย
ถึงมือผู้บริโภคในราคาคุ้มค่า ตลอดเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ที่บิ๊กซี ทุกสาข
า พร้อมจัดเต็ม “บุฟเฟต์ทุเรียนและผลไม้ไทยอิ่มไม่อั้น” จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 21 พฤษภาคม 2568 ณ บิ๊กซี สาขาราชดำริ และบิ๊กซีอีก 6 สาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่
สาขาสะพานควาย, รัชดาภิเษก, อ่อนนุช, ติวานนท์, พระราม 2 และรังสิต 1 

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน “เทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2568” เพื่อร่วมส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยตามฤดูกาล พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยสู่เวทีโลกในฐานะแหล่งผลไม้คุณภาพ ทั้งยังเดินหน้าสนับสนุนการรับซื้อผลผลิตตรงจากเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง และเป็นอีกช่องทางกระจายผลไม้สู่ผู้บริโภคในราคาที่เข้าถึงได้

นายอัศวิน กล่าวว่า “บิ๊กซีได้คัดสรรสุดยอดผลไม้ไทยและผักตามฤดูกาลมาให้ลูกค้าได้เลือกซื้ออย่างหลากหลายและคุ้มค่า ภายใต้การจัดงาน “เทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2568” พร้อมกิจกรรมไฮไลต์ “บุฟเฟต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น” เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะทุเรียนซึ่งถือเป็นราชาแห่งผลไม้ไทย โดยในปีนี้ บิ๊กซีมุ่งหวังที่จะสนับสนุนผลผลิตจากเกษตรกรไทย โดยเฉพาะทุเรียนจากภาคตะวันออก ซึ่งจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนพฤษภาคม”

ด้าน ร้อยตรี จักรา กล่าวว่า “บิ๊กซีมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับภาครัฐในการกระจายผลผลิตผลไม้ไทยสู่ตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการรองรับการบริหารจัดการผลผลิตไว้อย่างรอบด้าน ทั้งการขนส่ง การรับซื้อ และการดูแลสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรชาวสวน และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน”

บิ๊กซี ขอเชิญชวนลูกค้าร่วมสัมผัสความอร่อยแบบจุใจกับกิจกรรมไฮไลต์ “บุฟเฟต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น” ระยะเวลา 60 นาทีต่อรอบ ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ลิ้มรสผลไม้ไทยคุณภาพเยี่ยมแบบไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนหมอนทอง, มังคุด, เงาะ, มะม่วง, แตงโม, ข้าวเหนียวมะม่วง และข้าวเหนียวทุเรียน

สำหรับลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวสามารถชื้อบัตรเข้าร่วมกิจกรรมในราคาสุดคุ้มเพียง 599 บาท (ต่อท่านต่อรอบ ระยะเวลา 60 นาที) พิเศษ !!! สำหรับสมาชิกบิ๊กพอยต์ สามารถใช้คะแนนสะสม 50 พอยต์ แลกรับส่วนลด 50 บาทต่อท่าน (เหลือ 549 บาท) จำกัด 1 สิทธิ์ต่อสมาชิก โดยกิจกรรมจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม รอบละ 80 ท่าน ซื้อบัตรได้ที่บริเวณจัดงานของแต่ละสาขาที่ร่วมรายการ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ “Call Chat Shop”

กิจกรรม “บุฟเฟต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น” จัดขึ้นเฉพาะบิ๊กซี 7 สาขาที่ร่วมรายการ ประกอบด้วย สาขาราชดำริ ตั้งแต่วันที่ 16  – 21 พฤษภาคม 2568 ส่วนสาขาสะพานควาย, ติวานนท์ และพระราม 2 จัดตั้งแต่วันที่ 3 – 5 พฤษภาคม 2568 และสาขารัชดาภิเษก, อ่อนนุช และรังสิต 1 จัดตั้งแต่วันที่ 10  – 12 พฤษภาคม 2568  

บิ๊กซี สาขาราชดำริ จัดกิจกรรมวันละ 6 รอบ ตามช่วงเวลาดังนี้:

  • รอบที่ 1: เวลา 10.00 – 11.00 น.
  • รอบที่ 2: เวลา 12.00 – 13.00 น.
  • รอบที่ 3: เวลา 14.00 – 15.00 น.
  • รอบที่ 4: เวลา 15.30 – 16.30 น.
  • รอบที่ 5: เวลา 17.30 – 18.30 น.
  • รอบที่ 6: เวลา 19.00 – 20.00 น.

บิ๊กซี 6 สาขา ได้แก่ สาขาสะพานควาย, รัชดาภิเษก, อ่อนนุช, ติวานนท์, พระราม 2 และรังสิต 1  จัดกิจกรรมวันละ 3 รอบ
ตามช่วงเวลาดังนี้:

  • รอบที่ 1: เวลา 12.00 – 13.00 น.
  • รอบที่ 2: เวลา 14.00 – 15.00 น.
  • รอบที่ 3: เวลา 16.00 – 17.00 น.

ขอเชิญลูกค้าทุกท่านร่วมสัมผัส งานเทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2568”  ที่คัดสรรผลไม้ไทยสินค้าคุณภาพตามฤดูกาล มาให้ลูกค้าได้ลิ้มรสความอร่อย เช่น ทุเรียน, เงาะ, มังคุด, ลองกอง, ลำไย, มะม่วง และอื่น ๆ ตลอดเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน ที่บิ๊กซี ทุกสาขา ทั่วประเทศไทย

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร MEA ร่วมด้วย นายชัชชญา ขำจันทร์ รองผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความพร้อมระบบไฟฟ้าสถานีสูบน้ำอุโมงค์บางซื่อ ทั้งนี้ MEA ได้บำรุงรักษาและติดตั้งอุปกรณ์เสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าสถานีสูบน้ำ อีกทั้งมีการเตรียมความพร้อม และซักซ้อมแผนเพื่อบูรณาการความร่วมมือกับสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมอบอุปกรณ์ตรวจจับไฟฟ้ารั่วในน้ำ นวัตกรรมซึ่งออกแบบและผลิตโดย MEA เพื่อความปลอดภัยสามารถตรวจสอบกระแสไฟฟ้ารั่วในน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพให้แก่สำนักการระบายน้ำ คลองบางซื่อ ณ สถานีสูบน้ำอุโมงค์บางซื่อ กรุงเทพมหานคร

 

ผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านระบบจำหน่ายระบบไฟฟ้าสังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญกับคุณภาพการจ่ายกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการรองรับเหตุฉุกเฉินและขัดข้องต่างๆ พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลการจ่ายไฟฟ้าของสถานีสูบน้ำ ประตูระบายน้ำ และบ่อสูบน้ำของกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ที่ MEA ดูแลด้านระบบไฟฟ้า จำนวน 638 แห่ง โดย MEA มีการเชื่อมโยงระบบจ่ายไฟฟ้าหลัก และระบบจ่ายไฟฟ้าสำรองให้กับสถานีสูบน้ำทุกแห่ง เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และสามารถบริหารจัดการโดยใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการควบคุมระบบไฟฟ้า SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) ตลอดจนได้นำระบบ DMS (Distribution Management System) มาใช้ในระบบการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ติดตั้งอยู่บนเสาไฟฟ้าในพื้นที่ต่างๆ เพื่อช่วยบริหารควบคุมสั่งการได้จากส่วนกลาง ทราบสาเหตุ และสั่งการอัตโนมัติ ทำให้เกิดความมั่นคงในระบบไฟฟ้ามีความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขไฟฟ้าขัดข้องได้รวดเร็ว

 

ผู้ว่าการ MEA กล่าวต่อว่า สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ เป็นการติดตามตรวจสอบความพร้อมของระบบไฟฟ้าสถานีสูบน้ำอุโมงค์บางซื่อ ถือเป็นสถานีสูบน้ำที่สำคัญ ซึ่งสอดรับกับนโยบายกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้สามารถบริหารจัดการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดย MEA จ่ายกระแสไฟฟ้าให้สถานีสูบน้ำ อุโมงค์บางซื่อ ด้วยระบบแรงดันไฟฟ้า 24 กิโลโวลต์ (kV) ให้กับระบบสูบน้ำขนาด 1,950 กิโลวัตต์ (kW) จำนวน 6 เครื่อง ความสามารถในการระบายน้ำ 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รองรับปริมาณน้ำฝนได้ไม่น้อยกว่า 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยสถานีสูบน้ำอุโมงค์บางซื่อ จะรับน้ำจากอาคารรับน้ำถนนกำแพงเพชร อาคารรับน้ำถนนวิภาวดีรังสิต และอาคารรับน้ำถนนรัชดาภิเษก ซึ่งรับน้ำในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตห้วยขวาง เขตดินแดง เขตพญาไท เขตจตุจักร เขตวังทองหลาง เขตบางซื่อ และเขตดุสิต ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 56 ตารางกิโลเมตร

 

นอกจากนี้ที่ผ่านมา MEA ยังมีแผนการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้กับสถานีสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาด้านระบบไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ที่จะต้องมีการตรวจสอบในลักษณะทางกายภาพ เช่น การตัดแต่งกิ่งไม้ และตรวจสอบป้ายต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกลมพายุพัดหลุดห้อยหรือทำให้กระทบกับระบบไฟฟ้าของ MEA ให้เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้ MEA ยังได้ประสานกับกรุงเทพมหานครตรวจสอบโคมไฟส่องสว่าง ไฟฟ้าสาธารณะให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย รวมถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ส่งผลต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าภายในสถานีสูบน้ำแต่ละแห่ง โดยประสานงานใกล้ชิดกับศูนย์ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพื่อการแก้ไขเหตุไฟฟ้าดับฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจน MEA จัดเจ้าหน้าที่บูรณาการระบบไฟฟ้าประจำจุดที่สำคัญทุกแห่งพร้อมดูแลระบบไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง จากการดำเนินงานทั้งหมดนี้ MEA จึงมีความมั่นใจในการดูแลระบบไฟฟ้าสำหรับสถานีสูบน้ำเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมั่นคงและปลอดภัยอย่างเต็มที่ในช่วงฤดูฝน

 

ทั้งนี้ หากประชาชนประสบเหตุสาธารณภัย หรือต้องการความช่วยเหลือจากเหตุสาธารณภัยต่าง ๆ สามารถขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วนนิรภัย โทร. 1784  โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 24 ชั่วโมง รวมถึงหากประชาชนในพื้นที่ให้บริการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พบเห็นสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าของ MEA ชำรุดอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย หรือต้องการความช่วยเหลือด้านระบบไฟฟ้ารวมถึงขอเลื่อนเครื่องวัดฯ สามารถแจ้งการไฟฟ้านครหลวงเขตใกล้บ้าน ทุกเขต หรือแจ้งเหตุผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว ได้ที่ MEA Smart Life Application ดาวน์โหลดฟรี ได้ที่ App Store และ Play Store เท่านั้น หรือช่องทางโซเชียลมีเดียทางการต่าง ๆ MEA ได้ที่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง และติดตามข่าวสารงานบริการของ MEA ผ่านทางเว็บไซต์ www.mea.or.th

กระทรวงดีอี โดย ดีป้า ร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สมอ. และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แถลงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Global ISO Conference 2025 การประชุมประจำปีของคณะอนุกรรมการด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์และระบบ (ISO/IEC JTC1/SC7) ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 13 มิถุนายนนี้ที่ อาคารดีป้า สำนักงานใหญ่ ซอยลาดพร้าว 10

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Global ISO Conference 2025 การประชุมประจำปีของคณะอนุกรรมการด้านซอฟต์แวร์และวิศวกรรมระบบ (ISO/IEC JTC1/SC7) ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 13 มิถุนายนนี้ ณ อาคารดีป้า สำนักงานใหญ่ ซอยลาดพร้าว 10 โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี และ นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน และร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการยกระดับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ระหว่าง ดีป้า สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

 

นายประเสริฐ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กระทรวงดีอี พร้อมด้วยหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง และเครือข่ายพันธมิตรร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ การดึงดูดการลงทุน Data Center และ Cloud จากบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลกที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี อย่าง AWS, Microsoft และ Google การแก้ไขปัญหาสินค้าและบริการดิจิทัลที่ไม่มีคุณภาพและมาตรฐานผ่านกลไกบัญชีบริการดิจิทัล และการสร้างความเชื่อมั่นแก่นานาประเทศต่อการขับเคลื่อนงานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยี AI โดยประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence 2025 ระหว่างวันที่ 24 - 27 มิถุนายน เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เจรจาความร่วมมือระดับรัฐมนตรี ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำนโยบาย หรือข้อริเริ่มในการขับเคลื่อนงานระหว่างประเทศด้วย AI ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพด้าน AI ต่อสายตาชาวโลก และเปิดโอกาสการพัฒนาหรือต่อยอดงานกับนานาประเทศ

สำหรับงาน Global ISO Conference 2025 จะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และกำหนดมาตรฐานในระดับสากลเพื่อพัฒนามาตรฐานซอฟต์แวร์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และจะช่วยให้คนไทยได้ใช้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ในราคาเป็นธรรม ซึ่งการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีของผู้กำหนดมาตรฐานระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทองของประเทศในการสร้างความน่าเชื่อถือ ความร่วมมือ และอนาคตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมั่นคงและยั่งยืนรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

 

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า คณะอนุกรรมการด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์และระบบ หรือ ISO/IEC JTC 1/SC 7 เป็นหน่วยงานย่อยภายใต้การกำกับของ ISO และ IEC ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดทำมาตรฐานสากลด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์และระบบ ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการพัฒนา การจัดการ การประกันคุณภาพ การประเมินผล การดูแลรักษา ไปจนถึงแนวทางด้านจริยธรรมและความน่าเชื่อถือของระบบสารสนเทศและซอฟต์แวร์ ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย สามารถทำงานร่วมกันได้ และสอดคล้องกับกฎหมายหรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยงาน Global ISO Conference 2025 ถือเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และความเห็นเชิงเทคนิค เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ รวม 21 ประเทศเข้าร่วมประชุม

การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Global ISO Conference 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับบทบาทของไทยในเวทีมาตรฐานดิจิทัลระดับสากล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านมาตรฐานซอฟต์แวร์และระบบในภูมิภาคได้อย่างแท้จริง อีกทั้งเป็นโอกาสในการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของประเทศให้สามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนามาตรฐานสากล ทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า Global ISO Conference 2025 ยังถือเป็นเวทีสำคัญที่ประเทศไทยจะได้แนะนำ dSURE ตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลของไทยที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน (Safety) ความสามารถในการทำงาน (Functionality) และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) โดยดีป้าได้รับความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้รับมาตรฐานระดับสากลที่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จะทำให้ต่อยอดสู่การขึ้นทะเบียน “บัญชีบริการดิจิทัล” แหล่งรวบรวมสินค้า/บริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐาน คุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งจะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานและภาคธุรกิจ โดยทั้งสองกลไกเป็นตัวอย่างสำคัญของการสร้างมาตรฐานภายในประเทศที่สามารถต่อยอดสู่การยอมรับในระดับสากล

สำหรับงาน Global ISO Conference 2025 เป็นการประชุมใหญ่ประจำปีของคณะอนุกรรมการด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์และระบบ (ISO/IEC JTC 1/SC 7) ซึ่งนับเป็นการประชุมหลักที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง โดยปีนี้มีผู้แทนจากประเทศสมาชิก 21 ประเทศจาก 39 ประเทศเข้าร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือให้เกิดการกำหนดมาตรฐานกลางที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบงานสารสนเทศให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถทำงานร่วมกันได้ พร้อมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานจากทั่วโลก ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการผลักดันมาตรฐานให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยในการประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมจะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และร่วมกันพัฒนามาตรฐานในหลากหลายหัวข้อ อาทิ แนวโน้มเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ (Digital Technologies & Innovation) การกำกับดูแล บริการ และการจัดการสินทรัพย์ด้าน IT (IT Governance, Services & Assets) การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยความช่วยเหลือจาก AI (AI-Assisted Software Development) ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และความน่าเชื่อถือของระบบ (Cybersecurity & Dependability) การประเมินคุณภาพและการจัดทำมาตรฐาน (Quality & Standards) การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบโลว์โค้ด (Low Code Development) รวมถึงแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Software)

Global ISO Conference 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 13 มิถุนายนนี้ ณ อาคารดีป้า สำนักงานใหญ่ ซอยลาดพร้าว 10 ซึ่งภายในงานจะมีเวทีเสวนาเพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนา ผู้ประกอบการ และหน่วยงานของไทยรับฟังบรรยายพิเศษถึงแนวโน้มและทิศทางการพัฒนามาตรฐานดิจิทัลในอนาคต

X

Right Click

No right click